ชมา 5 ชีวิต บทที่ 11 : ความลับความหลัง

ชมา 5 ชีวิต บทที่ 11 : ความลับความหลัง

โดย : คีตาญชลี แสงสังข์

Loading

ชมา 5 ชีวิต เรื่องราวของลูกแมวขาวดำทักซิโด้ที่ได้ไปเจอเจ้าของในชาติที่แล้วและชาติที่สอง รวมถึงชาติที่หนึ่ง แถมยังพบว่าแขกที่มาเที่ยวฟาร์มเสตย์ก็ดันเป็นเจ้าของตัวมันในชาติที่สาม! ชมารู้ทันที่ว่าเรื่องไม่ธรรมดากำลังจะเกิดขึ้น! พบกับนวนิยายเรื่อง ชมา 5 ชีวิต โดย คีตาญชลี แสงสังข์ ที่อ่านเอานำมาให้ทุกคนได้อ่านใน anowl.co

มองจากมุมของเป้ เขาอาจจะคิดว่าฟ้าใสดื้อด้าน ไร้เหตุผล แต่สำหรับผมนั้น ค่อนข้างเห็นใจเธอ

อย่างที่เคยเล่า ชีวิตอันสวยงามของฟ้าใสมีรอยด่างขนาดใหญ่อยู่เรื่องหนึ่ง ก็คือเรื่องของ ‘น้องน้อย’

น้องน้อยคล้ายแฟนต้า แต่หน้าตาจิ้มลิ้มและนุ่มนิ่มกว่า เมื่อตอนมัธยมศึกษาปีที่หนึ่ง น้องน้อยสูงเท่าๆ กันกับฟ้าใส แต่พอขึ้นมัธยมสองน้องน้อยก็เริ่มสูงแซงเพื่อนสาวๆ ผิวใสๆ เริ่มมีหนวดเครา และเสียงเริ่มแตก สิ่งที่น้องน้อยทำคือการกินบางอย่างที่ทำให้ตัวเขายังคงรักษารูปร่างผิวพรรณแบบเด็กชายเอาไว้ได้ ซึ่งมันทำให้เขาต้องประหยัดมากๆ เพราะต้องเอาเงินค่าขนมของตัวเองมาใช้กับยาพวกนี้

ผมพบน้องน้อยบ่อยครั้งเพราะเขาและหลินชอบมาที่บ้าน ทั้งคู่สนิทกับฟ้าใสแต่ไม่ค่อยชอบกันเอง

พวกเขามักจะแหย่กัน กัดกัน พูดแรงๆ ใส่กัน แต่ก็ยังอยู่ด้วยกัน

บ้านของฟ้าใสนั้นเป็นแหล่งรวมเพื่อนฝูง พ่อและแม่ของฟ้าใสมีรายได้ที่ดี พวกเขาไม่เคยรังเกียจเพื่อนของลูก แค่ขอให้มารวมกันที่บ้านอย่าพากันออกไปไหนก็พอ

ผมจำเพื่อนกลุ่มใหญ่ของฟ้าใสไม่ได้ทั้งหมด จำได้แค่ว่ามีมากมายหลายคน ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง มีน้องน้อยเป็นผู้ชายเพียงคนเดียว และเขามักจะมานอนค้างที่บ้านฟ้าใสกับเพื่อนผู้หญิงอีกคนหนึ่ง น่าเสียดายที่ผมจำชื่อของเธอไม่ได้เสียแล้ว

แต่ทำไมผมถึงจำน้องน้อยได้ แถมจำได้แม่นและจำได้ดี เพราะเขาเป็นเพื่อนคนเดียวของฟ้าใสที่ตายไปก่อนวัยอันควร

