ชมา 5 ชีวิต บทที่ 6 : เบญจมินทร์

ชมา 5 ชีวิต บทที่ 6 : เบญจมินทร์

โดย : คีตาญชลี แสงสังข์

Loading

ชมา 5 ชีวิต เรื่องราวของลูกแมวขาวดำทักซิโด้ที่ได้ไปเจอเจ้าของในชาติที่แล้วและชาติที่สอง รวมถึงชาติที่หนึ่ง แถมยังพบว่าแขกที่มาเที่ยวฟาร์มเสตย์ก็ดันเป็นเจ้าของตัวมันในชาติที่สาม! ชมารู้ทันที่ว่าเรื่องไม่ธรรมดากำลังจะเกิดขึ้น! พบกับนวนิยายเรื่อง ชมา 5 ชีวิต โดย คีตาญชลี แสงสังข์ ที่อ่านเอานำมาให้ทุกคนได้อ่านใน anowl.co

– 1 –

ในที่สุดโอโตซังฟาร์มสเตย์ก็ได้ต้อนรับหมอเบญจมินทร์ ผู้ชายดูดี เสียงสุภาพ นิ้วมือยาวเรียว ถ้าเปรียบกับโต เบญจมินทร์ดูเหมือนแมววิเชียรมาศราคาแพง ส่วนโตเหมือนแมวส้มลายสลิดที่มักเห็นมันนอนหาวบนกำแพงรั้ว

ตอนนั้นทุกคนรวมตัวกันอยู่ที่เรือนต้อนรับส่วนกลาง ยกเว้นเป้ที่ได้ยินว่าบุญรอกำลังสอนเขาหัดขับรถไถอยู่ที่ไหนสักแห่ง

ถ้าคุณกำลังเดาว่าเป้ออกไปหัดขับรถไถเพราะอยากทำงานไกลๆ ฟ้าใสละก็ บอกได้เลยว่าเดาผิด เพราะตอนนี้พวกเขากลับมาคืนดีกันแล้ว

ไม่มีอะไรซับซ้อน ก็แค่โตขอร้องปนออกคำสั่งให้เป้พาฟ้าใสขนปุ๋ยขี้ไก่ไปส่งร้านค้าในเมือง หลังจากทั้งสองหายไปครึ่งค่อนวัน พวกเขาก็กลับมาคุยกันอีกครั้ง

ปุ๋ยขี้เป็ดและปุ๋ยขี้ไก่ผสมแกลบเป็นสินค้าขายดีของโอโตซังฟาร์มสเตย์ เพราะไก่และเป็ดของที่นี่เลี้ยงแบบปล่อยเดินอิสระ ไก่นั้นกั้นเป็นสัดส่วนชัดเจนบริเวณป่าไผ่ ส่วนเป็ดนั้นอยู่ในส่วนของสระเล็กที่ขุดแยกออกมาเป็นติ่งของบึงน้ำ พวกเขาเรียกไข่ที่ได้จากสัตว์ปีกพวกนี้ว่าไข่อารมณ์ดี รวมทั้งขี้ของพวกมันก็พลอยอารมณ์ดีไปด้วย การได้สูดกลิ่นอารมณ์ดีแบบนั้นคงจะทำให้ทั้งคู่ใจเย็นลง และโตอาจจะรู้เรื่องนี้ เพราะเขาตอบคำถามของโอที่ว่า “มันจะได้ผลเหรอ” ด้วยคำพูดแค่ว่า

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ได้นั่งไปด้วยกัน มันก็ต้องได้คุยกันบ้างแหละน่า”

ดังนั้นเมื่อโอแนะนำกับฟ้าใสว่า หมอเบญหรือเบญจมินทร์เป็นเพื่อนเก่าสมัยมัธยมของโอและเป็นอาแท้ๆ ของเป้ด้วย ฟ้าใสจึงคุยจ้อกับคุณหมอหนุ่มหล่ออย่างราบรื่น ไม่มีทีท่าตะขิดตะขวงใจขึ้นมาแม้แต่น้อย ส่วนผมนั้นเป็นในทางตรงกันข้าม…

ด้วยระดับความสูงพื้นราบกับบนอากาศ ผมได้แต่จ้องขากางเกงเขา แล้วก้าวเข้าไปดมอย่างลืมตัว เมื่อเบญจมินทร์หันมาเห็น เขาก็ยกผมชูขึ้นจนเราทั้งสองได้สบตากัน

ดวงตานั่น!! ผมจ้อง…ใจสั่นเหมือนแทบจะหลุดออกมา

ให้ตาย ให้ตายไปเลย จิกซอว์ตัวสุดท้ายหล่นตุ๊บลงมาตรงหน้าของผมแล้ว

ผมขนลุกซู่ หางฟู ภาพชีวิตทั้งห้าที่ดำเนินมาของผม ตอนนี้มันกลายเป็นแผนที่แผ่นเดียวกันแล้ว

เบญจมินทร์เข้าใจว่าผมกลัวความสูง เขาพูดขำๆ ว่า “เป็นแมวกลัวความสูงได้เหรอ” แล้วค่อยๆ วางผมลงบนพื้นเรือน

