บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 9 : การประชัน

โดย : ปราณประมูล

Loading

บุษบาลุยไฟ โดย ปราณประมูล เรื่องราวของ ลำจวน หญิงสาวผู้ต่อสู้กับค่านิยมทางสังคมในยุค ร.3 เธอลุกขึ้นทำสิ่งที่คนในห่วงเวลานั้นไม่ทำกัน หนทางจึงไม่ได้ราบรื่น หากเต็มไปด้วยอุปสรรคและถ้าไม่ใช่เพราะแรงรักแรงใจที่หนุ่มจีนคนนั้น คงยากที่บุษบาดอกนี้จะไปสู่จุดหมาย ‘บุษบาลุยไฟ’ นวนิยายเรื่องเยี่ยมที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์

ฮุนแบกอ่างดินใหญ่บรรจุน้ำสะอาดเต็มปรี่ หนักอึ้ง สำหรับพวกช่างเขียนใช้ล้างสีล้างพู่กัน ไม่ต้องเสียเวลาเดินออกไปหาน้ำสะอาดไกลๆ เดินตามคงแป๊ะที่สะพายย่ามหนักเพียบด้วยเครื่องเขียนประจำตัว นำเหล่าศิษย์ ที่ต่างถือ หนีบ หอบ หิ้ว ถุงย่าม กระบุง ตะกร้า และถังโลหะ ใส่ถ้วย กะลา จาน เปลือกหอย ที่ใช้เป็นภาชนะผสมสี ขวดผงสี ขวดน้ำมันตัวทำละลายสี หีบห่อพู่กัน ม้วนเสื่อ ผ้าพับๆ เดินขึ้นบันไดด้านหน้ากันอย่างกระตือรือร้น เพื่อจะเข้าไปทำงานในอุโบสถ

ทว่าท่านหัวขบวนกลับต้องหยุดชะงักลงกะทันหัน เพราะที่หน้าประตู เนตร กับศิษย์ครูทองอยู่สองนาย เดินออกมาขวาง

ฮุนเกือบจะชนคนข้างหน้าที่หยุดเท้าซึ่งกำลังก้าวขึ้นบันไดไม่ทันตั้งตัว ทำเอาน้ำในอ่างกระฉอกหก

เสียงเนตรเอื้อนเอ่ยสุภาพ นุ่มนวลดังมา

“ขออภัยนะครับ คุณหลวงเสนีย์บริรักษ์”

ท่านคงแป๊ะยังไม่เข้าใจ

“อภัยเรื่องอะไร ขยับหน่อย พ่อคุณ”

ท่านยังพยายามจะเดินอ้อมตัวเนตรไป

“ต้องรบกวนคุณหลวง…ด้วยขอรับ”

เนตรก้มศีรษะ เคารพอ่อนน้อม

“รบกวนฉันเรื่องอันใด”

คงแป๊ะสงสัยจริงๆ

“คือ…ประตูด้านหน้านี้…คงต้องขออนุญาต…งดผ่านชั่วคราวขอรับ”

เนตรยิ้มเยื้อน อ่อนโยน

ครูพุด บุรุษร่างเล็ก ศิษย์มือขวาคงแป๊ะ หันมาสบตากับชาวคณะทุกคน แววตาฟ้องว่าท่าจะไม่เข้าทีเสียละกระมัง

ฮุนเห็นแววตาไม่ชอบมาพากลนั้น

“อ้าว แล้วจะเข้าไปวาดภาพกันได้อย่างไรเล่า”

ครูพุดก้าวออกหน้า เจรจาแทนท่านครูทันที

“คุณหลวงวิจิตรเจษฎาท่านต้องใช้สมาธิอย่างสูง กระผมใคร่ขอความกรุณาให้ช่างเขียนท่านอื่น ช่วยเคารพท่าน อย่าเดินเข้าๆ ออกๆ  ผ่านไปผ่านมาด้วยขอรับ”

เนตรเน้นจิกถ้อยคำ แม้จะแสร้งทำเสียงอ่อนหวาน

ครูพุดตอบอย่างอ่อนน้อมไม่แพ้กัน

“กระผมเคารพท่านเสมอ รับรอง ว่าจะเดินผ่านอย่างย่องกริบทีเดียว”

