ดาราอรุณ บทที่ 9 : ความเป็นเขา
โดย : กฤษณา อโศกสิน
ดาราอรุณ โดย กฤษณา อโศกสิน เรื่องของ ‘ลมเย็น’ หญิงสาวที่เกิดในช่วงเวลาที่ดาวประกายพรึกปรากฏบนฟากฟ้าและ ‘หิ้ง’ ชายหนุ่มที่โชคชะตาพัดพามาให้ได้ใกล้ชิดกัน…เมื่อดาวศุกร์ ดารายามแรกอรุณได้นำทางความรักให้ทุกคนที่เกี่ยวข้อง ดาวศุกร์จึงพาให้ชีวิตของเธอเปล่งประกายไม่ต่างไปจากดาราอรุณและนี่คือนวนิยายที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ
ลมเย็นหลับๆตื่นๆเช่นกัน…ด้วยว่ากว่าจะเพียรปิดตาให้หลับลงได้ ก็ใกล้เที่ยงคืน…แลเห็นแต่ใครคนหนึ่งเคลื่อนไหว ราวกับไม่ไกลห่าง เพื่อนต่างเพศที่เคยมาติดพัน ครั้นแล้วก็ผันผ่านไปนั้น เทียบกันไม่ได้ทันใดที่หิ้งมาปรากฏกายเพียงหนึ่งวัน
‘แต่เราก็ไม่น่าจะจบง่ายๆหรอกนะ’ เสียงเบา แต่หนักแน่นมั่นใจของบิดายังคงดังกังวานอยู่มิจาง
ลมเย็นเองก็รู้สึกชัดว่าคงไม่จบง่ายๆ…ทั้งๆอีกใจหนึ่งก็ไม่อยากเอาชนะคะคานแต่อย่างใดกับลมโชย แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อหิ้งแทบจะไม่ใส่ใจน้องสาวเอาเสียเลย เขาเพียงแต่คล้อยตามไปเพื่อไมตรีอันดีที่เขาคงหวังจะเห็นพ่อกับพ่อคืนสู่ความกลมเกลียวดุจกาลก่อนแค่นั้น
เพียงแต่ตีห้าผ่านไปไม่กี่นาที หญิงสาวก็ลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวใหม่ เปิดประตูห้องแล้วค่อยๆย่องลงมาท่ามกลางความมืด จนกระทั่งได้ยินเสียงเครื่องยนต์เบาๆใกล้เข้ามา
หล่อนเองต่างหากที่ดีใจจนคล้ายกับอยากวิ่ง
เพียงแค่รถจอดสนิท หิ้งก้าวลงมาก็แลเห็นประตูใหญ่เปิดอยู่แล้วเพียงแค่ให้เดินเข้า
“เย็น” เสียงเขาเบาแต่ดังอยู่ภายใต้แสงจากโคมไฟเหนือเสาที่ยังไม่ปิดจนกว่าจะหกนาฬิกาครึ่ง “ตื่นเช้าดีจัง”
“ก็แล้วพี่ล่ะคะ” หญิงสาวเตรียมจะพาเขาเข้าบ้าน หากแต่เขาก็เอ่ย
“ไปนั่งรถเล่นกันก่อนดีไหม” น้ำเสียงของอีกฝ่ายดูตื่นเต้นดีใจ ด้วยไม่คาดหวังว่าจะพบหน้าหล่อนชั่วโมงนี้
นับเป็นนาทีแห่งความปรีดิ์เปรมหาใดปาน
“ไปก็ได้ค่ะ”
โดยพลัน เขาก็เปิดประตูออกกว้าง ยื่นแขนออกมาราวจะประคองให้ขึ้นนั่งอย่างอ่อนโยน
ลมเย็นปิดประตูแล้ว ปล่อยให้ชายหนุ่มพาโผนเผ่นไปสู่ท้องฟ้ายามนภาเรื่อราง แสงมัวอมเทาที่ดูเหงาเงียบเมื่อครู่ ตรูขึ้นจนเต็มตา ขณะที่เจ้าของพาหนะพลันเอ่ย
“ไม่น่าเชื่อเลยนะว่า เมื่อวานเราจะลืมให้เบอร์โทร.กัน เลยโทร.ก็ไม่ได้ ไลน์ก็ไม่มี พี่งี้แทบจะบ้า”
