บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 15 : สาวงาม

โดย : ปราณประมูล

Loading

บุษบาลุยไฟ โดย ปราณประมูล เรื่องราวของ ลำจวน หญิงสาวผู้ต่อสู้กับค่านิยมทางสังคมในยุค ร.3 เธอลุกขึ้นทำสิ่งที่คนในห่วงเวลานั้นไม่ทำกัน หนทางจึงไม่ได้ราบรื่น หากเต็มไปด้วยอุปสรรคและถ้าไม่ใช่เพราะแรงรักแรงใจที่หนุ่มจีนคนนั้น คงยากที่บุษบาดอกนี้จะไปสู่จุดหมาย ‘บุษบาลุยไฟ’ นวนิยายเรื่องเยี่ยมที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์

“คุณเอื้อยนุ่งสีบานเย็นแล้วเข้ากับผิวออกค่ะ”

แม่ค้าสาวออกเสียงสนับสนุนเจื้อยแจ้ว

“จริงหรือ แม่ลำจวน ไม่ดูดำคล้ำไปหรือ”

สาวใหญ่หน้าสวยหวานปานน้ำตาลอ้อย เมียรองของท่านเจ้าคุณนครบาล ทาบผ้าไหมสีสดสวยเข้ากับตัว หมุนไปมาหน้ากระจกที่ติดมากับฝาหีบผ้าไหม

แม่จำปานั่งคุกเข่า รื้อผ้าสีนั้นสีนี้ออกจากหีบ มาเรียงรายให้ลูกค้าหลายนางชม ในแพใหญ่ที่เด่นเป็นสง่าอยู่ในคลองบางยี่ขัน

นางทัดก้าวออกมาจากห้องด้านหลังแพ หยุดชะงัก เขม้นมอง

ลำจวนที่ขมีขมันนำผ้าไหมมานำเสนอแก่สตรีทั้งหลายรายล้อม กำลังแตกเนื้อสาวแย้มกลีบสดใหม่ สีสันจากวัยสาวเปล่งปลั่งผุดผาดผลิบาน แพรวพราวพรรณรายยิ่งกว่าสีสดสวยของอาภรณ์ไหมแพรอันงามระยับ ดวงตาดุจไฟอันรุ่มร้อนเริงแรง ดวงหน้าอันเปี่ยมชีวิตชีวา เป็นสีเลือดฝาดซับจับตา จนสตรีทั้งฝูงหม่นจืดจางลง เหลือเป็นเพียงไม้ใบประดับรอบๆ บุปผางามดอกใหม่ ที่ทั้งหอมทั้งสวยโดดเด่น

“ไม่ดอกค่ะ ดูคมขำออกค่ะ คุณเอื้อยเจ้าขา”

คุณหญิงภรรยาเอกผู้เป็นถึงเมียพระราชทาน ดูอับแสงที่สุดในสายตานางทัด นั่งสงบในมุมสลัว เลือกผ้าสีกะปิตุ่นตุ่ย เลือกแล้วเลือกอีก อยู่กับแม่นวล พี่สาวร่วมบิดาของแม่ค้าเอง บัดนี้ แม่นวลมีลูกสาวตัวเล็ก กำลังอ้อน นั่งอยู่ในอ้อมตัก

“แม่นวล บอกแม่เลี้ยงแม่นวลให้ลดราคาหน่อยสิ” เธอหมายถึงแม่จำปา

“ลดให้ฉันคนเดียวนะ คนอื่นไม่ต้องลด ของแม่เอื้อยให้คิดแพงกว่าใคร เพราะเขาเป็นตัวโปรด”

คุณหญิงลดเสียงลง

“ได้เจ้าค่ะ คุณหญิง” นวลรับปาก

ลำจวนจัดเรียงจับคู่สีผ้า ให้พวกสาวๆ วงมโหรีของท่านเจ้าบ้าน โดยเอาทาบกับตัวเองให้คุณเธอเหล่านั้นชม

“ของคุณร้อย…ต้องนุ่งสีไพล คู่กับห่มสีปูนแห้งนะคะ ดูแล้วงามอ่อนหวานเป็นที่สุดค่ะ”

ยิ้มของแม่ค้าสาว หวานกว่าเสียงฉอเลาะเข้าไปอีก

นางทัดย่องเข้ามานั่งข้างแม่นวล ทำทีเอ็นดู ลูบหัวของลูกสาวตัวน้อยเป็นการประจบประแจง เอ่ยเปรยๆ ขณะมองที่ลำจวน

