ฝุ่นในสายลม บทที่ 11 : เรือลึกลับ

ฝุ่นในสายลม บทที่ 11 : เรือลึกลับ

โดย : ม.มธุการี

Loading

ฝุ่นในสายลม โดย ม.มธุการี เรื่องราวของลัทธิประหลาดกับความเชื่อของคนที่กระตุ้นสัญชาตญาณนักข่าวของภาวิน เขาจึงแฝงตัวเข้าไปสืบความลับของลัทธินี้ แต่ตัวคนเดียวอาจทำไม่สำเร็จ มีเพียงฝนดาว หญิงสาวที่สูญเสียญาติสนิทไปกับลัทธินี้ที่อาจจะช่วยเขาไขปริศนาอันดำมืดนี้ได้ อ่านนิยายสนุกๆ เรื่องนี้ได้ที่เพจอ่านเอาและเว็บไซต์ anowl.co

 

ภาวินยอมถอนขนหน้าแข้งตัวเอง เพื่อเช่าเต็นท์นอนต่ออีกคืน อยากให้รู้ดำรู้แดงไปเลยว่า ทั้งหมดนี่เป็นขบวนการแหกตาประชาชนอย่างที่เขาคิดเอาไว้หรือไม่

เพราะไหนๆ ก็ถ่อร่างมาทั้งทีแล้ว คงไม่มีวันที่เขาจะกลับไปมือเปล่า ที่สำคัญคนที่จะหัวเราะเยาะเขา ก็น่าจะเป็นลูกสมุนในทีมงานนั่นเองไม่ใช่ใครอื่น สองหน่อนี่ทำท่าว่าจะขัดคอเขาไปเสียทุกเรื่องทีเดียวตั้งแต่เริ่มงานกันมา

ยอมแม้กระทั่งติดต่อขอเช่าเจ็ตสกีลำหนึ่ง ซึ่งก็ไม่ใช่ถูกๆ มันเหมือนทุกอย่างที่นี่จะเป็นธุรกิจรีดไถไปเสียหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกาแฟสักแก้วหรือแม้กระทั่งของกินเล่นอย่างปาท่องโก๋

เลยยกยอดไปกินมื้อเดียวตอนเย็น เลือกซื้อพิซซ่าถาดใหญ่สไตล์นิวยอร์ก แต่ก็ไม่เห็นว่ามันจะเอร็ดอร่อยตรงไหน แถมสนนราคายังแพงหูฉี่ น่าจะเอาใจนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนักที่จับพลัดจับผลูหลงผ่านมาทางนี้

ฝากฝังให้เด็กแว่นอยู่เฝ้าเต็นท์ตอนดึก ก่อนที่เขากับกานนจะหอบหิ้วกล้องถ่ายออกจากที่นั่น   ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ไปตลอดทางกว่าจะไปถึงที่จอดเจ็ตสกีเพราะกลัวคนมาเห็น คงไม่มีใครบ้าเอาเจ็ตสกีออกไปโต้คลื่นกลางดึกกลางดื่น เสี่ยงต่อการจมน้ำตาย เจ้าหน้าที่ประกาศไว้แล้วว่าจะไม่มีการให้ความช่วยเหลือหรือรับผิดชอบใดๆ ถ้าใครจะเสี่ยงออกไปกลางทะเลในยามดึกแบบนี้

เขาทำหน้าที่ขับและกานนก็มีหน้าที่ถ่ายภาพไม่ว่าอะไรจะผ่านเข้ามาในสายตาบ้าง กะระยะทางสองถึงสามกิโลเมตร ตามสูตรที่คำนวณกันจากกล้องถ่ายภาพที่มากไปด้วยประสิทธิภาพ แถมยังสามารถซูมอัดเสียงคนพูดในระยะไกล ความไวของลำโพงขนาดมดคุยกันก็ยังได้ยิน

“มืดมากเลยหัวหน้า ทำไมไม่เปิดไฟหน้า” กานนบ่น

“เปิดให้พวกมันเห็นเรารึไง เอาน่า ทะเลออกกว้าง ไม่ใช่ถนนไฮเวย์จะได้กลัวไปชนนั่นชนนี่”

“ผมห่วงว่าเราจะมาเก้อน่ะสิ เสียค่าเต็นท์แล้วยังจะต้องเสียค่าเจ็ตสกีอีก หัวหน้าเอาเงินมาจากไหนกัน”

