ดาราอรุณ บทที่ 6 : ดาวพระศุกร์

ดาราอรุณ บทที่ 6 : ดาวพระศุกร์

โดย : กฤษณา อโศกสิน

Loading

ดาราอรุณ โดย กฤษณา อโศกสิน เรื่องของ ‘ลมเย็น’ หญิงสาวที่เกิดในช่วงเวลาที่ดาวประกายพรึกปรากฏบนฟากฟ้าและ ‘หิ้ง’ ชายหนุ่มที่โชคชะตาพัดพามาให้ได้ใกล้ชิดกัน…เมื่อดาวศุกร์ ดารายามแรกอรุณได้นำทางความรักให้ทุกคนที่เกี่ยวข้อง ดาวศุกร์จึงพาให้ชีวิตของเธอเปล่งประกายไม่ต่างไปจากดาราอรุณและนี่คือนวนิยายที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

เย็นวันนี้ ชายหนุ่มจึงมีผู้ติดสอยห้อยตามจำนวนหนึ่ง อาจจะเรียกว่าทั้งครอบครัวก็ได้ ซึ่งมีนายชัด นางยาใจ น้าเยี่ยมเยือนพร้อมด้วยหญิงสาวทั้งคู่ มีน้องชายเขาติดไปนั่งล้อมวงกินอาหารเย็นที่ภัตตาคารใหญ่มีชื่อเสียงใกล้ๆนั้น

“นานแล้ว…นานมากที่อาๆไม่ได้ออกมากินอะไรกันแบบนี้เลยนะหิ้ง” นางยาใจเอ่ยขึ้นอย่างเบิกบานขณะเลือกอาหารที่หิ้งบอกให้สั่งกันได้ตามใจ “คือไม่มีใครมีเวลาพอไงจ๊ะ อีกอย่างก็กลัวโควิดซะจนลานไปตามกัน ยิ่งตอนที่คนเป็นกันเพียบ โรงพยาบาลเต็ม ก็ยิ่งไม่กล้า…แค่ไปจ่ายของก็ยังรีบไปรีบกลับ ของที่ไม่ได้เอามากินก็ใช้สั่งจากร้านที่เชื่อถือได้ที่ไม่โกง ก็เลยสะดวกขึ้นเยอะ”

ในภัตตาคาร ยังมีลูกค้าไม่มาก แค่สองสามโต๊ะ ห่างๆกัน โชคดีที่มีที่นั่งข้างนอกห้องปรับอากาศซึ่งลมเย็น เลือกนั่งเพื่อความปลอดภัย

ลมโชยรีบจองที่นั่งข้างหิ้งที่มีนายชัดนั่งอีกข้าง ส่วนลมเย็นรำคาญท่าทางน้องสาวที่ต้องมีพี่ชายกับน้องชายคู่นั้นขนาบข้าง หล่อนก็เลยเลือกที่ติดกับนางยาใจและน้าเยี่ยมเยือน ตรงกันข้ามกับทั้งสาม

นายชัดเห็นแล้ว…แต่จะทำอย่างไรได้นอกจากสบตากับลูกคนโตเชิงบอกกล่าว

‘มันก็เป็นของมันแบบนี้แหละเย็น อย่าเห็นเป็นเรื่องใหญ่’

ครั้นบริกรนำเมนูมาให้ดูหลายเล่ม ลมโชยกลับบอกเขา

“พี่หิ้งเลี้ยงก็ให้พี่หิ้งเลือกดีกว่า” พลางก็เอนดวงหน้าเข้าไปใกล้ ชวนให้เหินต้องกางศอกออกพร้อมกับหันไปถลึงตา “พี่หิ้งช่วยสั่งแทนด้วยละกันค่ะ”

แต่หิ้งหันไปทางผู้อาวุโส

“อาสั่งเลยฮะ…อาด้วย” เขาพยักพเยิดกับสามหญิงตรงหน้า “เย็นด้วย…เย็นสั่งเลย…”

“ถ้างั้น เย็นสั่งของเย็นหนึ่งอย่างนะคะ คือออส่วน…แค่นั้นค่ะ…อิ่มเลย” หญิงสาวบอกอย่างอารมณ์ดี…อย่างไม่คิดจะราวีกับลมโชย ปล่อยให้เหินจัดการด้วยตนเอง เนื่องด้วยนึกรู้