เนตรตวัดสายตา เลยทุกผู้คน ไปถึงเจ้าจีนผมเปียท้ายแถว ใช้น้ำเสียงเสียดสี เจาะจง

“ย่องกริบ…เพื่อสอดส่อง…สอดรู้สอดเห็น สอดแนม เพลาครูท่านกำลังทำงาน หวังจักลักจำกลเม็ดเด็ดพราย…”

ครูพุดถึงแก่หัวเราะเบาๆ

“จักมีศิษย์คงแป๊ะผู้ใดไปแอบดูเคล็ดวิชาครูทองอยู่เล่า”

เนตรจ้องฮุนขณะตอบ ดุจส่งถ้อยคำเหล่านั้นข้ามหน้าข้ามหัวคงแป๊ะไป อย่างหาได้ระวังมารยาทไม่

“ก็…มี…พวกเด็กไม่มีหัวนอนปลายตีน…ไม่มีใครอบรมสั่งสอน เที่ยวก่อความเดือดรำคาญไปทั่ว”

คงแป๊ะส่งเสียงถอนใจยาว เฮือกใหญ่

“เห้อ!”

เนตรกับพวกถึงกับสะดุ้ง มองหน้าท่าน แล้วหันกลับไปมองกันเอง อย่างส่งสัญญาณเตรียมพร้อมรับมือ ขยายยืนเรียงหน้ากระดาน

คงแป๊ะก้าวล้ำหน้า ผ่านครูพุดขึ้นไป ด้วยท่าทีราวจะบุกฝ่า

ครูพุด ศิษย์พี่ รวมทั้งฮุน ขยับร่าง พร้อมตามปะทะ

แต่คงแป๊ะเพียงยื่นมือข้างนึงออกไป แตะที่บ่าเนตรหนักๆ พลางยิ้มขบขัน

“ไม่ให้ผ่านประตูนี้ ก็ไปผ่านประตูอื่น เข้าประตูหน้าไม่ได้ ก็ไปเข้าประตูหลัง”

ท่านหันกลับ เดินลงจากระเบียงหน้า สบายๆ แช่มช้า เดินเลียบข้างพระอุโบสถในร่มเงาอันทแยงยาว มุ่งตรงไปทางด้านหลัง

ครูพุดและเหล่าศิษย์พากันรู้สึกเหนือความคาดหมายเล็กน้อย แต่ก็พากันหัวเราะเบา กลับหลังหันชักแถวตามไป

ฮุนพลอยขำไปด้วย หัวเราะแหะๆ อุ้มอ่างน้ำเป็นลิงอุ้มแตง วิ่งตามไปปิดท้ายทิ้งให้ เนตรและสองสมุนมองตามด้วยความขุ่นเคืองเสียเอง

ประตูด้านหลังพระประธานซึ่งโอบคลุมผ้าไว้ ป้องกันสีหรือฝุ่นผงใดๆ ร่วงปลิวมาแผ้วพาน เปิดอ้าเอาไว้อยู่แล้ว เป็นทางให้แสงส่องสว่างเข้ามาในโบสถ์ เช่นเดียวกับหน้าต่างทุกบาน

เมื่อคงแป๊ะ ครูพุด เดินนำเหล่าศิษย์ที่มีฮุนเป็นผู้ปิดท้ายขบวน ผ่านพ้นด้านข้างองค์พระเข้ามา

คงแป๊ะมองไปเห็นภาพตรงหน้า ก็ต้องหยุดยืน เท้าสะเอวดูด้วยความพิศวง

“เอ๊า…เล่นกันถึงเพียงนี้เลยทีเดียว…”

ช่วงกลางพระอุโบสถ์ ตรงหน้าพระประธาน ที่ตำแหน่งกึ่งกลางหน้าต่างฝั่งซ้ายของท่าน ที่คั่นระหว่างช่องผนังตรงที่ครูทองอยู่กับคงแป๊ะจะเขียนภาพ บัดนี้ มีม่านผ้าดิบซึ่งเย็บปะติดปะต่อกันเป็นผืนใหญ่ ขึงกั้นขวางไว้ โดยมีเชือกผูกโยงจากขอเหล็กเหนือหน้าต่างบานนั้น ทอดข้ามตามขวาง เต็มความกว้างของโบสถ์ ไปผูกกับขอเหล็ก เหนือหน้าต่างอีกฟาก

แต่ตัวผืนผ้าม่าน มิได้ใหญ่ยาวถึงขนาดที่จะกั้นกลางแบ่งครึ่งทั้งโบสถ์ เพียงแต่บังสายตา แบ่งอาณาเขตกลางหน้าต่างบานนั้น ให้การทำงาน ที่ข้างขวากับข้างซ้ายของหน้าต่าง ของทั้งสองคณะนี้แยกจากกัน

