หัวใจมังกร บทที่ 12 : ด้วยชีวิตของผม

หัวใจมังกร บทที่ 12 : ด้วยชีวิตของผม

โดย : สิรี กวีผล

Loading

หัวใจมังกร โดย สิรี กวีผล เรื่องของ ชายหนุ่มทายาทตระกูลจีน ถูกพรากคนรักและพรากชีวิตด้วยกระบี่ในอดีต ปาฏิหาริย์แห่งคำสาบานก่อนตายนำพาเขาและเธอกลับมาพบกัน ทว่าต่างภพชาติ ชายหนุ่มต้องเลือกระหว่างหน้าที่และครอบครัว หรือความรักที่เขารอคอยมานานนับร้อยปี อ่านเรื่องราวนี้ได้ทาง เพจอ่านเอา และ www.anowl.co

ประตูหน้าต่างถูกเลื่อนออกอย่างแรง จนลมภายนอกพัดเข้ามาในห้องนอนของกัญญ์กุลณัช ทำให้ความกดดันภายในห้องผลักให้ประตูห้องปิดอย่างรุนแรง เควินผลักชางที่ยืนงงอยู่จนล้ม ขายาวกระโดดข้ามระเบียงลงไปยังพื้นสวนหน้าบ้านอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยเสียงร้องโอดครวญอย่างเจ็บปวด แต่เควินก็พยุงตัวเองหนีออกจากบ้านกัญญ์กุลณัช

ไม่ทันจะได้ไต่ถามอะไร กัญญ์กุลณัชคว้ามือถือกดโทร.หาณัฐนันท์อย่างรวดเร็วเพื่อถามความเป็นมา เธอคาดว่าพี่ณัฐน่าจะพอรู้เรื่องอะไรของแฟนเก่าเธอได้บ้าง

“คุณกัญทำอะไร” กัญญ์กุลณัชยกมือเป็นสัญญาณให้เงียบ

“ยัยกัญโทรหาพี่ณัฐ พี่ชายที่ลอนดอน” มามิกระซิบ

“โทรหาคืออะไร แล้วลอนดอนนี่คือประเทศอังกฤษน่ะหรือ” ชางยังไม่เข้าใจเทคโนโลยีสมัยใหม่สักเท่าไร มามิจึงหยิบมือถือขึ้นมาให้ชางดู เธอสอนให้ชางรู้จักการสื่อสารในปัจจุบันไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็สามารถติดต่อสื่อสารกันได้

“คุณชางอยากลองโทรกลับบ้านดูไหมคะ”

“เอ่อ บ้านผมไม่มีอะไรแบบนี้หรอกครับ ส่วนมากก็ใช้เด็กวิ่งเอา หรือสำคัญหน่อยก็ไปหากันเอง หรือถ้าไกลๆ ก็ต้องใช้เวลานั่งเรือ แต่เริ่มมีโทรเลขบ้างแล้วครับ” ชางพยายามอธิบาย มามิได้ฟังก็นั่งนึกว่าชางอยู่ในยุคสมัยไหนกันแน่ มาจากที่ไหน

“อะไรนะ” เสียงกัญญ์กุลณัชดังขึ้นขัดบทสนทนาของทั้งสองคน สายโทรศัพท์ถูกวางทันที

“มีอะไรแก พี่ณัฐว่าไงบ้าง”

เหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้นที่ลอนดอนไม่ต่างกับที่บ้านของกัญญ์กุลณัช กลุ่มนักสะสมของเก่าพยายามค้นหาและเก็บรวบรวมกระบี่โบราณจากทั่วโลก ทั้งญี่ปุ่น จีน ไทย หรือของราชวงศ์อังกฤษเองก็ตาม กลุ่มคนเหล่านี้มีอิทธิพลมาก พวกเขาต้องการกระบี่ที่มีประวัติเพื่อนำไปขายทอดตลาด และโก่งราคาเพื่อขายเข้าพิพิธภัณฑ์ หรือบ้านนักสะสมรายใหญ่ๆ และบังเอิญกระบี่ดำดอกโบตั๋นที่กัญญ์กุลณัชประมูลมาได้นั้นมีประวัติที่น่าสนใจ จนทำให้ราคาดีดขึ้นสูงและเป็นที่หมายปองของตลาดนักสะสม

