บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 20 : พบแล้ว

โดย : ปราณประมูล

Loading

บุษบาลุยไฟ โดย ปราณประมูล เรื่องราวของ ลำจวน หญิงสาวผู้ต่อสู้กับค่านิยมทางสังคมในยุค ร.3 เธอลุกขึ้นทำสิ่งที่คนในห่วงเวลานั้นไม่ทำกัน หนทางจึงไม่ได้ราบรื่น หากเต็มไปด้วยอุปสรรคและถ้าไม่ใช่เพราะแรงรักแรงใจที่หนุ่มจีนคนนั้น คงยากที่บุษบาดอกนี้จะไปสู่จุดหมาย ‘บุษบาลุยไฟ’ นวนิยายเรื่องเยี่ยมที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์

 

ตรอกเล็กแคบในชุมชนจีนแห่งหนึ่ง ฝั่งพระนคร วิกาลดึกดื่นเกินยามสองไปโข โคมไฟเรียงรายซีดเซียวใกล้มอดดับเต็มที

คุณชายพ่อค้าจีนร่ำรวยเมามายเข่าพับเข่าอ่อน มีบ่าวร่างใหญ่ประคองออกมาจากประตูหลังโรงฝิ่นลับ พากันเดินหนึ่งก้าวถอยสองก้าวมาตามตรอกอันมัวมน มีละอองควันกลิ่นฝิ่นอวลอ้าวไปทั้งบริเวณ

พลันร่างกำยำของชายฉกรรจ์สองสามคน ปรากฏขึ้นดุจปีศาจจากอเวจี ขวางทางไว้

บ่าวชายที่ยังมีสติเงยขึ้น เห็นบุคคลสามคนแต่งกายอย่างนครบาลในขณะปฏิบัติหน้าที่ มันผงะ สั่นระริกยิ่งกว่าพบปีศาจแล้ว

“มีอะไร มีอะไร…”

คุณชายผู้นั้นงึมงำงัวเงียเป็นภาษาฮกเกี้ยน ขณะพยายามคอนศีรษะ โงขึ้นมา เขม้นเบิกตามอง

หมื่นโชค หมื่นเดช หมื่นรวย สามมือปราบ คนสนิทของเจ้าคุณอินทรา เป็นกลุ่มนครบาลวัยหนุ่ม ที่ดูเหมือนพวกคนจีนจะได้ยินชื่อเสียงเรียงนามและจำหน้าได้ดี

หมื่นโชค คนสูงสง่า หน้าเฉยเมยราวรูปหุ่น กระชากคอคุณชายเข้าหา ยื่นหน้ามาสูดดมจนใกล้ ราวกับจะสืบกลิ่นเข้าไปถึงลมหายใจภายในโพรงจมูก แล้วกลับพ่นลมหายใจกลับออกมาใส่หน้าพรวด ร้อนผ่าว

“ฝิ่น…”

น้ำเสียงหยาบหยันเหยียดหยาม

“จับกี่ครั้งกี่หน ก็หาเข็ดไม่”

หมื่นรวย คนผิวทองแดง ผมหยิก ตาพอง หน้าดุดัน แสยะ เปล่งเสียงแหบพร่า

“ผู้ใดมันยังกล้าลักลอบเปิดโรงฝิ่นในละแวกนี้อีก”

หมื่นเดช คนหน้าขาวผ่องสะอาด ดูอ่อนเยาว์ กระชากไหล่ไอ้บ่าวตัวโตที่ปราศจากเรี่ยวแรงเข้ามา ให้พลิกหันหน้ากลับไปทางเก่า

“นำอั๊วไป”

บ่าวร่างใหญ่ แต่ใจเสาะนัก ชี้มือสั่นๆไปตามทิศทางนั้นแทนวาจาเพราะพูดไม่ออกกะทันหัน แล้วต้องถลำหัวแทบทิ่ม เพราะถูกผลักให้พาไปให้เร็วทันใจ

คุณชายหลับไปตั้งแต่เมื่อใด ไม่แน่ชัด แต่ทรุดลงไปนอนราบบนพื้นทันทีที่บ่าวห่างกาย

พวกนครบาลนับสิบถือไต้สว่างกรูกันเข้าตรอกมา ช่วยกันหามเขาออกไป

 