“นั่นซีคะ ต่างคนต่างก็ยุ่งไปหมดเรื่องซื้อขายที่…”
หล่อนชะงักอีกประโยคไว้ได้ ความว่า
‘แล้วก็ยังมีคนมาทำให้อลหม่านหนักขึ้นไป’
“ไม่เป็นไร” ในที่สุดเขาก็ปลอบอย่างอารมณ์ดี
อารมณ์ขณะนี้ดีแล้ว…สว่างแพร้วเฉิดฉันกลายเป็นอารมณ์ใหม่ที่มาพร้อมแสงตะวันยามรุ่ง น่าประหลาดที่ทั้งหล่อนและเขาต่างก็นอนไม่หลับพอกัน ครั้นแล้วจึงตื่นไล่ๆกัน มุ่งหน้าออกจากบ้านพร้อมกัน
“เราไปหากาแฟจิบแล้วคุยกันก่อนดีไหมเย็น” เขาเอ่ยชวน ขณะหล่อนหันไปสบตา แลเห็นความเจิดจ้าในแววตาของเขา แต่หน้ากากด้านล่างบังรอยยิ้มไว้ตามเคย “จะได้เปิดหน้าแล้วแลกเบอร์ไลน์กันก่อน ก่อนจะลืมไปอีกวัน”
“นี่ก็ไม่ทราบว่าถ้าใครต่อใครตื่น จะหาตัวเย็น แต่ไม่พบ จะโวยวายกันขนาดไหน”
“นายเหินไม่ต้องห่วง นอนสายตะวันโด่ง”
“โชยก็พอกัน” พี่สาวพึมพำแกมอ่อนใจ หากก็ไม่วิพากษ์วิจารณ์ด้วยคำเดิมๆที่เบื่อจนเหนื่อยเกินจะต่อความ
รถจอดหน้าร้านกาแฟโบราณที่ยังชงด้วยถุงผ้า ตั้งอยู่ทางซ้ายมือของร้านกาแฟดังเมื่อวานที่ยังไม่เปิด หิ้งก็เลยบอกลมเย็น
“ลองกาแฟร้านนี้ดีกว่า เย็นเคยมาทานไหม”
“เคยค่ะ…กาแฟของเขาดีเชียวพี่หิ้ง” หล่อนตอบสนองอย่างต้องใจ…ไม่เคยมาเดินกรายกับชายคนใดในชีวิต ณ บริเวณนี้หรือบริเวณไหนในเวลาที่แสงแดดยังไม่ฉายฉาน
แต่วันนี้เป็นวันแรกที่ลองมา
ลองทดสอบคาถาที่พ่อร่ายเป็นเรื่องๆให้รู้แจ้ง
แต่เรื่องเห็นจริง…ว่า…จริงเพียงไร จะไปได้ถึงไหน ก็ย่อมต้องขึ้นอยู่กับกาลเวลา
ในเมื่อเขากำลังจะเข้าไปทำงานในสถานที่ใหม่ซึ่งไม่รู้ว่า เขาจะพบใครต่อใครอีกมาก ณ ที่นั้น ด้วยว่า แม้จะยังไม่เข้าไป ‘ความเป็นเขา’ ก็ยังฉายแววเนื้อหอมถึงปานนี้…ลมเย็นคิดพลางเดินตามเขาเข้าไปนั่งที่ม้าไม้กลมล้อมโต๊ะไม้เก่าแก่สมนามกาแฟโบราณ
เจ้าของร้านเป็นชายวัยหกสิบเศษ เดินออกมาพร้อมยิ้มกว้างทักทาย
“คุณมาแต่เช้าเลยนะครับ” พลางเขาก็ตวัดนัยน์ตามาทางชายหนุ่ม
“ลุงจำคุณหิ้งได้ไหมล่ะคะ คุณหิ้งลูกคุณหันที่ไปเรียนนอกหลายปีนะคะ”
“ผมว่าคลับคล้ายคลับคลานะฮะ…ว่าแต่รับกาแฟร้อนกับอะไรดี หนมเปี๊ยะดีไหม ใหม่ๆ”
“ขอแค่กาแฟสองแก้วพอครับ…ใช่ไหมเย็น…” หิ้งก็เลยบอกด้วยท่าทีเป็นกันเอง
“ถ้างั้นผมให้ลองชิมดู ไม่คิดเงิน แล้วจะติดใจ”
เพียงไม่กี่อึดใจ กาแฟร้อนที่มีนมข้นเต็มก้นแก้ว ก็มาถึงพร้อมขนมเปี๊ยะใส้ถั่ว 1 ชิ้นกลมๆ
หิ้งคนกาแฟพลางมองหน้าลมเย็นอย่างเพ่งพิศราวจะให้ติดเต็มอยู่ในตา
