กระบือสื่อรัก บทที่ 7 : รักแรกสมัยมัธยมปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า

กระบือสื่อรัก บทที่ 7 : รักแรกสมัยมัธยมปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า

โดย : พรรณสิริ

Loading

กระบือสื่อรัก นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ 4 โดย พรรณสิริ ที่อ่านได้ในเพจอ่านเอาและ anowl.co เรื่องราวของเอื้อมดาวที่ต้องกลายมาเป็นหัวหน้าครอบครัว เธอต้องทิ้งใบปริญญามาเป็นสาวโรงงาน ต้องขายควายเพื่อใช้หนี้ แล้วบททดสอบของชีวิตก็ทำให้รู้ว่าตัวเองแกร่งกว่าที่คิดและชีวิตไม่ต้องขึ้นอยู่กับใบปริญญาเสมอไป

โรงอาหารพนักงานช่วงพักกลางวันคลาคล่ำไปด้วยผู้คน เอื้อมดาวเดินเลือกไล่ดูไปทีละร้านด้วยความเบื่อหน่าย ไม่รู้ว่าจะกินอะไรดี แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจสั่งข้าวราดแกงเจ้าประจำ

ขณะยืนรอรับอาหารที่สั่ง ก็ได้ยินเสียงนุ่มๆ ฟังดูสุภาพผิดจากคนงานทั่วไปสั่งอาหารอยู่ข้างๆ หันไปดูถึงกับตกใจ เหมือนเสียงอื้ออึงรอบข้างเงียบลงไปโดยฉับพลัน

“พี่รุจน์”

ชายหนุ่มหันมาตามเสียงเรียก หรี่ตามองคนตรงหน้าอยู่ชั่วขณะก่อนจะโพล่งออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “น้องเอื้อมใช่ไหม โอ้โห ไม่ได้เจอกันนาน สวยขึ้นเป็นกอง พี่จำแทบไม่ได้”

รุจน์เป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนเก่า ทั้งคู่รู้จักกันจากงานกีฬาสีของโรงเรียน เอื้อมดาวซึ่งอยู่ชั้น ม.สามเป็นหนึ่งในทีมสวัสดิการดูแลกองเชียร์ ในขณะที่รุจน์ซึ่งอยู่ชั้น ม.หกเป็นประธานสีม่วง

ทั้งคู่ได้อาหารที่สั่งแทบจะพร้อมกัน จึงชักชวนกันไปหาที่นั่งมุมหนึ่งเพื่อรำลึกความหลัง

“มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ทำไมไม่เรียนหนังสือ”

เป็นคำถามที่คนเคยรู้จักกันมามักจะสงสัย เมื่อเห็นหญิงสาวในชุดยูนิฟอร์มโรงงาน เอื้อมดาวตอบนับครั้งไม่ถ้วนจนขึ้นใจ แรกๆ ก็ยังรู้สึกแปลบปลาบเมื่อเห็นสีหน้าเห็นอกเห็นใจของคนฟัง แต่หลังๆ พอถูกถามบ่อยเข้าก็เริ่มชิน

นักศึกษาอนาคตไกลต้องกลายมาเป็นสาวโรงงาน ใครจะมองเธอด้วยสายตาสงสารหรือสมเพชก็ได้ แต่เธอจะไม่ยอมสงสารตัวเองเป็นเด็ดขาด หญิงสาวย้ำเตือนตัวเองว่าเส้นทางชีวิตยังอีกยาว โรงงานแห่งนี้เป็นเพียงจุดพักระหว่างทาง ไม่ใช่ที่หมาย เธอรั้งรออยู่ตรงนี้เพียงชั่วคราว พร้อมเมื่อไหร่จะก้าวเดินต่อไป

การสนทนากับคนคุ้นเคยมาก่อน ช่วยให้อาหารพื้นๆ ออกรสชาติ เอื้อมดาวได้รู้ว่ารุจน์เรียนจบคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาอุตสาหกรรมโรงงาน เขาผ่านงานในนิคมอุตสาหกรรมมาสองสามที่และเพิ่งย้ายมาเริ่มงานที่นี่ได้ไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์

“เอื้อมเลิกงานกี่โมง ต้องอยู่ทำโอทีหรือเปล่า”