ในโรงฝิ่นนั้นมืดมนอนธการ ควันคลุ้งเป็นม่านหนาทึบ ไฟตะเกียงตามเสาสลัวรางเลือน แสงไฟจากเตาสูบฝิ่นเป็นดวงมัวๆ อยู่มุมนั้นมุมนี้

แคร่ไม้ด้านหน้าเรียงราย เป็นพื้นที่ที่ใช้ร่วมกันประสาคนจน เช่นเหล่ากรรมกร จับกัง ที่กำลังนอนเคลิ้มฝัน

ด้านในสุด มีฉากกั้น ตั้งเตียงตั่งไม้มะเหลือหนาหนักแกะสลักฝังมุก มีร่างมนุษย์ที่นอนทอดระทวยระทดเพียงไม่กี่คน เสียงสูบฝิ่นซื้ดอา…ซื้ดอา…แผ่วๆ ระคนเสียงน้ำหล่อดังปุดเบาๆ มีคนรับใช้ผู้ให้บริการ ยกถาดน้ำและของขบเคี้ยวมาให้ตะคุ่มๆ

พลัน ประตูโรงฝิ่นถูกพังโครม แสงสว่างจากไต้ของพวกนครบาลแดงจ้าสาดแทรกลอดม่านควันหนาเข้ามาเป็นลำ

หมื่นโชค หมื่นเดช หมื่นรวย พร้อมดาบยาวครบมือ บุกเข้ามายืนจังก้า สอดส่ายสายตาหาเหยื่อ

มนุษย์เมาฝิ่นไม่ว่าจนรวยที่กำลังปริ่มฝันหวาน ผงกหัวขึ้นมอง งงงัน

คนรับใช้ทำกาน้ำหล่นมือ ลงไปกลิ้งโคล้งเคล้งกับพื้น แล้วยืนตัวสั่น

เหล่านครบาลพร้อมไต้สว่างเรืองโรจน์ ไหลพรูเข้าไปที่ห้องหลังฉากกั้นด้านใน ลากเจ้าของสถานที่ ที่น่าจะหลับไปแล้ว แต่งชุดนอนผ้าฝ้ายบาง คลุมเสื้อแพร ออกมาจากเตียง มีสาวร่างขาวผ่อง ถือชุดไหมปิดอกเอาไว้ วิ่งตามออกมาดูห่างๆ พลางร้องไห้โฮๆ

เจ้าสัวเสื้อแพรผู้นั้น ถูกนำตัวมากดให้ทรุดนั่งลงไปต่อหน้าหมื่นโชค หมื่นเดช หมื่นรวย

ส่วนพวกกรรมกร จับกัง ที่กำลังเมาหนัก แทบไม่เข้าใจว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น ถูกลากเปียมายืนรวมกันด้านหลัง หนึ่งในนั้นคือคนของอู่ต่อสำเภา ผู้เคยร่วมงานมากับฮุน

หมื่นโชคเก็บคมดาบ ยกมือพนมเหนือหัว ประกาศก้อง

“สมเด็จพระพุทธิเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริเห็นว่า คนสูบฝิ่นเป็นเสี้ยนหนามพระพุทธศาสนา ให้แผ่นดินจุลาจลต่างๆ”

หมื่นเดชตะโกนต่อ

“ฝิ่นเป็นของชั่ว ห้ามมิให้ผู้ใด ซื้อฝิ่น ขายฝิ่น อย่าเอาฝิ่นไว้กับบ้านเรือน เรงร้าน เรือแพ ลอบลักซื้อขายแก่กัน ถ้ามิฟัง มีผู้จับได้ ให้เอาฝิ่นตั้ง ปรับไหมเจ้าของฝิ่นสิบต่อฝิ่นที่จับได้นั้น”

หมื่นรวยสำทับ

“หากผู้ใดมีฝิ่นอยู่มากน้อยเท่าใด ให้เอาฝิ่นมาลุแก่โทษเสีย หากยังลักลอบ ไม่กลัวเกรงพระราชอาญา จะให้กระทำการลงพระราชอาญาโดยสาหัส หากควรจะประหารชีวิต ก็จะให้ประหารชีวิตเสีย”