เป็นดวงหน้าของสตรีที่ไกลห่างจากอีกคนซึ่งเพิ่งจากมา…หากก็รวดเร็วจนไม่น่าที่เขาจะจับใจได้เพียงนี้
คำของนายชัดก็แสนแปลก คล้ายไม่วางใจดวงของเขาอย่างไรชอบกล
‘บางทีมีคู่แล้วก็ยังมีคนมาวอแว ทำให้เรื่องไม่มีเกิดมีขึ้น เลยต้องแก้โซ่กันหลายเส้น เจ้าของดวงก็ต้องหนักแน่นมากๆไงล่ะ’
หิ้งก็เลยถามหล่อน
“ว่าแต่ว่า อาเคยทายดวงเย็นมั่งไหม”
“ก็เพิ่งทายหลังจากทายให้พี่แล้วไงคะ”
“ทายดีไหม” เขาก็เลยต้องคาดคั้นถามไถ่ให้ได้รู้ความจริงว่า คืออย่างไร
เหตุไฉนบิดาหล่อนจึงไม่ยอมเอ่ยพาดพิงมาถึง ‘คู่แท้’ ของเขา
“ก็…ก็…ไม่ทราบจะว่าดีหรือไม่ดีค่ะ” หญิงสาวได้แต่อ้อมแอ้ม สีหน้าคลายความสุขยามเช้าตรู่ลงไป… “แค่…เอ้อ…โดยทั่วไปก็ดี…อาจจะมีแค่เรื่องเดียวที่…ต้องทำใจมาก…”
“เรื่องอะไร” หิ้งแทบจะเอื้อมไปจับมือหล่อนมากุมไว้ทีเดียว ถ้าไม่เหลือบเห็นเจ้าของร้านยังคงยืนเฝ้าจับตามองด้วยแววแห่งความดีใจชื่นใจที่มีหนุ่มสาวผู้ที่เขาเคยเห็นบ้างบางคราว ชวนกันมากระซิบกระซาบกันตอนเช้าตรู่วันอาทิตย์ที่ยังไม่มีใครคิดจะมา
“ก็…เอ้อ…เรื่องคู่น่ะค่ะ” เมื่อปริปากมาถึงประโยคนี้ ความซาบซึ้งแสนทวีบางอย่างจึงแล่นขึ้น กลายเป็นน้ำใสเต็มนัยน์ตาโตที่มีคิ้วโก่งเรียงเส้น แลเห็นชัดราวกับเขียนด้วยมืออันชำนาญของศิลปิน
“คู่…เป็นไง…ไหน…ลองเล่าให้พี่ฟัง มันจะมารังแกเย็นหรือไง…ขอบอกไว้เลยนะว่า ไม่ได้…ตราบใดที่พี่…เอ้อ…ยังไปมาหาสู่…” เขาเองก็เริ่มรู้สึกตะกุกตะกักเพราะมิรู้จะหาทางกำชับกำชาอย่างใด ในเมื่อไร้ทั้งแรงฤทธิ์สิทธิ์เสียง
เมื่อถึงตรงนี้ หล่อนก็เลยยิ้มออกมาได้
“คนรังแกอาจเป็นใครบางคนที่ทุกคนมองข้ามไปก็ได้…นึกว่าดี…แต่ไม่ดี”
คราวนี้ เขาก็เลยยิ้มชืดๆออกมา เพราะนึกรู้ว่าหล่อนกำลังเจรจาพัวพันมาถึงตัว
“อาชัดว่างั้นหรือเย็น”
“ค่ะ” หล่อนก็เลยตอบอย่างตรงที่สุด เพื่อจะได้รู้กันในวันนี้ “พ่อบอกว่าคู่ของเย็นมีผู้หญิงมาวอแวเยอะ”
“หมายถึงใครกันน้าาา” เขาก็เลยเสลากเสียงพร้อมทำตายิ้ม “ถ้ารู้ว่าใครละก็…ฮึ่มฮึ่ม…เลยนะ ใครอย่ามารังแกเย็นนาาา…พี่เอาตาย…คว่ำมันให้จูบถนนซะให้เข็ด”
ลมเย็นก็เลยคิกคักออกมา
“แต่ถึงไง เดือนหน้านี่พี่ก็ต้องไปทำงานแล้ว”
“นั่นซี…ว่าแต่ว่า…ถึงพี่กลับค่ำแค่ไหน เย็นก็ต้องเข้าใจด้วยนะว่า…พี่-ไป-ทำ-งาน-เป็นงานที่ไม่ใช่ราชการ เป็นงานที่ไม่ใช่พอหมดเวลาก็กลับ แต่เป็นงานที่เราจะต้องทุ่มเททุกเม็ดเหงื่อให้เขา”
