บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 18 : รูปโฉมโนมพรรณหาผิดไม่

โดย : ปราณประมูล

Loading

บุษบาลุยไฟ โดย ปราณประมูล เรื่องราวของ ลำจวน หญิงสาวผู้ต่อสู้กับค่านิยมทางสังคมในยุค ร.3 เธอลุกขึ้นทำสิ่งที่คนในห่วงเวลานั้นไม่ทำกัน หนทางจึงไม่ได้ราบรื่น หากเต็มไปด้วยอุปสรรคและถ้าไม่ใช่เพราะแรงรักแรงใจที่หนุ่มจีนคนนั้น คงยากที่บุษบาดอกนี้จะไปสู่จุดหมาย ‘บุษบาลุยไฟ’ นวนิยายเรื่องเยี่ยมที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์

สินค้าผ้าแพรพรรณจากเมืองแขกเป็นม้วนๆ เป็นพับๆ เรียงรายวางซ้อนๆ เป็นผืนๆ แขวนห้อย สีสัน มหัศจรรย์วิจิตรเต็มแพขายผ้าในคลองบางกอกใหญ่ของนางมุนา หญิงชาวอิสลาม เชื้อสายเปอร์เซีย ที่สืบสกุลกันมาในสยามแต่ครั้งกรุงเก่า

มุนาเป็นเพื่อนร่วมอาชีพขายผ้าของนางจำปา มีลูกสาวคนสวยชื่อฟาติมเป็นเพื่อนกับลำจวน

“นี่ผ้าจากสุรัต ส่วนพวกนี้จากคุชราท เพิ่งลงจากเรือกำปั่นมา”

ฟาติมอวดผ้าพิมพ์ลายทองระยิบระยับ รู้ว่าลำจวนต้องสนใจ เพราะเป็นลูกสาวนายโรงละคร ที่มักเสาะหาผ้าแปลกๆ สำหรับเอาไปทำชุดเครื่องแต่งตัวละครของบิดา

ส่วนนางจำปา ก็มีนางทิมช่วยคลี่ผ้าไหมอิสานจากในหีบให้มุนาดู

มุนาเลือกผ้าไหมหลายผืนที่ใช้เส้นยืนกับเส้นพุ่งเป็นคู่สีตรงข้าม ที่เล่นแสงเหลือบแวววับจับตา

“เอาหมดนี้แล ผ้าไหมของจำปา ลูกค้าชอบ ขายดิบขายดี ได้มาเท่าใดก็ขายหมด พวกสีเหลือบๆเหล่านี้สาวๆ ชอบมาก”

“ขอบใจเธอ ช่วยอุดหนุนฉันเสมอๆ คราวนี้ฉันแถมให้ ผืนนี้สีปีกแมลงทับ”

จำปาวางผ้าไหมสีเขียวแพรวพราวลงมาบนกองผ้าทั้งหมดนั้น

“สีราวกับทอมาจากแมลงทับจริงๆ เสียด้วย”

มุนาเชยชม

ลำจวนถือผ้าผืนที่ชอบมาให้แม่ดู

“แม่จ๋า ผ้าลายแขกเหล่านี้ชวนตื่นตาจริง อยู่ในแสงไฟบนเวทีละคร คงโดดเด่นงามนัก”

“ลวดลายแพรวพราวเช่นนี้ พ่อเจ้าน่าเอาไปให้พวกตัวหกเขยนุ่ง เพลารำเพลงออกสิบสองภาษาบน

เวทีคงงามคมขำเทียว”

แม่จำปาหมายถึงละครสังข์ทองที่นายสุ่นกำลังซ้อมเพื่อไปเล่นในโรงละครหน้าบ่อน

“เลือกดูซีลำจวน ผืนใดแลกได้ ก็แลกกันไป ได้ไหมจ๊ะแม่

ฟาติมถามมารดาเธอ

“เอาซี ลำจวนเลือกซีหลาน”

นางทิมพับผ้าที่เหลือเก็บลงหีบ พลางถามข้อสงสัย

“แล้วหากคุณฟาติมแต่งงานไปแล้ว จะมาช่วยคุณแม่ขายผ้าได้ไหม”

ฟาติมเอียงอาย ไม่ตอบ

“คงไม่ดอก ต้องไปอยู่บ้านผัวแถวนนทบุรีโน่น”

มุนาตอบแทนลูกสาว

“เร็วจริงเธอ ฟาติมยังวิ่งเล่นกับลำจวนแพกระเทือนอยู่หยกๆ จะเป็นเจ้าสาวแล้ว”

