บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 14 : นายฮุนผู้เป็นที่ต้องการ

โดย : ปราณประมูล

Loading

บุษบาลุยไฟ โดย ปราณประมูล เรื่องราวของ ลำจวน หญิงสาวผู้ต่อสู้กับค่านิยมทางสังคมในยุค ร.3 เธอลุกขึ้นทำสิ่งที่คนในห่วงเวลานั้นไม่ทำกัน หนทางจึงไม่ได้ราบรื่น หากเต็มไปด้วยอุปสรรคและถ้าไม่ใช่เพราะแรงรักแรงใจที่หนุ่มจีนคนนั้น คงยากที่บุษบาดอกนี้จะไปสู่จุดหมาย ‘บุษบาลุยไฟ’ นวนิยายเรื่องเยี่ยมที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์

คงแป๊ะและกลุ่มศิษย์ประกอบสัมมาชีพเป็นรายได้อีกทาง คือรับจ้างเขียนลายกำมะลอ ลงรักปิดทองทำบานประตู หน้าต่าง วิหาร และพระอุโบสถ อีกทั้งตู้ไม้สำหรับเก็บพระธรรมไตรปิฎก อันเป็นสินค้าราคาสูง ที่บรรดาเจ้านายและขุนนาง นิยมสร้างถวายให้วัดวาอารามต่างๆทั่วไป

คงแป๊ะเป็นผู้ออกแบบ วาดเส้นร่างลายตามที่ผู้จ้างต้องการ ลงบนพื้นไม้ที่ลงสีรองพื้นแล้ว จากนั้นพวกศิษย์จึงทำหน้าที่เขียนเส้นให้คมชัดขึ้น จากนั้นก็แบ่งหน้าที่กัน ลงรัก ปิดทอง กวดทอง และล้างทองออก

ฮุนเติบโตเป็นชายหนุ่มเต็มตัว กลายเป็นบุรุษสูงใหญ่แข็งแรงล่ำสัน หน้าตาเคร่งขรึมจริงจัง ชำนาญการวาดดอกไม้ ใบไม้ กว่าอย่างอื่น จึงรับหน้าที่เขียนลายดอกใบพลิ้วไหว แต่เห็นอิทธิพลแบบลายจีนชัดเจน

ฮุนผสมสีในถ้วยตะไล เนื้อสีทำจากดินสีแดงนำมาป่นร่อนเป็นผงละเอียด ผสมกาวกระถินเหลืองใส

มือของฮุน…

ที่ข้อมือซ้ายของฮุนยังคงผูกปี้ สังกัดอู่ต่อสำเภาของท่านเจ้าสัวโต ที่บัดนี้ขึ้นเป็นพระยาราชสุภาวดี เจ้ากรมพระสุรัสวดีกลาง แต่ก็ยังประกอบกิจการต่อสำเภาอยู่ เลี้ยงดูคนงานเก่าๆ ซึ่งรวมทั้งกงของฮุนด้วย แม้จะเกิดอู่สมัยใหม่ที่สร้างกำปั่นขึ้นมาทดแทนสำเภาอย่างจีนแล้ว

ชายหนุ่มกำลังใช้มือซ้าย ระบายสีถมลงบนลายที่ครูของเขาวาดเส้นเป็นกรอบไว้

แต่ฮุนมิใช่เป็นเพียงช่างเขียนเหมือนเพื่อนๆ พี่ๆ ร่วมสำนักคงแป๊ะ

เขายังใช้แรงกำลังรับจ้างแบกหาม ร่วมกับมิตรสหายคนจีนผมเปียผูกปี้อื่นๆ ที่นอกจากต่อเรือแล้ว ยังใช้เวลาว่างนอกเวลางาน รับจ้างขนส่งสินค้าหนักเบา ใหญ่น้อย ขนย้าย ขึ้นล่องตามลำน้ำลำคลองทั่วไปอีกด้วย

ตู้พระธรรมใบนั้น หลังจากผ่านมือฮุนในฐานะช่างเขียนฝีมือวิจิตรประณีตแล้ว ก็มาผ่านมือ แขน บ่า ไหล่ หลังของเขาและเพื่อนอีกกลุ่มด้วย