“แล้วแกจะทำยังไง” กัญญ์กุลณัชมองหน้าชาง

“ตอนนี้พ่อกับแม่ดูท่าจะอยากกลับไทย แต่คิดว่าน่าอีกสักอาทิตย์ถึงจะกลับมาได้ เพราะทางฝั่งนั้นก็โดนเล่นงานหนักจนคุณลุงคนเดียวสู้อิทธิพลพวกนั้นไม่ไหว”

“แล้วแกจะไหวเหรอ” มามิเป็นห่วง

“ยังไงฉันก็ไม่ยอมให้ใครมาเอากระบี่เล่มนี้ไปเด็ดขาด” ชางเริ่มหวั่นใจกับชายต่างชาติเมื่อสักครู่ เขาเหมือนจะยังไม่ยอมหยุดเรื่องนี้ง่ายๆ เป็นตายร้ายดียังไงเขาก็จะไม่ยอมให้กระบี่ดำดอกโบตั๋นไปอยู่ในมือของคนอื่นที่ไม่ใช่กัญญ์กุลณัชเด็ดขาด

“พรุ่งนี้ฉันจะเอากระบี่ไปไว้ที่ตู้เซฟร้านคุณพ่อ” กัญญ์กุลณัชบอกทุกคน โดยที่หารู้ไม่ว่าเควินไม่ได้มีจุดประสงค์มาขโมยกระบี่ตั้งแต่แรก เควินต้องการเข้ามาติดเครื่องดักฟังไว้ที่ห้องของกัญญ์กุลณัชเพื่ออยากรู้ความเป็นไปของเธอและกระบี่เล่มนี้

คืนนั้นกัญญ์กุลณัช ชาง มามินอนไม่หลับ ทุกคนมารวมตัวกันที่ห้องของกัญญ์กุลณัชเพื่อนั่งเฝ้ากระบี่เล่มเดียว ต่างคนต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด จนมามิทนไม่ไหว

“สรุปมีใครรู้ไหมว่าคุณชางของแกเนี่ย วาร์ปมาจากกระบี่โบราณ”

“ไม่มี”

“แล้วคุณชางล่ะ ทางฝั่งคุณเป็นยังไง คุณมาจากไหนกันแน่” สิ่งที่มามิถาม คือสิ่งที่กัญญ์กุลณัชลืมที่จะถามชายหนุ่มตั้งแต่แรกเจอ เธอมัวแต่ตื่นตระหนกกับเรื่องราวประหลาดที่เกิดขึ้น รวมทั้งภาพฝัน ภาพจริงที่สับสนปนเปกันไปหมด

 

ที่ที่ผมมาต่างจากที่แห่งนี้มากๆ บ้านเรือนของที่นี่ดูแปลกตา ที่ผมอยู่บ้านเป็นเพียงบ้านไม้กึ่งปูน เรือนจะปลูกด้วยโครงสร้างปูนเพื่อให้เกิดความแข็งแรง แต่ภายใน รวมทั้งหลังคา ประตูบ้าน หน้าต่าง ทุกอย่างเป็นไม้ทั้งหมด บางเรือนเป็นสังกะสี บางเรือนทำด้วยหลังคามุงจากเท่านั้น ถนนหนทางไม่ได้เป็นสีเทาๆ เหมือนที่นี่ บ้านที่ผมจากมาถนนเป็นเพียงดินและหินเท่านั้น มีบ้างที่เทปูนสำหรับพวกขุนทางหรือพวกที่ทำงานให้เจ้านาย บ้านผมค้าขาย ค้าฝิ่น ทำเหมือง แล้วก็นำเข้าส่งออกสินค้าจากจีน