จำปามองฟาติม ที่จริงๆ ดูเด็กกว่าลำจวนเสียอีก

“ไม่เร็วดอก”

มุนาค้าน

“นี่อายุสิบห้าแล้ว ออกจะช้ากว่าพวกลูกพี่ลูกน้องไปหน่อยด้วยซ้ำ”

มุนาหันมามองลำจวน

“ลำจวนเล่า อายุใกล้กันมิใช่รือ จะออกเรือนเมื่อใด”

คำถามนั้นเรียบๆ ง่ายๆ เหมือนถามว่าเย็นนี้แกงอะไร แต่ทำให้ลำจวนรู้สึกกระอักกระอ่วนใจนัก

 

แม่ค้าตัวอ้วน ทอดขนมหัวเราะ เป็นแป้งทอด โรยน้ำตาล ในกระทะใบใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่มอยู่หน้ามัสยิดกุฎีใหญ่ ที่อีกร้อยกว่าปีต่อมาจะนิยมเรียกกันว่า มัสยิดต้นสน

ลำจวน ฟาติม และนางทิม ยืนรอให้ขนมสุกอยู่ด้วยกัน

“ผัวเธอทำอะไรอยู่ที่นนทบุรี”

ลำจวนมองเพื่อน รู้สึกอาลัยอาวรณ์เหมือนกัน ถ้าจะไม่ได้พบกันอีก

ฟาติมตีแขนลำจวนเพียะ

“บ้า ยังไม่ใช่ผัว”

ลำจวนหัวเราะ

“นั่นแหลๆ เพลานี้ไม่ใช่ แต่ต่อไปก็ใช่”

“เขาค้าขายเนื้อวัวที่แพตลาดเมืองนนท์”

ฟาติมยิ้มบิดไปมา

“เขาเป็นคนดีรือ”

ลำจวนจริงจัง

“ยังไม่รู้เลย ยังไม่เคยพบ”

ฟาติมยังบิดเหมือนเดิม

“อ้าว แล้วหน้าตาหล่อเหลาสูงต่ำดำขาวอย่างไร”

ลำจวนงงๆ

“ไม่รู้เหมือนกัน”

ฟาติมหัวเราะคิกคัก

“อ้าว!”

คราวนี้ลำจวนไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใด ฟาติมถึงดูไม่เดือดเนื้อร้อนใจ แถมมีความสุขด้วยซ้ำ

“รู้แต่ว่า…เป็นบุตรคนโต ยังไม่เคยมีเมีย อายุเท่ากัน”

ฟาติมทำตาฝัน

“อายุสิบห้าขวบ เท่าฟาติม!”

ลำจวนอุทานดัง

“ใช่”

“โอ…หากฉันแต่งงานกับเด็กผู้ชายอายุสิบห้า คงตีกันทั้งวัน”

ฟาติมหัวเราะชอบใจเสียงดัง

คนขายเอาขนมใส่กระทงใบตอง โรยน้ำตาลส่งให้

ทิมเป็นผู้หยิบอัฐมาจ่าย

ขณะนั้น โรงเรียนเลิกพอดี เหล่าเด็กชายอายุประมาณสิบขวบหลายคน ในชุดเหมือนๆ กันหมด คือเสื้อขาวคอปิดตัวตรงยาวกับโสร่ง สวมหมวกขาวกลมๆ ครอบศีรษะ ที่มาเรียนหนังสือที่มัสยิดเดินออกมา มีครูเดินตามออกมาส่งที่หน้าประตู ทุกคนถือสมุดไทยที่เป็นบทสวดภาษาอาหรับและกระดานชนวน เดินผ่านพวกลำจวนไป

ลำจวนมอง สังเกตสังกา

“ผู้ชายอายุสิบห้า…ก็โตกว่าพวกนี้นิดเดียวเองหนา ฟาติม”

ลำจวนหยิบขนมมากินพลาง ปากเลอะน้ำตาลไปหมด

ฟาติมมองหน้าลำจวน แววตาตำหนิ

“ใครๆ อายุสิบห้า ก็โตเป็นผู้ใหญ่กันทั้งสิ้นแล้ว มีเพียงเธอ…ที่ยังทำกิริยาเป็นเด็กไม่รู้จักโตเช่นนี้”

ลำจวนไม่สนใจ กินขนมพลางมองตามพวกเด็กๆ ไป สนใจที่สมุดไทยและกระดานชนวน

ครูซึ่งเป็นชายวัยกลางคนร้องสั่งเด็กๆ เสียงดัง

“อย่าลืม ไปหัดสวดให้ไพเราะทุกคน พรุ่งนี้เราจะมาทดสอบกันดู ใครสวดได้ดี ครูมีรางวัลให้”

“ขอรับ!”