ใช่ครับ เขาตายแล้ว…

ตอนนั้นอาจจะเป็นหน้าหนาวก็ได้ ผมจำไม่ได้เสียแล้ว แต่ที่เดาว่าเป็นหน้าหนาวเพราะมันเป็นฤดูแห่งความเหงา ถึงจังหวัดที่ผมอยู่ในตอนนั้นฤดูกาลไม่ชัดเจนเหมือนอำเภอท่าตอน แต่หน้าหนาวก็ยังคงมีความหนาว และความหนาวนี่เองที่ทำให้ความว้าเหว่แข็งแรงขึ้นอย่างน่าประหลาด

หลังจากเพื่อนๆ รู้ข่าวว่าน้องน้อยกินยาฆ่าหญ้าผสมน้ำหวานและถูกส่งตัวไปล้างท้องที่โรงพยาบาลจนออกมานอนพักอยู่ห้องผู้ป่วยพิเศษ สามารถพูดคุยและหัวเราะได้แล้ว พวกเขาก็วางแผนกันว่า วันเสาร์จะไปเยี่ยมน้องน้อย กะว่าจะด่าให้เข็ด ที่ริอ่านมีความคิดชนิดนี้อยู่ในสมอง

แต่เมื่อเช้าวันเสาร์มาถึง พวกสาวๆ ที่มารวมตัวกันที่บ้านฟ้าใสยังไม่ทันได้ออกจากบ้าน ข่าวร้ายก็ตามมาถึงหน้าประตู มีคนส่งข่าวมาว่าน้องน้อยตายแล้ว ตายไปทั้งๆ ที่เมื่อวานนี้ยังหัวเราะได้ คนที่ดูจะใกล้ชิดข้อมูลข่าวสารที่สุดอธิบายว่า สิ่งที่น้องน้อยกินเข้าในนั้นเป็นพิษร้ายแรง พิษนั้นกระจายตัวสู่อวัยวะต่างๆ ถึงจะล้างท้องแล้วแต่อวัยวะภายในของน้องน้อยจะค่อยๆ ล้มเหลวไปทีละระบบ

หมอบอกพ่อแม่ให้ทำใจมาตั้งแต่วันแรกว่าอย่างไรน้องน้อยก็จะต้องตาย แต่ไม่มีใครบอกน้องน้อย

สาเหตุการตายของน้องน้อยนั้นเป็นที่แน่ชัด และเขาได้เตรียมการมาก่อน

จดหมายลาตายของน้องน้อยถูกเขียนขึ้นก่อนที่เขาจะดื่มน้ำหวานแก้วนั้นนานนับเดือน ใจความเป็นเรื่องที่เพื่อนๆ ก็พอจะเดาได้อยู่แล้ว

น้องน้อยเป็นกะเทย น้องน้อยอยากเป็นผู้หญิง น้องน้อยจึงไปสมัครประกวดกะเทยเวทีเล็กๆ เวทีหนึ่ง เมื่อพ่อแม่รู้ เขาไม่ยอมให้น้องน้อยไปประกวด น้องน้อยเสียใจเขียนจดหมายลาตาย แต่ก็มีความหวังว่าในที่สุดพ่อและแม่จะยอมรับและเข้าใจในตัวเขา

แต่น้องน้อยรอไม่ถึงวันที่พ่อแม่จะเข้าใจ ในวันที่การประกวดจัดขึ้น น้องน้อยนั่งดื่มน้ำหวานผสมยาฆ่าหญ้า เพราะพ่อยืนยันว่าไม่ให้เขาไปประกวดเวทีนั้นหรือเวทีไหนก็ตาม

น้องน้อยจากไปเพราะความน้อยเนื้อต่ำใจ นั่นคือสิ่งที่ใครต่อใครรับรู้ แต่สิ่งที่ไม่มีใครรู้ก็คือ ก่อนตายน้องน้อยมานอนกับฟ้าใสและเพื่อนอีกคนหนึ่งที่บ้าน เขาพูดทีเล่นทีจริงว่า เขาจะฆ่าตัวตายถ้าพ่อแม่ไม่ยอมให้ไปประกวดจริงๆ