ผมยังคงจ้องหน้าเขาจนเบญจมินทร์ต้องย่อตัวลงมาหาอีกรอบ

โตซึ่งหายเข้าไปในครัวออกมาพร้อมน้ำเสาวรสและขนมไข่ เบญจมินทร์จึงผละจากผมกลับไปนั่งโต๊ะซึ่งมีโอและฟ้าใสนั่งช่วยกันเอาดอกมะลิเสียบก้านมะพร้าวอยู่

“เอ้าลองเลยหมอ ผลิตภัณฑ์ของโอโตซัง โอเขาลองทำดู”

“หลานชายผมเป็นยังไงบ้างพี่โต” เบญจมินทร์ถาม หลังจากจิบน้ำเสาวรสเปรี้ยวจี๊ดไปอึกหนึ่ง แล้วบอกว่ารสชาติดี…ดีตรงไหน แมวอย่างผมนึกไม่ออกจริงๆ

“โอ๊ย…รายนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหมอ เขาบรรยายแทนผมได้แล้ว อยู่มาจะหกเดือนแล้วใช่ไหม” โตทำท่านึก นับนิ้วมือ

“จะเจ็ดเดือนต่างหาก” โอว่า รินน้ำเสาวรสให้ฟ้าใส เธอจิบแล้วบอกว่าอร่อย

หนักกว่าเบญจมินทร์อีก…ผมอดสงสัยไม่ได้เลยเข้าไปขอดม ได้แต่กลิ่นเปรี้ยวจนขึ้นจมูก

“ท่าทางเขาคงจะเจอทางของเขาจริงๆ” เบญจมินทร์ว่า ก่อนจะหันไปยิ้มให้ฟ้าใสที่เผลอจ้องคุณหมอหนุ่มใหญ่ไม่วางตา

ฟ้าใสบอกเก้อๆ ว่าเบญจมินทร์และเป้นั้นมีส่วนคล้ายกันมากจริงๆ ซึ่งน่าจะนับว่าเป็นคำชม

“บ้านนี้เขาหล่อ แมน กันทั้งบ้าน เป็นขวัญใจสาวๆ ของโรงเรียน” โอเสริมขึ้น เบญจมินทร์หัวเราะ ยกนิ้วชี้ขึ้นโบก

“โอพูดแบบนี้เหมือนกับว่าตัวเองไม่ใช่ขวัญใจหนุ่มๆ” เขาว่าแล้วหันไปหาโต “พี่โตรู้ไหมตอนที่โอแต่งงาน หนุ่มๆ ในรุ่นผมอยากเห็นหน้าพี่โตเป็นแถว อยากรู้ว่าใครหนอที่คว้าหัวใจดาวโรงเรียนของเราไปได้”

“โอ๊ย…พอเถอะๆ ชมกันไปชมกันมาเดี๋ยวฟ้าใสจะกินขนมไม่ลง พวกคนแก่เนี้ย พูดถึงแต่ความหลัง”

พวกเขาหัวเราะให้กันดังลั่น ส่วนผมนั้นมองหน้าทั้งสามคนสลับกันไปมา ตอนนี้แผนที่การเดินทางของผมที่เชื่อมและประมวณผลเสร็จแล้ว ทำขนทั่วตัวผมลุกตั้ง

“วันนี้ชมาเป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่า” โตเป็นคนสังเกตเห็น

“ทำไมหรือคะ”

“มันเอาแต่จ้อง ทำขนฟู จะว่ากลัวหมอเบญก็ไม่ได้ส่งเสียงกลัวหรือวิ่งหนีนะ” โตตอบโอ มองผมอย่างพิจารณา ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ กระโดดขึ้นปลายโต๊ะด้านหนึ่ง แล้วนั่งนิ่งเหมือนหุ่นปั้น

ผมเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าแมวนั้นจะจำชาติต่างๆ ของตัวเองได้เก้าครั้ง แต่ผมก็ต้องขออธิบายเพิ่มเติมสักนิดว่า การเดินทางแต่ละชาติมันไม่ได้ต่อเนื่องกันเหมือนต่อสายรถไฟฟ้า แต่มันเหมือนเรานั่งติดแหง็กอยู่บนรถเมล์ในช่วงเวลาเร่งด่วน และหลับๆ ตื่นๆ ในรถแต่ละคัน เมื่อเราเปลี่ยนคันรถเราจะจำเรื่องราวในรถคันเก่าได้บ้างก็เพียงรางเลือน ยกเว้นเรื่องสำคัญหรือเรื่องที่แมวอย่างพวกเราได้เข้าไปเกี่ยวข้องตรงๆ ความทรงจำนั้นจะประทับถาวรในจิตวิญญาณของพวกเรา ดังนั้นผมจึงไม่อาจจะจำหลินหรือเบญจมินทร์ได้ในครั้งแรก และต้องอาศัยองค์ประกอบอื่นๆ มาช่วยเชื่อมจิกซอว์ที่ขาดหาย ความทรงจำแหว่งเว้าของผมจึงค่อยประกอบเป็นรูปร่างแล้วแจ่มชัดขึ้น ซึ่งดูเหมือนตอนนี้ผมจะได้มันมาครบแล้ว

ครบ…จนน่าขนลุก…

อย่างที่เคยเล่า ชาติที่สองของผม ผมเป็นแมวสีครีมตัวผู้ชื่อฝอยทอง อาศัยอยู่กับครอบครัวของเด็กสาวช่างฝันชื่อโอ