บัดนี้ น้องหล่อนเริ่มติดใจพี่ชายผู้เพิ่งพบใหม่

ก็น่าหรอก…น่าติดใจ น่าเข้าใกล้ น่าอิงแอบ ขณะที่เทียบเขากับเหินผู้บัดนี้นั่งหน้าไม่สบอารมณ์สักเท่าไร หากด้วยความเกรงใจเจ้ามือ จึงนั่งนิ่งเงียบคล้ายมิได้เอาใจมา ก้มลงไล่ดูรายการอาหารพร้อมรูปประกอบในแต่ละหน้าด้วยดวงตาค่อนข้างทื่อ เพราะแทบไม่รู้ว่าแต่ละจานมีชื่อว่ากระไร

“โชยกับเหินล่ะ…ชอบอะไรสั่งเลยนะเหิน…แกเคยชอบเนื้อไม่ใช่เหรอ นี่เขาก็มีนะ ริบอาย เอาไหม”

“ก็ได้ฮะ” เหินอ้อมแอ้ม

“แล้วพี่หิ้งล่ะ เอาอะไร พี่กินอะไร โชยกินอย่างเดียวกับพี่…ได้มะ”

เหินหมั่นไส้สุดขีดก็เลยใช้ศอกกระทุ้งสีข้างคนพูดเบาๆ หากแต่เบาของเขาก็ทำเอาเจ้าตัวร้องโอ๊ย พลางทำท่าจะผุดลุกขึ้น

“เอาแล้วไหมล่ะ” นายชัดส่ายหน้าอย่างเอือมเต็มทน “ไอ้คู่นี้มันเป็นยังไงของมัน เดี๋ยวตบเดี๋ยวจูบ”

บิดาปล่อยหมัดเด็ดหน้าตาเฉยเพียงเท่านี้ ก็เรียกรอยยิ้มให้กระจายไปยังทุกดวงหน้าได้ในวินาทีต่อมา

“พ่อพูดแบบนี้ก็เป็น” ลมเย็นพึมพำพร้อมยิ้มพราย เนื่องด้วยขณะนี้ ทุกคนถอดหน้ากาก แลเห็นกันอย่างเต็มที่เต็มตา มีชีวิตชีวากว่าอยู่เบื้องหลังผ้าคาดผืนเล็กร้อยเท่าพันทวี

แม้รู้ดีว่า พ่อจำเป็นต้องลงลึกทุกทาง กระทั่งเรื่องราวของเทวดาแต่ละองค์บนสวรรค์วิมาน อันคือดาวแต่ละดวงที่พ่อต้องมีความรู้อย่างแน่นใจอีกช่วงเวลาหนึ่งซึ่งมิใช่เวลาของสมุนไพร พ่อก็ล่วงรู้ราวกับเหาะไปด้วยกับทุกองค์

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘ดาวพระศุกร์’

แต่ลมเย็นก็อดคุกเข่าให้พ่อด้วยความเคารพอย่างสูงมิได้

พ่อเก่งทั้งทำยา ทั้งนวด ทั้งดูดวงได้อย่างไร

หิ้งผู้หอบปริญญาทันสมัยมาถึง จึงรับได้ทันใดถึงความรู้อันหายากที่มีในตัวพ่อ จนต้องขอร่วมหุ้นด้วยอย่างไรเล่า

เพียงแต่กิจการที่พ่อทำอยู่ขณะนี้ คง ‘โบราณ’ ไปแล้วสำหรับเขา หิ้งจึงแนะนำให้ตั้งบริษัทที่หล่อนก็เคยคิดอยู่เช่นกัน แต่ในเมื่อการเงินยังไม่แข็งแรงพอ จึงต้องรอไปพลางเพียงแค่ทำให้ ‘ยาแผนโบราณ’ ของพ่อเดินทางต่อไปบน ‘ออนไลน์’

เพื่อให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นซึ่งส่วนใหญ่ก็ได้ผล เพราะแม้ว่าค้าขายบนอากาศ หากแต่ยึดความสุจริตเป็นที่ตั้ง อากาศอันว่างเปล่าก็จะค่อยๆปรากฏเป็นรูปกายให้จับต้องได้ในที่สุด

ยาหลายขนาน ทั้งยาหอมที่กินได้ ยาทาที่ทาแล้วได้ผล จึงจรดลออกจากที่ที่มีคนรู้จักน้อย หากก็ค่อยๆแผ่กว้างออกไป

