บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 25 : หิ่งห้อยรือจะแข่งแสงจันทรา

โดย : ปราณประมูล

Loading

บุษบาลุยไฟ โดย ปราณประมูล เรื่องราวของ ลำจวน หญิงสาวผู้ต่อสู้กับค่านิยมทางสังคมในยุค ร.3 เธอลุกขึ้นทำสิ่งที่คนในห่วงเวลานั้นไม่ทำกัน หนทางจึงไม่ได้ราบรื่น หากเต็มไปด้วยอุปสรรคและถ้าไม่ใช่เพราะแรงรักแรงใจที่หนุ่มจีนคนนั้น คงยากที่บุษบาดอกนี้จะไปสู่จุดหมาย ‘บุษบาลุยไฟ’ นวนิยายเรื่องเยี่ยมที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์

เรือลำเปรียวของครูทองอยู่ ที่มีดวงตะเกียงสว่างเป็นวงอยู่ที่หัวเรือ สะท้อนแสงขึ้นมาจากห้วงน้ำอันดำมืดเชี่ยวกราก แล่นพุ่งปราดตัดสายน้ำมาจากปากคลองบางยี่ขันในความมืดใกล้รุ่ง แล้วมาจอดเทียบท่าน้ำที่ตามไฟสว่างไสว

หมื่นโชค  หมื่นเดช  หมื่นรวยและข้าทาสบริวารชายเรือนพระยาอินทรา ยืนรอรับอยู่ตะคุ่มๆ ขึงขัง

มือปราบทั้งสามรีบเข้ามาคารวะต้อนรับครูทองอยู่ เมื่อท่านขึ้นจากเรือมาพร้อมด้วยศิษย์คนสนิท และบ่าวที่ทำหน้าที่ติดตาม

“ คุณหลวงวิจิตรเจษฎา ”

หมื่นโชคกล่าวทักอย่างเป็นทางการ

“ คุณหลวงเสนีย์บริรักษ์อยู่ที่นี่แล้วรือ? ”

ครูทองอยู่ถามเสียงร้อนใจ

“ ขอรับ ”

หมื่นเดชเป็นผู้ตอบ

“ ท่านเจ้าคุณให้คุณหลวงเข้าพบเลยขอรับ ”

หมื่นรวยขึงขัง

สามมือปราบเดินนำครูทองอยู่ตัดข้ามลานบ้าน เลี้ยวลัดอ้อมเรือนใหญ่ไปตามทางดินที่ปูอิฐให้เป็นทางเดินเรียบแห้งสะอาด ที่จุดตะเกียงสว่างไว้เป็นระยะๆ สู่ศาลาใหญ่ที่อยู่ด้านหลังลึกเข้าไป

เจ้าคุณนครบาลกำลังนั่งทำการในศาลาที่จุดตะเกียงสว่างเป็นพิเศษบนยกพื้น  พิงหมอนขวาน

นั่งฟังความอยู่ด้านนึง

มีโต๊ะเตี้ย วางสมุดไทยพร้อมชุดเครื่องเขียนปากกาและขวดหมึก โดยมีเจ้าหน้าที่คนนึง ทำหน้าที่จดบันทึก

ชายหนุ่มสามนายแต่งกายอย่างขุนนางทว่ายับเยินเลอะเทอะ หน้าตาอ่อนล้าหมดแรง นั่งกับพื้นต่ำเบื้องล่าง กำลังให้การอยู่

“ กระผมขอรับรองว่าเป็นความสัตย์จริงทุกประการขอรับ ”

ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังกล่าวคำสุดท้าย

เจ้าหน้าที่ ผู้จดบันทึก เขียนตามคำบอกรวดเร็ว จากนั้น เลื่อนสมุดเล่มใหญ่นั้นหันกลับหัว มาตรงหน้าพยานทั้งสาม

“ ลงนามเสีย! ”

ข้าราชการหนุ่มทั้งสามลุกขึ้น เข้าไปนั่งหน้าโต๊ะนั้น ทยอยกันหยิบปากกามาลงชื่อ ยศ ตำแหน่งหน้าที่ หน่วยงานต้นสังกัด และราชทินนาม

ครูทองอยู่และคณะมาหยุดยืนรอกันอยู่ตรงหน้าศาลา

เจ้าคุณหันมาเห็น รีบพนมมือสูงถึงหน้าผาก แสดงความเคารพนับถือมิใช่น้อย

“ ครูทองอยู่..คุณหลวง..เชิญขอรับ ”

ข้าราชการทั้งสามได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ผู้สอบสวนให้กลับได้ ต่างหันมามองทองอยู่ แล้วยกมือไหว้ ก่อนพากันเดินจากไป

ครูทองอยู่มองหา แต่ไม่พบคงแป๊ะในที่นั้น

“ คุณหลวงเสนีย์บริรักษ์เล่า ท่านเจ้าคุณจองจำไว้รือ ”

สายตาช่างเขียนใหญ่ที่มองหน้าเจ้าคุณ เข้มข้นขึงขัง

“ กระผมก็ดูแลสมแก่เกียรติยศของท่านแล สามคนนั้น..”