เด็กๆ รับคำพร้อมเพรียง เดินแยกย้ายกันกลับบ้าน

ครูเดินกลับเข้ามัสยิดไป

…มัสยิดกุฎีบางกอกใหญ่…เป็นที่เรียนหนังสือของพวกเด็กผู้ชายอิสลาม เหมือนวัด ก็เป็นที่เรียนหนังสือของคนพุทธเหมือนกัน…เฉพาะเด็กผู้ชายเท่านั้น…

ลำจวนคิดๆ ถอนใจบางเบา เพราะรู้ว่าฟาติมก็ไม่ได้เรียนหนังสือเหมือนเธอ

“ผัวเธอ คงรู้หนังสือภาษาแขกเป็นอย่างดีซี ถ้าเธอให้เขาสอนหนังสือ เขาจักสอนให้ไหม”

ลำจวนถามฟาติม หน้าตาจริงจังเคร่งขรึม ขณะที่ปากเลอะน้ำตาลเต็ม

 

พระอาทิตย์ขึ้นเหนือแม่น้ำเจ้าพระยาที่ปากคลองบางกอกใหญ่ มีเรือสำเภาจอดเต็ม

ฮุนประคองพระภิกษุแขนเดียว ที่นุ่งสบงเพียงช่วงล่าง ท่อนบนยังมีผ้าพันต้นแขนข้างที่ขาดไป กระหวัดรัดมาเฉวียงรอบตัว พาเดินออกกำลัง และสูดอากาศสดชื่นไปตามระเบียงที่ว่างเปล่า ไม่เหลือคนไข้อื่นแล้ว

“ใครๆ เขาหายดี กลับบ้านกลับช่องกันไปหมดแล้ว…”

ท่านรำพึง

“แต่หลวงพี่ยังอ่อนเพลียเพราะเสียเลือดไปมาก จิตใจก็ยังอ่อนแอเกินไป คุณหมออยากจะบำรุง

ให้แข็งแรงดีพอก่อน จึงจะให้กลับขอรับ”

“เปลืองข้าวเปลืองน้ำ เปลืองยา…”

น้ำเสียงหลวงพี่หม่นหมอง

หมอแดนเดินมาได้ยินเข้าพอดี ขัดขึ้นอย่างดุๆ

“จะเปลืองอย่างไร ในเมื่อพระเจ้าอยู่หัวทรงรับหลวงพี่ไว้เป็นคนไข้ในพระองค์”

‘พระรอด’ หันมา ส่ายหน้าท้อๆ

“อาตมาหาได้มีอันใดคู่ควรเลย แค่เด็กที่ซุกซนคึกคะนองประมาทเลินเล่อ ไม่ได้มีคุณงามความดีใดๆ”

“ในหลวงท่านทรงสนใจการแพทย์สมัยใหม่ ทรงเปิดรับสิ่งแปลกๆ แตกต่าง ไม่ขัดขวางหวงห้าม

หลวงพี่คือพยานยืนยันให้ราษฎรในประเทศนี้เห็นประจักษ์ว่าการแพทย์ของโลกนี้ ก้าวหน้าไปเพียงใดแล้ว”

หมอแดนอธิบาย พยายามที่จะให้พระภิกษุได้เห็นคุณค่าความหมายของตน

“เพราะอาตมาโชคดี ได้พบคุณหมอแดน ที่เหมือนเทวดามาโปรด”

น้ำเสียงพระเอิบอิ่มใจขึ้นบ้าง

“พระผู้เป็นเจ้าต่างหากขอรับที่ช่วยเรา ผมขอภาวนาให้คนสยามรับพระผู้เป็นเจ้าของเราไว้ใน

จิตใจด้วย”

หน้าตาหมอแดนเปี่ยมความหวังและพลังศรัทธา พอดีกับเสียงเปียโนที่ดังมาจากชั้นล่าง

มิสซิสเอมิลี่ กับเด็กๆ ผู้หญิงเสียงใสๆ ร้องเพลงพร้อมกัน

 

Twinkle, twinkle, little star,
How I wonder what you are!
Up above the world so high,
Like a diamond in the sky.
Twinkle, twinkle, little star,
How I wonder what you are!