บ้านของเธอนั้นอยู่ในอำเภอเมือง อาศัยร่วมบ้านกับพ่อแม่และพี่น้องอีกสองคน โอเป็นลูกคนกลาง มีพี่ชายและน้องสาวอีกอย่างละคน

ผมโตขึ้นมาในช่วงที่โอเข้าวัยรุ่น และแน่นอนว่าผมรู้จักเบญจมินทร์ในช่วงนั้น

เขาเป็นหนุ่มน้อยตัวสูง สุภาพ หน้าหล่อ บ้านอยู่ถัดจากโอไปราว 500 เมตร บางครั้งผมก็มักจะเห็นเขาเดินกลับบ้านมาเวลาเดียวกับโอ แต่ทั้งคู่ไม่เคยเดินกลับด้วยกัน

สมัยที่โอเป็นสาวน้อยนั้น การแสดงออกว่าชอบผู้ชายที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องสามัญของคนสมัยนี้ แต่ในสมัยของโอนั้นจัดว่าก๋ากั่น ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดามากที่คนเรียบร้อยอย่างโอจะมีแต่เพื่อนผู้หญิง เบญจมินทร์กับโอจึงไม่เคยพูดคุยกัน หรือถ้าจะพูดจากันบ้างก็ไม่ต่างอะไรกับคนแปลกหน้าที่เดินมาถามทาง

แต่มีเหตุการณ์หนึ่งที่ผมจำได้ดี และมันก็เป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์อื่นๆ ให้ตามมาอีกเป็นระลอก

เรื่องเกิดขึ้นในบ่ายวันหนึ่ง น่าจะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ โอนัดเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งมาท่องหนังสือด้วยกันในสวนหลังบ้าน ซึ่งมีประตูสังกะสีบานเล็กๆ เปิดไปยังถนนซอยทางด้านหลัง

ผมจำได้ว่าเป็นหน้าร้อน เพราะมะม่วงเริ่มสุกเต็มต้น พวกนก กระรอก กระแต วิ่งเข้ามาเต็มสวน เพื่อนของโอซึ่งเป็นสาวก๋ากั่นพูดถึงเบญจมินทร์ เธอคิดว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ในโรงเรียนอิจฉาโอที่ได้นั่งรถกลับบ้านและเดินกลับทางเดียวกับเขาแทบทุกวัน จำได้ว่าเพื่อนของโอถามว่าเบญจมินทร์มีท่าทีชอบพอโอบ้างหรือเปล่า แล้วโอก็เขินจัด ตีผัวะเข้าที่ต้นแขนเพื่อน พูดด้วยความอายว่า ‘บ้า’ ปรามไม่ให้เพื่อนพูดอะไรแบบนี้ออกมาอีก

แต่แม่สาวคนนั้นไม่สนหรอก แถมยังบอกว่า ถ้าโอไม่ชอบเบญจมินทร์ ก็ช่วยเป็นแม่สื่อให้เธอหน่อย

ผมจำเหตุการณ์นี้ได้ เพราะมันเป็นวันที่โอใช้คำว่า ‘บ้า’ เปลืองที่สุด

ผมก็ไม่เข้าใจว่าเธอจะเขินอะไร เพราะเพื่อนของเธอยังไม่เขินหรือกระดากปากเลย

จากนั้นพวกเธอก็ท่องหนังสือ ส่วนผมนั้นรับลมอยู่ใกล้ๆ จนกระทั่งกระรอกตัวหนึ่ง มันไต่เร็วๆ ขึ้นต้นมะม่วงที่โอและเพื่อนของเธอนั่งอยู่ข้างใต้ ผมจึงพลิกตัวกลับ หมอบตัวลง แล้วเมื่อเห็นว่าเจ้ากระรอกนั่นกระดกหาง วิ่งปรูดขึ้นยอดไม้ ผมก็กระโจนตามขึ้นไปจนถึงยอดสูงสุดของต้นไม้ตามมัน

แต่ผมตัวหนักกว่า ในขณะที่เจ้ากระรอกนั่นนอกจากจะเบาแถมยังเร็วเป็นปรอท มันหันมาเห็นผม แล้วกระโดดผลุงอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังไปที่ยอดมะม่วงอีกต้น ส่วนผมติดแหง็ก โงนเงนอยู่บนปลายยอด

ลมพัดแรง กิ่งมะม่วงโอนเอนไปมาตามน้ำหนักตัว ผมเริ่มแหกปาก เมื่อมองลงมาเห็นโอก็ยิ่งแหกปาก เพื่อบอกให้เธอรู้ว่าผมอยู่บนนี้

เอาจริงๆ คือผมสามารถลงไปได้ด้วยตัวเอง แต่มันเสี่ยงและยาก เมื่อโออยู่ตรงนั้นและดูเป็นเดือดเป็นร้อนที่ผมติดอยู่บนยอดไม้ ผมจึงเบาใจว่าเธอคงจะหาทางเอาผมลงไปเองนั่นแหละ สิ่งที่ผมทำในตอนนั้นก็คือจ้องมองเธอเอาไว้ และร้องเรียกทุกครั้งที่เธอหายไปจากสายตา