“เท่าที่พูดมานายรวยมากนะ” กัญญ์กุลณัชเสริม

“บ้านผมเป็นตระกูลใหญ่ เราอยู่กันหลายคน เรือนปลูกติดกันแถวตะลัคเกียะ”

ผมชื่อ ชาง จริงๆ ชื่อ ฟู่ชาง ผมเป็นพี่คนโตของตระกูลฟู่ มีน้องชายแท้ๆ อยู่คนนึง ป๊าผมก็เป็นพี่ชายคนโตดูแลทุกกิจการของตระกูล มีอาเจ็กจ้านเป็นน้องชายของป๊า ผมโตมาในฐานะลูกชายคนโตของตระกูลฟู่ แต่จริงๆ แล้วผมมีเฮียที่เกิดจากอาเจ็กจ้าน บ้านเมืองที่ผมอยู่ทุกคนต่างต้องเอาตัวรอด แบ่งพรรคแบ่งพวก ที่คุณกัญเห็นแผลเป็นบนตัวผม ก็ได้มาจากเฮียเหลียงลูกของอาเจ็ก สมัยผมเด็กๆ เป็นช่วงรัชกาลที่ 5 เข้ารัชกาลที่ 6 บ้านผมเป็นตระกูลจีนเก่าแก่ ผลกระทบเศรษฐกิจกับทางบ้านค่อนข้างเยอะด้วย

หญิงสาวทั้ง 2 ตั้งใจฟัง จนรู้สึกสงสารชางที่ต้องรับผิดชอบตระกูลแถมยังมีเฮียที่คอยทำร้ายตัวเองอีก

“โห แต่นี่รัชกาลที่ 10 แล้วนะคุณ” มามิตกใจ

บ้านเมืองเปลี่ยนไปมาก รถเครื่องที่ผมนั่งที่บ้านคุณกัญก็ไม่เหมือนกับรถเครื่องที่บ้านผม ที่ผมอยู่ยังใช้คนลากจูงกันอยู่เลย ตึกสูงๆ ไฟสวยๆ ก็ไม่มีเหมือนตอนนี้ บ้านเมืองคุณกัญน่าอยู่มาก กฎหมายของคุณกัญเข้มงวด ดูอย่างไฟจราจรสิ สมัยผมต่างคนต่างเดิน ต่างวิ่ง รถราก็มีนายตำรวจคอยดูแลนิดๆ หน่อยๆ ใครทำผิดก็ยิงทิ้ง แต่ถ้าใครพวกเยอะเส้นสายเยอะเงินหนาหน่อยก็พอจะรอดได้อยู่

“เหมือนในละครเลยเนอะ” กัญญ์กุลณัชกระซิบเพื่อน

“แล้วคุณชางเจอยัยกัญได้ยังไง” มามิอยากรู้

“จะว่าไปผมจำได้ว่าผมฝันถึงคุณกัญตอนผมอายุยี่สิบห้าปี พอดี”

“จริงด้วย” กัญญ์กุลณัชนึกได้

ตอนแรกๆ ผมคิดว่า ผมน่าจะฝันไป แต่กลายเป็นว่าผมฝันถึงที่นี่ ห้องนอนห้องนี้ ผมเห็นคุณกัญ แล้วก็ฝันแบบนี้ซ้ำๆ จนกระทั่งป๊าของผมให้กระบี่ดำดอกโบตั๋นที่เหมือนกับของคุณกัญกับผม