 

ฮุนยิ้มให้หมอแดน ภาวนาให้ท่านสมปรารถนา

 

ลำจวนเดินตามเสียงเพลงเข้ามาในตรอก

เสียงเด็กๆ ร้องเพลงพร้อมกันนั้นหวานเพราะพริ้ง แม้จะฟังไม่เข้าใจความหมาย แต่เสียงเปียโนและทำนองดนตรีก็ไพเราะน่าฟัง แปลกแตกต่างออกไปจากมโหรีที่เคยคุ้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันที่บ้าน

ลำจวนเดินเข้ามาในบริเวณโอสถศาลา มาหยุดยืนดูที่มุมอาคาร นอกหน้าต่างห้องเรียน ชั้นใต้ถุนของโอสถศาลา

มิสซิสเอมิลี่ ภรรยาคุณหมอปลัดเลย์กำลังเล่นเปียโน ร้องเพลงเสียงสูงหวานราวกับนกน้อย

นี่คือต้นกำเนิดของโรงเรียนมิชชันนารีในสยาม ที่ต่อมาพัฒนาเป็นโรงเรียนกุลสตรีวังหลัง ซึ่งกลายมาเป็นโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัยในที่สุด

เวลานั้น ในห้องเรียนมีเด็กหญิง 9 คน วัยต่างๆ กัน มีทั้งโตเท่าลำจวนคือสาวรุ่น และเด็กหญิงที่ยังไม่โกนจุก

ทุกคนมองดูเนื้อเพลงที่เขียนด้วยชอล์กบนกระดานดำและร้องไปพร้อมๆ เอมิลี่

ลำจวนเดินใกล้เข้าไปอีกที่ข้างประตู ในมุมที่มองไปเห็นกระดานดำ

บนกระดานดำ มีเนื้อเพลงนี้ที่เขียนด้วยชอล์กขาวไว้ตรงกลาง ซึ่งด้านบนสุดกระดาน มีภาษาไทย เรียง ก.ไก่ ถึง ฮ.นกฮูก และถัดมา คือ ภาษาอังกฤษ A-Z

ต่ำลงมา เขียนว่า ‘วันจันทร์ เดือน ๒ แรม ๑ ค่ำ จศ.๑๑๙๘’

และภาษาอังกฤษว่า ‘MONDAY ๒๒th JANUARY ๑๘๓๗ AD’

ลำจวนตื่นเต้นมาก กุมมือที่อก ใจเต้นรัว แม้จะอ่านไม่ออก นอกจากตัวเลขที่คาดเดาเอาเอง ว่าน่าจะหมายถึงวัน เดือน ปี ในแต่ละภาษา

น้ำตาของหญิงสาวออกมาคลอเต็มตา โดยที่ลำจวนก็แยกแยะไม่ออกว่านี่คืออารมณ์อะไร

“ทุกคน…พร้อมกันอีกครั้งนะ”

มิสซิสเอมิลี่บอกอย่างอ่อนหวาน ใจดี

ขณะนั้นเอง ฮุนเดินลงบันไดมาจากชั้นบน เขาชะงักกึก ยืนตรึงอยู่ที่ตีนบันไดนั้นเอง

ภาพที่ฮุนเห็น คือด้านข้างของลำจวน ที่ยืนแอบอยู่ที่ข้างประตูห้องเรียน

หน้าตาท่าทางของเธอมีชีวิตชีวา กระตือรือร้น อยากรู้อยากเห็น ไม่ผิดไปเลย จากเด็กหญิงที่ซุกซนแห่งวัดทองคนนั้น ที่เขาแบกเข่งมะขามมาเห็นเธอแอบเรียนหนังสือที่ใต้ถุนกุฏิพระ

เพียงเปลี่ยนจากวัดทองสุวรรณาราม มาเป็นโอสถศาลา เปลี่ยนจากพระหลวงตา มาเป็นสตรีอเมริกัน มิชชันนารี

ฮุน ก็คือเจ้าเด็กจีนผมเปียคนนั้น ที่วันนี้กลายเป็นชายจีนผู้ใหญ่ แต่หัวใจเขาเป็นใจเดิม เด็กชาย

ผู้ยังคิดถึงเพื่อนต่างเพศ ต่างชาติชนชั้น ลำจวน ผู้สอนให้เขาพูดไทยให้ชัดๆ จะได้ไม่ถูกใครเหยียดหยาม เพื่อนรัก…ที่พรากจากกันไปนานเหลือเกิน

ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นลำจวน คือเมื่อเขาถูกพี่ชายของเธอทำร้าย และเธอกรีดร้องอยู่ตรงนั้น