เสียงน้ำไหลซ่า…ดังเบาๆ ตามมา

จีนเสื้อแพรเจ้าของโรงฝิ่น ปัสสาวะออกมาราดพื้นเนืองนอง

 

ตะวันขึ้นเหนือคุ้งคลองบางยี่ขัน ลานหลังเรือนหมู่ของเจ้าคุณอินทรา อันเป็นมุมลี้ลับสำหรับไพร่พลบริวาร รวมทั้งการลงอาชญานักโทษ ไม่ให้ผู้คนที่สัญจรผ่านไปมามองเข้ามาเห็นได้ หมื่นโชคกำลังเฆี่ยนคนงานอู่ต่อสำเภาผู้นั้น ซึ่งนับเป็นโทษทัณฑ์ระดับกลาง สำหรับผู้เสพ

“ยี่สิบหก ยี่สิบเจ็ด ยี่สิบแปด ยี่สิบเก้า สามสิบ”

เหงื่อออกเปียกโชกทั้งร่างกายของชายนครบาล ที่น่าจะลงโทษใครๆ มาหลายคนจนเหนื่อย แรงเงื้อแขนล้าลงมาก

ทว่าคนอูต่อสำเภา ที่หลังไหล่เลอะเทอะด้วยเนื้อหนังแตกปริ โลหิตกระจายไปทุกที่ที่ลำหวายกระแทกเนื้อ กำลังตาเหลือกกลับคล้ายใกล้ตายแล้ว

หมื่นโชคเฆี่ยนครบยกแรก ถึงแก่พักหอบ

“โทษของการสูบฝิ่นขายฝิ่น คือถูกเฆี่ยนสามยก ยกหนึ่งสามสิบที”

เขาหันมา ส่งหวายให้หมื่นเดช

“พวกมึงลงมือยกที่สองที่สามเองเถิด กูหมดแรง”

หมื่นโชคยกน้ำในคนโทดินขึ้นดื่มกินและราดล้างหน้าตา เนื้อตัว หายใจแรง

“มา…กูรับยกสองต่อเอง”

หมื่นเดชกระชับเครื่องมือเฆี่ยนให้เหมาะมือ

 

อีกด้านหนึ่ง จีนเสื้อแพรเจ้าของโรงฝิ่นกำลังกราบกรานท่านเจ้าคุณที่นั่งดูการเฆี่ยนอยู่ในร่มไม้ใหญ่

“ค่าของฝิ่นทั้งหมดที่พบในโรงฝิ่นของลื้อ คิดเป็นสิบเท่าตามพระราชโองการ เจ้าคุณพระคลังว่าที่กลาโหม จักเป็นผู้สอบสวนแลคิดคำนวณหักกับเจ้าต่อไป จักมีคนของท่านมารับตัวเจ้าไปสายๆ วันนี้”

จีนเสื้อแพรตัวสั่นเทา ท่านที่เจ้าคุณฯ ที่กล่าว หมายถึงเจ้าพระยาพระคลังดิศ ที่เมื่อสิบปีก่อนนี้ ท่านเป็นหนึ่งในตัวแทนฝ่ายสยาม ไปทำสัญญาการค้ากับอังกฤษชื่อหันตรีบารนี (เฮนรี่ เบอร์นี่) เป็นที่รู้กันว่า มีข้อสำคัญข้อหนึ่งกล่าวถึงการค้าฝิ่นในสยามว่าเป็นความผิดใหญ่หลวง ห้ามเรือบรรทุกเข้ามาขายในพระราชอาณาจักรเด็ดขาด หากจับได้ ให้ยึดและเผาทีเดียว

“ท่านเจ้าคุณ…จักช่วยผ่านหนักเป็นเบาให้กระผมได้รือไม่”

เวลานี้เจ้าโรงฝิ่นพูดภาษาไทยชัดเปรี๊ยะ ในน้ำเสียงลดเบาต่ำ

“หมายความอย่างไร”