พวกฮุนช่วยกันยกตู้พระธรรมขึ้นจากเรือ สู่ท่าน้ำวัด แบกหามขึ้นบันไดหอธรรม ที่เป็นเรือนไม้กลางบ่อน้ำ บนเสาสูง บันไดสูงชัน

พระภิกษุและอุบาสกที่มาล้อมดูการขนส่ง จัดวาง ต่างคุ้นเคยกับกุลีจีนหนุ่มกลุ่มนี้ดี เนื่องจากฝีมือการขนย้ายข้าวของสูงค่าราคาแพง ที่วางใจได้

แม้แต่งานต่ำทรามใช้กำลังอย่างการแบกหาม ก็จำเป็นต้องอาศัยคนที่มีสติปัญญา ที่มีทั้งแรงงาน ทั้งฝีมือ และทั้งความเข้าใจถึงคุณค่าของข้าวของด้วย มิใช่จับกังขนข้าวสาร ถ่าน แป้ง น้ำตาล ที่ไม่ต้องปรานีปราศรัยอาลัยไยดีในสินค้า สักแต่ว่าแบกไปโยนกองก็พอ

งานขนส่งของประณีตวิจิตรเหล่านี้ ผู้คนจึงไว้ใจเรียกใช้นายฮุน ที่ใครๆ ก็รู้ดีว่าเขาเป็นช่างเขียนศิษย์คงแป๊ะผู้นี้อยู่เสมอ

เสร็จงาน มีอัฐติดกระเป๋าแจกจ่ายกันถ้วนหน้า กลุ่มหนุ่มจีนนักแบกหามจึงมายังสถานที่หย่อนใจ ไม่กลับไปกินข้าวบ้าน แต่มาที่ร้านข้าวต้มริมคลองขุด ซึ่งเป็นทางคมนาคมตัดผ่านกลางเมือง เชื่อมระหว่างย่านร้านตลาด

คนขายข้าวต้มมีลูกสาวสวยปากจัดชื่ออาหง จอดเรือ ตั้งโต๊ะเตี้ย มีม้านั่งเตี้ยๆ ล้อมรอบให้ลูกค้านั่งกินกันใต้ต้นไทรใหญ่ ทั่วบริเวณสว่างไสวด้วยโคมกระดาษที่แขวนเป็นราวบนกิ่งก้านสาขา

ข้าวต้มกุ๊ยกินกับของเค็ม ผักดอง ปลาเค็มแห้งกรอบ และถั่ว มีต้มผักสิบชนิดใส่ซีอิ๊วเค็มหวาน ตุ๋นฟักใส่โครงเป็ดกับมะนาวดองหอมกรุ่นให้ซดคล่องคอ

เสียงอาหงหวีด ด่าแหวๆ แล้วตามด้วยเสียงเพียะดัง บอกให้รู้ว่าใครบางคนบังอาจลวนลามจับมือถือแขนหยอกเธอ แล้วถูกหญิงสาวทุบตีกลับเต็มรัก แล้วเพื่อนๆ ก็ระเบิดหัวเราะครืน สมน้ำหน้าคนทะลึ่ง

อาฮุนไม่ทะลึ่ง อาหงจึงชมชอบนัก ไม่นับหน้าตาสุภาพอ่อนโยน ดวงตามุ่งมั่นจริงจัง น้ำเสียงห้าวนุ่มนวลสมชายชาตรี กับร่างกายสูงใหญ่สง่านั้น

อาหงรินน้ำชาให้เขา และยิ้มแย้มให้เป็นพิเศษ

เรือประทุนลำใหญ่ แขวนโคมเขียวเรืองๆ ลำนั้นลอยช้ามาตามลำคลอง หน้าประทุนแขวนม่านโปร่งบาง แสงไฟส่องลอดม่านเข้าไป กระทบกับดวงหน้าขาวจากแป้งที่ฉาบหนาสะท้อนแสง ที่มีปากแดงชาดเข้ม

ทาสคนแจวเรือหักหัวเรือเข้ามาเทียบริมตลิ่งตรงร้านข้าวต้ม

ทุกคนในร้านข้าวต้มหันไปมองดูภาพงามประหลาดนั้นเป็นตาเดียว

ทว่าดวงตาเข้มลึก ใต้ปีกคิ้วที่วาดไว้เรียวเฉียง บนดวงหน้างามดุจเทพธิดาฉาบสีเขียวๆ แดงๆ นั้น มองตรงนิ่งไปที่ฮุนเพียงผู้เดียวเท่านั้น