“ก็อามีลูกสมัยใหม่เจี้ยบเลยนี่ฮะ…พ่อผมก็ไม่ยอมแพ้ ส่งนายเหินมาให้คู่กันได้เลยกับน้องโชย” หิ้งก็เลยเอ่ยเชิงประโลมใจน้องของเขาผู้ทำอย่างไรเสียก็ยังอารมณ์ไม่ดี

“พี่หิ้งพูดแบบนี้ได้ยังไงคะ” ลมโชยก็เลยหันมาเอาจริง “โชยไม่เคยบอกซักทีว่าจะคู่กับใคร”

“อ้าว…จริงน่ะ…พี่ไม่รู้นี่…แกล่ะรู้ไหมเหิน” เขาถามหัวเราะๆ ขณะที่ทุกคนสั่งอาหารเสร็จสิ้น หันมาฟังเสียงโต้กันไปมาระหว่างหนุ่มสาว “รู้ไหมว่า…”

แต่นายชัดรีบโบกมือ

“อย่าเถียงกัน…นี่เรามากิน มาสนุก มาหัวเราะ ไม่ได้มาร้องไห้”

ลมเย็นก็เลยยกนิ้วให้บิดา

“จริงด้วยพ่อ”

“เขาว่า คนชอบทะเลาะมักจะขาดทุน” ผู้อาวุโสกล่าวต่อ เนื่องด้วยกำลังอารมณ์ดี เพราะเกือบสามปีที่ผ่านไป ก็เอาแต่อยู่บ้าน ต่างก็กลัวโควิด-19 กันถ้วนหน้า ไม่กล้าไปร้านอาหารหรือชุมนุมชนที่มีผู้คนขวักไขว่ ครั้นมาถึงวันที่กำลังสบายใจเพราะโชคดีใกล้มาถึง ก็กลับดึงเรื่องให้บิดเบี้ยวเสียอย่างนั้น มันจะใช้ได้อย่างไรกัน

“พ่อเลยได้กำไรมาตลอด” ลมโชยอดกระเง้ากระงอดไม่ได้

“แน่นอน” นายชัดก็เลยลงเสียง “เห็นเทวดาไหม ก็ท่านฉลาดอยู่ ท่านถึงได้เหาะไปมาแถวบนฟ้าโน่น แต่ปีศาจมันโง่ วันๆถึงได้อยู่แต่ในนรก”

ลูกคนเล็กก็เลยเงียบกริบ เพราะไม่รู้ว่าพ่อด่ากระทบใคร

 

แต่หิ้งก็รีบเปลี่ยนเรื่องใหม่โดยพลัน หันไปเอ่ยถึงการเข้าหุ้นกันทำธุรกิจยาแผนโบราณเพื่อส่งงานที่เป็นของบรรพบุรุษนี้ให้ดำรงคงอยู่คู่ชีวิตของคนไทยสืบไปโดยมิให้สูญหายไปเสีย

“ผมเองก็เคยได้ข่าวแพทย์ไทยกำลังทำวิจัยเกี่ยวกับสมุนไพรไทยเหมือนกันครับอา” ชายหนุ่มพาเรื่องออกจากอารมณ์หลุดๆของทั้งน้องเขาและน้องหล่อนในพริบตา “ใจยังสนับสนุนอยู่ไม่หาย แต่แล้วข่าวคราวก็เงียบไป…พอมาเห็นอาทำยาไทยก็เริ่มสนใจขึ้นมาอีก…คือผมชอบไงฮะ สมบัติของบรรพบุรุษนี่ผมเห็นว่าสำคัญทุกชนิด ไม่ว่าประเภทไหนทั้งสิ้น อยากรักษาไว้น่ะอา”

“ดีจังที่หิ้งไม่ดูเป็นหัวนอกเลยทั้งๆที่น่าจะเป็น” นายชัดชมเชย พลางนึกถึงบิดาของชายหนุ่ม

เจ้าหันก็มีดีของมัน แต่ความคิดอ่านยัง ‘หยาบ’ อยู่มาก สู้ลูกไม่ได้ ลูกชายมีเหตุผลเป็นเรื่องเป็นราวดีกว่าหลายเท่า เจ้านั่นดีแต่ขี้โมโห แล้วด่าทอเจ็บๆแสบๆ นึกขึ้นมาทีไร ก็ยังไม่วายชังน้ำหน้าทุกคราไป