“น้องสาวแม่นวลนี่ยิ่งดูยิ่งงามนะ งามกว่าแม่พวกวงมโหรีพวกนี้ทั้งวงอีก”

นวลมองนางทัด ขัดคอทันควัน

“โอ๊ย ไม่ดอก ลำจวนยังเด็ก”

“ไม่เด็กนะ มีระดูแล้ว ใช้ได้แล้ว”

นางทัดกระซิบเสียงต่ำพร่า

นวลสะดุ้ง มองหน้านางทัดตาปริบๆ

นางทัดเปลี่ยนเป็นเขยิบเข้าไปข้างคุณหญิง

“คุณหญิงคะ…ดูแม่ลำจวน น้องสาวแม่นวลสิเจ้าคะ”

คุณหญิงมองไปตามนางทัดบอก ดูลำจวนที่กำลังเอาผ้าผืนใหม่มาพันรอบตัวภรรยารองของท่านเจ้าคุณ

“หรือคุณเอื้อยไม่ชอบสีบานเย็น ลองสีน้ำหมากดูไหมคะ ดูสิคะ ห่มแล้วผ่องทีเดียวเชียว”

ลำจวนดึงตัวภรรยารองของเจ้าคุณอินทรามาให้ส่องกระจกใหม่

แม่เอื้อยมองดูเงาตน เอียงซ้ายขวาไปมา ตัดสินใจ

ส่วนทัด กระซิบคุณหญิง เน้นเสียงบอกความนัยยุยง

“ลำจวน…งามกว่าคุณเอื้อยตั้งหลายขุม”

คุณหญิงมองนิ่ง ยิ้มกระหยิ่มออกมา แม่เอื้อยนั้นขึ้นหม้อนัก เพราะขยันหานางนักร้องนักดนตรีหน้าใหม่ๆ มาเข้าวงมโหรีหญิงเพื่อบำรุงบำเรอท่านเจ้าคุณ ทำให้ท่านไปนอนที่เรือนปีกของเธอเสมอๆ แม้แม่นวล คนในเรือนปีกของคุณหญิงจะให้ลูกชาย ก็ยังไม่ดึงดูดสามีมาหาได้เลย…

หลังปิดการขายเรียบร้อย ลำจวนก็มาช่วยนวลเลี้ยงหลานชายที่ร้องไห้งอแง ปล่อยให้นวลชื่นชม ชอบใจผ้าไหมสองสามชิ้นที่เลือกได้

“โอ๋ๆๆ หลานน้า ไม่ร้องนะ ไม่ร้องๆๆ”

“ง่วงนอนละสิ มาๆๆ ลูกแม่ ไปนอนเค้งกันนะลูก…มา ลำจวนไปห้องพี่ด้วยกัน จะได้เอาสตางค์ค่าผ้าไปเลย แลพี่จะฝากของไปให้แม่พี่ด้วย”

“จ้ะ พี่นวล”

นวลพาลำจวนเดินไปด้านหลังแพ ขึ้นฝั่ง เพื่อจะไปยังเรือนใหญ่ด้านใน

นางทัดกระหืดกระหอบตามมาทันพอดี รีบเข้าประกบติด

“แม่นวล…พาน้องสาวไปกราบท่านเจ้าคุณก่อนซี มา อิฉันอุ้มลูกให้”

“ท่านเจ้าคุณมีกิจธุระอยู่มิใช่รือ”

“นั่นแหล ขึ้นเรือนท่าน ไปไม่ลามาไม่ไหว้ ท่านทราบทีหลัง บ่นให้ อิฉันไม่ช่วยหนา”

นางทัดรีบชิงลูกนวลไปอุ้ม

นวลไม่เต็มใจนัก จำใจหันมาพยักให้ลำจวน

“มา…ลำจวน ทางนี้”

นวลพาลำจวนเลี้ยวไป

ท่านเจ้าคุณอยู่ในห้องทำงาน เลือกหนังสือสมุดไทยที่มีมากมายจากในหีบใหญ่ เอามาให้

เสมียนหนุ่ม ที่นั่งพับเพียบเรียบร้อยรอคำสั่งอยู่ที่โต๊ะเท้าสิงห์

“เจ้าคัดสองเล่มนี้ก่อนเถิด เพราะจะได้รีบเอาไปคืนหลวงพ่อท่าน ยืมมาเป็นนาน ยังไม่ได้อ่านเสียที เจอทีไร ท่านก็ทวงถามเรื่อย”