“ก็หักจากเราสองคนนั่นไง”

“แล้วกัน”

“เลือดสุพรรณมันต้องมาด้วยกัน ตายด้วยกัน พังด้วยกัน”

“บ้าเลือดอย่างหัวหน้านี่ไง ถึงได้โดนปลดจากสื่อหลักทั้งหลาย”

“ก็บ้าพอกันกับนายนั่นละ พวกเรามันสายลุย ต่างจากเด็กแว่นที่นายฝากมาฝึกงานนั่น”

“นั่นก็สายลุยเหมือนกันนะหัวหน้า เท่าที่ผมดูๆ ไม่ทันไรก็หลอกล่อให้มานอนกลางดินกินกลางทรายแล้ว ยังไม่บ่นสักคำ แถมต้องมานอนเต็นท์เดียวกับพวกผู้ชายอีก”

“ต้องฝึกให้ทรหด ไม่งั้นไปสมัครงานที่ไหนเสียชื่อสื่อเราอีก ว่าแต่เขาไปแอบสมัครงานที่ไหนเอาไว้มั่งหรือเปล่า” ภาวินหลอกถามและกลั้นใจฟัง

“หลายแห่งเหมือนกันนะเท่าที่เขาเล่าให้ฟัง พนันได้ว่าอยู่กับเราไม่นานแน่ ค่าแรงถูกเสียยิ่งกว่ากรรมกรแบกหาม”

เสียงเครื่องยนต์คำรามมาแต่ไกล และภาวินก็สะกิดกานนให้เงียบเสียง

“มากันนั่นแล้ว” เขากระซิบ

“เรือหาปลาหัวหน้า”

“หาปลาบ้าอะไรมาจอดกันแถวนี้ แล้วดูนั่น มันดับไฟกันแล้วเห็นไหม”

เรือลำนั้นจอดสงบนิ่งในความมืดและความเงียบที่มีแค่เสียงคลื่นลม มันเป็นเรือยนต์ขนาดเล็กที่ไม่มีทีท่าว่าจะเป็นเรือหาปลาอะไรเลย

กลั้นใจดูทีท่าของมันครู่ใหญ่ ก็เห็นดวงไฟสว่างวาบลอยขึ้นจากลำเรือติดต่อกันหลายดวง ภาวินรีบสะกิดให้กานนถ่ายภาพเอาไว้อย่างเร่งด่วน

“นั่นไงเห็นไหม มันเริ่มปล่อยของออกมาแล้ว”

กานนเปิดกล้องถ่ายวิดีโอติดต่อกันชนิดไม่ให้คลาดสายตา จากดวงไฟตามติดมาด้วยการยิงแสงไฟประหลาด แสงไฟลอยขึ้นเป็นวงและแตกตัวเป็นแสงสีประกายไฟงดงาม บางดวงไฟลอยไปในระยะไกลและวูบหายไปในที่สุด

“มันทำกันแบบนี้เอง เครื่องมือทันสมัยมาก” ภาวินเองก็แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง

“ถ่ายให้หมดเชียวนะ อย่าให้พลาด”

“เข้าไปใกล้อีกหน่อยดีมั้ยผมว่า”

“ไม่ต้อง เดี๋ยวมันจะไหวตัว”

พูดยังไม่ทันขาดคำก็พบว่ามีปฏิกิริยาผิดปกติเกิดขึ้นบนเรือลำนั้น เหมือนมันจะรู้ตัวเพราะเปิดไฟฉายดวงใหญ่ส่องจ้ามาทางที่พวกเขากำลังถ่ายทำกันอยู่ ตามมาด้วยเสียงแว่วๆ จากคนในเรือ

“เฮ้ยๆๆๆ”

“มันรู้แล้ว” กานนกระซิบ

ภาวินวาดหัวเจ็ตสกีกลับอย่างรวดเร็วพอกัน จากนั้นก็เร่งเครื่องขับลิ่วกลับไปตามเส้นทางที่มองเห็นแสงไฟจากฝั่งอยู่ลิบๆ

ไม่มีการพูดอะไรกันเลยจวบจนกระทั่งเอาเจ็ตสกีเข้าจอดเทียบท่า ไม่มีแสงจากดวงไฟให้เห็นอีกเลย

ท้องทะเลมืดสนิทเหมือนไม่เคยมีอะไรอยู่ที่นั่น

 



Don`t copy text!