ท่านเจ้าคุณตอบเสียงก้องห้าวทุ้มสุขุมสุภาพ พยักไปทางชายหนุ่มทั้งสามที่เดินออกไป

“ เป็นข้าราชการทางด้านการบาญชีในกรมนครบาลนี่แล เขามาเป็นพยานให้ครูคงแป๊ะ ว่าท่านมิได้ฆ่าชายนั้นโดยเจตนา เป็นการป้องกันตน แม้แต่อาวุธ ก็คือมีดของชายผู้ตายเอง ”

ท่านเจ้าคุณอธิบายอย่างเรียบๆรวบรัด ให้ครูทองอยู่คลายใจ

“ ได้ยินว่า..เหตุเกิดในร้านสุรา มีหญิงงามเมืองเป็นเหตุ ”

ครูทองอยู่น้ำเสียงตำหนิดุจบิดาโกรธบุตรของตน ขมวดคิ้วอย่างขุ่นข้อง ทว่าวิตกกังวลห่วงใย

“ ความจริงเป็นเช่นไร เกิดวิวาทเหตุเพราะแย่งชิงหญิงนั้นกันรือ ”

ช่างเขียนผู้มีระเบียบเรียบร้อยทั้งต่อหน้าลับหลัง ย่อมไม่สบจริตกับความประพฤติที่ท่านตัดสินว่าเสื่อมเสีย

เจ้าคุณนครบาลยิ้มอ่อนโยนละมุนละไม

“ มิได้ขอรับ ชายผู้ตายทำร้ายร่างกายหญิงนั้น คนนครบาลสามคนนั้นก็เข้าช่วยหญิงนั้นเช่นกัน แต่เข้าถึงตัวมิได้ เพราะชายนั้นมีมีด  พอดี..หญิงนั้นหนีไปให้ทางกลุ่มช่างเขียนช่วย แลคงแป๊ะ ต้องเผชิญหน้ากับผู้ตายโดยปัจจุบันทันด่วน จวนแจ แต่ก็นั่นแหล ท่านได้พลั้งมือ แทงมันถึงแก่ความตายเป็นที่สุด ”

ครูทองอยู่ถอนใจใหญ่

“ ไม่น่าเลย  ”

ท่านมองเจ้าคุณอินทรา สายตาอ้อนวอนร้องขอ

“ ไม่ทราบ โทษทัณฑ์เช่นนี้จะหนักหนาเพียงไร ”

ใต้ถุนเรือนแถวหมู่สำหรับไพร่พลบริวารด้านหลัง สร้างเป็นคุกจองจำนักโทษไปในตัว พื้นปูน ผนังซี่กรงเหล็กแน่นหนา ในแต่ละห้อง มีเสาหลัก โซ่ตรวน อีกทั้งขื่อคานานาชนิด แล้วแต่ประเภทและความร้ายแรงของความผิด

ฮุน  ที่นอนหลับเหยียดยาวอยู่บนพื้นปูนแข็งๆเย็นเยียบที่หน้าห้องขัง สะดุ้งตื่นขึ้น เพราะเสียงมโหรีที่ดังมาจากแพริมคลอง เสียงระนาดเอกแผดเตร๊ง! ดังลั่นนำมา แล้วทั้งวงบรรเลงตามต่อ เป็นเพลงทรงพระสุบิน บุหลันลอยเลื่อน พระราชนิพนธ์ของแผ่นดินก่อน

ฮุนงงๆ รีบลุกนั่ง มองรอบตัว จับต้นชนปลายอยู่ครู่ใหญ่

พวกบ่าวและทาสที่เดินไปมา ทั้งทำหน้าที่เวรยามและเตรียมข้าวเตรียมน้ำให้นักโทษ หันมามองชายหนุ่ม อย่างระแวงระวัง แสงไต้แสงตะเกียงที่ตามไว้สว่างไสวแต่เมื่อคืนเริ่มถูกดับลงทีละดวงสองดวง เมื่อฟ้าสาง ควันจากการสุมไฟไล่ยุ่งที่ลานด้านหลัง ลอยมาบางเบา

พอนึกออก ฮุนก็ทำตัวลีบ สำรวม สงบเสงี่ยมนอบน้อม

ครูพุดนั่งพิงเสาสัปหงกอยู่ ที่แขนมีผ้าพันแผล มีเลือดซึมๆ

เสียงนักร้องของวงดนตรีผู้หญิง ซึ่งก็คือนวลนั่นเอง ขับร้องเนื้อเพลง เสียงแหลมเล็กบาดหู ปลุกคนง่วงได้ดีนัก

ฮุนไปชะโงกดูครู ที่อยู่หลังซี่กรง

ในห้องขัง คงแป๊ะหาได้นอนหลับไม่ เพียงเอนหนุนแขน ดวงตาเลื่อนลอย ที่ขาตีตรวนตรึงไว้กับเสาหลัก

“ ท่านครูขอรับ ”