นวลย่องเข้ามานั่งคุกเข่าหน้าประตู เสมียนหนุ่มหันไปมอง เมื่อเจ้าคุณหันไปเห็นก็ทำหน้ารำคาญ ท่านไม่ชอบใจให้พวกเมียมารบกวน ในเวลาพักผ่อนกับงานอดิเรกส่วนตัว

“อะไรกัน แม่นวล”

“ลำจวนจะมากราบท่านเจ้าค่ะ”

เจ้าคุณขมวดคิ้ว

“กราบทำไม…”

ทว่าเมื่อเจ้าคุณมองไป เห็นลำจวนที่คลานตามเข้ามากราบลง ด้วยไม่อาจขัดคำคะยั้นคะยอของนางทัด ท่านก็ถึงกับชะงัก อึ้ง อารมณ์หงุดหงิดจางคลายไปฉับพลันทันที

ลำจวนสวยสะดุดตาเหลือเกิน ลำคอ หลัง ไหล่ ที่ก้มกราบ ในเครื่องนุ่งห่มลำลอง คือผ้าแถบกับผ้าคลุมบ่าผืนบาง มองเห็นเนินหน้าอก ช่วงแขนเรียว มืองามอิ่ม นิ้วกลมกลึงพนมชิดดุจดอกบัวตูม เห็นเล็บสะอาดสีชมพูใสด้วยสีเลือดเนื้อสาวสด

เสมียนหนุ่มยังถึงแก่ตะลึงพรึงเพริด

“ไป…ไปได้แล้ว”

นวลสะกิดน้องให้รีบถอย เมื่อเห็นสายตาบุรุษทั้งสอง

ลำจวนก้มหน้าก้มตาคลานถอย หาได้เงยขึ้นมองผู้ใดเลย

“แม่ลำจวนน้องสาวแม่นวลเองหรือนี่…จะรีบไปไหน”

น้ำเสียงของท่านเจ้าคุณเปลี่ยนไปสิ้นเชิง เป็นเสียงแจ่มใสเบิกบานขึ้นมา จนนางทัดที่อุ้มเด็กแอบฟังอยู่ได้ยิน อดไม่ได้ที่จะยิ้มสมใจ

“ไม่ได้เห็นนาน โตขึ้นเป็นกอง…นี่ถ้าไปพบที่อื่น คงจำไม่ได้ดอก”

ลำจวนที่เงยขึ้นมาเจอเข้ากับหนังสือสมุดไทยวางบนโต๊ะตรงหน้าหลายเล่ม เมื่อมองเลยไปเห็นในหีบที่เปิดอ้าไว้ มีหนังสือสมุดไทยเต็มหีบ หญิงสาวก็ถึงแก่ชะงัก ตาโตลุกวาว

ครั้นมองต่อไปรอบๆ ห้อง เห็นว่าหีบ 2 ใบขนาดใหญ่ที่เปิดอยู่ บรรจุล้วนแล้วไปด้วยสมุดไทย นอกจากนั้น ยังมีหีบหนังสืออีกหลายหีบ วางรายเต็มห้อง

ลำจวนก็พลันมีสีหน้าราวกับเด็กเวลาเห็นของเล่นโปรดจำนวนมากหลากสิ่งไม่มีผิด

เสมียนหนุ่มที่กำลังพลิกดูสมุดที่เจ้าคุณวางลงเมื่อครู่ ถึงกับหยุดมือคล้ายหมดแรง ตามองลำจวนไม่กะพริบ ขยับตัวตรง วางท่าสง่า อกผายไหล่ผึ่ง เปลี่ยนแปลงกิริยาท่าทีไปอย่างที่ตัวเองก็ไม่รู้สึกตัว

ลำจวนมองสมุดบนโต๊ะข้างหน้าตาเป๋ง หาได้ใส่ใจกับชายหนุ่มผู้นั้นไม่

“อ่านหนังสืออยู่รือเจ้าคะ”

เสมียนหนุ่มยิ้มออกมาอย่างเคลิบเคลิ้ม ตอบออกไปด้วยเสียงทุ้มต่ำ

“กระผมมาคัดลอกให้ท่านขอรับ”

เมื่อท่านเจ้าคุณเห็นว่าลำจวนสนใจจดจ่อกับสิ่งอันใด ท่านก็รู้สึกฉงนจนบอกไม่ถูก

“แม่ลำจวน…อ่านหนังสือได้รือ อยากยืมไปอ่านบ้างไหมล่ะ”