เมื่อหญิงสาวส่ายหัว หนุ่มรุ่นพี่โรงเรียนเก่าจึงรุกคืบต่อ “ถ้าอย่างนั้นหลังเลิกงาน เราไปหาอะไรอร่อยๆ กินในห้างกัน”

เอื้อมดาวตอบรับด้วยหัวใจพองโต รุจน์เป็นขวัญใจรุ่นน้องมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เอื้อมดาวแอบชอบเขาเงียบๆ แต่ไม่มีโอกาสได้ติดต่อกันอีกหลังแยกย้ายไปเรียนต่อ

ระหว่างเดินไปซื้อกาแฟที่ซุ้มด้านหน้าโรงอาหาร คนในโรงงานต่างจับจ้องเป็นตาเดียว ไม่น่าประหลาดใจเพราะรุจน์หน้าตาหล่อเหลาราวกับหลุดออกมาจากซีรีส์เกาหลี เขาจะกลายเป็นหนุ่มเนื้อหอมคนใหม่ของโรงงานแน่นอน

 

ท้องฟ้าภายนอกมืดลงราวกับถูกห่มคลุมด้วยผ้าสีดำกำมะหยี่ หลอดไฟด้านหน้าอาคารรูปทรงกล่องสี่เหลี่ยมกะพริบดึงดูดนักท่องเที่ยว โอบบุญหอบถุงพลาสติกบรรจุกล่องอาหารผ่านเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหน้าประตูทางเข้า แทรกผ่านโต๊ะสนุกเกอร์ที่เรียงรายอยู่เป็นตับและห้องคาราโอเกะ ทะลุเข้าสู่อาคารปิดมิดชิดที่อยู่ด้านในสุด

ช่วงหัวค่ำหลังกวดวิชาเสร็จ โอบบุญบอกที่บ้านว่ามาทำงานพิเศษเป็นเด็กรับรถที่ร้านคาราโอเกะและโต๊ะสนุกเกอร์ แต่จริงๆ แล้วด้านในเป็นบ่อนการพนันที่อาศัยสถานบันเทิงบังหน้า

หลังดินแดนถ่อไปตามตัวถึงโชคเจริญสุขฟาร์ม เด็กหนุ่มยินยอมกลับบ้านมาทำข้อตกลงกับพี่สาว

‘ฉันจะกลับไปเรียนหนังสือ แต่พี่ต้องยอมให้ฉันไปทำงานพิเศษหลังเลิกเรียน’

 เอื้อมดาวที่อารมณ์เย็นลงแล้ว ยอมถอยหนึ่งก้าวตามคำแนะนำของดินแดนที่รู้ใจเพื่อนสนิทมากที่สุด

‘มันตั้งใจจะหาเงินซื้อควายคืน น้ำเชี่ยวอย่างขวางเรือ ขืนขัดคอตอนนี้ โอบไม่หนีโรงเรียนเหมือนก่อนแต่จะลาออกแน่’

โอบบุญจึงได้มาเดินเข้าออกอยู่ในสถานบันเทิงสีเทาแห่งนี้

‘วิ่งซื้อข้าวซื้อน้ำให้นักพนัน ยังไงก็ได้ทิป พวกผีพนันยิ่งเล่นได้ ทิปยิ่งหนัก ดีกว่าทำงานร้านสะดวกซื้อเป็นไหนๆ ทิปไม่มี แถมเงินในลิ้นชักขาดต้องควักเนื้อตัวเองจ่ายอีก’

เด็กหนุ่มเป็นหนี้บุญคุณบรรจบ บ่อนการพนันมีลูกค้าไม่ขาดสาย นักพนันจะสิงสถิตอยู่ตั้งแต่คาราโอเกะเปิดช่วงหัวค่ำ โต้รุ่งไปจนถึงเช้า ก่อนจะออกจากบ่อนในเวลาพระบิณฑบาตพอดี ช่วงสี่ถึงห้าทุ่มมักจะหิวข้าวกันอาหารตามสั่งจากครัวของคาราโอเกะก็มี แต่รสชาติไม่เอาไหน โอบบุญจึงมีหน้าที่ขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปหาซื้อของกินจากตลาดโต้รุ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลมาบริการ ได้ทิปเป็นกอบเป็นกำสมกับที่ต้องอดนอนจนไปนั่งสัปหงกในห้องเรียน