โอกลับมาพร้อมบันได แต่มันก็ไม่สูงพอที่จะช่วยผมลงไป ซึ่งตอนนี้ฮีโร่ตัวจริงก็มาถึง

เบญจมินทร์ที่เดินอยู่ในซอยหลังบ้านเห็นโอ เขาตะโกนถามเธอว่าขึ้นไปทำอะไรตรงนั้น แล้วเข้ามาในสวน

เขาช่วยผมลงไปโดยปราศจากรอยขีดข่วน แต่เขาโดนผมข่วนเพราะเกาะเขาแน่นไปหน่อยจนเลือดซิบๆ

โอบอกขอบคุณเบญจมินทร์ เขาพยักหน้ารับ ยิ้มเขิน แล้วเพื่อนก๋ากั่นของโอก็ชวนเบญจมินทร์นั่งกินน้ำและขนม พวกเขาพูดถึงการ ‘เอ็นทรานซ์’ แล้วตั้งแต่วันนั้นผมก็ได้พบเบญจมินทร์บ่อยๆ เขาจะหอบหนังสือตั้งใหญ่เข้ามา วางลงที่โต๊ะหินอ่อนใต้ต้นมะม่วง เดินไปสวัสดีพ่อและแม่ของโอ จากนั้นพวกเขาจะนั่งอ่านหนังสือด้วยกัน

ช่วงแรกๆ พวกเขาอ่านกันสามคน แต่ช่วงหลังๆ บางครั้งก็เหลือแค่สอง

ในสวนหลังบ้าน พวกเขาสบตากัน ยิ้มให้กัน และมีบางอย่างที่ไม่ชัดเจนวิ่งกระดุ๊บกระดิ๊บระหว่างกันและกัน แต่มนุษย์ไม่เหมือนแมว ในขณะที่ผมยอมอดข้าวอดน้ำ ยอมเสี่ยงกรงเล็กและคมเขี้ยวพวกเดียวกันเพื่อไปนั่งเฝ้าแมวตัวเมียตอนที่ผมเป็นแมวตัวผู้ และตะเกียกตะกายออกจากบ้านอย่างไม่กลัวตาย เพื่อไปหาตัวผู้ยามผมติดสัดเมื่อผมเป็นแมวตัวเมีย แต่อย่างที่คุณเห็น เบญจมินทร์เป็นหมอ ส่วนโอนั้นจบบริหารจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง มนุษย์อย่างพวกเขาเห็นตำราเรียนและการเอ็นทรานซ์เข้ามาวิทยาลัยสำคัญกว่า ซึ่งถ้าผมจะสรุปว่าพวกเขาเห็นความสุขของพ่อแม่ เวลาที่เห็นพวกเขาประสบความสำเร็จสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด ก็น่าจะถูกต้องที่สุด

ไม่แปลกเลยที่พวกเขาจะให้ค่าการผสมพันธุ์ในระดับเดียวกันกับที่ผมให้ค่าการนอนกลางวันนั่นแหละ

–ไม่สำคัญที่สุด แต่ก็ชอบมันสุดๆ–

นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาปล่อยผ่านความรู้สึกที่วิ่งกระดุ๊บกระดิ๊บระหว่างกัน แล้วแยกย้ายจากกันไปตามหน้าที่ของตัวเอง

ในดวงตาพวกเขาเหลือไว้เพียงเงาจางๆ ของความรู้สึกดีๆ ที่ไม่ได้สานต่อ และมันคงจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป

 

นั่นคือชีวิตที่ 2 ผมมาเจอเบญจมินทร์อีกครั้งในชีวิตที่ 4

ตอนนั้นผมเป็นแมวตัวเมียหน้ากลมลายสลิดสีน้ำตาลเทาของเป้ คราวนี้เบญจมินทร์เป็นหมอต่อมไร้ท่อ และโตขึ้นจนเป็นหนุ่มใหญ่แล้ว

เบญจมินทร์ในวัยสามสิบกว่าปี มีเมียแล้ว เธอเป็นหมอทั่วไปที่พร้อมจะตายได้ตลอดเวลา

ผมเคยได้ยินเป้และพ่อคุยกันว่า เบญจมินทร์เป็นสุภาพบุรุษ ภรรยาของเขานั้นเป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย คบกันมานานหลายปี เธอรอเขาจนเรียนจบเฉพาะทาง และไปเรียนต่อประกาศนียบัตรอะไรต่อมิอะไรอีกหลายปี จนเขาอิ่มกับความก้าวหน้าทางวิชาการ เบญจมินทร์ผู้ซื่อสัตย์ไม่เคยนอกลู่นอกทางก็กลับมาขอแฟนแต่งงาน แต่ก้อยแฟนของเขาปฏิเสธ เขาตามตื๊อ ตามง้อ เหมือนจะเป็นบ้า ในที่สุดก้อยจึงไปบอกกับพ่อแม่ของเบญจมินทร์ว่าเธอป่วยเป็นมะเร็ง เธอรู้ตัวว่ากำลังจะตาย เธอไม่ได้ทรยศต่อความรัก แต่เธอไม่อยากให้เขาลำบากไปกับเธอ

สิ่งที่เธอร้องขอคืออยากจะให้พ่อแม่ของเบญจมินทร์ช่วยห้าม และปลอบโยนเขาไม่ให้เสียใจที่เธอไม่ยอมแต่งงานด้วย

ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ก้อยคาดหวัง พ่อและแม่ของเบญจมินทร์ไม่ต้องการให้ลูกชายตัวเองเป็นพ่อหม้าย และต้องใช้ชีวิตที่กำลังก้าวหน้าดูแลคนป่วย แต่เบญจมินทร์ก็เหมือนบรรพตพี่ชายของเขา

เมื่อรักใครเข้าไปแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรจะเกินไปกว่าคำว่า ‘รัก’

เบญจมินทร์เข้าไปคุยกับแม่ของก้อย บอกว่าเขาขอเป็นคนดูแลก้อยจนวันสุดท้ายของชีวิต

เมื่อพ่อแม่เบญจมินทร์ไม่สนับสนุน แต่แม่ของก้อยสนับสนุน การแต่งงานจึงเกิดขึ้น

มันเป็นงานแต่งงานริมทะเล เชื่อไหมว่าผมได้แต่งสวย (เพราะตอนนั้นผมยังเป็นแมวตัวเมีย) ผูกโบที่คออย่างไม่เต็มใจไปงานแต่งวันนั้นด้วย ทุกอย่างในงานสวยงามและดีไปหมด แม้ว่าพ่อแม่ของเบญจมินทร์จะไม่เห็นด้วยเลย แต่พวกเขาก็มาร่วมงานและร่วมอวยพรให้คู่บ่าวสาวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

หลังงานแต่ง ผมเคยเจอก้อยอีกหลายครั้ง เธอเป็นคนบอบบาง อ่อนหวาน มีส่วนคล้ายโออยู่มาก หากต่างกันที่ความสดใส ถ้าก้อยเป็นมะลิ โอก็เหมือนดอกทานตะวัน ไม่ว่าเมื่อสามสิบปีก่อน หรือในตอนนี้โอก็ยังคงเป็นดอกทานตะวัน

ผมจำไม่ได้ว่าก้อยและเบญจมินทร์อยู่ด้วยกันกี่ปี แต่ก่อนที่ผมจะละทิ้งร่างของหยก ผมเห็นพวกเขาแต่งชุดดำ ได้เห็นเบญมินทร์แอบร้องไห้ในบ้านของพี่ชาย และเห็นเป้แอบยืนมองเงียบๆ ที่ประตู

ไหล่สั่นไหวของเบญจมินทร์ทำให้เป้ต้องกัดริมฝีปาก เสียงสะอื้นเบาๆ ดังเฮือกเหมือนคนกำลังจะจมน้ำทำให้เป้อุ้มผมขึ้นมารัดแน่น

เขาพาผมเข้าไปในห้องนอน ซุกหน้าเอาไว้กับขนบนหลัง ผมรู้สึกเปียกจนต้องดิ้นหนีออกจากกอดของเป้

“บ้านของเราคงถูกสาป หยกรู้ไหม แม่ก็อยู่กับพ่อได้ไม่นานเหมือนกัน”

เขาบอกผม ส่งยิ้มร่วงโรยมาให้ ถึงแมวอย่างพวกผมจะถือคติไม่ยุ่งเรื่องของใคร แต่คืนนั้นผมก็ยินดีจะให้เป้นอนลูบไล้ขนอย่างไม่นึกรำคาญสักนิดเดียว

 

– 2 –

เบญจมินทร์พักที่โอโตซังฟาร์มสเตย์มีกำหนด 3 คืน เพื่อถือโอกาสพักผ่อนและเยี่ยมหลานชาย

โอโตซังฟาร์มสเตย์นั้นมีพื้นที่กว้างขวาง ผมไม่รู้แน่ชัดว่ามีกี่ไร่ รู้แต่ว่ามันมีสระขนาดใหญ่ มีพื้นที่ลุ่มกว้างขวางเอาไว้ปลูกข้าว มีเนินที่เรียกว่าโคกไล่ระดับสูงขึ้นไปทางท้ายที่ดิน ซึ่งปลูกไม้ยืนต้นชนิดต่างๆ และระหว่างเนินและที่นาเป็นสวนผักและกลุ่มอาคารมุงกระเบื้องดินเผา อาคารที่ใหญ่ที่สุดเรียกอาคารส่วนกลางเป็นทั้งแผนกต้อนรับ ห้องอาหาร ร้านกาแฟ ซึ่งเป็นอาคารเดียวที่มุงด้วยใบตองตึง หลังอาคารส่วนกลางเป็นกลุ่มบ้านพักของโอและโตที่แบ่งเป็นหลังย่อยๆ เหมือนเรือนหมู่แบบไทยภาคกลาง แต่รูปทรงเรียบง่ายกว่านั้นมาก

นักท่องเที่ยวที่เข้าพัก จะมีเรือนพักเป็นหลังย่อมๆ หันหน้าเข้าหาบึงน้ำ มีแปลงผักกลางแจ้งทอดยาวอยู่ด้านหลัง

หากมองจากมุมสูงด้วยสายตาของพวกนก ทุกพื้นที่ของโอโตซังฟาร์มสเตย์จะเห็นคลองไส้ไก่ มันไหลลดเลี้ยวเหมือนเส้นเลือดฝอยกระจายอยู่เต็มที่ดิน

บ้านพักคนงานอยู่ใกล้ส่วนที่เป็นป่าไผ่ ซึ่งผมชอบเดินตามเป้ไปใช้ชีวิตช่วงกลางวันบางวันที่นั่น

