ฝุ่นในสายลม บทที่ 12 : ลักพา

ฝุ่นในสายลม บทที่ 12 : ลักพา

โดย : ม.มธุการี

Loading

ฝุ่นในสายลม โดย ม.มธุการี เรื่องราวของลัทธิประหลาดกับความเชื่อของคนที่กระตุ้นสัญชาตญาณนักข่าวของภาวิน เขาจึงแฝงตัวเข้าไปสืบความลับของลัทธินี้ แต่ตัวคนเดียวอาจทำไม่สำเร็จ มีเพียงฝนดาว หญิงสาวที่สูญเสียญาติสนิทไปกับลัทธินี้ที่อาจจะช่วยเขาไขปริศนาอันดำมืดนี้ได้ อ่านนิยายสนุกๆ เรื่องนี้ได้ที่เพจอ่านเอาและเว็บไซต์ anowl.co

สองคนเนื้อตัวเปียกปอนขณะกลับไปที่เต็นท์ รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและเอาวิดีโอที่ถ่ายมาได้มานั่งดูกัน ฝนดาวโผล่เข้ามาอย่างแปลกใจ

“ได้ข้อมูลอะไรมามั่งไหม ไม่มีดวงไฟแล้วนะ มันดับไปเฉยๆ”

“ไม่ดับได้ไง มีมือดีไปแอบถ่ายเรือมาได้” กานนว่า

มองจากจอคอมพิวเตอร์ เก็บภาพได้ชัดเจนทุกขั้นตอน กล้องอินฟราเรดถ่ายได้แม้กระทั่งเรือในความมืดที่กำลังจุดพลุไฟ ซูมได้ทั้งภาพและเสียงลูกเรือที่พูดคุยกันดังระงม

“มันมากันสี่ห้าคนได้ เสียดายไม่เห็นหน้าจะได้เก็บไว้เป็นหลักฐาน“

ภาวินซูมภาพเข้ามาอีก

“บอกแล้วไงว่ามันทำกันเป็นขบวนการเพื่อแหกตาบรรดานักท่องเที่ยว”

“มันรู้ตัวรึเปล่าคะหัวหน้า” ฝนดาวถาม

“ก็รู้น่ะซีถึงได้รีบเผ่นกลับกัน”

“คืนนี้ถึงได้เห็นดวงไฟแค่แป๊บเดียว นักท่องเที่ยวบ่นกันใหญ่”

“พนันได้เลยว่าพรุ่งนี้มันไม่กล้ามาอีก” กานนเสริม

“หรือไม่ก็ตามหาตัวพวกเรากันให้ควั่ก” ภาวินเริ่มกังวล

“ทางที่ดีพวกเรารีบกลับกันคืนนี้เลยดีกว่า” ภาวินตัดสินใจฉับพลันจนลูกน้องมองหน้า

“จ่ายค่าเต็นท์ไปแล้วนี่คะ เอาคืนไม่ได้ด้วย”

“ห่วงเงินรึว่าห่วงความปลอดภัย ขืนอยู่คืนนี้มันอาจจะสืบถึงตัวเราแน่ เตรียมตัวกลับอย่างเงียบๆ พวกเรา”

หอบข้าวของแบกเป้กันพะรุงพะรังไปลงเรือเข้าฝั่ง ภาวินว่าเขาจมูกไวเสมอเกี่ยวกับเรื่องความเป็นความตาย เรียนรู้มาจากสมรภูมิการทำข่าวในท้องที่ต่างๆ ที่เขามีชั่วโมงบินมากกว่าทุกคน ผลประโยชน์เป็นเรื่องใหญ่และทำให้คนเราฆ่ากันตายมาแล้วนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะในระดับครอบครัวเล็กๆ หรือแม้กระทั่งสังคมโดยรวม เงินคือพระเจ้ามานานแสนนานแล้ว…

เข้าถึงฝั่งในเวลาต่อมาและกลับมาที่โรงแรมกันก่อนเพราะเป็นระยะทางเดินถึง จากนั้นภาวินก็เปิดคอมพิวเตอร์ดูวิดีโอที่ถ่ายมาได้อีกครั้ง มีลูกน้องสองคนนั่งดูอยู่ด้วยชนิดหัวแทบจะชนกัน

“ฝนว่ามันทำได้เหมือนมากเลยนะ มันเหมือนดวงไฟจะลอยหายรวดเร็ว คล้ายยานอวกาศ”

“แสงสีพวกนั้นก็คือพลุชัดๆ” กานนแทรก

“แต่มันทำเหมือนยานลูกแตกตัวมาจากยานแม่ยังไงยังงั้น”

วิดีโอยาวทั้งหมดไม่เกินห้านาทีเพราะมันตื่นตัวกันเสียก่อน ซูมได้ยินเสียงคนบนเรือพูด…มีคนมา…มึงลองฉายไฟดูซิ

ตามมาด้วยเสียง…เฮ้ยๆๆๆ

“หลักฐานชัดเจนเลยเห็นไหม มันคงเอาเรือออกไปแบบนี้ทุกคืนๆ ทำมานานแค่ไหนแล้วนี่” ภาวินถอนใจ