ทิปหนักขนาดนี้ ไม่ถึงปีเขาคงมีโอกาสกำเงินแสนไปซื้อหอมเงินและหอมทองคืน หรือถ้าไม่พอจริงๆ ก็จะขอให้ดินแดนช่วยหุ้นแล้วเอาไปเลี้ยงที่โรงเรือนใหม่ที่ใกล้เสร็จแล้ว

“เฮ้ย ไอ้น้อง มีบุหรี่ไหม”

ระหว่างที่ตระเวนส่งข้าวให้ลูกค้า นักพนันคนหนึ่งเข้ามาสะกิด

“เอายี่ห้อไหนพี่ ผมมีอยู่สองสามยี่ห้อ”

โอบบุญหัวไว นอกจากอาหารและเครื่องดื่ม บุหรี่เป็นสิ่งที่นักพนันเรียกหาตลอด ยิ่งเล่นเสียก็ยิ่งสูบหนักเขาจึงมีบุหรี่ติดกระเป๋าคาดเอวไว้เสมอ ได้กำไรซองละยี่สิบบาทก็ไม่ขัด

“บุหรี่ไฟฟ้าล่ะ มีไหม”

เด็กหนุ่มส่ายหัว นักพนันกระเป๋าหนักมักถามถึงบุหรี่ไฟฟ้าอยู่เรื่อยๆ จนเขาชักจะเริ่มสนใจ แต่ไม่กล้าเพราะรู้ว่าผิดกฎหมาย

เขาวิ่งวุ่นเข้าออกอยู่หลายรอบ เมื่อล่วงเข้าสู่วันใหม่จึงออกจากร้าน แบ่งทิปที่ได้ให้คนเฝ้าประตูตามที่บรรจบช่วยตกลงไว้ให้

“วันนี้หลายรอบเลยละสิ” ชายเฝ้าประตูหน้าตาดุดันเอ่ยทัก

“ก็พอได้ครับพี่ ผมกลับบ้านก่อนนะ” เจ้าตัวยกมือไหว้อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว

กว่าโอบบุญจะขี่มอเตอร์ไซค์กลับถึงบ้าน เข็มนาฬิกาก็ปาเข้าไปตีสอง บ้านเงียบสนิทเมื่อไขประตูเข้าไปบนโต๊ะอาหารมีกับข้าวตั้งทิ้งไว้ เขาไม่สนใจอุ่น อาศัยข้าวร้อนๆ จากหม้อหุงข้าว ราดแกงเย็นชืดลงไป กินลวกๆ พอให้อยู่ท้อง เพราะง่วงจนตาแทบปิด

เจ้าตัวมีเวลานอนไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องลุกขึ้นเตรียมตัวไปโรงเรียน แม้จะเข้าเรียนทุกคาบไม่ขาด แต่มักนั่งสัปหงกตลอดคาบบ่าย ส่วนเนื้อหาในชั้นเรียนกวดวิชาแทบไม่อยู่ในสมอง เฝ้ารอเวลาเลิกเรียนเพื่อจะรีบบึ่งไปหารายได้พิเศษต่อที่บ่อน

เอื้อมดาวจะมาว่าเขาไม่ได้ โอบบุญสัญญาว่าจะไปโรงเรียน แต่ตั้งใจเรียนหรือไม่เป็นคนละเรื่องกัน

 

รถกระบะบุโรทั่งชะลอความเร็วลง ค่อยๆ เคลื่อนเข้าจอดชิดขอบทาง อากาศร้อนอบอ้าวก็จริงแต่สัมผัสได้ถึงไอชื้นเบาบางในอากาศ ก้อนเมฆสีเทาลอยต่ำเป็นหย่อมๆ ส่งสัญญาณว่าฝนกำลังจะตกภายในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

“แวะที่นี่ก่อน เสร็จแล้วค่อยเข้าไปที่ฟาร์ม มึงช่วยกูยกของท้ายรถลงหน่อย” ดินแดนตะโกนสั่งเพื่อนที่เปิดประตูรถฝั่งตรงข้ามลงมา

“แถวนี้มีบ้านคนด้วยหรือวะ” โอบบุญหันมองซ้ายมองขวา เห็นแต่พุ่มไม้รกเรื้อ หญ้าขึ้นสูงรุกล้ำเข้ามาทำให้ถนนโรยกรวดยิ่งดูแคบกว่าที่ควรจะเป็น