ฮุนตัดสินใจเดินเข้าไปหา ตั้งใจว่าจะทักหญิงสาว

แต่พอดี นางทิมวิ่งทะเล่อทะล่า หน้าตื่น ตามหาลำจวนมา

ฮุนยั้งเท้า หยุดยืนหลังเสา

นี่ก็ราวกับภาพเดิม ดุจละครฉากเก่า ที่หวนกลับมาแสดงในบทเดิม

เพียงแต่เปลี่ยนเหตุการณ์ไป เป็นทิมเห็นลำจวน

เธอถอนใจอย่างโล่งอก รีบปรี่เข้ามา

“คุณหนู! นึกแล้วไม่มีผิด”

“ทิม…อีกแล้ว…”

ลำจวนทำเสียงเบื่อระอา

“คุณหนูละซี ‘อีกแล้ว’… เผลอเป็นไม่ได้ อยากจะเข้ารีตเสียให้ได้ทีเดียว ระวังเถอะ จะตกนรก! ไป!

คุณแม่จะกลับบ้านแล้วค่ะ”

ทิมลากตัวลำจวนไปจนได้

ฮุนยังยืนที่เดิม มองตามไป ตื่นเต้นดีใจอย่างเหลือจะเอ่ย

 

ในชุมชนกุฎีจีน ที่บ้านเรือนเบียดชิดกันต่อเนื่องไปอย่างที่เรียกว่าไก่บินไม่ตก

มีคนลูกครึ่งโปรตุเกส ซึ่งเป็นคริสตังคาทอลิกห้อยสายสร้อยไม้กางเขน ช่วยกันซ่อมบ้านหลังหนึ่ง เลื่อยไม้ ตอกตะปู เสียงปึงๆ ปังๆ แต่เพื่อนบ้านติดๆ กันเป็นแขกอิสลาม กำลังตากเนื้อเค็มที่ลานบ้าน ทักทายถามไถ่ ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันอย่างมีมิตรจิตมิตรใจ และมีชาวจีนที่คงกำลังช่วยกันต่อแพ แบกไม้ไผ่ แบกตับจาก ส่งเสียงเอะอะขอให้หลบทางที่จะรีบไปริมน้ำ วิ่งสวนมาในตรอกแคบ

ทิมโอบตัวลำจวนแน่น พาเดินไปให้เร็วที่สุด

“แถวนี้ผู้คนมากหน้าหลายตานัก เกลือกถูกผู้ใดจับตัวไป จะว่าอย่างไร”

นางมองใครๆ ระแวงระวัง ประสาคนบ้านสวน ที่อยู่กันห่างๆ ที่แม้กู่กันจนสุดเสียง บางคราเพื่อนบ้านก็หาได้ยินไม่

“ใครจะจับฉัน แม่ทิมก็เป็นบ้าไปได้”

“ผู้หญิงดีๆ ที่ไหนเที่ยวเดินซอกแซกไปไหนมาไหนคนเดียวบ้างคะ มันไม่งามดอกค่ะ”

ฮุนตามมาห่างๆ อดยิ้มไม่ได้กับเสียงบ่นและเถียงกันไปตลอดทางของสองนายบ่าว

“รู้แล้วๆ หยุดบ่นเสียทีเถิด”

“เมื่อไหร่ใครจะมาขอคุณไปแต่งงานเสียที จะได้สงบเสงี่ยม รู้จักเลี้ยงลูก อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนกับเขาบ้างคะ”

“แต่งงานแบบฟาติมน่ะหรือ ไม่เอาดอก หากผู้ชายอายุสิบห้ามาทำอำนาจเหนือฉัน ฉันจะถีบให้ตก

เรือนเลย คอยดู”

“โอ๊ย พูดจาฟังไม่ได้เลยค่ะ”

ทิมพาลำจวนเลี้ยวไปออกริมคลองตรงข้างมัสยิด

ฮุนไม่ทันจะเลี้ยวตาม ศิษย์พี่สำนักคงแป๊ะสองคน คือพี่หนวดเครากับพี่สักขาลาย ก็วิ่งเลาะลัดตัดข้างรั้วบ้านใหญ่ตรงมุมติดกันนั้น มาจ๊ะกันพอดี

“อ้าว เจ้าฮุน นี่ครูท่านด่าเสียไม่มีดีแล้วหนาเอ็ง”

พี่สักขาคว้าคอชายหนุ่มหมับ

“ครูท่านให้มาตามข้ารือ”

“ก็ใช่น่ะซี เอ็งก็มัวแต่มาตื่นพระแขนขาดที่บ้านหมอฝรั่งอยู่ได้ คนอื่นเขาไปเขียนรูปกันทุกวัน พระ

ของเอ็งตายแล้วหรือยังเล่า”

พี่เคราเย้ย

“ไม่ตายเว้ย หายดีแล้วด้วยซ้ำ”

ฮุนปลดมือพี่ๆ ออก

“นั่น! แล้วลื้อจะมาหัดวิชาเล่นกลตัดแขนตัดขาแล้วไม่ตายหรือไร ไปๆ ไปทำงานได้แล้ว ไอ้เจ๊กบ้า ไป!”