“เมืองนอกก็ใช่ว่าจะดีไปทั้งหมดนี่ฮะอา เราไปอยู่แล้วจะทราบว่า ส่วนบกพร่องมีทุกประเทศในโลกนี้ แต่เราเห่อเขาเพราะนึกว่าเราด้อย เขาเด่น ที่จริงเรื่องเด่นๆของเราก็มีเยอะมาก แต่เราไม่ยกชูขึ้นมา บางทียังช่วยกันเหยียบย่ำ…ใครเป็นฝ่ายแย่ล่ะฮะ…ถ้าไม่ใช่เราเอง”

“จริงเลยพี่หิ้ง” ลมเย็นส่งความเห็นข้ามมา “เย็นงี้ไม่เคยเชื่อใครเลยว่าของของเราไม่ดี ทุกวันนี้เย็นก็เลยดีใจที่ได้มาต่อชีวิตยาของพ่อที่ไม่มีตำราไหนดีเท่า…ง่าย แต่ดีน่ะพี่ ถึงจะกินจะทาก็ไม่มีพิษไม่มีภัย ถ้ามีเราก็รู้”

“โค-สะ-นา-ใหญ่” ลมโชยยานคาง

หล่อนเองก็แลเห็นว่าจริงตามคำของพี่สาว

พ่อคือต้นตำรับยากินยาทา ต้นตำรับการนวด ต้นตำรับหมอดูอันเป็นของแท้แต่ดั้งเดิมนานมา

โหราศาสตร์นี้ พ่อแม่นเป๊ะๆราวกับตาเห็น แต่พ่อก็คือพ่อ มักเป็นคนพูดน้อย พูดสั้น ไม่เคยสาธยายยืดยาว แม้กระนั้น บางคราวผู้ฟังก็ราวกับถูกชก

อาหารเริ่มทยอยมาวางเต็มกลางโต๊ะ พร้อมจานแบ่ง

แต่ทันใดนั้น นายชัดก็พลันแลเห็นเปรียวกำลังก้าวเข้ามาในประตูห้องกว้าง…พร้อมหญิงกลางคนคนหนึ่ง จึงพยักพเยิดให้ลมเย็นหันไปมอง

“คุณเปรียว…ท่าทางจะมากับแม่”

เปรียวมากับมารดาเขาจริงๆ เดินผ่านห้องใหญ่ออกมาสู่ระเบียงด้านนอกที่แม้จะอุ่นนิดๆ หากอากาศก็โปร่งสบาย

“มากันทั้งบ้านเลยนะฮะ” ชายหนุ่มใหญ่ยกมือไหว้นายชัด พลางแนะนำให้รู้จักแม่ของเขาผู้ยังไม่ดูว่าสูงวัยมากมาย ผิวคล้ำ แต่งกายดีมีสง่า ท่าทางบ่งบอกว่าสูงด้วยฐานะ

“สวัสดีค่ะ” เธอรีบไหว้นายชัดและทุกคน “ที่นี่อร่อยดีค่ะ ฉันเองก็มาบ่อย…อย่าลืมว่า กำลังรอคำตอบเรื่องราคากันทุกลมหายใจเลยนะคะ…”

พลันสายตาเธอก็มองเลยมายังลมโชยผู้นั่งติดกับหิ้ง พลางถาม

“คุณใช่ไหมคะที่ไปปักป้าย”

“ไม่ใช่ฮะ…คุณแม่” เปรียวรีบบอกกล่าว “คนนี้น้องสาวคุณลมเย็นชื่อลมโชย”

“ชื่อน่ารักน่าเอ็นดูกันจัง” เธออยู่ในหน้ากากสองชั้น หากก็ยังแลเห็นแววตาอันซ่านด้วยไมตรี “ทานอะไรเสร็จแล้ว ขอเชิญไปเยี่ยมบ้านฉันได้ไหมคะ จะได้รู้จักกันไว้ ก็จะเป็นผู้ขายผู้ซื้อกันแล้ว”

นายชัดก็เลยตอบรับอย่างยินดี

สองแม่ลูกจึงเดินไปนั่งที่โต๊ะใกล้ๆ หลังจากเลือกอาหารแล้ว คืนสมุดให้บริกร คุณปรียาจึงกระซิบกับลูกชาย

“ลูกสาวคุณชัดสวยทั้งคู่เลยนะเปรียว”