เสมียนหนุ่มรีบเสนอ

“นี่มีทวาทศมาส และตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ขอรับ”

เขายิ้มหยาดเยิ้ม

ลำจวนหันมา พอเห็นว่าตนอยู่ไม่ห่างมากนักจากชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ ก็ก้มหน้าลง และค่อยๆ ถอยออกมา

“ไม่เป็นไรมิได้เจ้าค่ะ”

“ไป”

นวลสำทับอีกครา ลำจวนจึงได้โอกาส รีบลุก แล้วเร่งฝีเท้าตามพี่สาวไปทันที

เจ้าคุณไม่ทันทักท้วง ได้แต่มองตามไปอย่างเสียดาย

นางทัดที่อุ้มเด็กแอบสังเกตการณ์อยู่ แย้มหน้ามา

เจ้าคุณสบตานางทัด พลัน ต่างส่งสัญญาณที่มีนัยแก่กันโดยไม่จำเป็นต้องกล่าวอันใด

นางทัดยิ้ม รีบก้าวตามสองสาวไป ทันได้ยินลำจวนกระซิบถามนวลอย่างสุดจะทึ่ง

“ในหีบพวกนั้น มีแต่หนังสือทั้งนั้นรือ”

“แน่ละซี ปลวกจะกินตาย ท่านเจ้าคุณน่าจะสร้างหอไตรกลางน้ำเสียให้สิ้นเรื่อง เก็บสมุดไว้เต็มบ้าน มีมากกว่าตามวัดวาหลายวัดเทียว”

นวลทำเสียงหน่ายๆ แต่ก็แฝงอาการอวดโอ่

“ดีจริง หากฉันเป็นพี่นวล ฉันจะหัดอ่านหนังสือให้ได้ แลจะแอบขโมยมาอ่านทั้งวัน”

ผู้เป็นน้องสาวเผยความในใจไม่ปิดบัง หารู้ไม่ว่านางทัดได้ยิน ถึงกับผุดแผนการขึ้นมาทันที

ส่วนในห้องนั้น เจ้าคุณหันกลับมา เห็นเสมียนหนุ่มกำลังชะเง้อคอยืดคอยาวราวจะลอยตามหญิงสาวไป ก็ขมวดคิ้วฉับ

ส่วนเจ้าเสมียน ครั้นหันมากลับมา เห็นท่านเจ้าคุณถลึงตาขุ่นเขียวมาให้ก็ถึงแก่สะดุ้ง คอย่นหดหู่ไปในทันที

 

ค่ำนั้น ลำจวนที่มีอัฐเต็มถุง ห่มผ้าคลุมหัวกันหนาวกับนางทิมบ่าวรัก พากันย่องกริบ ผ่านพวกผู้ใหญ่ที่กำลังนั่งล้อมวงกินข้าวกัน พลางคุยปรึกษาเรื่องการงานใหม่ ที่บิดากำลังเตรียมการ

“ละครที่บ่อน ก็สมควรจะซ้อมเป็นตอนสั้นๆ ฉูดฉาดสักหน่อย”

ลุงแดง นางเอกประจำคณะนายสุ่นออกความเห็น

“นั่นสิ พวกคนดูเขาตั้งใจมาหาความสำราญจากการเล่นถั่วโปมากกว่า”

ลุงมั่นคนฉิ่งเสริม

“ถ้าเช่นนั้น น่าจะเป็นเรื่องที่เอะอะมะเทิ่ง ทะลึ่งตึงตังเข้าไว้ คนเดินผ่านไปผ่านมาจะได้สะดุ้ง ตกใจ แลหยุดดู”

นายสุ่น บิดาของเธอเสนอ

ลำจวนไม่วายเงี่ยฟัง แล้วหันมากระซิบความคิดกับนางทิม

“เช่นนี้ก็ต้องเป็นเรื่องสังข์ทอง ตอนหกเขยสินะ”

นางทิมทำหน้าระอา

“จุ๊ๆ เร็วๆ เข้าค่ะ บัดเดี๋ยวไม่ทันชมเขาเล่นดอกไม้กล พะเนียง ตะไลกันดอก”

นางรีบจูงนายสาว ให้วิ่งลงบันไดเรือนไปในความมืด

 