“กระผมไม่มีทรัพย์ถึงเพียงนั้น หากท่านเจ้าคุณจะช่วย แจ้งไปว่า…จับฝิ่นที่โรงฝิ่นจีนซุนกี่…ได้เพียง…สักหนึ่งในสอง…กระผมยินดีจะรับใช้ท่านเจ้าคุณ ตามที่ท่านเจ้าคุณจะกรุณา”

ท่านเจ้าคุณแสยะปากอย่างมีโทสะ น้ำเสียงดุดันห้าวเหี้ยมชวนเยือกสันหลัง

“นี่ลื้อคิดว่าอั๊วเป็นข้าราชการที่กินสินบาทคาดสินบนรือ อ้ายซุนกี่”

นายซุนกี่รู้ว่าผิดท่า ทรุดลงไปกอง ตัวสั่นงันงก

“อั๊วจักเฆี่ยนลื้อ ร่วมกับอ้ายขี้ยาผู้นั้น!”

เจ้าคุณอินทราลุกยืนผงาด

“ใครมาเอาจีนซุนกี่ไปเฆี่ยนอีกคนเดี๋ยวนี้”

จีนซุนกี่เสื้อแพรเป็นลม ล้มฟุบ แน่นิ่งไปแล้ว

 

เป็นเวลาสาย แดดกล้าแล้ว ขณะที่ฮุนกำลังนั่งยองริมระเบียงห้องพักหลังศาลเจ้า ใช้กิ่งข่อยทุบจิ้มเกลือสะตุสีฟัน บ้วนปากขากถุยไปตามประสา

คนงานอู่สำเภาสองสามคน ที่เอาเวลาหลังงานมาหาลำไพ่พิเศษด้วยงานรับจ้างแบกหามขนส่งของกับฮุนบ่อยๆ ใช้ผ้าใบทำเปลแบกคนเจ็บที่ดูปางตายห้อยร่องแร่ง ไต่สะพานไม้กระดานเลียบคลองย่อยข้างศาลเจ้ามาแต่ไกล

“ฮุนๆ ไอ้ฮกคงไม่รอดแล้ว จะเอาอย่างไรกันดี”

ฮุนตกใจ ลุกพรวด เมื่อเห็นสภาพนอนคว่ำ หลังไหล่เละราวเนื้อสุกรสับ ฉ่ำนองด้วยเลือดและน้ำหนองไหลพราก เขาก็เข่าอ่อน แทบทรุดกลับลงไปใหม่

“ไอหยา อาฮก ไปโดนอะไรมา”

“มันไปดูดฝิ่นโรงฝิ่นอาซุนกี่”

เพื่อนอีกคนฟ้องเสียงหลง

“มันเอาอัฐที่ไหนไปดูดฝิ่น”

ฮุนแปลกใจยิ่ง

“มันไปเล่นถั่วโปได้มาโข ชวนกลับไม่กลับ ที่แท้แอบไปเข้าโรงฝิ่นซุนกี่”

เสียงโครมครามกระแทกประตูดังมาก่อนตัว แล้วอากงก็ก้าวปึงปังออกมา ในมือถือล่วมเครื่องมือประจำตัว พร้อมไปทำงานเย็บเจาะตาไก่ใบเรือ

“ไอ้ฮกมันสมควรตายแล้ว ลูกเมียจะอดตายเพราะมันเล่นฝิ่นจนแทบไม่มีแรงทำงาน เจ้าสัวโตจะไล่ออกหลายคราแต่อั๊วกราบเท้าขอท่านไว้ แต่มันยังไม่สำนึก ก็ปล่อยให้มันตายไปเถิด”

กงเดินออกจากห้องพัก ผ่านบรรดาสหายของหลานชาย

“ทุ้ย! ไอ้ขี้ยา ตายๆ ไปซะได้ก็ดี”

แกสะบัด หันหลังใส่ไม่ไยดี เดินเชิดหน้าลิ่ว มุ่งไปทำงาน

“อ้าว…กง…”

 

มิสซิสเอมิลี่คือผู้ใช้ก้านไม้หุ้มสำลีขาวสะอาด ชุบยาน้ำใสๆ สีเหลืองๆ ส้มๆ ที่หมอแดนผสมมาวางให้ ค่อยๆ ทาอย่างเบามือบนแผ่นหลังที่ทำความสะอาดแล้วด้วยน้ำอุ่น เผยแผลจากการถูกเฆี่ยน ที่แตกยับเหวอะหวะไม่มีชิ้นดีของจีนฮกที่นอนคว่ำ ตะแคงหน้า หายใจปะงาบๆ อยู่