ฮุนเรียกเบาๆ

คงแป๊ะไม่ขยับตัว แต่เหลือบตามา มองฮุน แววตาขำๆยิ้มๆ

ฮุนน้ำตาคลอ ทรุดลงนั่ง พนมมือท่วมหัว

“ กระผมนำความเดือดร้อนมาให้ครูแท้ๆ ”

“ จุ๊ๆๆๆๆ ”

คงแป๊ะดุ พลิกตัวมานอนตะแคงแก้เมื่อย

“ อั๊วะฟังลื้อพร่ำรำพันซ้ำซากเยี่ยงนี้มาทั้งคืนแล้ว พอทีเถิด เงียบ..ขออั๊วะนอนฟังดนตรีเพราะๆ จะดีกว่า ”

คงแป๊ะเอานิ้วชี้แตะริมฝีปาก แล้วกระดิกชี้ไปตามทิศทางที่เสียงมโหรีดังมา ให้ฮุนเงียบฟัง

ครูพุดหาว ลุกขึ้นบิดขี้เกียจ แล้วเจ็บแผลจนทรุดลงใหม่ ไม่วายวิพากษ์วิจารณ์ไป ซู้ดปากระบายความเจ็บปวดไป

“ ซี้ด ราวกับเพลงกล่อมหอ โอย..บ้านใกล้ๆนี้จะแต่งงานรือ ”

หมื่นเดช หมื่นรวย เดินเข้ามาได้ยินพอดี

“ ไม่ใช่บ้านข้างๆดอก ท่านเจ้าคุณเองนั่นแหลกำลังจะแต่งงาน วงดนตรีผู้หญิงของท่าน ซ้อมเพลงกล่อมหออยู่ที่แพทางโน้น ”

หมื่นรวยยิ้มแย้มเอออวย

“ บ๊ะ..ทำราวกับเจ้ากับนาย ”

ครูพุดเผลอปาก

สองมือปราบหันมองขวับ

“ เจ้าว่าอันใด ”

หมื่นเดชเสียงเขียว

“  เปล่าๆๆ อูยๆๆ ”

ครูพุดส่ายหัวถี่ ก้มหน้าเจ็บแผลไปเงียบๆ ท่าจะดีกว่า

หมื่นรวยกระแอมข่ม

“ ระวังปากด้วย! ”

คงแป๊ะรีบแก้ให้อย่างอารมณ์ปลอดโปร่ง

“ ท่านเจ้าคุณเป็นผู้มีบารมีสูง สนับสนุนงานช่างหลายด้าน รวมทั้งงานละเม็งละคร หนังสือหนังหา แม้แต่งานของพวกเรา ตามวัดวาต่างๆ ท่านก็ร่วมเป็นเจ้าภาพคนสำคัญคนหนึ่งมาหลายครั้ง  รู้ไว้เสียด้วยเถิดเจ้าพุด ”

ท่านมองกำราบพุด และหันไปยิ้มให้ทางรวยและเดช

“..ฝากกราบเรียนท่าน ว่ากระผม..หลวงเสนีย์บริรักษ์ขอแสดงมุทิตาจิตด้วย ”

หมื่นเดช หมื่นรวย ช่วยกันไขเปิดประตูกรง

“ จะไปถ่ายหนักเบารือไม่ คุณหลวง ”

“ ไปซี..”

หมื่นเดช  หมื่นรวย เข้าไปประกบตัวคงแป๊ะ ประคองให้ลุกขึ้นมา เพราะท่านถูกจองจำจนขาแข็งไปหมดแล้ว

หมื่นโชคเดินนำท่านเจ้าคุณนครบาล ที่นุ่งผ้าลอยชายตามสบายมาแต่ไกล

พวกบ่าวไพร่และทาสที่ทำงานอยู่บริเวณนั้นเห็นท่าน ต่างขยับตัว คุกเข่าบ้าง หมอบลงพนมมือไหว้ต้อนรับกันราบลู่เป็นต้นอ้อต้องลม

ครูพุดรีบมานั่งคุกเข่าข้างฮุน พนมมือแต้ แม้มือข้างนึงจะงอลงเพราะความเจ็บ

เจ้าคุณอินทราเดินเข้ามาหาคงแป๊ะโดยตรง

“ เจ้าคุณ..ได้ยินว่ากำลังจะแต่งงาน..”

เจ้าคุณยิ้มละไมเพียงในหน้า

“ ขอรับ ท่านครูคง ”

“ ขอให้ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ”

คงแป๊ะอวยพร

คงแป๊ะ และเจ้าคุณ ต่างยืนกันองอาจ ตอบโต้กันข้ามหัวฮุนและครูพุด ที่นั่งแปะพับเพียบแต้กับพื้นอยู่แทบเท้า

เจ้าคุณหัวเราะเบาๆ แววตาชื่นชม

“ ท่านครูสมเป็นท่านครู..จิตใจฮึกเหิมดีมาก ไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะใด ”