ฟ้าใสซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยโอนั้น ดูแลเบญจมินทร์ในฐานะแขกพิเศษของโอและในฐานะอาของเพื่อนด้วย แต่เมื่อรู้ว่าก่อนหน้านี้เบญจมินทร์ได้ไปอบรมเรื่อง ‘การเขียนตำรา’ และต่อด้วยงานสัมนาเรื่อง ‘สุขภาวะของเพศทางเลือก’ ฟ้าใสก็ตาโตและบอกแฟนต้าว่า ทั้งตัวเธอและแฟนต้าควรจะหาโอกาสพูดคุยกับเบญจมินทร์ให้มากขึ้นไปอีก

“ทำไมล่ะเจ้” แฟนต้าถามอย่างสนใจ เขามักจะเรียกฟ้าใสว่าพี่บ้าง เจ้บ้าง ตามอารมณ์

ตอนนั้นเป็นเวลาพักเที่ยง พวกเรานั่งอยู่ใต้ศาลาในป่าไผ่ เป้และบุญรอกำลังเผาถ่านทำน้ำส้มควันไม้ ส่วนต้นกล้านั้นกำลังแก้ไขกังหันพลังงานลม ที่เขาโอ่ว่าเขากำลังทดลองทำต้นแบบ และจะทำให้มันใช้งานในฟาร์มให้ได้จริงๆ

ฟ้าใสมองเป้ แล้วกระซิบกระซาบ “เมื่อวานพี่นั่งดูบอนนี่ทำอาหารอยู่” เธอหมายถึงเน็ตไอดอลในช่องยูทูป ที่ทั้งสองเป็นแฟนคลับอยู่ “หมอเบญเดินมาเจอก็ตื่นเต้นว่าพี่ดูบอนนี่ด้วยหรือ”

“ตื่นเต้นเลยเหรอ…อย่าบอกนะว่าหมอ…เป็น อะ”

“ไม่ใช่” ฟ้าใสลากเสียงอ่อน “พี่ถามหมอเบญว่า หมอรู้จักบอนนี่ด้วยเหรอ รู้ไหมว่าหมอเบญตอบว่ายังไง”

“ยังไง”

“บอกว่ารู้จักสิ เพราะบอนนี่คือคนไข้ของเขา”

“คนไข้…บอนนี่ป่วยเป็นอะไร มะเร็งเหรอ เห็นเขาว่าฉีดฮอร์โมนมากๆ จะเป็นมะเร็ง” เสียงแฟนต้าแตกตื่น

ฟ้าใสโบกมือปฏิเสธ “อย่าเดามั่วอย่างนั้นสิจ๊ะ” ฟ้าใสดุไม่จริงจังนัก แล้วอธิบายยืดยาวว่า การผ่าตัดแปลงเพศนั้นไม่ได้ใช้บริการหมอศัลยกรรมตกแต่งเพียงเท่านั้น แต่จะต้องใช้บริการของหมอต่อมไร้ท่อด้วย ฟ้าใสยอมรับว่าก่อนหน้านี่เธอเองก็ไม่คุ้นเคยกับหมอต่อมไร้ท่อ ไม่รู้งานที่แท้จริงของเขาว่าทำอะไรบ้าง แต่ตอนนี้เธอรู้แล้วว่า ไม่ว่าแฟนต้าจะอยากเดินสุดทางไปจนถึงการผ่าตัดแปลงเพศ หรือแค่อยากจะให้มีรูปร่างกระเดียดไปทางผู้หญิง แฟนต้าก็ต้องเข้าไปข้องเกี่ยวกับหมอต่อมไร้ท่อแน่ๆ

“ดีมากเลยนะ เพราะดูหมอเบญจะสนิมกับอาโอของแฟนต้ามาก”

“ดียังไงเจ้”

“อ้าว…ก็ไม่ต้องรอคิวไง ปรึกษาได้เลย รู้จักกันอยู่แล้ว”

ฟ้าใสว่า แฟนต้าพยักหน้ารับเนือยๆ

“ทำไม…ไม่ดีใจเหรอ” ฟ้าใสถาม

“เปล่าเจ้ แต่ไม่แน่ใจว่าอาโตกับอาโอจะว่ายังไงน่ะสิ” แฟนต้าว่า แค่ผมสงสัยว่าบางทีเขาอาจจะไม่ได้คิดอย่างที่ปากพูด

“แฟนต้านี่เห็นเหมือนแรงๆ แต่ก็แคร์คนอื่นเหมือนกันนะ” คำพูดฟ้าใสบอกว่าเชื่อแฟนต้าสนิท

“ชมใช่ไหมเนี้ย”

“ชม…ชื่นชม”

“ทำไมต้อง ‘ชื่นชม’ ด้วยล่ะ”

“คนที่ใส่ใจคนอื่นจะไม่ชื่นชมได้ยังไง พี่เองให้คำปรึกษามาเยอะ เจอคนมีปัญหาเพราะยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล มองอะไรก็ทุกข์ มองอะไรก็ลบไปหมด”