“เย็นเข้าใจนะเรื่องนั้น…แต่อาจไม่เข้าใจเรื่องอื่น” หล่อนหาทางหยิบยื่นความรู้สึกกลับไป
ต่างคนต่างก็ล่วงรู้ความในใจของกันและกันโดยไม่จำเป็นต้องใช้สะพานอื่นใด
เนื่องด้วยตาต่อตาใจต่อใจถึงกันเพียงไหน ในบัดนี้แทบจะไม่รู้รส ยิ่งขนมเปี๊ยะชิ้นเล็กตรงหน้ายังวางดายอยู่ก็เสมือนถูกลืม
ด้วยว่า มัวแต่ปลื้มใจในกันและกันที่มีเช้าตรู่วันนี้อย่างคาดไม่ถึง
แทบไม่น่าเชื่อว่า ไม่มีผู้คนเข้ามาดึงเก้าอี้ครืดคราดที่โต๊ะถัดไป
ไม่มีใครบนถนนตรงหน้า
เป็นวันอาทิตย์ที่ราวกับว่างเปล่า…แต่ในความเป็นไป ก็คือชั่วโมงนาทีที่ยิ่งใหญ่กระไรเช่นนี้
ความสุขแสนทวีวิ่งเข้าสู่กายและใจได้ง่ายๆอย่างไม่น่าเชื่อ
ที่จริงสิ่งที่เรียกว่า ‘ความสุข’ ก็สามารถพานพบได้ไม่ยาก แม้กระทั่งสถานที่เล็กๆคับแคบแต่กลับกว้างใหญ่เมื่อความยินดีพอใจหลั่งไหลมา
ต่างก็รู้สึกหวงแหนยามอรุณรุ่งของวันนี้จนไม่อยากขยับตัวไปไหนทันใดที่คนกลุ่มเล็กสี่ห้าคน เดินคุยกันเข้ามา แล้วลงนั่งบนเก้าอี้ล้อมโต๊ะกลมที่เหลือ
“เย็นทานขนมเปี๊ยะซะด้วย” หิ้งพยักหน้า “ทานให้หมด จะได้ไปต่อไป”
ลมเย็นก็เลยกินขนมที่อร่อยจริงดังเจ้าของร้านคุยจนหมด หิ้งชำระเงินแล้วชวนกันเดินไปขึ้นรถ ขับต่อไปบนถนนสายใหญ่ที่รถไฟฟ้ากำลังจะมาถึง
หลายแห่งจึงมีแต่การก่อสร้าง ทั้งทางรถไฟ รถไฟฟ้าในเมือง อุโมงค์ สะพาน ถนน…ชวนให้ผู้คนรู้สึกสบาย เมืองคล้ายกับกว้างขวางไม่มีวันสิ้นสุด
“ถึงไง พี่ก็คงไปเถลไถลที่ไหนยากแล้วละ…ทำงานเสร็จ กลับเลย…บวกรถติด ก็คงถึงไม่เร็วมาก” เขาก็เลยหยอกเอินนิดหนึ่ง
แสงจากอรุณเรื่อรางเมื่อสักครู่ บัดนี้ถึงคราค่อยๆกล้าแรง แต่คนก็ยังเดินน้อยอยู่ดี รถมีไม่มากที่แล่นออกจากหมู่บ้าน ไม่มีแล่นเข้ามา เขาจึงถือโอกาสพารถออกจากซอยใหญ่ ตั้งใจจะเก็บหล่อนไว้คุยจนหมดจดแจ่มกระจ่าง ไม่ทิ้งเรื่องราวชวนสงสัยให้ค้างคา เนื่องด้วยภาษาที่บรรยายค้างๆ มิว่าภาษาพูด ภาษาตา หรือ ภาษาใจ นับเป็นภัยมหันต์แห่งความไม่เข้าใจที่อาจจับจูงให้เดินทางไปถึงคำว่า ‘ผิดใจ’ ได้โดยง่าย
“วันนี้เป็นวันที่เราสองคนกำลังปลอดโปร่งที่สุด พี่ดีใจมากรู้ไหมที่ได้มาพบเย็นอย่างน่าประหลาดเมื่อวาน คือก็ตั้งใจจะออกมาดูลาดเลาบ้านเก่า ถนนเก่า หมู่บ้านเก่าว่าเปลี่ยนแปลงไปยังไง ถึงไหนแล้ว…ก็นึกไม่ถึงเลยว่าจะมาเจอใครคนหนึ่งกำลังขอพรเจ้าที่…” เขาพูดกลั้วหัวเราะนิดหนึ่ง “น่าเอ็นดูมากรู้ไหม คือพี่ไม่เคยพบอะไรแบบนี้มานานมาก…พอมาเจอก็เลย…ไม่ได้การละ…จะเป็นใครก็ตาม…ขอให้ได้แวะลงไปพูดจาปราศรัยถามไถ่กันสักหน่อยว่า ภาษาที่คุยกับเจ้าที่มีว่ากระไร”