ขณะที่ฝั่งขวามือองค์พระ ที่เป็นพื้นที่ทำงานของช่างเขียนกลุ่มอื่นเปิดโล่งแลตลอด ภาพชุมนุมเทวดาด้านบนของผนังทั้งหมด ตัวงานเก่าที่ได้รับการซ่อมแซมต่อเติมขูด ปะ แต่ง บูรณะ ผสมกับงานเขียนใหม่หมาดเอี่ยมอ่องสดใส ใกล้เสร็จแล้ว ส่วนภาพมารผจญฝั่งตรงข้ามพระประธานโดยตรง กับภาพไตรภูมิด้านหลังพระปรางค์ที่ช่วงล่างหลุดล่อนไปมาก มีการซ่อมผนังใหม่ ทากาวเม็ดมะขามไว้แล้ว รอท่าช่างเขียนท่านอื่นมาซ่อม เมื่อภาพส่วนอื่นเสร็จก่อน จะได้ไม่มีใครมาขนของเข้าออกประตู รบกวนการทำงานมากนัก

“เอ้อ…ขึงผ้าขาวก็ดีเหมือนกัน สะท้อนแสงจากทุกทิศทาง ทำให้พระอุโบสถสว่างไสวขึ้นกว่าเดิม วาดรูปได้ดีขึ้นด้วยซ้ำ”

คงแป๊ะชมเปาะเสียงดังก้องโบสถ์

เบื้องหลังม่านนั้นไม่มีสุ้มเสียงใดดังตอบมา ไม่อาจมองเห็นได้ว่าทางฝั่งที่ครูทองอยู่ทำงานอยู่ มีใครทำอะไรบ้าง เห็นเป็นเพียงรูปร่างคน ที่นั่งบ้าง ยืนบ้าง นิ่งบ้าง เคลื่อนขยับบ้าง เพราะแสงผ่านร่างเหล่านั้นมาตกกระทบผ้าม่าน เป็นเงาๆ

คงแป๊ะปลดย่ามที่สะพายมา แขวนกับนั่งร้านฝั่งตน

ครูพุดจัดแจงปูผ้า เสื่อ สาดเก่าๆ ลงบนพื้นก่อนอื่น เพื่อกันไม่ให้สีสันบรรดามีเปื้อนเปรอะเลอะโบสถ์

ทุกคนที่ตามมา วางข้าวของที่ขนมาเรียงรายบนพื้นตามหมวดหมู่การใช้งาน รวมทั้งอ่างน้ำของฮุน ที่ดูเหมือนจะหนักขึ้นทุกทีๆ จนเข่าย่อต่ำลงๆ เรื่อยๆ จวนจะก้าวไม่ออกอยู่แล้ว

เนตรเดินอาดๆ เข้ามาจากด้านหน้าโบสถ์ ก้าวล้ำพ้นม่านกั้นนั้นเข้ามา

ทำให้ครูพุดรีบพุ่งปรี่ไปขวางในบัดดล

“ยอๆๆ…เมื่อกั้นผ้าแล้ว ออเนตรก็มิอาจผ่านมาทางฟากขะนี้ได้เช่นกัน”

คราวนี้ เนตรเป็นฝ่ายที่มีอันพูดไม่ออกบ้าง

“ก็ดี๊” ชายหนุ่มขึ้นเสียงสูง

“มันดีอยู่แล้วแหล”

ครูพุดยังต่อปากต่อคำ

ทำให้เหล่าศิษย์คงแป๊ะ หัวเราะกันคิกๆ คักๆ

ดวงตาของเนตรขุ่นเขียว แต่เขาก็ยั้งเท้าไว้เพียงนั้น ไม่ก้ำเกินเข้ามาในแดนอีกฝ่าย

 

บนนั่งร้านไม้ไผ่ ที่ผนังฝั่งขวามือของพระประธานเบื้องสูง ครูบุญมากจากนนทบุรี กำลังนั่งวาดหน้าเทวดาตนหนึ่ง ในหมู่ชุมนุมเทวดาข้างบน หันมองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่เงียบๆ

เมื่อครูพุดเงยไปพบ ก็ยกมือไหว้

และไม่วายฟื้นฝอยหาตะเข็บ

“ครูบุญมากขอรับ ครูมองเห็นทางฟากหลังผ้าม่านด้านโน้น ใช่ไหมขอรับ”