“แย่จังเนอะ” แฟนต้ารับคำ ผมดูออกว่าเขาพูดรับตามมารยาท แต่ฟ้าใสไม่รู้และยังพูดต่อ

“แต่เชื่อไหมว่า บางครั้งพี่ก็ถามตัวเองว่าเราเองน่ะ อยู่ตรงศูนย์กลางจักรวาลด้วยหรือเปล่า” ฟ้าใสหัวเราะแห้ง

“แล้วพี่ได้คำตอบไหม” คราวนี้แฟนต้าสนใจความคิดเห็นของฟ้าใสขึ้นมาจริงๆ

ฟ้าใสส่ายหน้าช้าๆ

“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ก็พยายามจะไม่เป็นคนแบบนั้น พยายามจะเข้าใจคนอื่น”

“ที่พี่ช่วยต้าเพราะพยายามจะเข้าใจคนอื่นอยู่หรือครับ”

“มันก็เป็นสิ่งที่เราควรจะทำให้กันและกันไม่ใช่เหรอ ความเมตตา ความเข้าใจ มันควรจะมีอยู่ในมนุษย์ทุกคนไม่ใช่เหรอ”

ฟ้าใสถามแฟนต้า อันที่จริงแฟนต้าควรจะพยักหน้ารับ แต่เขาก็ไม่มีคำตอบให้ แม้คำว่า ‘ใช่’ มันจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการกาข้อสอบ แต่แฟนต้าก็เลือกที่จะ ‘นิ่ง’ และ ‘คิด’

 

– 3 –

วันถัดมาเป็นเช้าวันจันทร์ ฟ้าใสไม่ได้หาโอกาสพูดคุยกับเบญจมินทร์อย่างที่เธอแนะนำแฟนต้า การต้องเข้าใกล้ผู้ชายตัวหอม มีท่านั่งไขว่ห้างเหมือนแมวทรงเสน่ห์ และท่าทางการขยับนิ้วเหมือนร่ายเวทมนตร์ คงเป็นเรื่องที่ยากจะรับมือ ไม่เหมือนการเข้าใกล้ไอ้เถื่อนเป้ นอกจากจะไม่ต้องรับมือกับความสุภาพแล้ว ก็ไม่มียิ้มหวานๆ ให้ใจละลายด้วย

ดังนั้นฟ้าใสจึงหยุกหยิกและมีท่าทีแปลกๆ กับเป้แทนที่จะเป็นเบญจมินทร์ เธอถามซอกแซกถึงแผนการประจำวันที่เป้ตั้งใจจะทำในวันนี้ ซึ่งได้รับคำตอบว่า เขาอยากจะพาอาเบญของเขาทัวร์โอโตซังฟาร์มสเตย์บนพื้นที่ 15 ไร่ไปทุกซอกทุกมุม โดยมีเสียงโตสนับสนุนว่า “ดีๆๆ”

เป้โฆษณาถึงสวนป่าด้านหลัง ทั้งผมและฟ้าใสจึงเพิ่งจะรู้วันนี้เองว่า สิ่งที่เป้ประทับใจในโอโตซังฟาร์มสเตย์ที่สุดไม่ใช่สวนผักปลอดสารพิษ แต่คือป่าไม้ท้ายที่ดิน เขาบอกเหมือนเด็กๆ ว่า เขาฝันอยากมีบ้านบนต้นไม้ หรือไม่ก็สร้างบ้านไว้ใต้ต้นไม้สูงๆ

บ้านของเขาจะต้องมีนอกชานกว้าง เว้นช่องกระดานให้ต้นไม้แทงลำต้นขึ้นมา ถ้าเขามีโอกาสได้สร้าง บ้านในฝัน เป้จะตัดต้นไม้ทิ้งให้น้อยที่สุด และจะพยายามใช้ไม้ที่ตัวเองปลูกให้ได้มากที่สุด

“ได้บ้านจากต้นไม้ที่เราปลูก มันคงจะเจ๋งชะมัด ยิ่งเป็นบ้านกลางป่า คงจะเจ๋งสุดๆ” เป้พูดฝันๆ

“งั้นวันนี้เป้พาหมอเบญไปทัวร์เลยนะ ไม่ต้องสอนงานเรา วันนี้เราจะอยู่ช่วยพี่โอที่นี่ดีกว่า แล้วเดี๋ยวกลางวันจะทำอาหารอร่อยๆ เอาไว้ให้กิน ผักสดๆ ทำอาหาร อร่อยมากเลยค่ะ” ประโยคหลังฟ้าใสหันไปพูดกับเบญจมินทร์ หมอหนุ่มใหญ่ยิ้มรับสดชื่น เขาคงกำลังคิดชื่นชมความสดใสของเธอในใจ แต่สำหรับผม คิดว่าฟ้าใสกำลังวางแผน

“ดีเหมือนกัน กระหล่ำปลีที่ผมปลูกกำลังห่อเลยครับอาเบญ” เสียงเป้ตื่นเต้น

“ห่อ…” เบญมินทร์ทวนคำอย่างคนไม่รู้

“ห่อก็คือมันเป็นหัวแล้วครับ ตอนต้นเล็กๆ มันจะเป็นใบๆ แล้วจะเริ่มห่อเป็นชั้นๆ จนแน่นอย่างที่เราซื้อกินในตลาด”