 

ซากพระปรางค์โบราณของวัดแจ้งกำลังอยู่ระหว่างขุดดินเพื่อวางฐานราก หลังจากรื้อถอนอิฐหินดินทรายเก่าที่ผุร่วนลงมาเป็นกองๆ เพื่อจะได้สร้างองค์ใหม่ขึ้นตามพระราชดำริ

ฮุนและศิษย์พี่ทั้งสองเดินอ้อมผ่านบริเวณที่คนงานไทยจีนที่กำลังทำการขุดปรับหน้าดิน เตรียมการเพื่องานวางศิลาฤกษ์สร้างพระปรางค์องค์ที่จะสร้างขึ้นในภายหน้า ผ่านไปยังโบสถ์ที่บูรณะเสร็จใหม่ๆ

ช่างเขียนอีกท่านที่มีเหล่าศิษย์และบริวารเดินตาม ถือข้าวของพะรุงพะรัง เดินมาถึงพร้อมกันหน้าพระอุโบสถพอดี

ท่านเป็นชายร่างสันทัด ผิวผ่องใส ใบหน้ายิ้มแย้มร่าเริง ยิ้มกว้างขวาง ยกมือรับ เมื่อเหล่าศิษย์คงแป๊ะพากันพนมมือไหว้นอบน้อม

“อ้าวๆ พวกสำนักคงแป๊ะ อย่างไรกัน วาดกันจวนเสร็จแล้วกระมัง”

ท่านทักถามก่อน เสียงดัง ท่าทางองอาจผ่าเผย

“ยังขอรับ ครูมี”

พี่สักขาลาย หันมาบอกฮุน

“เอ้า ฮุน ไหว้ครูมีเสีย ครูมีบ้านบุ ท่านเป็นทั้งช่างเขียนและเป็นนักกลอน นักแต่งตำรานิทานต่างๆ มีความรู้สูง เป็นนักปราชญ์ทีเดียว”

ครูมีหัวเราะ

ฮุนไหว้ท่านอีกครั้ง

“มีผมเปียมาเป็นช่างเขียนด้วยรือ สำคัญๆ”

“ชื่อเจ้าฮุนขอรับ ฝีมือดี ขยันขันแข็ง หนักเอาเบาสู้”

พี่หนวดอวดน้อง

“แต่มันชอบสว้าน เที่ยวแส่สาระแนพล่านไปทั่วขอรับ”

หนุ่มสักขาลายประจาน

ครูมีหัวเราะก๊ากๆๆ

“ดีๆ คงแป๊ะนี่เขาดี มีศิษย์แปลกๆ ประหลาดๆ มาก เหมือนพวกภาพตัวกากที่เขาวาดแล”

ครูมีเป็นคนกันเอง ทำให้บรรยากาศสนุกครึกครื้น

ฮุนเห็นพวกคณะของท่านมีสัมภาระล้นมือ รีบเข้าไปช่วย

“มาขอรับ ช่วยถือขอรับ”

ครูมีมองหน้าเขาอย่างแปลกใจ

“พูดไทยชัดดีนี่…รอเรือเป็นรอเรือ”

ท่านชม

 

ภายในอุโบสถวัดแจ้ง คงแป๊ะนั่งอยู่บนนั่งร้านสูงระดับหัว กำลังวาดลายละเอียดเครื่องทรงตัวพระอยู่ หากยังเว้นใบหน้าไว้

ครูพุดกำลังวาดลายละเอียดพวกม้าทรงเครื่องรบอยู่ที่มุมๆ

พอครูมีเดินเข้ามา ทั้งคงแป๊ะ ครูพุด หันมาเห็น ก็ไหว้และรับไหว้กันไปมา

พวกศิษย์ต้องวางของพักไว้ก่อน แล้วพนมมือไหว้พวกครู

พอครูมีเห็นว่ามีม่านผ้าขาวขึงกั้น ปิดบังบริเวณทำงานที่ติดกันของคงแป๊ะวาดเอาไว้ ท่านก็หัวเราะลั่นโบสถ์

“คุณหลวงวิจิตรเจษฎาไม่มารือ วันนี้”

“วันนี้เห็นว่าหยุดกันขอรับ”

“ท่านต้องกั้นผ้าปิดบังคุณหลวงทุกคราไปรือ”