“กระบี่เล่มนี้เหมือนต้องการให้ฉันเป็นเจ้าของเลย” กัญญ์กุลณัชเล่าบ้าง

วันก่อนงานประมูล คุณแม่กับคุณพ่อไปเจอผู้ชายคนหนึ่งที่งาน ผู้ชายพูดจาแปลกๆ บอกว่าฉันจะประมูลกระบี่เล่มนี้ได้ เพราะเจ้าของมาประมูลเอง ฉันเองก็ไม่อยากจะเชื่อเพราะในวันงานมีคนแข่งประมูลกับฉัน แต่จู่ๆ คนนั้นก็หายไปแล้วกระบี่ก็กลายเป็นของฉันที่ประมูลได้มา พอได้มาก็เกิดเรื่องแปลกๆ ฉันฝันว่าฉันไปเจอคุณชางที่ริมน้ำสักแห่ง แล้วจู่ๆ ภาพก็หายวับไปกลายเป็นคุณชางใส่ชุดนักรบจีนโบราณ แล้วฉันก็เจ็บหน้าอก ภาพมันดูขัดๆ ไม่ชัดเจน แต่ความรู้สึกมันเหมือน

“คนที่รอคอยมานาน” ชางกับกัญญ์กุลณัชพูดขึ้นมาพร้อมกัน

“ผมก็ฝันอย่างนั้นเหมือนกัน ผมเห็นคุณกัญแต่งชุดกี่เพ้าโบราณ แล้วผมก็เจ็บหน้าอกแถมผมเห็นว่า เฮียเหลียงเป็นคนหยิบกระบี่เล่มนี้ฆ่าผมอีกต่างหาก”

มามิเอามือทาบอก ไม่อยากจะเชื่อเรื่องที่เหลือเชื่อขนาดนี้มาก่อน “คุณพระ เธอสองคนต้องเป็นคนรักกัน หรือไม่ก็ผูกพันกันมาแต่ชาติปางก่อน” มามิเริ่มเพ้อเป็นนิยายรักโรแมนติก

“พอเลย รักโรแมนติกของแกอะไร พระเอกนางเอกตาย” ชางมองตาของกัญญ์กุลณัชอย่างลึกซึ้ง เขาเชื่ออย่างสนิทใจว่าเธอคือคนที่เขารอคอยมาตลอด

“งั้นพรุ่งนี้เราเอากระบี่ไปเก็บ แล้วไปเดินดูบ้านคุณชางกันดีกว่า เผื่อจะได้รู้อะไรเกี่ยวกับกระบี่มากขึ้นด้วย” มามิเสนอ ชางตื่นเต้นที่จะได้เจอบ้านตัวเอง เขาอยากรู้ว่าในตอนนี้บ้านของเขาจะเป็นอย่างไร แล้วชีวิตเขาและครอบครัวของเขาอยู่ที่ไหน คืนนี้เขาเสนอนอนเฝ้ายามให้กับกัญญ์กุลณัช โดยพาตัวเองลงมานอนที่โซฟาห้องรับแขกด้านล่างของบ้านติดประตูทางเข้าบ้าน ก่อนลงมาเขาเช็กกลอนประตูหน้าต่างทุกบาน ทุกห้อง รวมทั้งประตูทางเข้าบ้านทั้งหมดเรียบร้อย เพื่อปกป้องหญิงสาวที่เขารักและกระบี่ที่พาเขามาเจอเธอ

 

กล่องกำมะหยี่สีดำ ยาว ใบใหญ่ ตรงกลางมีที่วางกระบี่บุไว้กันกระแทกด้วยกำมะหยี่สีแดงสวยงาม ชางหยิบกระบี่ขึ้นมาดูสะดุดตากับรอยบิ่นที่คล้ายกับกระบี่ที่บ้านของเขา แต่ทว่าครั้งนี้รอยบิ่นที่เขาเห็นไม่ได้มีแค่รอยเดียว กัญญ์กุลณัชยื่นหน้าเข้ามาดูใกล้ๆ ลมหายใจทั้งคู่รดกัน

“มีเพิ่มมาจากไหนนะ รอยบิ่นตรงนี้” กัญญ์กุลณัชชี้ให้ชางดู แต่ลืมตัวว่าเขาอยู่ใกล้ๆ ทำเอาจมูกสวยๆ ปะทะกับแก้มนิ่มๆ ของเขาไปนิดนึง ชางเขินเกาแก้มอย่างอายๆ