“อ้อ…” เบญจมินทร์ร้องรับ

“แล้วอยากกินอาหารไทยหรืออาหารฝรั่งล่ะ” ฟ้าใสถามเป้

“ทำเป็นด้วยเหรอ” เป้แกล้งปรามาส

“แม่ครัวมือหนึ่งเลยล่ะ” โอรับรอง “สาวๆ สมัยนี้ทำอาหารไม่เก่ง แต่ฟ้าใสเขาทำเก่ง ใครได้เป็นแฟนนี่ ได้ของแรร์ไอเทมไปเลยนะเนี่ย” โอแซว เป้หน้าแดง ทั้งๆ ที่ไม่มีใครเอ่ยชื่อเขามาสักคนเดียว

เรื่องร้อนตัว โง่ๆ นี่ถนัดนักละ

เขาทำให้ผมนึกถึงเบญจมินทร์เมื่อครั้งยังเรียนมัธยมขึ้นมา

บางทีแล้วเป้อาจกำลังตกหลุมรัก แล้วจิตนาการไปถึงการนั่งกินข้าวที่ทำโดยภรรยาชื่อว่าฟ้าใสอยู่ก็เป็นได้ เหมือนที่ผมเคยได้ยินเพื่อนของเบญจมินทร์พูดขึ้นว่า ถ้าได้โอมาเป็นภรรยา คงจะกลับบ้านไปกินข้าวเย็นที่บ้านทุกวัน ไม่ออกไปสังสรรค์เหมือนที่พ่อพวกเขาชอบทำกันจนกลับบ้านมืดๆ ค่ำๆ

พอเพื่อนพูดจบ เบญจมินทร์ก็หน้าแดงเหมือนเป้ในตอนนี้ขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

ตอนนั้นผมนอนอยู่บนขอบรั้ว มองพวกหนุ่มๆ ที่ชอบชะเง้อชะแง้เวลาเดินผ่านกำแพงบ้านโอ เมื่อได้ยินเด็กหนุ่มหนึ่งในนั้นจินตนาการไปไกล ผมก็หรี่ตามอง อดนึกในใจไม่ได้ว่า –ไม่มีทางเสียละ

 

– 4 –

ทุกคนออกจากเรือนส่วนกลางไปแล้ว ลูกค้าที่พักทยอยเช็กเอาต์และบางคนทยอยเข้ามา นับเป็นวันแสนยุ่งวุ่นวาย จนฟ้าใสไม่มีโอกาสได้เอ่ยปาก

แฟนต้าโทร.เข้ามาหาฟ้าใสจากโรงเรียนตอนเที่ยง ผมได้ยินเธอบอกว่าตอนนี้แขกที่จองเอาไว้มาถึงที่พักหมดแล้ว บางคนออกไปดูสวนผักกับโต บางคนรอเวลาเอาของไปเก็บในห้อง ที่จะทำความสะอาดเสร็จและให้แขกขนของเข้าไปได้ตอนบ่ายหนึ่ง ฟ้าใสคาดการณ์ว่า ช่วงบ่ายโอกาสทองจะมาถึง

ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าแผนของฟ้าใสคือหาโอกาสคุยกับโอ ความหยุกหยิกที่เธอมีกับเป้เมื่อเช้า เพราะเธออยากให้เขาไปไกลๆ เมื่อเป้มีความคิดจะพาเบญจมินทร์ไปทัวร์ทั้งวัน ฟ้าใสจึงรีบสนับสนุน

แต่…โอกาสทองก็ไม่เคยมาถึง

มันปลิดปลิวไปพร้อมลมแล้งกลางแดดระอุของหน้าหนาวในตอนเที่ยง อย่างไม่เหลือซาก

ตอนนั้นโอเดินออกไปในสวนผัก ไอ้โฟกัสวิ่งหางตั้งตามติด ผมนึกอย่างไรไม่รู้วิ่งเหยาะๆ ตามไปด้วย ผมไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ภาพที่โอล้มลงนั้น ผมยังจำได้ติดตา

ผมกำลังจ้องจับตั๊กแตน โอเคลื่อนไหวอยู่ข้างหน้า ผมเห็นโอโงนเงน ก่อนจะลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ทุกอย่างชะงัก และเชื่องช้าราวเวลาหยุดลงชั่วขณะหนึ่ง

โอล้มลงมาเสียงดังสนั่นท่ามกลางแปลงผักสีเขียวสด ไอ้โฟกัสเห่าเสียงขรมก่อนจะวิ่งวนไปมาเหมือนหมาสติแตก

เสียงคนตะโกนฟังไม่ได้ศัพท์ ทุกอย่างหมุนติ้ว สับสน จำได้แต่เป้เข้ามาถึงตัวโอเป็นคนแรก จากนั้นคนสำคัญที่สุดและได้อยู่ใกล้ชิดโอมากที่สุดก็คือเบญจมินทร์ ผมได้ยินเสียงโตถามละล่ำละลักว่า

“โอเป็นยังไงบ้างหมอ ช่วยโอด้วยนะหมอ”

ก่อนที่ร่างของโอจะถูกยกขึ้นรถ แล่นหายออกจากบ้านไป…

ภาพสุดท้ายที่ผมจำได้คือใบหน้าโตแห้งผาก ส่วนเบญจามินทร์นั้นขาวซีด

ผมถามตัวเองว่าโอจะได้กลับมาไหม หรือจะหายไปตลอดกาลเหมือนก้อยกันนะ

 



Don`t copy text!