ดินแดนเดินไปเท้าเอวมองดูป้ายสีซีด ฝนที่ตกชุกในช่วงนี้ทำให้เถาไม้เลื้อยปกคลุมป้ายจนมิด ไม่แปลกใจที่เพื่อนของเขาจะมองไม่เห็น

สองหนุ่มหอบข้าวของจากท้ายรถกระบะ เดินหลบหลีกหลุมบ่อที่มีน้ำขังเข้าสู่ด้านใน

ดินแดนรู้ดีว่าเจ้าของบ้านตั้งใจปล่อยให้ทางเข้ารกเรื้อ ปิดกั้นคนภายนอกไม่ให้ล่วงล้ำเข้าสู่อาณาเขตของตน แต่เขานี่แหละจะพาทั้งคนและควายตัวใหญ่ออกสู่โลกภายนอกให้จงได้

ชั่วไม่กี่อึดใจ เรือนไม้และคอกควายก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า

โอบบุญตาโตเมื่อเห็นควายตัวหนาใหญ่ราวกับกำแพงยืนเคี้ยวเอื้องอยู่ในคอก

“ตะลึงไปเลยละสิ เหมือนกูตอนแรกไม่มีผิด ไม่ใช่ควายหรอก นั่นน่ะช้าง” ดินแดนไม่วายเล่นมุก

“ตัวใหญ่ฉิบหาย ใหญ่กว่าราชาอุทัยของเสี่ยอั๋นอีก”

“เนี่ยแหละราชาอุทัยตัวจริง แชมป์ประเทศไทยเห็นๆ รับรองว่าหัวบันไดบ้านไม่แห้ง กูกำลังจีบให้เจ้าของยอมส่งเข้าประกวดอยู่”

ดินแดนหมายมั่นปั้นมือว่าจะโน้มน้าวให้ลุงติ๊กเปลี่ยนใจ ยอมอวดโฉมพ่อช้างให้คอควายสวยงามได้ตื่นตะลึงกัน

“ใครมาเอะอะอะไรแถวนี้ ควายกูกำลังนอนกลางวัน เดี๋ยวได้ตื่นกันพอดี” เสียงตะโกนดังมาจากบนเรือน ก่อนที่ชายชราจะปรากฏตัวขึ้น

“ควายหรือลุงกันแน่ที่กำลังพักผ่อน” ดินแดนกระเซ้าก่อนยกมือไหว้

“ก็ทั้งคู่นั่นแหละ ครึ้มฟ้าครึ้มฝนแบบนี้ อยู่ในคอกดีกว่า ขืนปล่อยไปเล็มหญ้ากลางทุ่ง ฟ้าผ่าลงมาก็ฉิบหายกันหมด”

ดวงหน้าชายชราแต้มรอยยิ้มยินดี เมื่อเห็นเด็กหนุ่มคอเดียวกันแวะเวียนมาหาโดยไม่คาดฝัน

“สวัสดีลุง วันนี้ฉันพาเพื่อนมาด้วย คนที่โดดเรียนมาเฝ้าควายที่โชคเจริญสุขฟาร์มไงล่ะ” ดินแดนแนะนำเพื่อนสนิทให้ผู้อาวุโสรู้จัก

โอบบุญยกมือไหว้อย่างนอบน้อม

“เออ ไหว้พระเถอะ หอมทอง” ชายชรายกมือขึ้นรับไหว้ กวาดสายตาสำรวจเด็กหนุ่มรูปร่างบอบบาง ผิวค่อนข้างขาว หน่วยก้านไม่เหมาะที่จะเลี้ยงควายเลยสักนิดเมื่อเทียบกับคนที่ยืนอยู่ข้างๆ

ดินแดนปล่อยเสียงหัวเราะก๊าก “เพื่อนฉันชื่อโอบ หอมทองคือควายที่มันมาเฝ้า”

“เออๆ กูไม่รู้ จำได้แต่ชื่อควาย มาๆ เข้ามานั่งกินน้ำกินท่าใต้ถุนบ้านก่อน”

สองหนุ่มหอบหิ้วของฝากเต็มมือมาวางไว้บนโต๊ะกินข้าว

“ฉันเอาปลาแดดเดียวมาฝาก แม่ฉันตากเองกับมือเลยนะ แล้วก็ตำน้ำพริกมาให้กินเย็นนี้ด้วย ว่าแต่…ขอฉันกับเพื่อนค้างที่นี่สักคืนจะได้ไหม” ดินแดนประจบ