“ไอ้ฮกจะไม่ตายใช่ไหมครับหมอ มันจะรอดใช่ไหมครับ”

ฮุนพยายามที่จะหวัง

“สาหัสเอาการอยู่ หมอไม่กล้าตอบดอก ต้องดูอาการกันไปก่อน”

หมอแดนตอบอ่อนโยน

“ร่างกายบอบช้ำมากทั้งภายนอกภายใน แต่เราจะช่วยดูแลให้ดีที่สุดนะ ฮุน”

แหม่มเอมิลี่ยิ้มอ่อนหวาน ให้กำลังใจ

ภาพสองผัวเมียมิชชันนารีอเมริกัน ช่วยกันทายาให้คนงานชาวจีนอย่างอ่อนโยน คนละไม้คนละมือ สลับกับหันมาสบตา มองหน้า ส่งสัญญาณเอาใจช่วยกันและกันนั้น ทำให้หัวใจของฮุนหวั่นไหวไปด้วยแรงสะเทือนใจระคนความปลาบปลื้ม

ฮุนมองเอมิลี่ที่เงยหน้ามาพูดคุย หมอแดนก้มลงฟัง ปรึกษา ถามตอบ รับฟังกันไปมา เคียงบ่าเคียงไหล่

เขาไม่ค่อยได้เห็นภาพนี้ในคนไทยหรือคนจีน ที่ผัวเมียจะร่วมไม้ร่วมมือ ทำกิจกรรมใดใกล้ชิดกันเช่นเพื่อนร่วมงานและร่วมชีวิตอย่างคนเสมอภาคกันเช่นนี้

ฮุนหยิบสมุดประจำตัวมา แล้วลงมือเขียนรวดเร็ว เป็นภาพลายเส้นสองสามีภรรยา

ฮุนไม่รู้ตัว ว่าภาพที่อบอวลด้วยความรัก ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว เป็นคู่ผัวตัวเมียแบบ

ผัวเดียวเมียเดียวตามคติอเมริกันคริสเตียนโปรแตสแตนต์ ที่เขาประทับใจจนต้องวาดรูปเก็บเอาไว้นี้…จะเป็นเหมือนตราประทับลงไปในจิตใจเบื้องลึกของเขาไปจนวันตาย

 

หลังเพลวันนั้น ในพระอุโบสถวัดแจ้ง ครูพุดมองอย่างพอใจ ที่เห็นฮุนกำลังวาดหน้าตัวพระซ้ำๆหลายหน้า ให้ช่วยพิจารณา เป็นใบหน้าเรียบ เฉย ดุจหน้าหุ่น ดวงตาทอดมองเบื้องต่ำ

“เออ…เจ้าฮุน วาดหน้าตัวพระได้สงบงามเรียบร้อยดีแล้ว”

“ไม่ยิ้มอย่างคิดร้าย เจ้าเล่ห์เจ้ากลแล้วใช่ไหมขอรับ”

ฮุนถามย้ำ

ศิษย์พี่ผู้สักขาลายที่กำลังวาดตัวกากอยู่บนผนัง เข้ามาชะโงกดู

“หากเป็นศิษย์ครูทองอยู่จะไม่ต้องถูกตำหนิเยี่ยงนี้ เพราะทุกคนฝึกเขียนอย่างแบบแผนเท่านั้นแต่แรก จึงไม่มีผู้ใดกล้าวาดหน้าตัวพระตัวนางอย่างหน้าชาวบ้านเด็ดขาด”

ฮุนเงยมา กล่าวเสริม “หน้าทุกตัวในภาพของคุณหลวงวิจิตรเจษฎางดงามเจริญตาจริงๆ เหล่าอินทร์พรหม เทวดา นางฟ้า มองดูแล้วจิตใจเหมือนถูกกล่อมเกลาให้สูงส่งดุจได้ไปเห็นชาวฟ้าชาวสวรรค์จริงๆ”