ครูบุญมากรับไหว้ ยิ้ม พยัก รักษาน้ำใจทุกฝ่าย

“ดีงามขอรับ แสดงว่าห้ามพวกกระผมเท่านั้น ไม่ให้เห็น ส่วนคนอื่น เห็นได้”

เสียงครูพุดพาโลโฉเกไม่เลิก

“แล้วจะอยากเห็นของเขาไปเพื่ออะไรเล่า”

ครูคงแป๊ะปราม น้ำเสียงหน่ายเต็มทน

“กระผมสงสัย ว่าถ้าเห็นแล้วจะเป็นไร ภาพของเขาจะสีจืดลงรือ”

ครูพุดกระฟุดกระฟัด

คงแป๊ะและคนอื่นๆ หัวเราะกัน คิกคักๆ เบาๆ  คล้ายตั้งใจว่าจะไม่ให้มีเสียง แต่เสียงพรืด พ่นลมหายใจเหล่านั้น กลับยียวนกวนอารมณ์ยิ่ง

ครูทองอยู่กลับนิ่งเฉย มือวาดเค้าโครงตัวภาพกลางวิมานไปเรื่อยๆ อย่างเยือกเย็น ไม่รู้สึกรู้สา

บรรดาศิษย์ของท่านจึงได้แต่มองหน้ากันไปมา ด้วยเห็นครูนิ่ง ศิษย์ย่อมจำต้องนิ่งตาม

คงแป๊ะหัวเราะออกมาในที่สุด

“เห็นแต่เขาลักลอบลอกเลียนแบบหน้าตาของตัวข้า ไปใส่ในหมู่เทวดาของเขา วาดก็วาดเสียอ้วนพีเกินไปหน่อยหนา”

คราวนี้คงแป๊ะส่งสารข้ามไปยังครูทองอยู่โดยตรงอย่างเจาะจง

ศิษย์คงแป๊ะทุกคน จึงกล้าฮาครืน

แต่พอเสียงหัวเราะทางฝ่ายคงแป๊ะเบาลง ครูทองอยู่ก็หัวเราะเสียงดังทะลุม่านออกมา

เมื่อคนที่เงียบมาตลอด ส่งเสียงหัวเราะบ้าง

ทุกคนก็พากันหุบปากสนิท แต่เงี่ยหูรอสดับ

มือครูทองอยู่ที่มือถือพู่กันเขียนงานไปเรื่อยรี่ ไม่หยุด แต่ใบหน้าท่านยิ้มชอบใจ

“ก็คุณหลวงมีใบหน้าดั่งเทวดาที่อิ่มเอมเปรมปรีดานัก สมควรที่จะยกย่องเชิดชูไว้ในเบื้องสูงในหมู่ทวยเทพ ให้ลูกหลานได้ชม สืบไปอีกนานเท่านาน…”

“ถ้าเช่นนั้น…กระผมก็จะแอบวาดใบหน้าของคุณหลวงไว้ในภาพนี้บ้าง ท่าจะงามดี” คงแป๊ะตั้งแง่

ครูทองอยู่ยิ้มขำ “ก็เอาๆ”

เมื่อครูทั้งสองหยอกเย้ากัน กลับมีน้ำเสียงอันสนิทชิดเชื้อนัก

บรรดาศิษย์ทั้งสองฝ่าย จึงได้แต่ต่างเงียบฟัง

“ดี…”

ครูทองอยู่หันมาทางเหล่าลูกศิษย์ฝั่งนั้น

“ทุกคน! อย่าได้ข้ามไปดูภาพของคุณหลวงเสนีย์บริรักษ์ จนกว่าจะเขียนเสร็จ”

“ดี…”

คงแป๊ะเลียนแบบบ้าง

“ทุกคน! ห้ามผู้ใดไปสอดส่องภาพของคุณหลวงวิจิตรเจษฎา จนกว่าจะเอาม่านลง”

ครูทองอยู่ดวงตาเป็นประกาย

“เช่นนี้ เหล่าเจ้าภาพที่อยากประมูลราคาทำบุญ จักระดมเงินจากบรรดาผู้นิยมชมชอบเราทั้งสอง เข้าวัดได้มากขึ้น”