หญิงงามหลังม่านนั้นถอยหายลับไป เมื่อม่านนั้นแหวกออก บ่าวชายคลานออกมา แล้วค่อยหยัดยืนขึ้นที่หัวเรือ

“อาฮุน”

ชายท่าทีกึ่งชายกึ่งหญิงผู้นั้น ถือถุงผ้าแพร ใส่ห่อของ ยื่นมาให้

ฮุนลุกขึ้น ก้าวไปหา

เมื่อเห็นฮุนเดินมาใกล้ หญิงงามนั้นก็แหวกม่านออก โผล่หน้าออกมาให้เห็นเพียงเสี้ยว เอื้อนเอ่ยภาษาจีน เสียงเล็กๆ เบาๆ

“อาฮุน ฝากใบชาไปชงให้อากงของเธอ ชาจากเมืองกุ้ยโจว…หอมมาก ขมเป็นยา รักษาอาการกงได้ดี”

“กำเสี่ย”

ฮุนก้มหัว ตอบขอบคุณสุภาพ

หญิงงามยิ้มหวานบาดใจ

“ไจ่โฮย…”

แล้วเจอกันใหม่…เธอเอ่ยเสียงอิ่มเอม

ฮุนถือห่อผ้าใส่ชา มองตามเรือ ที่แล่นห่างออกไป เขาส่งยิ้มละมุนละไมไปให้ ก่อนที่เธอจะถอยหายไปหลังม่าน

ชายหนุ่มเดินกลับมา ยังไม่ทันได้นั่งก็ถูกอาหงเข้ามาขวางหน้า ค้อนควักและผลักจนเซไป ด้วยไม่ทันตั้งตัว

“อาฮุนบ้า เจ้าชู้นัก”

แล้วเธอก็กระทืบเท้าเดินหนีไป ทำให้บรรดาเพื่อนฝูงหัวเราะกันคิกคัก ตามมาด้วยคำหยอกเย้า ว่าเขาช่างเนื้อหอม ทรงเสน่ห์เหลือหลาย

ฮุนนั่งลง กินข้าวต่ออย่างหิวโหย ไม่ตอบโต้ใคร

แต่แล้วก็เกิดความเคลื่อนไหวของผู้แปลกปลอมกลุ่มหนึ่ง ที่ก้าวเข้ามายืนล้อมด้วยท่าทีประสงค์ร้าย ทำให้เสียงหัวเราะเฮฮาค่อยๆ เงียบลง เมื่อแต่ละคนที่กินไปเฮฮาไป ทยอยเงยหน้าขึ้นมาเห็น

ชายร่างใหญ่ ลักษณะพร้อมปะทะที่สุด เดินเข้ามา มองหาถุงแพรใส่ห่อใบชา แล้วเข้ามาคว้าไปหมับ

“เฮ้ย ทำอะไร”

ฮุนเอะอะ

พลัน หัวหน้าของทุกคน คือชายวัยเป็นบิดาฮุนได้ ร่างผอมเล็ก แต่มีบุคลิกทรงอำนาจ เปี่ยมอิทธิพล แต่งกายหรูหราอย่างเจ้าสัว ก้าวเข้ามาในวงแสงโคมแขวน

“อาฮุน อั๊วะบอกแล้ว ว่าอย่ายุ่งกะแม่ดอกโบตัน”

ฮุนดื่มน้ำชา เช็ดปาก และลุกขึ้นยืน ไม่มองชายนั้น หากหันไปจ้องหน้าชายร่างใหญ่ที่ถุงแพรอยู่

“อาเฮีย ขอใบชาคืนเถอะ ใบชาของอากงอั๊วะ”

“แต่แม่โบตันเป็นของอั๊วะ จำไว้!”