ศิษย์พี่ผู้มีหนวดเครา เข้ามาแบ่งปันความคิด

“ส่วนพวกเรานั้น เห็นงานครูที่เขียนในสมุดเก็บสะสมไว้ ล้วนแต่เป็นภาพผู้คนแปลกๆ แตกต่าง ครูเขียนกระทั่งหน้าตาของพวกเราเอง อย่างมองดูก็รู้ว่าครูเขียนผู้ใด เราจึงสนุกกันที่จักฝึกวาดหน้าชาวบ้านตลกๆ ต่างๆ ก่อน จนติดเป็นนิสัยไปบ้าง”

ครูพุดช่วยสรุปให้

“วาดได้หลายหลากต่างๆ กันไปได้มากๆ ก็ดี เพียงรู้จักเลือกเฟ้นนำมาใช้ตามกาลเทศะให้ถูกที่ถูกเวลานั้นต่างหาก ที่สำคัญ”

 

เวลานั้น พระภิกษุผู้ควบคุมดูแลเหล่าช่างเขียนที่มาเขียนผนังวัดแจ้ง ที่ช่างเขียนเรียกขานอย่างสนิทสนมว่าหลวงพี่ไกร เดินนำพระภิกษุอีกสองรูปเข้ามา พลางเอ่ยเสียงเคารพนบนอบ

“ไม่ได้ดอกขอรับ เรื่องมหาเวสสันดร…ต้องฝีมือท่านพระครูจริงๆ

ท่านผู้อาวุโสสูงสุด เอ่ยถ่อมตัวกลั้วหัวเราะ

“ผมก็แก่ตัวเต็มที หูตาชักผิดเพี้ยน ต้องอาศัยพระบุญลือเขียนเส้นละเอียดๆ แทนหมดแล้ว

“นั่นซี พระบุญลือนี่เขาร่ำลือจริงๆ ว่าเป็นเอกทางมหาชาติ ไม่ว่าเรื่องเทศนา รือเขียนภาพ

ท่านทะลุปรุโปร่งแท้” หลวงพี่ไกรสนับสนุน

นามพระบุญลือที่แว่วมาเข้าหู ทำให้ฮุนที่กำลังคนๆ ผสมสีเนื้อเพื่อจะเขียนหน้าตัวภาพอยู่ หันไปดู เมื่อเห็น ชายหนุ่มก็ถึงแก่หยุดมือ กระโดดโลดขึ้น

พระบุญลือกำลังชี้ทางให้ท่านพระครูผู้เป็นครูช่างเขียนของท่านด้วย

“ของเรา ที่หน้าต่างฝั่งโน้นขอรับท่านพระครู”

ฮุนถลันเข้าไปขวางหน้าพระทั้งสามรูปแล้วนั่งยองลง ยกมือไหว้ท่วมหัว ทั้งๆ ที่ยังมีแปรงอยู่ในมือข้างซ้าย

“หลวงพ่อ หลวงพี่ขอรับ หลวงพี่มาเขียนเวสสันดรชาดกโบสถ์นี้ด้วยกันอีกแล้วรือ เป็นบุญจริงๆ ขอรับ”

พระบุญลือตกใจ เขม้นมอง แล้วประหลาดใจอย่างมาก

“ฮุนหรือนี่”

ท่านพระครู ช่างเขียนที่เป็นพระผู้อาวุโสก็จำฮุนได้เช่นกัน

“อ้าว ฮุน นึกว่าจีนผมเปียที่ไหนมาเป็นช่างเขียน เห็นจะมีคนเดียวนี่แหล”

“กระผมเองขอรับ”

ฮุนพนมมือแทบอก ยิ้มแฉ่งเต็มหน้า เบิกบานยินดีถึงที่สุด

พระครูอดไม่ได้ที่จะรีบสังเกตมือของชายหนุ่ม เห็นเขามีแปรงที่อุตส่าห์เอาหนีบไว้ในหว่างนิ้วมือข้างซ้าย ส่วนมือขวาก็ดูสมบูรณ์ดีในการกระพุ่มไหว้

“ดีทั้งสองมือหรือนี่ เป็นยอดช่างเขียนจริงๆ”