เมื่อมาถึงท่าน้ำวัดประยุรวงศาวาส ที่ผู้คนเรียกว่าวัดรั้วเหล็ก ลำจวนก็พบว่าผู้คนพากันมาเที่ยวงานฉลองวัดกันแน่นขนัดแล้ว

ตลอดบริเวณด้านหน้าจากท่าน้ำ ประดับตะเกียงโคมไฟหลากสีสวยงาม แสงสว่างไสวเรืองรองละลานตา

นางทิมจูงลำจวน มีพวกทาสที่เรือนหลายคน เดินตามกันเป็นขบวนแทรกผู้คนมา

“วัดรั้วเหล็ก ไม่เหมือนวัดใดที่ใครเคยเห็น เพราะเป็นรั้วที่ฝรั่งหันแตรจะมาหลอกขายในวัง

ในหลวงท่านไม่โปรด เจ้าคุณดิศเลยขอซื้อมาทำรั้ววัดประยุรฯ ของท่านแทน ท่านเจ้าคุณดิศท่านเอาน้ำตาลทรายแลกมา…เหล็กหนักเท่าใด เอาน้ำตาลทรายไปเท่านั้น”

เมื่อเดินผ่านรั้วเหล็กทาสีแดง นางทิมก็ขยายเรื่องซุบซิบนินทาอันเป็นสิ่งโปรด

“ไฮ้ ทิมขี้โม้เกินไปแล้ว”

“เชื่อทิมเถิด เห็นไหมคะ ว่ารั้วนี้เป็นรูปหอกรูปดาบ ในหลวงไม่โปรด แล้วใครจะมีอัฐไปซื้อของหันแตรได้ล่ะ ถ้าไม่มีกลเม็ดเช่นเจ้าคุณท่าน”

นางทิมชี้รอบๆ

“หันแตรมันซื้อมาเต็มลำเรือ ขายใครไม่ได้ ก็ต้องยอมเจ้าคุณนั่นแหล”

นางหัวเราะหัวใคร่ชอบอกชอบใจ

“ที่ดินตรงนี้แต่ก่อนเป็นอะไร คุณหนูทราบไหม”

“ก็เป็นสวนข้าวแฝ่ของท่านเจ้าคุณน่ะสิ ก๊กท่านปลูกข้าวแฝ่ออกมาก ยกที่สวนข้าวแฝ่สร้างวัดกัน”

ลำจวนก็ใช่จะไม่มีความรู้รอบตัว

“ในวังหลวง ในหลวงท่านก็ปลูกข้าวแฝ่มาก เอาไว้ขายพวกฝาหรั่ง”

นางทิมโอ่ แสดงความภูมิเรื่องเจ้าเรื่องนาย

มีเสียงเพลงดังจากหลายเวทีประชัน เสียงเล่นเพลงปรบไก่ ดังมาจากด้านนึง เสียงจากเวทีงิ้ว ดังมาจากอีกทาง

ที่วงเพลงเสภาปรบไก่ ผู้คนที่รุมดูฮาครืนๆ ด้วยความตลกขบขัน

ที่เวทีงิ้ว กำลังเล่นตอนรบ เสียงดังว้าก ตามด้วยกลอง และฉาบ ตุ้งแช่ๆๆ

นางทิมเดินไปทาง ลำจวนเดินไปทาง ทำเอาขบวนทาสลังเล ไม่รู้จะตามใคร

นางทิมหันมา เห็นหลังลำจวนเดินลิ่วๆ วิ่งตามไปจนทัน รีบยุดแขนเล็กๆ นั้นไว้

“คุณหนู จะไปไหน”

“ไปดูเสภาสิ” ลำจวนมุ่งมั่น

“ไม่เอา เสภางานวัดทะลึ่งตึงตังหยาบโลนนัก คุณหนูไม่ควรดู”

นางทิมขัดคอ

“อ้าว แล้วทิมจะดูอะไร”

“ดูงิ้วเถิดค่ะ อิฉันชอบดูชุดงิ้ว”

เสียงพิณพาทย์ลิเก ดังรัวๆ มาจากอีกทาง

ทาสชายคนสนิทได้โอกาส เสนอแนะขึ้นบ้าง

“ลิเกก็มีนะขอรับ ทางโน้น”

“จริงด้วย ลิเกก็สนุกดี มีเรื่องแปลกๆ ต่างจากละครของพ่อ”

ทิม ลำจวน และเหล่าทาส เริ่มแตกแถวกันวุ่นวาย หาได้ลงรอยกันไม่

 



Don`t copy text!