ท่านเจ้าสัวส่งสายตาให้สัญญาณสมุนเอก

ทันใด มันเขวี้ยงถุงแพรนั้นใส่หน้าฮุนเต็มแรง

“เอาของลื้อคืนไป”

ในถุงแพรนั้น มีภาชนะกระเบื้องเล็กๆ อาจจะเป็นถ้วย หรือถ้ำใส่ชาอะไรไม่แจ้ง กระทบโดนหน้าผากฮุนเต็มแรง เสียงดังโป๊ก แล้วกระเด็นไปกลิ้งอยู่บนพื้นดิน

ฮุนไม่ทันตั้งตัว จึงยืนนิ่ง อึ้ง กะพริบตาปริบๆ

เพื่อนๆ ฮุนหยุดกินกันแล้วตอนนี้ แต่ต่างลุกพรวดขึ้นมา

“อย่า…ทุกคนไม่เกี่ยว”

ฮุนหันมาปราม เดินไปก้มลงหยิบถุงแพรที่พื้นด้วยมือซ้าย ไอ้สมุนเอกได้ช่อง เข้ามากระโดด

ถีบฮุนล้มคว่ำหัวทิ่มลงไป

เท่านั้น บรรดาสหายของฮุนก็ไม่รีรอที่จะพุ่งเข้าใส่ไอ้คนลอบกัด

คนของเจ้าสัวทั้งหมดลุยเข้ามา หนึ่งในพวกมันชักมีดพกปลายแหลมออกมา

ฮุนลุกขึ้นมาได้ เก็บมือซ้ายที่ถือห่อชาไว้ข้างหลัง ใช้มือขวาคว้าม้านั่งเก้าอี้ไม้ตัวเตี้ยมาเป็นอาวุธ

การต่อสู้ระหว่างมีดกับเก้าอี้ม้านั่งตัวเตี้ยชวนอกสั่นขวัญหายยิ่ง

ครั้งหนึ่ง ปลายมีดของมันเฉี่ยวหลังมือที่ถือเก้าอี้ ถึงเลือดสาด

อาหงกรีดร้อง คว้าได้กาน้ำชาที่ร้อนเดือดได้ ก็โดดเข้าสาดใส่ไอ้มือมีดจนหมดกา

มันร้องว้ากอย่างเจ็บปวด โดนน้ำร้อนๆ ลวกไปครึ่งร่าง ถึงกับขวัญเสีย

บิดาหง คนขายข้าวต้มไม่รอช้า ได้ที คว้าทัพพีไล่ตีสมทบกับลูกสาว

ตัวเจ้าสัวเองเห็นลูกน้องเพลี่ยงพล้ำ ตัวเองรีบถอยพลาง ดูพลาง แต่โบกมือให้คนของตนอีกจำนวน ให้เข้าไปช่วยพรรคพวก

ขณะนั้นเองกลุ่มอาๆ ลุงๆ รุ่นใหญ่หลายคนจากอู่ต่อเรือสำเภา ที่ตั้งใจมากินข้าวต้มกับเจ้าฮุนน้อย เดินมาถึงพอดี เห็นฮุนกำลังถูกนักเลงรุม เหล่าอาๆ ลุงๆ อุทานกันเอะอะ กรูกันเข้ามาอย่างดุดัน

“ไอ้พวกหมาหมู่”

“พวกลื้อเป็นใครกัน บังอาจทำหลานกู”

“มึงตาย!”

อาลุงบางท่าน มีเครื่องมือทำงานติดตัวถือกลับบ้าน เช่น กรรไกร มีด จนถึงเหล็กแหลมเจาะรูผ้าใบ เมื่อเอาออกมากวัดแกว่ง ก็กลับข่มให้นักเลงรุ่นหลังขวัญหนีดีฝ่อได้

เจ้าสัวกับสมุนกลายเป็นน้ำน้อย ย่อมแพ้ไฟ จึงพากันสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว

 

ดึกแล้ว ลมสงัด อู่ต่อเรือมืดสลัว เห็นสำเภาสองสามลำจอดนิ่ง

วัดที่สร้างจวนเสร็จ ส่วนที่เป็นสีทอง สะท้อนแสงสลัววับๆแวบๆ ในความมืด

ส่วนที่ศาลเจ้า แสงเทียนสีแดงบางดวงที่จุดทิ้งไว้บูชา ส่องสลัวหน้ารูปเทพเจ้าทำให้เกิดเงาตะคุ่ม

ในส่วนที่พักหลังน้อย ที่ถัดเข้าไปด้านในนั้น กลับสว่างไสวด้วยตะเกียงดวงใหญ่หลายแรงเทียน