“แหมๆ เห็นบ้านข้าเป็นโรงแรมหรือไงวะ”

“ฉันไม่นอนบ้านลุงเฉยๆ หรอก ซื้อสี ซื้อเครื่องตัดหญ้ามาด้วย เดี๋ยวฉันจะทาสีป้ายใหม่แล้วก็ไถทางเข้าไร่ให้เตียนเลย พ่อช้างจะได้เดินสะดวก ไม่ต้องห่วงงูเงี้ยวเขี้ยวขอ”

“อยากทำอะไรก็ทำ เดี๋ยวข้าหาที่หลับที่นอนให้แล้วกัน”

หัวใจที่แห้งผากของชายชราชุ่มชื่นขึ้น ไม่เพียงแวะเวียนมาเยี่ยม แต่เด็กหนุ่มแสดงความเอาใจใส่ราวกับเป็นลูกหลาน ทำให้อดคิดถึงเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองไม่ได้ ลูกๆ เติบโตและออกไปใช้ชีวิตของตัวเองจนบางครั้งหลงลืมว่ายังมีพ่อแม่รอคอยการกลับมาอยู่เงียบๆ ในสถานที่ที่เข็มนาฬิกาเหมือนจะหยุดเดินมาเนิ่นนานเต็มที

 

พลบค่ำ ฝนยังคงตกโปรยปราย ลมทุ่งพัดกอไผ่ไหวส่งเสียงดังซูซ่าเป็นระยะ แกงขี้เหล็กบนเตาเดือดปุดส่งกลิ่นหอมฉุย ดินแดนปิดเตาแก๊ส ตักแกงจากหม้อใส่ถ้วยกระเบื้องใบใหญ่ ยกมาสมทบกับน้ำพริกมะม่วงและปลาทอดแดดเดียว

“กับข้าวพอไหม ฉันทอดไข่อีกจานดีไหมลุง” ดินแดนมีท่าทีลังเล

“ช่วงนี้ข้าท้องอืด แค่ซดน้ำแกงก็อิ่มแล้ว เอ็งกับเพื่อนทำกินกันให้พอ ไข่กับหมูสับอยู่ในตู้เย็น หยิบเอาได้เลย” ลุงติ๊กนั่งเอนหลังดูข่าวช่วงหัวค่ำระหว่างรอกินข้าว

“ถ้าอย่างนั้นทอดไข่อีกจานดีกว่า เห็นผอมๆ เป็นกุ้งแห้งแต่โอบมันกินจุ” ดินแดนขยับไปเปิดตู้เย็นหยิบไข่และหมูสับออกมา

“มึงอยากกินไข่เจียวหมูสับก็พูดมาเหอะ อย่ามาโบ้ยกู”

โอบบุญเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เขาขี่มอเตอร์ไซค์ฝ่าสายฝนกลับมาจากโชคเจริญสุขฟาร์มเมื่อชั่วโมงก่อน

“เป็นยังไงบ้างล่ะ ลูกสาวเอ็งที่ฟาร์มเสี่ยอั๋น”

“ขาหายดี เดินปร๋อแล้ว” เจ้าตัวตอบยิ้มๆ ด้วยสีหน้าโล่งใจ ก่อนลุกขึ้นไปช่วยเพื่อนสนิทที่หน้าเตาไฟ “กูตั้งกระทะรอดีกว่า หิวแล้ว”

“มาถึงก็เร่งเชียวนะมึง ถ้าอย่างนั้นไม่ใส่หมูสับล่ะ เพิ่งเอาออกจากตู้เย็นยังแข็งอยู่เลย” ดินแดนตอกไข่ใส่ถ้วย เหยาะน้ำปลาลงไปเล็กน้อยก่อนใช้ส้อมตีของเหลวข้นจนขึ้นฟู

“มึงไปนั่ง เดี๋ยวกูจัดการเอง” โอบบุญสั่งเพื่อน

“อย่าให้ไหม้ล่ะ กูไม่ค่อยเชื่อฝีมือเลย ปกติอยู่บ้านอย่างกับคุณชาย เคยล้างจานบ้างหรือเปล่าวะ หรือน้าสะอิ้งทำหมด” ดินแดนแขวะเพื่อนสนิท