คงแป๊ะหัวเราะหึๆ

“ ขออนุญาตไปถ่ายหนักถ่ายเบาก่อนนะ เดี๋ยวค่อยกลับมาพูดจากัน จะลงโทษลงทัณฑ์สถานใด เอาไว้หลังถ่ายท้องก่อนก็แล้วกัน เผื่อต้องเอาตัวไปตัดหัวขั้วแห้ง จะได้ไม่ขี้เยี่ยวราด เป็นที่น่าสะอิดสะเอียนแก่ผู้คนจนเกินไป ”

เจ้าคุณส่ายหัว

“ ท่านครูนี่น้า.. คือว่าเพลานี้ มีท่านผู้ใหญ่หลายท่านกำลังเร่งเข้าเฝ้าถวายฎีกาเป็นการด่วน..เรื่องคดีนี้  กระผมก็เป็นเพียงผู้รักษากฎหมาย หากมีพระราชโองการตัดสินคดีมาว่าอย่างไร  กระผมก็ต้องทำตามทั้งนั้น  กระผมเพียงจะมาบอกกล่าวด้วยตัวเองว่า..ท่านครูอย่าเพิ่งร้อนใจไป แต่ท่านครูก็ดูเหมือนมิได้ร้อนใจอันใดอยู่แล้ว เช่นนั้น ก็เชิญท่านครูตามสบายเถิด ”

คงแป๊ะไม่วายหันมาเย้า

“ อยากทราบเพียงว่า..เจ้าสาวสวยไหม? ”

เจ้าคุณอินทราหัวเราะ มีความสุขยิ่งนัก

“ สวยงามฉลาดเฉลียวทีเดียว เป็นลูกสาวคนเล็กของนายโรงสุ่นกับแม่จำปาเมียลาว  งามเพียงไรก็ลองคิดดูเถิด ”

ฮุนสะดุ้ง มองหน้ากับครูพุดทันที

เจ้าคุณเดินออกไป ชายผ้านุ่งสะบัด เฉียดหน้าเฉียดหัวฮุน ซ้ำเข้าไปอีก

ฮุนรู้สึกตัวชา ดวงตาพร่าพราย

ตำแหน่งแห่งที่ของเจ้าฮุนเปียยาวก็คือแทบเท้าให้ท่านเจ้าคุณกับพวกหัวหมื่นมือปราบที่ยิ่งใหญ่ค้ำท่วมหัวหู ประดุจว่าตัวมันเป็นเพียงเศษดิน

คงแป๊ะเดินออกมา ไม่วายเหลียวกลับไปมองศิษย์รักด้วยความสมเพช

ใจนึกไปถึงโลกนิติคำโคลงอีกบทหนึ่ง ที่ในหลวงโปรดให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนเดชอดิศร(ต่อมาดำรงพระยศเป็น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร)ทรงชำระโคลงสำนวนเก่าให้ไพเราะงดงามยิ่งขึ้น แล้วจารึกไว้ที่วัดโพธิ์หลายชิ้น บทดังกล่าว ความว่า

หิ่งห้อยส่องก้นสู้            แสงจันทร์

ปัดเทียบเทียมรัตน์อัน     เอี่ยมข้า

ทองเหลืองหลู่สุวรรณ      ธรรมชาติ

พาลว่าตนเองอ้า           อาจล้ำ เลยกวี

แสงหิ่งห้อยอย่างมันหรือจะสู้แสงจันทรา หรืออาจเทียมเท่าแสงตะวันด้วยซ้ำของท่านเจ้าคุณ และหากท่านคือทองคำแท้ ไอ้ฮุนมันก็เป็นแค่เศษทองเหลืองต่ำช้าเท่านั้นเอง

เพลาสายวันนั้นเอง ที่นางทัดไปทำหน้าที่ตัวแทนเจ้าคุณอินทรามาเจรจาขอขมาลาโทษว่าที่พ่อตาแม่ยาย  วางพานดอกไม้ ธูปเทียนแพ ลงตรงหน้านายสุ่นและคุณนายนอบ

“  ท่านเจ้าคุณขอให้อิฉันทำหน้าที่แทนท่าน ท่านติดคดีใหญ่ กำลังรอพระราชโองการ จะให้ประหารรือไม่ประหารนักโทษฆ่าคนอะไรนี่แหละ  จึงไม่อาจมาขอสมาลาโทษต่อนายสุ่นและคุณนายนอบด้วยตนเองได้  ท่านละอายมากจริงๆที่ได้กระทำรุ่มร่ามบุ่มบ่ามข้ามหน้าข้ามตาไปหน่อยในวันนั้น เหตุเพราะท่านมีจิตประดิพัทธ์ในตัวแม่ลำจวนอย่างสุดใจ ต้องการจะเลี้ยงดูเป็นเมียอย่างออกหน้าออกตาให้อยู่บนเรือนใหญ่ ต่อไปมีทายาท ท่านก็จะมอบทรัพย์สินมรดกให้ตามควร เช่นเดียวกับเมียแต่งและเมียรองอื่นๆ มิใช่เป็นเพียงนางบำเรอ จึงขอให้นายสุ่น คุณนายนอบ แลแม่จำปา จงรับการสมาลาโทษครั้งนี้ด้วย ”