ฮุนวางกาน้ำชาในนวมหุ้มกาเก่าๆ ลงบนโต๊ะ รินชาให้กงด้วยมือซ้าย ซ่อนมือขวาไว้ในด้านที่มีเงามืดอำพราง

“หอมจริง ชาอะไรนี่”

“ค่อยๆ หนากง ชามันยังร้อนนัก อาเหมยฮั้ว…ฝากมาให้กง”

กงที่ชราลงจนเห็นได้ กิริยาอาการก็เชื่องช้าลงไปมาก จิบชา มองฮุนครุ่นคิด แล้วฉับพลัน ฉวยคว้ามือขวาของฮุนรวดเร็ว ดึงมาดูกลางแสงสว่าง

แผลมีดข่วน ชัดเจนบนหลังมือขวาของหลานรัก

“ลื้อไปโดนอะไรมา”

ดวงตานั้นแววไว ฉายความหวั่นระแวงออกมาชัดเจน

ฮุนหัวเราะขบขัน ดึงมือกลับมาท่าทางสบายๆ

“เมื่อเย็นเอาตู้พระธรรมไปส่งให้วัดมา ตอนยกขึ้นหอไตร ไปโดนอะไรบาดเข้าก็ไม่รู้”

“แล้วใส่ยารึยัง”

นี่ไม่ใช่คำถาม แต่เป็นคำสั่ง

“ยัง…ไม่เป็นไรดอกกง”

“นั่งลง!”

“เล็กน้อยน่ะกง”

“อั๊วะบอกให้นั่งลง” ชายชราดุ

ฮุนนั่งลง กงเทชาร้อนๆ นั้นลงบนผ้าเช็ดหน้าที่พกติดตัวเสมอ แล้วใช้ผ้านั้นเช็ดแผลให้ จากนั้น จึงหันไปเปิดล่วมยาประจำตัว หยิบขวดน้ำมันสีเหลืองไพลออกมา เทน้ำมันลงในฝ่ามือตน แล้วใช้ปลายนิ้วชี้กับนิ้วกลาง จุ่มน้ำมันมาทาแผลที่เป็นแนวยาวหลังมือแข็งแรง

ฮุนมองดูมือข้างขวาของตน ที่กงกำลังทายาให้

มือข้างขวา ที่เคยเจ็บหนัก เมื่อนานมาแล้ว

เมื่อหกปีก่อน ที่วัดทองสุวรรณาราม

 

มือข้างเดียวกันนี้ ที่กระดูกเคยแตกยับ ถูกประคับประคองอยู่ในมืออันใหญ่โตแข็งแรงทว่าอ่อนโยนเปี่ยมเมตตากรุณาอย่างเหลือแสนของภิกษุสองรูป

หลวงพ่อที่เป็นช่างเขียนอาวุโสผู้วาดภาพมหาเวสสันดรชาดก กับพระหนุ่มบุญลือ ช่วยกันนวดอย่างระมัดระวัง ด้วยน้ำมันเลียงผาชุ่มโชก

เมื่อหลวงพ่อจับดึง ยืด หัก บิด กด กระทุ้ง ปรับ ส่วนที่งอหงิก ฮุนก็ร้องโอดโอยไม่หยุดด้วยความเจ็บปวด

‘อดทนๆ เจ้าตี๋ กระดูกนิ้วข้อเล็กๆ มันหัก แต่น้ำมันนี้จะช่วยประสานกระดูกแลกล้ามเนื้อได้’

หลวงพ่อมองเขาด้วยแววตาสมเพชเวทนายิ่ง

‘โอย…เบาๆ ขอรับ เจ็บ…เจ็บมาก’

‘มันต้องเจ็บเช่นนี้แล หลวงพ่อท่านกำลังจัดกระดูกให้เจ้า’

หลวงพี่บุญลือบอกเสียงเข้มแข็ง

เด็กหนุ่มผมเปียฮุน ร้องไห้น้ำตาไหลพราก

‘ฮือๆๆ โอ๊ยๆๆ’

ศิษย์พี่คนที่สักขาจนลายพร้อย ชักมีดพกออกมา ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

‘แบบนี้ต้องไม่เอามันไว้ มันต้องตาต่อตา ฟันต่อฟัน’

‘ช่างเขียนอะไร จิตใจโหดเหี้ยมทารุณ’