“พี่หิ้ง…พี่ก็ยังไม่เชื่ออยู่นั่นเองว่าเป็นไปได้”
“รอดูผลให้แน่ๆก่อนว่าหมอนั่นจะซื้อจริงไหมถ้าบอกราคาไป”
“พี่ว่าเขาไม่ซื้อจริงหรือคะ”
“ไม่แน่ใจไงว่า ถ้าราคามันไม่ตรงตามสเปคที่เขาคงตั้งใจไว้แล้ว เขายังจะซื้อไหม”
“ดูเหมือนพี่จะไม่ชอบเขาไงไม่รู้”
คราวนี้หิ้งอึ้งไป…หากท้ายที่สุดก็ตอบ
“คงจะไม่ชอบ…ถ้า…” ครั้นแล้วจึงหยุด
“ถ้า…อะไรคะ…”
“เดาเอาเอง” อีกฝ่ายทำเสียงรวนด้วยมีอารมณ์บางอย่างวูบขึ้นมา
- READ ดาราอรุณ บทที่ 33 : ฟุ้ง...เพื่อนยาก
- READ ดาราอรุณ บทที่ 32 : เพชรลูก
- READ ดาราอรุณ บทที่ 31 : ‘รู้ใจ’ และ ‘รู้ตัว’
- READ ดาราอรุณ บทที่ 30 : สัญญาณมาแล้ว
- READ ดาราอรุณ บทที่ 29 : ยิ่งกว่านี้ก็ทำได้
- READ ดาราอรุณ บทที่ 28 : อยากได้...เอามาแลก
- READ ดาราอรุณ บทที่ 27 : ใจหนอใจ
- READ ดาราอรุณ บทที่ 26 : รักพี่เหมือน...
- READ ดาราอรุณ บทที่ 25 : เล่ห์เหลี่ยมง่ายๆ
- READ ดาราอรุณ บทที่ 24 : ของของเขา ไม่ใช่ของของเรา
- READ ดาราอรุณ บทที่ 23 : เนื้อคู่...ของคนอื่น
- READ ดาราอรุณ บทที่ 22 : ชีวิตก็เป็นเช่นนี้
- READ ดาราอรุณ บทที่ 21 : ทวงคืน
- READ ดาราอรุณ บทที่ 20 : ทองไม่รู้ร้อน
- READ ดาราอรุณ บทที่ 19 : มิละพยศ
- READ ดาราอรุณ บทที่ 18 : ฤทธิ์เดชของ 27
- READ ดาราอรุณ บทที่ 17 : สามหมอในหนึ่งคน
- READ ดาราอรุณ บทที่ 16 : อยากได้ใคร...เลือกได้เลย
- READ ดาราอรุณ บทที่ 43 : ‘เลือกคู่’ – ‘เลิกคู่’
- READ ดาราอรุณ บทที่ 15 : ดาวศุกร์ยาตราเข้ามาพักพิง
- READ ดาราอรุณ บทที่ 14 : ดาวการเงิน
- READ ดาราอรุณ บทที่ 13 : นิยายครอบครัว
- READ ดาราอรุณ บทที่ 12 : ตีตราจอง
- READ ดาราอรุณ บทที่ 11 : ดาวศุกร์...คนขี้หึง
- READ ดาราอรุณ บทที่ 10 : ชะตากรรมกำหนดมาแล้ว
- READ ดาราอรุณ บทที่ 9 : ความเป็นเขา
- READ ดาราอรุณ บทที่ 8 : จอมโลกีย์แห่งสวรรค์
- READ ดาราอรุณ บทที่ 7 : เจ้าเรือนลัคน์
- READ ดาราอรุณ บทที่ 6 : ดาวพระศุกร์
- READ ดาราอรุณ บทที่ 5 : พินทุบาทว์
- READ ดาราอรุณ บทที่ 4 : แสงจันทรา
- READ ดาราอรุณ บทที่ 3 : ศุกร์ราชาโชค
- READ ดาราอรุณ บทที่ 2 : ดาวประกายพรึกและดาวประจำเมือง
- READ ดาราอรุณ บทที่ 1 : พบกันอีกครั้ง