ฮุนเข้าใจว่าท่านหมายความถึงอะไร ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เขาเองก็ลืมไม่ได้เช่นกัน

“ต้องกราบขอบพระคุณ…ยาน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อขอรับ”

ฮุนเรียกท่านด้วยคำเดิมว่าหลวงพ่อ

“ตอนนี้ เราไม่มีแรงกวนยาแล้ว”

ท่านพระครูถ่อมตัวตามนิสัย

“พระบุญลือแน่ะ สืบทอดไปทุกสิ่งอย่าง ทั้งวาดรูป ทั้งกวนยาน้ำมันรักษากระดูก อวัยวะต่างๆ”

พระบุญลือยิ้ม สายตาอันว่องไวมองเห็นสีที่ติดปลายแปรง ว่าเป็นสีหน้าตัวพระนาง ที่เป็นสีเนื้อขาวเหลือบมุกสว่าง

“ฮุนเก่งแล้วรือ ได้วาดหน้าตัวภาพตัวพระตัวนางตัวเอกๆ แล้วรือ”

ฮุนไหว้ท่วมหัว

“ขอรับ”

พระบุญลือหัวเราะ กับการออกเสียง ร.เรือของหนุ่มจีน

“พูดจาก็ชัด ดีๆๆ ดีใจ…ที่ได้มาทำงานร่วมโบสถ์กันอีก”

“กระผมก็ดีใจขอรับ”

ฮุนหน้าบานยิ่งกว่าดอกไม้บานเสียอีก

 

ขวดแก้วใส่ยาเข้าน้ำมันสีต่างๆ เรียงรายอยู่บนชั้นยาในกุฏิพระบุญลือ แห่งวัดทอง

สุวรรณาราม

ฮุนเอานิ้วไล่ดูที่ละขวดด้วยความตื่นตาตื่นใจ ไม่อยากเชื่อว่าตนจะมีวันที่ได้มาเหยียบที่ตรงนี้อีกครั้งอย่างหน้าชื่นตาบาน เปิดเผยเช่นนี้

“สีเขียวๆ นั่นแล น้ำมันไพล…แลเข้าสมุนไพรอีกหลายสิ่ง เจ้าเอาไปเถิด ทาแผลสดดีที่สุด”

ฮุนไหว้ท่วมหัวเป็นครั้งที่เท่าใดแล้วก็หานับได้ไม่

“เป็นความกรุณาต่อผู้ยากเหลือเกินขอรับ กระผมจะใช้ทาร่วมกับยาฝรั่ง อาจจักช่วยชีวิตเจ้าฮกได้”

พระบุญลือทำหน้าขึง

“ถ้ามันรักษาสัจจะ ไม่กลับไปแตะต้องฝิ่นอีก บุญจักรักษามันให้รอด”

ฮุนก้มหน้าลง

“ขอรับ”

พระบุญลือมองชายหนุ่ม ตั้งใจสอนตามหน้าที่ของพระ ที่เป็นนักศึกษาหาความรู้ในโลกกว้าง เท่าๆ กับเรียนพระธรรม

“พวกเจ้าควรรู้ ว่าเมืองจีนของพวกเจ้าถูกฝรั่งอังกฤษใช้ยาฝิ่นนี้เป็นเครื่องมือในการทำลายกำลังของราษฎร เพื่อจักยึดครองเอามาให้ได้สักวัน เพลานี้ก็ง่อนแง่นกันมาก เพราะคนจีนขายฝิ่นให้คนจีนเอง จนคนจีนกลายเป็นคนขี้โรคเพราะติดยากัน ในหลวงท่านกลัวเรื่องนี้มาก ว่าคนในสยามประเทศจักเป็นทาสฝิ่น แลต้องประสบชะตากรรมเดียวกัน เจ้าควรบอกพวกมิตรสหายจีน ว่าให้อยู่ห่างจากมันเถิด”

“ขอรับ หลวงพี่”

ฮุนรับคำจริงจัง ประคองขวดน้ำมันที่พระบุญลือมอบมา ดุจทรัพย์อันทรงค่า

 