ศิษย์พี่คนหนวดเคราครึ้ม ดูน่ากลัว น้ำตาเต็มตา คำรามด้วยความเจ็บแค้นต่อเนตร ศิษย์ครูทองอยู่

ขณะนั้น ทุกคนอยู่กันตรงหน้าพระประธาน ใกล้ตรงที่กั้นม้านผ้าระหว่างภาพมโหสถ กับภาพ

เนมิราชที่ยังค้างคา

ฮุนนั่งกุมมือ น้ำตาไหลอยู่ท่ามกลางพี่ๆ ช่างเขียนที่นั่งกันอยู่ล้อมรอบ ทั้งสำนักคงแป๊ะ และสำนักบุญมาก แห่งนนทบุรี

ศิษย์คงแป๊ะแต่ละคน หน้าตากระเหี้ยนกระหือรือนัก

‘ตามไปลากคอมันถึงบ้านเลย บ้านมันอยู่ไหนวะ’

‘ผู้ใหญ่รังแกเด็ก มึงอย่าอยู่เลย’

ทั้งสองลุกพรวด

พลัน เสียงนุ่มๆ เรียบๆ ของครูดังมาจากหลังองค์พระศาสดา แต่เป็นคำที่ใช้กับวัวควายมิใช่คน

‘ยอๆๆๆ’

ทุกคนในที่นั้นหันไป

คงแป๊ะกับครูพุด เดินเข้ามาจากประตูทางด้านหลังองค์พระ

‘พวกลื้ออยู่เฉยๆ ถ้ายังมีโทสะพลุ่งพล่าน ก็จงอยู่นิ่งๆ’

พี่หนวดกับพี่สักขาชะงัก

‘อย่าทำสิ่งใด หากความโกรธยังบดบังดวงตาอยู่’

คงแป๊ะเอ่ยเยือกเย็น

‘เวลาที่เลือดเข้าตา ยามนั้น เมื่อลงมือไปแล้ว ต้องเสียใจภายหลังเป็นหนักหนา ขอให้สำนึกเสมอว่า ช่างเขียนไม่ใช่นักเลง คนจิตใจดุดัน มิอาจทำงานสวยงามละเอียดอ่อนได้ดอก’

‘แล้วไอ้เนตรเล่า จิตใจมันคือช่างเขียน หรือเพชฌฆาต’

ครูพุดก็เจ็บแค้นไม่แพ้เหล่าหนุ่มๆ

‘อาตมาจะตามเอาเรื่องให้เอง เขาเป็นพี่ชายต่างบิดาของอาตมา’

หลวงพี่บุญลือสรุป มองหน้าทุกคน อย่างถือเป็นภาระรับผิดชอบ

ทางประตูหน้าโบสถ์ ครูทองอยู่เดินเข้ามา มีศิษย์หลายคนตามติด แต่ไร้เงาของเนตร

ครูบุญมากเอ่ยขึ้นเทียมฟ้อง ต้องการให้เข้าหูครูทองอยู่

‘สงสารแต่เจ้าฮุน ว่ามันจะเขียนรูปได้อีกหรือไม่’

‘อ้ายเนตรมันจงใจทำร้ายรังแกเจ้าฮุน มันจงเกลียดจงชังเจ้าฮุนมาแต่แรก’

ครูพุดผสมโรง

ครูทองอยู่เดินเข้ามา ด้วยอาการสลดเสียใจไม่น้อย

‘ทุกคนขอรับ กระผมต้องขออภัยอย่างยิ่ง อยากเรียนให้ทราบ ว่ากระผมมิได้นิ่งนอนใจแม้แต่น้อย’

คงแป๊ะและฮุน มองหน้าท่านอย่างต้องการจะหยั่งให้ถึงความรู้สึกที่แท้

ครูบุญมากประคองฮุนลุกขึ้น จับมือที่ช้ำระบมหงิกงอของฮุนยื่นไปให้ครูทองอยู่ดูใกล้ๆ

‘คุณหลวงดูเอาเอง ศิษย์ของคุณหลวงเสนีย์ต้องกลายเป็นเช่นนี้ไป เพราะศิษย์ของคุณหลวง’