ลุงติ๊กมองภาพตรงหน้าอย่างเพลิดเพลิน คนหนึ่งเปิดเผยโผงผาง ดูลุยๆ แบบถึงไหนถึงกัน ในขณะที่อีกคนเงียบกว่าและยอมลงให้ แต่ก็แฝงแววรั้นเอาไว้ คบหากันก็ดูลงตัวดี

ครัวที่เงียบเหงากลับมีชีวิตชีวาและอบอุ่นอยู่ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมา

 

หลังกินข้าวเสร็จ สองหนุ่มก็มาล้อมวงอยู่นอกชานชั้นบน มองลงมาเห็นหลังคาคอกควายอยู่ไม่ไกล ฝนซาเม็ดแล้ว แม้ดวงจันทร์ยังคงถูกบดบังด้วยเมฆครึ้ม แต่ไม่อาจลดทอนบรรยากาศสดชื่นที่รายล้อมไปด้วยไอเย็นชื้นได้

“ลุงดูแลพ่อช้างคนเดียว ไม่มีใครช่วยเลยเหรอ” โอบบุญซึ่งนั่งขัดสมาธิอย่างสุภาพเรียบร้อยชวนเจ้าของบ้านคุย

“ไม่มีหรอก ลูกเต้าแต่ละคนโตแล้วก็แยกย้ายไปคนละทิศคนละทาง คนโตอยู่อเมริกา คนรองอยู่นนทบุรี ส่วนคนที่จบเกษตรตั้งใจจะมาสานต่อที่นี่ก็ดันถูกรถชนตายไปเสียก่อน” ปลายน้ำเสียงบ่งบอกถึงความสะเทือนใจอย่างปิดไม่มิด

“พ่อฉันก็เพิ่งประสบอุบัติเหตุถูกรถชนตายเหมือนกัน ป่านนี้ยังจับตัวคนชนไม่ได้เลย” น้ำเสียงเจ้าตัวเศร้าสร้อย

“เฮ้อ! ชีวิตมันก็ไม่ยุติธรรมแบบนี้ ตำรวจจับตัวคนชนลูกข้าไม่ได้เหมือนกัน” ลุงติ๊กเอื้อมมือไปตบไหล่ชายหนุ่มรุ่นลูก

ดินแดนกางมุ้งเสร็จแล้ว ทรุดตัวลงนั่งสมทบ

“วันนี้ฉันไล่ตัดหญ้า เพิ่งเห็นว่าที่ดินของลุงยาวไปถึงรั้วลวดหนามของไร่โชคเจิญสุขฟาร์ม กว้างขวางไม่เบาเชียว”

“เออก็หลายสิบไร่อยู่ เสี่ยอั๋นเขาออกปากขอซื้อหลายรอบ แต่ข้าไม่ขาย”

“น่าเสียดายที่ออกจะกว้าง ถ้าไม่ทำไร่ก็ทำฟาร์มครบวงจรได้เลย” ดินแดนเชียร์

“แบบของเสี่ยอั๋นเหรอ ข้าไม่เอาด้วยหรอก” ลุงติ๊กส่ายหัว “เขาทำดีนะ ยกระดับการเลี้ยงควายให้กลายเป็นอาชีพที่ดูดีมีเกียรติได้ แต่ข้าแก่แล้ว ไม่ถนัด เคยเลี้ยงมายังไงก็เลี้ยงไปอย่างนั้น”

ดินแดนนั่งฟังไปพลางชูโทรศัพท์ขึ้นสูงเพื่อหาสัญญาณเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ตั้งใจจะอวดกลุ่มคนรักควายสวยงามในโซเชียลมีเดียให้ดู เผื่อลุงติ๊กจะใจอ่อน ยอมให้เขาลงรูปพ่อช้างในกลุ่ม “บ้านลุงไม่มีอินเทอร์เน็ตเหรอ แล้วติดต่อลูกหลานยังไงหรือใช้โทรศัพท์คุยกัน”

“ข้าก็ไม่ค่อยได้โทรไปหาหรอก นานๆ เขาถึงจะโทรมาเสียที”

“เชยจริงๆ คนแก่สมัยนี้ เขาเล่นไลน์ ส่งสติกเกอร์สวัสดีตอนเช้ากับลูกหลานแบบนี้” ดินแดนโชว์หน้าจอโทรศัพท์ให้ดู