“กระบี่ฝั่งบ้านผมก็มีรอยบิ่น แต่เห็นว่ามีรอยเดียวนะ” ชางชักสงสัย วันนี้มามิขอไปเจอทุกคนที่ร้านกฤตชย์ เธอมีธุระด่วนที่พยายามเลี่ยงแล้วแต่เลี่ยงไม่ได้ ทำให้ชางนั่งรถไปกับกัญญ์กุลณัช 2 คน

ทันทีที่รถสีขาวเคลื่อนที่ออกจากตัวบ้าน เข้าสู่ถนนใหญ่ มีรถเก๋งธรรมดาสีเทาขับตามชางและกัญญ์กุลณัชไป ภายในรถเห็นเควินกำลังนั่งเป็นเจ้านายอยู่เบาะหลังมีชาย 2 คนนั่งข้างหน้าคอยขับและดูทาง

‘เดี๋ยวนี้ใครจะใช้รถที่มันดูสะดุดตากัน รถบ้านแบบนี้แหละไม่มีใครสงสัย’ เควินนึกกับตนเอง ซึ่งเป็นเรื่องจริง ชางและกัญญ์กุลณัชไม่สังเกตเลยว่ามีรถตามพวกเขามาจนถึงลานจอดรถ ชางถือกล่องกำมะหยี่สีดำไว้ในมือ มองซ้ายมองขวาก่อนจะลงจากรถ กัญญ์กุลณัชพยายามกวาดสายตามองหาเควินแต่ก็ไม่พบ

“คิดจะเอาไปไหนหรือจ๊ะที่รัก” เสียงเควินลอยมาแต่ไกล ชาย 2 คนที่มาพร้อมกับเควินเดินตามมาพร้อมหาเรื่องชางกับกัญญ์กุลณัชตามเจ้านายบอก

“นายคิดจะขโมยกระบี่ไปทำไม” กัญญ์กุลณัชถามตรงๆ

“ตอนแรกก็กะจะเอาไปขายทำราคา แต่ตอนนี้อยากทำลายมันทิ้งซะมากกว่า” น้ำเสียงเควินไม่เข้าหู “เนี่ยน่ะเหรอ แฟนใหม่คุณกัญ” น้ำลายถูกถมลงพื้นอย่างเยาะเย้ย “เจ๊กดีๆ นี่เอง มาจากไหนนะ หรือว่ามาจากกระบี่”

“ลื้อรู้ได้ยังไง” ชางหัวร้อนขึ้น เรื่องราวของเขาไม่ควร่มีคนอื่นรู้นอกจากกัญญ์กุลณัชและเพื่อนสนิทของเธออย่างมามิ

“ก็แค่ดักฟัง” กัญญ์กุลณัชเดินเข้าไปตั้งใจจะเข้าไปหาเรื่องเควิน ทว่าชายหนุ่มที่มากับเควินเร็วกว่าขวางไว้ได้ทัน เธอชะงักเท้าทันที

“แค่นี้กระบี่เล่มนี้ก็มีมูลค่ามหาศาล และถ้ามีเจ๊กคนนี้ไปด้วยสักคน คงทำเงินได้ดีแน่ๆ” เควินพยักหน้าให้ลูกน้องที่มาด้วย ชายทั้ง 2 เข้าประกบชาง แต่คิดจะสู้กับชางอาจจะต้องเตรียมใจมาสักหน่อย ชางมีความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดได้ดีถึงดีมาก เขาคว่ำชายทั้ง 2 คนลงได้อย่างง่ายดาย