ครูมีพยัดพเยิดไปทางนั้น

“เป็นเรื่องขำขันน่ะขอรับ มิจริงจังอันใดดอก”

“ได้ยินว่า พวกแม่ยกพ่อยกมาแข่งประมูลกันทุกครา ราวกับนายโรงลิเก หากคุณหลวงทั้งสอง

เขียนงานร่วมโบสถ์กัน”

ครูมีแอบไปชะโงกชมหลังม่าน

“นั่นละขอรับ พวกเสมอนอกนั้นแลที่คอยท้าทายยุยงกัน แล้วให้กั้นผ้าไว้ เพื่อจะได้เฮกันตอน

เปิดออกมาดูเมื่อเขียนจบ”

ครูพุดเสริม

“ทั้งๆ ที่เกือบจะทุกครา ท่านก็เขียนเนมิราช และคุณหลวงก็เขียนมโหสถเสมอๆ”

ครูมีส่ายศีรษะ

“นั่นแลขอรับ กระผมก็วาดการสงครามทะลึ่งตึงตังไปตามประสา ไม่สู้ท่านดอก”

คงแป๊ะยิ้มละไม

“ฮะๆๆ ไม่เหมือนผม ผมเขียนภูริทัต พญานาคสีทองของผมไป ไม่ต้องแข่งผู้ใด สบายใจ”

ครูมีและศิษย์ขนของเดินต่อไปยังด้านใน

ฮุนยังมองม่านผ้าขาวนั้น ภาพจำรำลึกวันเกิดเรื่องย้อนคืนมาถึงเหตุการณ์ในโบสถ์วัดทอง ที่เด็กหญิงลำจวนมาหยุดยืนมองผ้าม่านกั้น กลางหน้าต่างเบื้องซ้ายขององค์หลวงพ่อพระศาสดา พระประธานวัดนั้น

เธอฉงน ว่าเหตุใดจึงต้องแขวนผ้าเช่นนั้น ส่วนเขาก็อวดฝีมือเขียนต้นไม้ ในมุมๆ ภาพมโหสถ แล้วเธอก็เฝ้าเพียรสอนให้เขาพูดไทยให้ชัด

‘ร…เรือ…คุณครู หลวงเสนี…บริรักษ์’

ทันทีที่เขาทำสำเร็จ เด็กหญิงดีใจเป็นนักหนา ถึงแก่กระโดดโลดเต้นปรบมือเอะอะเอ็ดตะโรลั่นไป จนกระทั่งพี่ชาย คือเนตรผู้แสนเกรี้ยวกราดเปิดม่านออกมา เผยให้เห็นว่าอดทนแอบซุ่มฟังมานานเกินทน

‘นางลำจวน!’

 

ฮุนเอามือข้างขวา ที่บัดนี้ไม่เหลือรอยบาดเจ็บใดๆ ขึ้นมาดูอย่างเผลอๆ

ทันใด มือคงแป๊ะวางแตะลงมาตรงบ่าชายหนุ่ม

ฮุนสะดุ้ง ตื่นจากภวังค์

“ไอ้นี่ ใจลอย มานี่ ข้ามีอะไร จักให้เจ้าลองทำ”

คงแป๊ะส่งพู่กันให้ฮุน

“ลื้อลองวาดหน้าตัวพระให้ดูที”

“ครู…กระผมไม่เคยวาดหน้าตัวพระเลยขอรับ วาดแต่พวกตัวกาก”

“ลองวาดตัวพระเอกให้ข้าดูทีรึ”

ฮุนอึ้ง

“ลองดูสิ ฮุน”

ฮุนรับพู่กันมา จุ่มสีจรดพู่กัน ลองวาด โดยเริ่มจากคิ้ว คงแป๊ะกอดอก รอดู

ครูพุด และบรรดาศิษย์พี่ ยืนมุงล้อมรอบ

ฮุนหน้าเคร่ง มือเกร็ง กว่าจะผ่อนคลาย ด้วยการกำหนดลมหายใจให้ช้า เบา แล้วค่อยวาดดวงตา จมูก ปาก

เมื่อวาดเสร็จ ตัวพระนั้นก็มีใบหน้าที่แย้มยิ้ม ยกมุมปากเยาะเย้ย ดวงตาหรี่ร้าย คิ้วดุดัน

ฮุนเงยขึ้น มองหน้าครูว่าจะว่ากระไร คงแป๊ะมองแล้วก็ถอนใจ

ครูพุดกับศิษย์พี่ทั้งหลายแอบเอาใจช่วย

“ลื้อเขียนตัวกากจนเคยมือ เขียนหน้าคนเมื่อใด มักเขียนตามหน้าคนจริง เผยอารมณ์รัก เกลียด โกรธ