เมื่อพระบุญลือเดินนำฮุน ที่ถือประคับประคองขวดยาลงบันไดกุฏิมา เสียงกระซิบกระซาบดังๆ ของสตรีหนึ่งที่ยืนห่างพอสมควรจากพระภิกษุผู้กำลังกวาดลานด้านหน้าอยู่ ดังขึ้นพอดี

“หลวงพี่ๆ! หลวงพี่บุญลืออยู่หรือไม่”

ฮุนได้ยินเสียงก็หันขวับไปทันที

เช่นเดียวกับลำจวน ที่มองมาตรงหน้ากุฏิและเห็นชายหนุ่มผู้มีผมเปียยาวพอดี

ทั้งสองต่างหยุดมองกันตาเบิกโพลง

ฮุนนั้นดีใจจนยิ้มร่าออกมาเต็มที่ ขณะที่ลำจวนยังลังเล ไม่แน่ใจ

ลำจวนมองดูขวดยาขนาดใหญ่ในอ้อมแขนฮุนอย่างสงสัย

พระบุญลือ กลับเป็นผู้ที่อึดอัด ลำบากใจอย่างยิ่ง

“ฮุน กลับไปก่อนเถิด ไป…”

น้ำเสียงท่านบังคับอย่างดุๆ เล็กน้อย

ฮุนอ้ำอึ้ง ลังเล แต่แล้วก็เลือกที่จะปฏิบัติตาม

“ขอรับ หลวงพี่ กระผมจักไม่ลืมพระคุณเลยขอรับ”

ชายหนุ่มไม่ลืมธุระที่ทำให้เขาตามท่านมา

เขาเหลือบตาไปสบตาลำจวนอย่างจริงจัง เป็นเชิงทักทายหมายให้รู้หนึ่งแวบ

ตอนนั้น ลำจวนเข้าใจแล้วว่านี่คือเจ้าฮุน สหายเก่า

ฮุนไม่กล่าวอันใด รีบก้มหัวให้หญิงสาวแล้วรีบก้มหน้าก้มตา เดินจ้ำอ้าวจากไปทางริมน้ำ

ลำจวนมองตาม ร้อนรน แล้วหันมามองหลวงพี่ด้วยดวงตาโตวาววับ

“หลวงพี่…”

พระบุญลือรีบทำเสียงเข้มสำทับ

“มาทำอันใด ลำจวน”

หากลำจวนสวนมาด้วยคำถามที่เอาเรื่องกว่า

“เจ้าฮุนไปมาหาสู่กับหลวงพี่เสมอมารือ”

“มิได้”

ผู้เป็นน้องสาวร่วมมารดาทำสายตาตัดพ้อต่อว่าโดยไม่เอ่ยสิ่งไรอีก แล้วทันใดนั้นเด็กสาวก็หันหลัง วิ่งตามฮุนไปทันที

พระบุญลือร้อนใจวูบ

“นางลำจวน หยุด…”

แต่ลำจวนวิ่งปรู๊ดหายไปต่อหน้า

ขณะนั้นเอง ที่นางทิมวิ่งเข้ามาจากอีกทางหนึ่งพลามถามระรัวชุดใหญ่

“คุณลำจวนมาใช่ไหมคะ พระ แล้วไปไหนคะ อยู่ไหนแล้วคะ”

 

ลำจวนวิ่งเหลียวซ้ายแลขวามาตามทางที่แน่ใจว่าฮุนมุ่งไป พอดีมีพระ เณร และเด็กวัดจำนวนนึง ช่วยกันยกตั่งตัวใหญ่ผ่านมา หญิงสาวจึงรีบไหว้แล้วหลบทางให้ จนเมื่อทุกคนผ่านไป ลำจวนมองรอบๆ อีกครั้ง ครั้นหันไปทางพระอุโบสถ เธอก็เห็นว่าประตูด้านหน้าเปิดแง้มอยู่ครึ่งๆ บาน เท่าตัวคนเดินผ่านไปได้

หญิงสาวมองนิ่ง สังหรณ์แรง

ประตูที่เปิดเผยอเพียงเล็กน้อยนั้น ดูเหมือนจะส่งเสียงมาร้องเรียกเธอให้เข้ามา ณ บัดนี้



Don`t copy text!