คงแป๊ะแสร้งบ่นอุบ ถ่อมเนื้อถ่อมตัว

“แหม…กระผมคงออกจะเสียเปรียบ เพราะบรรดาพ่อยกแม่ยกกระผมนั้นมีน้อยนิด ช่างต่างกับของคุณหลวง”

พวกช่างเขียนกลุ่มครูทองมาก ต่างหัวเราะคิกคัก สนุกไปด้วย

สีหน้าคงแป๊ะ ที่ยิ้มกระหยิ่มมั่นใจไปไม่ต่างจากบรรดาลูกศิษย์ ที่ยิ่งฟัง ยิ่งกระตือรือร้น

ไม่ต่างจากฝ่ายทองอยู่ ที่อยู่หลังท่านด้านโน้น ที่พากันยืดอก เชิดหน้า หมายมั่นปั้นมือ

ฮุนรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาอย่างประหลาด

ไม่รู้มาก่อนเลย ว่าการเป็นช่างเขียนก็เป็นเรื่องท้าทายที่ชวนตื่นเต้นนัก เมื่อมีคู่ประชัน

 

ยามบ่าย เมื่อคงแป๊ะร่างภาพเส้นโครงคร่าวของภาพทั้งภาพปราดๆ ว่องไว จนจวนเสร็จด้วยความรวดเร็ว มองเห็นแล้วว่าจะมีสิ่งไรอยู่ตรงไหน ไหนกำแพงเมือง ไหนเส้นทางเคลื่อนไหวเลื่อนไหลไปของขบวนหมู่ผู้คน ไหนช้าง ม้า ไหนจุดเกิดเหตุ อันเป็นศูนย์กลางของภาพ

ฮุนได้แต่มองอย่างเพลิดเพลิน เคลิบเคลิ้ม แตกตื่น พิศวง

ขณะที่บรรดาศิษย์พี่แต่ละคน ต่างตระเตรียมอุปกรณ์และสีของตนอย่างรู้งาน ว่าจากนี้ ใครจะทำอะไรต่อไป ตามลำดับและตามความถนัด

บางคนเตรียมสีพื้นที่จะเขียนฟ้า เขียนดิน

บางคนนั่งคัดสรร เลือกพู่กันที่จะใช้

ฮุนรุ่มร้อนไปหมด แต่ไม่รู้เลยว่าตนจะทำสิ่งใด ควรจะหยิบจับอะไรกับเขาได้บ้าง

เด็กหนุ่มรอจนคงแป๊ะร่างภาพเส้นกรอบร่างขององค์รวมสำเร็จลง และหันมามองหน้าทุกคน ราวกับจะมอบหมายหน้าที่ให้

“เอ่อ…ท่านครูคง…จะให้ผมทำอะไลได้บ้างขอลับ”

คงแป๊ะยิ้มกว้าง พอใจ ส่งพู่กันให้

ฮุนรับมา ดีใจยิ่ง มองพู่กันด้ามนั้น มือสั่น ตาโต แตกตื่น

“เอาไปล้าง”

“ขอลับ”

ฮุนถือพู่กัน ระมัดระวัง ทะนุถนอม เอากะลาตักน้ำสะอาดในอ่างดินมา แล้วค่อยๆ บรรจงล้าง

ทันใด มือครูพุดยื่นมาตรงหน้า

“ฮุน เอาแปรงเปลือกกรรณิการ์มาหน่อยสิ เอาอันใหญ่ที่สุด”

“ขอลับ”

ฮุนหันไป หาแปรงเปลือกต้นกรรณิการ์ที่ทุบจนเป็นเส้นหยาบๆ สะอาดขาว ก่อนจะนำมามัดรวมกัน

ไม่ทัน เมื่อมือของพี่หนวดเคราครึ้ม ยื่นมากระดิกๆ นิ้ว

“เอาขวดยางมะขวิดให้ข้าด้วย ฮุน”

จานสีทำจากเปลือกหอย ที่มีสีแห้งเลอะติด จากมือพี่ที่สักขาดำลาย ยื่นมาตรงหน้าฮุน

“ฮุน ล้างจานสีอันนี้ให้ด้วย ยังเลอะสีเก่าแห้งคาเป็นคราบอยู่เลย”

ฮุนรับมา

หน้าของเจ้าหนุ่มผมเปียขรึมฝืด ผิดหวัง

ที่แท้…เขาได้เป็นเพียงม้าใช้ของช่างเขียนเท่านั้นเองฤๅ



Don`t copy text!