คุณนายนอบยิ้มกว้างขวางไม่หุบ  ส่วนนายสุ่นควบคุมอาการยินดีไว้ได้อย่างสงบพอดีพองาม

แม่จำปาที่นั่งถัดมา ก้มหน้า อึดอัดใจ เพราะรู้ความในใจของลูก

ขณะที่ลำจวนหน้าซีดเผือด ตัวชาแล้วชาอีก ขนลุกแล้วลุกอีก

ต่อจากนั้น นางทัดก็สวมบทบาทเถ้าแก่ สู่ขอเจ้าสาวต่อทันที อย่างกันเองยิ่งนัก

นางทัด เปิดฝาขันหมากออก มีเครื่องทองรูปพรรณ ได้แก่เข็มขัด กำไล สร้อย แหวน อย่างละหนึ่งชิ้น กับต่างหูหนึ่งคู่ วางอยู่ในนั้น แพรวพราวแวววาวอะร้าอร่ามเหลือใจ ในแสงตะวัน

เนตรและนพ หน้าบาน ปลื้มใจในวาสนาน้องสาวคนเล็กร่วมบิดา

“ ท่านเจ้าคุณขอมอบของหมั้นให้แก่บิดามารดาของแม่ลำจวน ”

นางทัดกล่าว แล้วหยิบแหวนเพชรวงใหญ่ระยิบระยับ เรือนทองอร่ามขึ้นมา

“ ส่วนนี่ คือแหวนหมั้นสำหรับแม่ลำจวน มอบให้แม่ลำจวนสวมติดตัวไว้เลยจ้ะ ”

นางยื่นมือออกมา รอให้ลำจวนส่งมือซ้ายมาให้

นางจำปา นำผ้าซิ่นไหมสี่ตะกองามระยับ ที่รีดมาใหม่ๆ ขึ้นมันวาบกรากราวกับมีเส้นทองแท้ทอประสานอยู่ด้วยในนั้น

หม่อมน้อย ลูกสาวคนพี่ของคุณนายนอบ ออกมาจากวังเสด็จฯ ประคับประคองสไบกรองทองงามสูงค่ามาวางลงเข้าคู่กัน

“ สไบกรองฝีมือเช่นนี้ พี่เฝ้าขอประทานมาจากหม่อมใหญ่ท่านมาให้ลำจวนห่ม วันเดินทางไปเข้าหอ ”

สายตาเธอยินดีด้วยอย่างมาก

“จะไม่เป็นการแต่งกายเกินฐานะไปรือคะ หม่อม ”

จำปาก็ปลื้มอยู่ในอก ทว่าเอ่ยดักทางป้องกันไว้ก่อน

“ ก็เห็นว่าผู้คนที่เรือนนั้นแต่งกายแข่งขันราวกับวงดนตรีผู้หญิงในวัง ลำจวนจะได้ไม่น้อยหน้าผู้ใด ”

หม่อมน้อยเธอคิดมาดีแล้ว

“ แม่นวลก็ให้บ่าวมาบอก ว่าที่แพ มีการซ้อมเพลงซ้อมละคร เพื่อเล่นต้อนรับเจ้าอย่างเอกเกริกหนา

ลำจวน  ท่านรักใคร่หลงใหลเจ้ามากเหลือเกิน ราวกับอิเหนาเห็นบุษบาครั้งแรกนั่นแล ”

คุณนายนอบโอ้โลมปฏิโลมลูกเลี้ยง ที่นั่งขมวดคิ้วยุ่งอยู่

แม่จำปาช่วยยออีกแรง

“ เจ้าแต่งสีนี้แล เมื่อนั่งไปในเรือวันพรุ่ง จักงามจนคนต้องลือกันไปทั้งสองฝั่งคลองอีกนาน ”

ลำจวนยังคงไม่ปริปาก

หม่อมน้อยมองไป เห็นดอกพุดสีขาวช่อใหญ่ ปักอยู่ที่แจกัน ที่หน้ากระจกของจำปา ลุกไปหยิบมาถือ ดม ทำท่าฝัน

“ รู้ไหม ว่าพวกฝรั่ง เวลาแต่งงาน เจ้าสาวจักถือดอกไม้สดเป็นช่อใหญ่เช่นนี้ติดตัว”

“ จริงรือลูก ไปเห็นจากไหน ”

นางนอบช่วยคุย เผื่อลำจวนจะเคลิ้มตาม

“ จริงค่ะ  ภาพวาดในบัตรแผ่นภาพสีสวยๆ ในกล่องสบู่จากเมืองอเมริกาค่ะ ”

หม่อมน้อยคุย

“ สบู่จากเมืองอเมริการือ คนในวังคุณน้อยเขานิยมกันรือคะ

จำปาสำนอง

“ เขาเรียกภาพโป๊ดสะก๊าด เปิ๊ดสะก๊าด อันใดนี่แหล คนในวังก็มีกันคนละไม่กี่ใบ แต่เขาว่ากันว่า คุณพุ่มบุษบาท่าเรือจ้างนี่แหล ที่สะสมไว้เป็นสำรับ เพราะแต่ก่อน เธอได้รับของขวัญที่มาจากอเมริกาบ่อยๆ ”