ชายหนุ่มนิ่งไปอึดใจ ในที่สุดก็พยักหน้า

“คนปักป้ายคือคนชื่อลมเย็น แต่อีกคนแฟนเขานั่งติดกันนั่นไงฮะ…ไม่ไหวเลย…เปรี้ยวซะ…” ลูกชายกระซิบนินทา “ไม่อยากมองหน้าเลย…คือมันเอือมผู้หญิงแบบนี้จนแทบกระอักอยู่แล้ว แม่ก็รู้”

มารดาได้แต่พยักหน้า พลางพึมพำ

“ไม่มีคำใดจะกล่าวได้” เธอตอบล้อๆ

เนื่องด้วยนึกถึงลูกสะใภ้แล้วเบื่อ พอๆกับลูกชาย

สะใภ้คนโต ภรรยาของปราณ ไม่มีเรื่องราวใดให้เก็บมากลัดกลุ้ม แต่สะใภ้คนเล็ก ภรรยาของเปรียวนี่สิ

“อย่าพูดถึงเลยแม่ เดี๋ยวทานอะไรไม่ลง นี่ก็อุตส่าห์ปลีกตัวมาทานนอกบ้านแล้ว ยังมีเรื่องตามมาอีกก็ไม่ต้องอยู่เป็นผู้เป็นคนกันแล้ว” เจ้าตัวว่าพลางปลดหน้ากากใส่ซองพลาสติค เสียบไว้กับกระเป๋าเสื้อ ขณะที่มารดาทำตาม

ครั้นเสร็จสิ้นจากมื้อเย็นที่ภัตตาคาร ครอบครัวนายชัดก็ขับรถตามแม่ลูกทั้งคู่ไปสู่ตึกใหญ่ที่ห่างถนนสายกลางหมู่บ้านไปทางฝั่งขวาอีกสองสามซอย

“พอดีลูกคนโตกับภรรยากับลูกสาวออกไปธุระข้างนอกค่ะ” คุณปรียาบอกกล่าวขณะเชื้อเชิญทุกคนในห้องรับแขกซึ่งบัดนี้มืดแล้ว โคมไฟช่อที่ติดรอบผนังเปิดสว่าง โคมระย้าเจียระไนดวงกลางกระจายแสงเจิดจ้า เพียงไม่กี่อึดใจต่อมา หญิงสาวในชุดแพรยาวดอกสวย คาดหน้ากากไว้บนดวงหน้าก็เยื้องกรายตามเด็กยกแก้วน้ำออกมา พนมมือไหว้ผู้สูงวัยทั้งสามอย่างสุภาพแช่มช้อย

“คุณแม่กับพี่เปรียวบอกว่าจะมีแขกคนสำคัญมาบ้าน…พงาก็เลยถามว่าใคร พี่เปรียวจึงได้บอกว่าคือคุณชัดที่คุณแม่จะไปซื้อที่…ดีใจม้ากมากค่ะที่จะขายให้คุณแม่”

ลมเย็นสังเกตเห็นแววตาสองแม่ลูกเจ้าของบ้านจืดเจื่อนลงไป คล้ายไม่อยากฟัง

“แต่ก็ยังไม่ทราบราคา” คุณปรียาหันไปทางนายชัด “ก็ยังไม่ทราบเลยว่า ถ้าถึงวันจันทร์ ราคาที่ออกมาจะทำให้ตกตะลึงไหมเท่านั้น”

“โชยคิดว่าไม่นะคะ” ลมโชยชิงตอบ พ่อของหล่อนเลยเงียบอยู่ “ว่าแต่ว่าคุณป้าคิดว่าน่าจะเป็นเท่าไหร่ดีล่ะคะ”

เฮ้อ…เรียกคุณป้งคุณป้าเสร็จสรรพ…เหินนึกในใจ ตัวเองก็รู้อะไรซะเมื่อไหร่

ฝ่ายหิ้งนิ่งสนิท เนื่องด้วยคิดว่าตนเองรู้น้อยกว่า นายชัดกับลมเย็นรู้มากที่สุด

แต่กลับมีอีกคนแสดงความรู้โดยเอ่ยขึ้นว่า

“คงตารางวาละสองแสนมังคะ”

ทันใดนั้นสีหน้าคุณปรียากับเปรียวก็ตึงเปรี๊ยะขึ้นมาฉับพลัน

 



Don`t copy text!