ลุงติ๊กถึงกับหัวเราะเมื่อเห็นข้อความที่ชายหนุ่มส่งถึงบิดา แจ้งว่าคืนนี้จะไม่กลับบ้าน อีกฝั่งส่งสติกเกอร์รูปยักษ์ถือไม้กระบองพร้อมพิมพ์ข้อความกลับมาสั้นๆ

เรื่องของมึง จะไปนอนกับควายที่ไหนก็ไป

“ขนาดพ่อฉันยังเล่นได้ ลุงก็เล่นได้เหมือนกัน เดี๋ยวฉันสอนให้ ไม่ยาก แต่ลุงต้องไปซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ก่อน รุ่นที่ใช้อยู่ปุ่มใหญ่กดง่ายก็จริง แต่มันเล่นเน็ตไม่ได้” ดินแดนเจ้ากี้เจ้าการ

“แม่ฉันเล่นโซเชียลเหมือนกัน เอาไว้ตามลูกกลับบ้านโดยเฉพาะ ผิดเวลาหน่อยไม่ได้ ส่งสติกเกอร์รัวๆ ตามจิกเป็นไก่เลย” โอบบุญรีบสนับสนุนอีกเสียง เพราะเล็งเห็นแววเหงาในดวงตาของผู้สูงวัย

“เขาทำงานทำการ ไหนจะต้องดูแลครอบครัวอีก ไม่มีเวลามาคุยเล่นกับข้าหรอก อีกอย่างไม่รู้จะคุยอะไรข้าก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิมทุกวัน” สีหน้าลุงติ๊กลังเล ไม่แน่ใจว่าเทคโนโลยีใหม่จะช่วยให้ใกล้ชิดลูกหลานได้อย่างไร

“ก็ไม่เห็นต้องคุย แค่ส่งสติกเกอร์สวัสดีตอนเช้าแบบนี้ไง ให้ลูกรู้ว่ายังไม่ตาย” ดินแดนไถหน้าจอให้ดูต่ออย่างไม่ย่อท้อ

จริงอย่างที่เด็กหนุ่มพูด ไม่มีบทสนทนาอะไรมากมาย แค่สวัสดีตอนเช้า กินข้าวหรือยัง และราตรีสวัสดิ์ให้รู้ว่ายังอยู่ดีมีสุขก็เพียงพอแล้ว

“พรุ่งนี้ ฉันพาไปซื้อโทรศัพท์ใหม่ ให้โอบช่วยเฝ้าพ่อช้างสักสองสามชั่วโมง ได้โทรศัพท์แล้วจะเปิดบัญชีไลน์ให้ ลุงหัดส่งสติกเกอร์ให้คล่องก่อนแล้วฉันจะสอนเล่นเฟซบุ๊ก” ดินแดนสรุปเสร็จสรรพ

ลุงติ๊กน่าจะอายุมากกว่าพ่อของเขาไม่เท่าไร แต่กลับดูแก่กว่ามาก พอยิ่งรู้ว่าลูกหลานไม่มาดูแล ดินแดนก็ยิ่งสะท้อนใจ พ่อของเขาแม้มีลูกชายคนเดียวแต่ก็มีคนนับหน้าถือตาทั้งหมู่บ้าน ไปไหนก็มีคนมาห้อมล้อม ทำให้กระชุ่มกระชวยอยู่เสมอ ไม่เคยมีคำว่าเหงาอยู่ในสารบบ ต่างจากลุงติ๊กที่ปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอก จนกลายเป็นคนแก่ที่ถูกลืมในที่สุด

เขาจะค่อยๆ โน้มน้าวให้ลุงติ๊กเลิกปลีกวิเวก และเปลี่ยนความตั้งใจส่งพ่อช้างเข้าประกวดให้ได้ในสักวันหนึ่ง นอกจากผู้สูงวัยจะกระชุ่มกระชวยขึ้นแล้ว ไร่ผืนนี้จะได้กลับมามีชีวิตชีวาเช่นกัน

ดินแดนยังวาดฝันไปไกลถึงขั้นทาบทามพ่อช้างไปเป็นพ่อพันธุ์ให้ควายตัวเมียในคอก มั่นใจว่าลูกควายที่ออกมาจะเชื้อไม่ทิ้งแถวอย่างแน่นอน

 



Don`t copy text!