ฟ้าใสซึ่งมองโลกงดงามและเชื่อมั่นอย่างไม่มีข้อกังขาว่า พ่อแม่ล้วนรักลูกทั้งนั้น การที่พ่อแม่ดุด่า ขัดขวาง หรือทำอะไรก็ล้วนมาจากความรัก เธอจึงบอกน้องน้อยไปว่าให้อดทน อย่าคิดมาก น้องน้อยควรจะตั้งใจเรียนและในที่สุดพ่อและแม่จะยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างได้เอง

“แต่พ่อแม่ไม่ได้รักฉันอย่างบ้านแกนะ” น้องน้อยว่า เขาพูดกูมึงกับทุกคนยกเว้นฟ้าใส

“คิดมาก พ่อแม่รักลูกทั้งนั้นแหละ”

“พวกเขาอายที่ฉันเป็นกะเทย พวกเขาเกลียดฉันจะตาย แกไม่เข้าใจหรอก ขออะไรก็ไม่ได้สักอย่าง”

“แกคิดเองเออเองน่ะสิ ถ้าเขาไม่รัก เขาจะส่งเรียนพิเศษแพงๆ เหรอ”

“เรียนเก่ง คะแนนดี ก็เชิดหน้าชูตาพวกเขาด้วยนี่” น้องน้อยยื่นปาก “แกมันก็พวกโลกสวย ไม่เข้าใจอะไรหรอก พนันกันไหมว่าถ้าฉันตาย พวกเขาจะโล่งใจมากกว่าจะเสียใจ”

“บ้า อย่ามาคิดอะไรบ้าๆ นะน้องน้อย อคติมากไปแล้ว พ่อแม่ที่ไหนจะไม่รักลูก ถ้าเขาไม่รัก เขาจะให้ให้เงินแกทีละเยอะๆ ไปทำไมกัน เขาเก็บเอาไว้ใช้เองไม่ดีกว่าเหรอ”

“ก็พ่อแม่ฉันนี่แหละ ฉันตายเมื่อไรเดี๋ยวแกก็รู้เอง”

น้องน้อยยืนยัน แล้วเขาก็ตายจากไปจริงๆ

ฟ้าใสเสียใจ ใครๆ ก็เสียใจ ที่เพื่อนจากไปแบบนั้น

แต่ในวันเผาน้องน้อย ฟ้าใสรู้สึกยิ่งกว่าเสียใจ หัวใจเธอแตกสลายไม่มีชิ้นดี ฟ้าใสกลับบ้านมาด้วยดวงตาบวมเป่ง เมื่อเห็นหน้าแม่เธอก็โผเข้าหา ถามเสียงดังสลับกับร้องไห้โฮว่า

“ถ้าฟ้าใสจะต้องตาย คุณแม่จะทำตามคำขอร้องสุดท้ายของฟ้าใสไหมคะ”

“อะไรลูก…ทำไมถามอย่างนี้”

“ถ้าฟ้าใสบอกคุณแม่ว่าฟ้าใสขอให้จัดงานศพแบบไหน คุณแม่จะยอมทำตามไหมคะ”

“พูดอะไรแบบนั้นล่ะ” แม่เลี่ยงไม่ตอบ ฟ้าใสส่ายหน้า ยืนยันให้แม่ตอบคำถามเธอ

“โธ่ลูก…แม่ยังไม่รู้เลยนี่นาว่าลูกจะขออะไร ถ้าไม่ได้ขอสิ่งที่มันทำได้ยาก พ่อแม่ที่ไหนก็ต้องทำให้ทั้งนั้น” แม่ยอมตอบ ฟ้าใสยิ่งร้องไห้โฮ เธอเปล่งเสียงสะอื้น ขาดเป็นห่วงๆ

“พ่อแม่ของน้องน้อยไม่ยอมทำอะไรเลยค่ะ น้องน้อยไม่ได้ขออะไรมากมายเลย น้องน้อยเตรียมชุดเอาไว้ เป็นชุดราตรีสีแดงที่เขาอยากใส่ประกวด แค่ขอให้สวมให้เขาเวลานอนในโลง แค่นั้นเอง…แต่รู้ไหมคะว่าน้องน้อยได้ใส่อะไร น้องน้อยได้ใส่ชุดนักเรียนชายค่ะ ชุดใหม่เอี่ยม เป็นชุดนักเรียนชาย มันเป็นชุดนักเรียนชายค่ะคุณแม่”