“แล้วทำไมคนไม่สงสัยกันมั่ง น่าจะภาพเดิมๆ นะ” กานนว่า

“มีนักท่องเที่ยวเปลี่ยนหน้ากันเข้ามาทุกคืน ใครมันจะไปสงสัย ยิ่งมีจิตสำนึกที่พร้อมจะเชื่อกันอยู่แล้วเลยไม่มีใครตั้งคำถามไง ถึงเตือนพวกเราให้จำกฎเหล็กข้อแรกเอาไว้เลย นั่นคือต้องไม่เชื่อเอาไว้ก่อน เข้าใจกันรึยัง”

“เรารีบเอาความจริงไปแฉบนช่องของเราเลยดีไหม” กานนเสนอแนะ

“ไม่ได้ ต้องรอไปก่อน ไม่งั้นขบวนการลัทธิอุบาทว์ที่ว่ามันจะไหวตัวทัน เพราะเป็นญาติพี่น้องเกี่ยวดองกันด้วยไม่ใช่หรือ เราต้องรีบสืบเอาข้อมูลจากศูนย์ลัทธินั่นออกมาให้ได้มากที่สุดก่อน พรุ่งนี้ก็เข้ามาปรึกษากันอีกที ส่วนคืนนี้ทุกคนรีบกลับไปนอนเพราะดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ตื่นเมื่อไหร่ก็มาแต่อย่ามาก่อนเที่ยงล่ะ นนต้องไปส่งฝนที่บ้านก่อน แต่ก่อนไปตั้งกล้องถ่ายเอาไว้ เผื่อคืนนี้มีโจรเข้าห้องอีก”          “หัวหน้ายังเชื่ออีกหรือคะว่ามันเป็นโจร ฝนบอกแล้วไงว่าเป็นเจ้าที่เจ้าทาง”

“เจ้าที่เจ้าทางบ้าบอคอแตกอะไร อย่าเหลวไหลน่า”

ดุเสียงขุ่นจนฝนดาวต้องเงียบเสียงลงอีก แอบแช่งให้เจ้าที่กลับมาหลอกหลอนให้หัวโกร๋นถึงจะรู้สึก คนแบบนี้ต้องเจอจะจะ จังๆ ถึงจะรู้ซึ้งถึงความหัวดื้อหัวแข็งของตัวเอง…

 

นับเป็นคืนแรกก็ว่าได้ที่ภาวินเข้านอนอย่างสบายอารมณ์ อย่างน้อยงานของเขาก็บรรลุผลไปแล้วขั้นตอนหนึ่ง ถือเป็นขั้นตอนสำคัญเลยทีเดียวเพื่อที่จะแฉขบวนการอุบาทว์ที่กำลังเบ่งบานอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ และกำลังบานระเบิดไปสู่ระดับอินเตอร์ฯ ในอีกไม่ช้าไม่นานนัก ถ้าไม่มีการนำเรื่องนี้มาตีแผ่ออกไปเสียก่อน…มนุษย์ช่างเป็นสัตว์โลกที่เชื่อถืออะไรได้ง่ายดายเสียนักหนา

กำลังหลับสนิทแล้วก็ต้องมาสะดุ้งลืมตาตื่น เมื่อมีความรู้สึกคล้ายมีใครมายืนอยู่ข้างเตียง

จากความมืดในห้อง เขามองเห็นเงาคนสามเงายืนรายล้อมรอบเตียงนอนอยู่อย่างเงียบๆ มันเป็นเงามืดสนิทและมองไม่เห็นดวงหน้าเหล่านั้นแต่อย่างใด เห็นแต่ตาสีดำที่เรืองแสงสีน้ำเงินวับแวมกลอกกลิ้งไปมา

ตกใจขนลุกซู่ไปทั้งตัว และพยายามจะตะกายตัวลุกขึ้นนั่ง แต่อีกครั้งที่ร่างทั้งร่างมันเหมือนจะป็นอัมพาตไปแล้วตั้งแต่หัวจรดเท้า ขยับปากจะร้องแต่ก็ไม่มีเสียง ครู่เดียวเงาทั้งสามก็ลอยตัวขึ้นสูงอย่างช้าๆ มีร่างของเขาลอยตามขึ้นไปด้วย มันพาร่างของเขาลอยสูงขึ้นทุกทีจนทะลุเพดานห้อง        จากนั้นก็ทะลุหลังคาออกไปภายนอกที่มีแสงจากเสาไฟฟ้าส่องสว่างไปทั่วบริเวณ เขาสามารถมองเห็นกระทั่งหลังคาโรงแรมที่มีร่องรอยถูกไฟไหม้ และกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างซ่อมแซม ตลอดจนถึงร้านสะดวกซื้อในละแวกนั้นที่เขาไม่เคยสังเกตมาก่อน บนฟ้ามืดมีแสงดาววิบวับกะพริบตัวอยู่ห่างไกล เขาแค่ลอยตัวอยู่อย่างนั้นเป็นครู่ใหญ่ ก่อนที่จะมีแสงสีเขียวสว่างจ้าส่องเป็นลำซูมมาที่ตัวเขาจนต้องหลับตาลง

ร่างทั้งร่างเหมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งพล่านไปทั่วจนสติสัมปชัญญะของเขาขาดหายไปในที่สุด…

 



Don`t copy text!