หัวเราะ บึ้งตึง สำแดงอาการต่างๆ อย่างเต็มกำลัง”

คงแป๊ะวิจารณ์

ฮุนหันมามองหน้าพี่ๆ เหมือนจะขอเสียงสนับสนุน พลางอวดอ้าง

“ครูพุดกล่าวชมเสมอ ว่ากระผมเขียนหน้าภาพได้หลายหลากมากแบบ ดูแล้วก็รู้ ว่าตัวคนนั้นกำลังคิดสิ่งใด”

คงแป๊ะหัวเราะหึ

“ลื้อคิดว่ามโหสถคิดเยี่ยงไร”

“เมื่อพราหมณ์โลภ เสียรู้แก่มโหสถ มโหสถย่อมสาแก่ใจนักหนา”

คงแป๊ะเอาพู่กันใหญ่ ทาสีขาว ทับหน้านั้นจนมิด

ฮุนผงะ เสียใจ

“ตัวพระ แลตัวนาง มิใช่ตัวกาก ตัวพระแลตัวนาง ล้วนมีใบหน้าที่ต่างจากผู้คนจริงๆ ทั้งหลาย”

คงแป๊ะรอจนสีขาวนั้นแห้งสนิท แล้วหยิบพู่กันมาจุ่มสี

“ดู…เจ้าฮุน ดูว่าข้าทำอย่างไร”

คงแป๊ะวาดอย่างงดงาม ประณีต หน้าชายหนุ่มที่งาม สีหน้าเรียบ ดวงตามองเหลือบต่ำ

“ขอให้เจ้าไปลองดูจากหน้าของพระแลนาง จากการแสดงโขน แม้หน้าของพระแลนาง มิได้ใส่หัว

ยักษ์หัวลิงอันใด แต่ก็เป็นใบหน้าที่สงบนิ่ง ดุจสวมหน้ากาก มิว่าจะสุข เศร้า ยินดี ทุกข์โศก ใบหน้าของพระแลนาง ล้วนแต่ไม่แสดงอารมณ์อันใด”

ฮุนถึงแก่ตะลึง

“พระแลนาง ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกเช่นผู้คน จะยินดี หรือเศร้าโศก ก็แสดงออกด้วยกิริยาท่าที แต่มิใช่

ใบหน้ายิ้มหัวรือเหยเกบ้าฟุ้งอย่างคนสามัญ”

ทุกคนเงียบฟังอย่างตั้งใจ

“ข้าเฝ้ามอง ว่าพวกพี่ๆ เหล่านี้ ล้วนชมเชยเมื่อเจ้าเขียนผู้คนที่มีหน้าตาท่าทางหลากหลาย ทำให้

เจ้ายิ่งสนุกคะนอง ในการเขียนตัวกากให้พิสดารวิตถารไปต่างๆ ข้าจึงอยากรู้ว่า เจ้าวาดหน้าพระแลนางที่เป็นตัวเอกได้รือ แลก็เห็นแล้วว่าเจ้าละเลย หาได้สนใจจะฝึกฝนไม่ ปล่อยมือไม้ให้เตลิดเปิดเปิงไปเรื่อยเปื่อย”

“มิได้ขอรับ เพียงแต่ กระผมไม่แจ้งใจ”

“เช่นนั้น บัดนี้ก็แจ้งใจเสีย และหันกลับมาฝึกวาดหน้าตัวภาพตามแบบแผนให้งามด้วย เคยได้ยิ

ใช่ไหม คิ้วโก่งดังคันศร ดวงตาดุจตากวาง จมูกดุจขอ ปากดุจกระจับ หน้าพระแลนางจักจมูกบาน คิ้วหนา คิ้วตก คิ้วเฉียง รือตาตี่ ตาโปน ปากกว้าง หาได้ไม่ จักต้องคงใบหน้าที่สงบงาม ไม่ยิ้ม ไม่บึ้ง ดวงตาหลุบลงมองต่ำเสมอ ไม่มีเหลือกเหลือบเลิ่กลั่กๆ ไปทางใด จักเป็นช่างเขียนสีน้ำกาวให้ดี ต้องเขียนให้ได้ ทั้งอย่างขนบประเพณีแลอย่างสนุกขบขันตามใจชอบ ทุกแบบ”

ฮุนก้มศีรษะ น้อมรับ

ศิษย์อื่นๆ พลอยอืออา ฮาฮือ รับคำเตือนไปด้วย

 



Don`t copy text!