หม่อมน้อยคุยฟุ้ง เพื่อแสดงว่ารู้จักชนชั้นสูง และรู้ความนัยไม่น้อย

เมื่อได้ยินนามสตรีนั้น ลำจวนเพิ่งเงยหน้าฟัง ตาโตโพลง รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าสนใจยิ่ง

“ โอ๊ย..จะมีใคร..ที่เป็นผู้ส่งให้ ก็มีอยู่ผู้เดียว ที่คบหาฝรั่งเต็มวัง ”

คุณนายนอบก็เกิดจะเป็นนักนินทาเจ้านินทานายกับเขาขึ้นมาบ้าง

“ จุ๊ๆๆๆ คุณแม่ อย่าอึงไปสิคะ ”

หม่อมน้อยจุ๊เป็นจิ้งจก

“ เรื่องเก่าแก่นานเนแล้ว อย่าไปนินทาเธอเลยค่ะ ”

แม่จำปายิ้มแบบคนดี ทำให้ลูกสาวคนโตคุณนายนอบ รีบออกตัว

“ ไม่ได้นินทาค่ะ ลูกชื่นชมเธอ เธอไม่อาลัยในอดีตใดๆ ไม่มีลูกกวนตัว ไม่มีผัวกวนใจ อยู่เป็นสาวหน้าขาวนวลใยอยู่ที่แพท่าพระผู้เดียวอย่างไม่เกรงกริ่งผู้ใด แลไม่มีผู้ใดกล้าไปแหลมกับเธอ ”

“ พี่ไม่พุทโธด้วยดอก ผู้หญิงเช่นนี้ ”

เสียงบุรุษแย้งขึ้นมาอย่างขุ่นใจ

สตรีทุกคนหันไป

นพยืนพิงที่ขอบประตูห้องแม่จำปา เคี้ยวหมากกร้วมๆ

“ ผู้หญิงอะไร รับจ้างคัดลอกสมุดหนังสือเอกสารราชการ วันๆ พบปะผู้ชายเดินขึ้นเดินลงแพกันคึ่กๆ ที่เขาเรียกกันว่าบุษบาท่าเรือจ้าง มันมีนัยยะ อย่านึกว่าเป็นคำชม เธอคัดสมุดต่างๆ แลมีคนไปจ้างกันมาก นึกว่าเพราะเธอลายมือดีรือ หามิได้ เขาจะไปหาทางชมโฉมโลมเลียมเธอกันให้ถนัดๆเสียล่ะไม่ว่า ผู้หญิงอะไร กล้าอยู่ลำพังคนเดียวไม่กลัวคำครหา มีลูกมีหลานผู้หญิง ไม่ให้ไปรู้ไปเห็นพฤติการณ์พรรค์นี้ดอก ”

ลำจวนก้มลง เอามือรีดผ้านุ่งไปมา ซ่อนความรู้สึก

นัยน์ตาหญิงสาว ว้าวุ่น ครุ่นคิด

บ่ายต้นๆ ขณะที่คณะละครหญิงสาวล้วน กำลังซักซ้อมร้อง รำ เล่นดนตรีที่แพใหญ่ริมคลองบางยี่ขัน เรือหลวงลำใหญ่ยาว ขนาดหกฝีพาย พายมาเร็วรี่ เทียบท่าใหญ่ด้านข้าง ก่อนถึงตัวแพ

สตรีทุกนางวางมือ ลุกไปดู

ครูทองอยู่หรือคุณหลวงวิจิตรเจษฎา พระมหามนตรีตำรวจขวา  หลวงสิทธิ์นายเวรมหาดเล็ก กับเจ้าหน้าที่เชิญพระราชสาส์นสองนาย  ก้าวลงจากเรือมาเป็นขบวนสง่างาม

หลวงสิทธิ์ฯ รับพานพระราชสาส์นมาถือเอง ก้าวนำไป ร่างตรง ท่วงท่าสง่างามผึ่งผาย

นางละครสาวๆแอบส่องดูทางหน้าต่างแพ หลังม่าน ร้องกิ๊วก๊าว

“ นั่นหลวงสิทธิ์นายเวร มหาดเล็กคนสนิทของพระเจ้าอยู่หัว ”

“ จริงรือๆๆ ว้ายๆๆ ”

สาวใหญ่สาวน้อยมาเบียดแย่งกันแอบชมโฉมชายหนุ่มรูปงาม เหยียบเท้ากันวี้ดว้าย

หมื่นโชค หมื่นเดช หมื่นรวย  เข้ามารับคณะบุรุษจากวังหลวง พากันรีบเร่งไป

 

ณ.ศาลาไต่สวน  เจ้าคุณนครบาลถวายบังคม เอางาน รับพานพระราชสาส์น เปิดอ่านด้วยสีหน้าสงบนิ่ง แสดงความเคารพสูงสุด