ทองอยู่มองมือฮุนอย่างสยดสยอง แล้วหันมาเผชิญหน้ากับคงแป๊ะโดยตรง

‘ในเมื่อศิษย์คงแป๊ะคนหนึ่งไม่อาจเขียนภาพได้อีก กระผมก็จะให้เจ้าเนตร ไปให้พ้นจากคณะศิษย์ของกระผม มันจะไม่ได้เขียนภาพอีกเช่นกัน’

เงียบกริบไปกันไปทั้งโบสถ์

คงแป๊ะและครูบุญมาก มองครูทองอยู่อย่างศรัทธาในคำพิพากษาของท่าน

ครูทองอยู่จ้องมองเจ้าเด็กผมเปีย เห็นใจในความอาภัพอับวาสนา

ฮุนจำได้ว่า ครานั้นเขาทำได้เพียงแต่กัดฟัน น้ำตาไหล เจ็บทั้งกาย เจ็บทั้งใจ

 

ฮุนถอนใจเบาบาง ยกมือทั้งสองของตัวเองขึ้นมาดู แม้เวลานี้บนหลังมือขวาได้แผลมีดเฉี่ยวเพิ่มขึ้นมาอีกรอย แต่เขาก็กระดิกนิ้วทั้งสิบของทั้งสองมือได้ดี

“สงสารคุณเนตรคนนั้นจริงๆ ไม่รู้ป่านนี้จะได้กลับมาเขียนรูปอีกหรือยัง วันนั้น…อั๊วะก็ไม่ทันบอก…

ว่า…ที่จริง…อั๊วะมิได้เขียนภาพด้วยมือขวา เขียนด้วยมือซ้ายต่างหาก”

เขารำพึงออกมาเหมือนพูดกับตัวเอง

กงไม่ได้รับรู้รายละเอียดเรื่องที่ฮุนถูกทำร้ายในครั้งนั้น เพราะเขาไม่ยอมให้รู้ ได้แต่พูดข้อเท็จจริงขึ้นมา

“ลื้อมันเกิดมาถนัดมือซ้าย แต่อั๊วะฝึกให้ลื้อใช้มือขวาได้ด้วย เป็นคนที่ใช้สองมือได้ดี ไม่ดีหรือไร”

ฮุนหัวเราะ

“ดีสิกง ต้องกราบกงเลย ถ้าไม่มีกง อั๊วะคงตายไปนานแล้ว”

กงมองหน้าหลานรักที่ไม่ใช่สายเลือด ทว่าเป็นญาติคนเดียวในโลกที่เหลืออยู่

“ลื้อไม่ตายง่ายๆ หรอกฮุน ลื้อเป็นเด็กที่เกิดบนเรือ ไม่ได้เกิดบนแผ่นดินใด ไม่ว่าจีน หรือสยาม ลื้อคลอดออกมากลางทะเล พ่อแม่เป็นไข้สั่นตายทั้งสองคน คนบนเรือตาย ลื้อเองก็เกือบตาย แต่ไม่ตาย ตัวเล็กเท่าจิ้งจก ไม่นึกเลย ว่าจะโตมา สูงใหญ่ราวกับยักษ์”

ฮุนรินชาให้กงและให้ตัวเอง รีบชวนกงเปลี่ยนเรื่องให้ไกลจากมือที่เป็นแผลใหม่มา

“อั๊วะชอบฟังอากงเล่าเรื่องพ่อแม่”

“แต่อั๊วะอยากพูดเรื่องลื้อกับอาเหมยฮั้ว อาฮุน อาเหมยฮั้วอีเป็นหญิงโคมเขียว มีเจ้าสัวอุปถัมภ์

หลายคน ลื้ออย่าไปพัวพันด้วยนักเลย มันอันตราย หาผู้หญิงจีนดีๆ อายุน้อยๆ แข็งแรงๆ จะได้มีลูกมากๆ ลื้ออายุยี่สิบสองแล้ว อั๊วะก็แก่มากแล้ว อั๊วะไม่อยากตายก่อนได้เห็นหลานๆ”

ฮุนเงียบ ไม่ตอบ

กงเข้าใจผิด ว่าฮุนไม่ชอบใจที่โดนเตือนเรื่องหญิงโคมเขียวคนนั้น

ท่านไม่รู้ ว่าเมื่อได้ยินเรื่องให้เขารีบหาเมียเสียที ทำให้เขาคิดไปถึงผู้หญิงอีกคน

 

 



Don`t copy text!