“ฟ้าใส” แม่ลูบหลังฟ้าใสปลอบโยน

“หนูผิดเองค่ะคุณแม่ หนูเอาแต่ว่าน้องน้อย หนูไม่ยอมฟังเขา ไม่ยืนเคียงข้างเขา ถ้าเพียงแต่หนูจะเข้าข้างน้องน้อยสักนิด บางทีเรื่องมันอาจจะไม่เป็นแบบนี้”

“ฟ้าใส…โถลูก พูดอะไรแบบนั้น เราไม่รู้นี่จ๊ะว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้”

“ก็แค่รับฟังกัน เออออห่อหมกไปก่อนก็ได้ แต่หนูเอาแต่พูดสวน หนูคิดเองเออเองทั้งๆ ที่หนูไม่ใช่น้องน้อย ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับน้องน้อย หนูมันบ้า หนูมันโง่ หนูเป็นเพื่อนที่แย่มากๆ เลยค่ะคุณแม่”

ฟ้าใสระเบิดอารมณ์ แม่ได้แต่กอดปลอบ ผมจำได้ติดตาว่าพ่อและน้องชายของฟ้าใสก้าวเข้ามาในห้องนั่งเล่น แต่แม่โบกมือไล่ เธอคงต้องการเวลาให้ลูกสาว สองแม่ลูกกอดกันอยู่ในท่านั้นจนในที่สุดฟ้าใสก็สงบลง

“ไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตานะ เดี๋ยวมากินข้าวกัน” แม่พูดเสียงอ่อนโยน ฟ้าใสเม้มปากน้ำตาไหลพราก มันเป็นฉากของชีวิตที่ 3 ซึ่งผมจำได้ไม่มีวันลืมว่า ฟ้าใสพยายามกลั้นสะอื้นบอกแม่ว่า

“หนูทำไมโชคดีอย่างนี้คะ ทำไมคุณแม่รักหนูขนาดนี้คะ ถ้าความโชคดีมันแบ่งกันได้ หนูอยากจะแบ่งไปให้น้องน้อยบ้างค่ะคุณแม่”

หลังเหตุการณ์นั้นผมยังมีชีวิตต่อไปกับฟ้าใส ก่อนลาจากร่างของข้าวโพดในอีกสองปีต่อมา ระหว่างสองปี ฟ้าใสไม่เคยลืมน้องน้อย นานๆ ครั้งเธอก็จะกอดผมร้องไห้ ในใจเธออาจจะตั้งปณิธานอะไรสักอย่าง แต่เธอก็ไม่เคยพูดเรื่องนี้ให้ผมได้ยิน สิ่งที่เธอมักพูดเสมอเวลาร้องไห้คือคำว่า

“เพราะฉันเอง ฉันไม่เคยอยู่ข้างเดียวกับน้องน้อยเลย”

จนได้มาเจอกันในชีวิตนี้ ผมก็ได้เห็นแล้วว่า เธออุทิศตัวให้ผู้คนที่เหมือนน้องน้อย เธอยืนเคียงข้างพวกเขาอย่างไร้ข้อแม้ สิ่งใดที่เธอสามารถช่วยได้ ฟ้าใสจะไม่ลังเลที่จะทำเลย

การที่เธอขอโทษเป้เพื่อที่จะเดินหน้าต่อ จึงอยู่ในข่ายที่ผมเข้าใจได้ แต่ไม่รู้ว่าเป้จะเข้าใจฟ้าใสหรือเปล่า เพราะเรื่องของเป้นั้นถึงน้ำตาจะน้อยกว่ามาก แต่ความอึดอัดอึงอลจนหายใจไม่ออก มันมากมายกว่าเรื่องของฟ้าใสมากๆ

 



Don`t copy text!