คงแป๊ะผุดลุกขึ้นอย่างสงบเยือกเย็น มองไปที่คณะบุคคลที่ก้าวเดินกันมาตามทางอย่างเป็นขบวนพิธีการ

บ่าวไพร่ ผู้คุม คนคุกทั้งหลาย  รีบตั้งแถวลง หมอบกราบกันเป็นทิว

ฮุนกับครูพุดที่นั่ง ๆนอนๆ เอนหลังอยู่หน้าห้องตาราง แตกตื่นตกใจ รีบลุกเตรียมเนื้อเตรียมตัว

เจ้าคุณอินทราแห่งนครบาล ถือพระราชสาส์นนำมา มีท่านอื่นๆ ตามมาเป็นขบวน พากันหยุดยืนเป็นแถวอย่างสง่าอยู่เพียงในลานด้านหน้าเรือนนั้น ไม่ลอดเข้ามาข้างใต้

หมื่นโชคไขกุญแจ เปิดประตูกรง หมื่นเดชและหมื่นรวย ช่วยกัน ไขเครื่องตรวน ปลดปล่อยพันธนาการ แล้วประคองคงแป๊ะออกไปจากคุก

“ หลวงเสนีย์บริรักษ์ รับพระราชโองการ ”

คงแป๊ะนั่งลง ถวายบังคมต่อหน้าพระราชสาส์น

ฮุน ครูพุด ที่ตามมา นั่งลงหมอบกราบตาม

ท่านเจ้าคุณ เริ่มอ่านอย่างเป็นทางการ น้ำเสียงห้าวใหญ่ ทรงอำนาจอาจ-อง

ครูทองอยู่ พระมหามนตรี หลวงสิทธิ์ฯ ก้มหน้า เงียบสงบ เคร่งขรึม

ดวงหน้าคงแป๊ะ กระจ่างแจ่ม เปี่ยมด้วยความปีติ ตื้นตัน

เมื่อคณะบุรุษเหล่านั้นชักแถวกันเชิญพานกลับออกมา สาวๆชาวละครและวงมโหรี ก็วิ่งมาแอบดูกันอีก

รอบนี้ มีคงแป๊ะ เดินมาในการควบคุมของพระมหามนตรี หลวงสิทธิ์ฯ และเจ้าหน้าที่วัง

ทั้งหมดลงเรือไป รวมทั้งครูทองอยู่ ครูพุดและฮุนด้วย

ท่านเจ้าคุณ และมือปราบทั้งสาม ยืนส่งขบวนอย่างสงบ สำรวม เป็นพิธีรีตอง จนพวกสาวๆที่แอบอยู่หลังม่านหน้าต่างแพ พากันสงบเรียบเงียบกริบไปด้วย

 

เมื่อเรือหลวงลำนั้น แล่นออกจากท่าเรือบ้านท่านเจ้าคุณนครบาล

ฮุนเหลียวกลับไปมองอาณาเขตเรือนหมู่ และกลุ่มแพอันใหญ่โตกว้างขวาง มีหลายบริเวณรวมกัน แต่แบ่งแยกเป็นสัดส่วน ทั้งที่อยู่อาศัยเหมือนจวนหรือคุ้มของท่านเสนาบดีผู้ยิ่งใหญ่ สำนักงาน เรือนบ่าวไพร่บริวาร รวมทั้งสถานจองจำ ลานลงโทษคนผิด ฯลฯ.

ความคิดของชายหนุ่มสับสนว้าวุ่น

คงแป๊ะเหลียวมองไปณ.จุดเดียวกัน รำพึงเบา

“ สมกับที่เขาลือว่าท่านเจ้าคุณท่านเป็นคนโอ่อ่า กว้างขวาง สมบูรณ์พรั่งพร้อมด้วยบริวาร แลมีความเป็นอยู่อย่างรุ่มรวยทั้งศาสตร์แลศิลป์แท้ๆ”

พระมหามนตรี นายตำรวจวัง ยิ้มกับคำชื่นชมของครูช่างเขียน ที่กลายเป็นนักโทษที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษในชั่วข้ามคืน

“ ท่านนิยมสร้างและบูรณะวัดวาอาราม เป็นอุบาสกที่ทำบุญทำกุศลอย่างยิ่งใหญ่เกินผู้ใด ส่วนเรื่องที่นิยมการดนตรี ละคร วรรณคดี หนังสือหนังหา และความสำราญบันเทิงต่างๆ ก็มิได้น้อยหน้าผู้ใดเช่นกัน ”

ครูทองอยู่เสริม

“ กระผมต้องขอกราบ ”

คงแปะยกมือไหว้ทองอยู่

“ คารวะน้ำใจของคุณหลวงอย่างที่สุด ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการถวายฎีกาครั้งนี้

ครูทองอยู่หัวร่อเบาๆ

“ ไม่ได้ซี หากมีแต่ทองอยู่แต่ไม่มีคงแป๊ะ แล้วโลกนี้จะเป็นโลกที่สมบูรณ์พร้อมได้อย่างไร หากไปเขียนวัดใด แล้วไม่ต้องกั้นผ้าประชันกับคงแป๊ะแล้ว ครูทองอยู่ผู้นี้คงไม่มีแรงวาดรูปดอก

ทุกคนพากันฮารับ

“ ในหลวงท่านทรงเมตตายิ่งนักขอรับ ยิ่งทราบเหตุการณ์โดยละเอียด ท่านก็ทรงเสียดายเหลือเกิน ที่ช่างเขียนใหญ่เช่นนี้จะต้องถูกประหารให้ตายตกไปตามกัน เพราะพลั้งมือฆ่าคนโดยปราศจากเจตนา ทั้งๆที่ต้องการช่วยผู้ยาก แลเป็นการป้องกันตัวอีกด้วย ”

พระมหามนตรีเล่าความ

หลวงสิทธิ์นายเวรหันมา ยิ้มกับครูทองอยู่

“ คุณหลวงวิจิตรฯก็เขียนฎีกาได้ดี ว่าคุณหลวงยังต้องเขียนพระอารามอีกมากมายที่ค้างคาอยู่ คือวัดแจ้ง  ซึ่งยังไม่แล้วเสร็จ แลอาจจะยังมีวัดอื่นๆอีกหลายแห่ง อันเป็นหลักแห่งพระพุทธศาสนาในแผ่นดินสยามสืบไปชั่วลูกชั่วหลาน แลเป็นทรัพย์สำหรับพระราชอาณาจักร แผ่นดินสยามเรา พระเจ้าอยู่หัวท่านได้ทรงอ่านแล้ว ก็ทรงเห็นด้วยทุกประการ ”

ครูทองอยู่ยื่นมือยาวๆไปตบแขนคู่แข่งเบาๆ ไม่วายเทศนาสั่งสอน

“ จะพาไปรดน้ำมนตร์หลวงพ่อโตที่วัดระฆังล้างซวย แลอย่าไปเที่ยวอีกทีเดียว สถานที่อโคจร ที่เต็มไปด้วยอบายมุขแลคนถ่อย เชื่อหรือยัง ว่าจักนำความเสื่อมมาให้ ”

“  สาธุ ”

คงแป๊ะแดกดันเบาๆ

ทำให้มีเสียงฮาครืนกันไปทั้งลำเรือ

มีเพียงฮุน ที่ซึม ขรึม เศร้า ไม่สนใจใยดีต่อเรื่องราวใด

คงแป๊ะมองๆหลวงสิทธิ์ฯ เกิดความคิดใหม่ขึ้นมา สำหรับช่วยศิษย์โปรดของตน

“ เอ่อ..คุณช่วงขอรับ..กระผมใคร่จะขอรบกวนท่านอีกสักเรื่อง ”

หลวงสิทธิ์ฯเต็มอกเต็มใจ

“ ว่ามาเลย ครู.. ”

คงแป๊ะผายมือไปที่ฮุน

“เจ้าฮุน อ้ายหนุ่มจีนผมเปียยาวผู้นี้..กระผมอยากจะฝากไปทำงานกับท่านที่อู่ต่อเรือรบที่กำลังสร้างกันอยู่ อ้ายเจ้านี้มันทำได้หลายสิ่ง เดิมอยู่ที่อู่สำเภาของท่านเจ้าคุณโตปากคลองบางกอกใหญ่ บัดนี้มาเป็นช่างเขียนเอก มันอ่านได้ เขียนได้ พูดจาชัดถ้อยคำดีมาก แลมีจิตใจใฝ่รู้ แต่เพลานี้มันตกเข้าเกณฑ์พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก กระผมเกรงว่าให้มันอยู่แถวๆนี้ ในเพลาระยะนี้  มันอาจจักถึงแก่กาลวิบัติเป็นแน่แท้ อยากจักฝากมันไว้ในบารมีของคุณช่วง ให้ไปไกลๆถิ่นเดิมจะดีกว่า ”

ฮุนพูดไม่ออก อับจนไปหมด เข้าใจทันที ว่าครูต้องการส่งตนไปเสียให้ไกลจากย่านฝั่งธนบุรีนี้ เพื่อตัดตอนจากเรื่องลำจวนให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด

“ เช่นนั้นรือขอรับ เอาซี โรงต่อเรือไปรบกับอานามก็ต้องการคนไปช่วยสร้างจำนวนมากๆอยู่แล้ว ”

คุณช่วงบุตรชายท่านเจ้าพระยาพระคลัง หรือหลวงสิทธิ์นายเวร มหาดเล็กหนุ่มผู้ปราดเปรื่องรับคำ

“ เป็นความกรุณาแก่สัตว์ผู้ยากเหลือเกินขอรับ ”

คงแป๊ะยื่นมือมา บีบแขนฮุน หนักแน่น

“ กราบคุณช่วงซี เจ้าฮุน ”

ฮุนไหว้ เมื่อคุณหลวงสิทธิ์ฯมองมา

“ มาๆๆ มาทำงานด้วยกัน เก่งหลายอย่างดี ข้าชอบ ”

ท่านยิ้มให้ฮุนอย่างเมตตา

 



Don`t copy text!