ปุ ปุ…เสียงปืนดังผ่านที่เก็บเสียงปลายปืน ระยะกระสุนเฉียดขาชางไปหนึ่งนัด แต่อีกนัดได้ลิ้มรสเลือดสดๆ ไปเล็กน้อย ชางทรุดเข่านั่งลงกับพื้น แต่เขาไม่ยอมแพ้ ชางบอกให้กัญญ์กุลณัชหลบอยู่ข้างรถสีขาวของเธอพร้อมกับกล่องใส่กระบี่ดำดอกโบตั๋น ชางฉีกเสื้อตัวเองพันไว้กับแผลเพื่อห้ามเลือด ระหว่างที่เควินล่อชางไว้ด้วยปืน ชายคนหนึ่งได้สติรีบมาล็อกตัวกัญญ์กุลณัชพร้อมกับใช้มีดจี้คอเธอทันที กัญญ์กุลณัชลุกขึ้นยืนอยู่ข้างหลังชาง

“คิดจะเป็นฮีโร่ หันไปดูข้างหลังตัวเองก่อนไหม” สิ้นคำเควิน ชางหันหลังเจอกัญญ์กุลณัชที่โดนมีดจี้คอก็ไม่กล้าทำอะไร เมื่อหันมาหาเควินกลับโดนปลายกระบอกปืนตบเข้าเต็มหน้าจนเลือดกบปาก

“น้องกัญคะ วางกล่องกระบี่ลงนะคะ พี่ไม่อยากทำให้หน้าสวยๆ ของน้องเป็นแผล” เควินพูดจาดี

กัญญ์กุลณัชวางกล่องกระบี่ลงที่พื้น มีดที่จี้คอเธอลดลง ชายคนนั้นคว้ากล่องกระบี่มาไว้กับตัวก่อนจะเดินมาทางเควิน ทว่าชางไม่ปล่อยไปง่ายๆ เขาแย่งมีดในมือของชายคนนั้น จนข้อมือของชายถือมีดหักก่อนมีดจะตกลงที่พื้น ชางกระชับมีดเข้ามือคล้ายกระชับกรรไกรขาเดียวคู่ใจของเขา ท่าทางพลิ้วไหวยามถือมีดนั้นดูคล่องแคล่วคล้ายคนชำนาญอาวุธชนิดนี้ เควินดูท่าไม่ค่อยดี เขาหันปลายกระบอกปืนไปยังกัญญ์กุลณัช

“อย่าคิดจะทำอะไรเชียวนะ ไอ้เจ๊ก” เควินขู่ ก่อนชายทั้ง 2 คนจะฉุดกระชากลากถูตัวเองขึ้นรถพร้อมกับกล่องใส่กระบี่ รถเก๋งสีเทาดูแม่บ้านมากกว่าโจรหลายเท่าตัวทำเอากัญญ์กุลณัชเจ็บใจ ทันทีที่รถขับออกไป ชางก็ทรุดตัวลงที่พื้นทันที เลือดของเขาไหลเป็นทาง

“คุณเป็นอะไรมากไหม” น้ำเสียงของเธอสั่นไหว ความเป็นห่วงปรากฏชัดในน้ำเสียง

“สบายมาก” ชางยิ้มให้

“ว้าย…ย” เสียงมามิที่วิ่งมาตกใจเมื่อเห็นเลือดบนตัวชาง สภาพของชางกับกัญญ์กุลณัชเหมือนไปมีเรื่องกับใครมา

“อย่าบอกนะว่าเป็นอย่างที่คิดไว้” กัญญ์กุลณัชกับชางพยักหน้าแทนคำตอบ

ร้านสะสมของโบราณของบ้านกัญญ์กุลณัชเป็นที่ตื่นตาตื่นใจกับชางมาก ตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินเข้ามา เขาพบกับเก้าอี้ไม้สลักลวดลายมังกรสีน้ำตาลเข้มคล้ายบัลลังก์ สิ่งที่เขาตื่นเต้นมากที่สุด มันคือตัวที่ป๊าของเขานั่งในสมาคม เก้าอี้หัวหน้าสมาคมฟู่ของเขาเอง ลายมังกรคุ้นตามากเหลือเกิน ข้างๆ กันเป็นตู้ไม้สลักลายดอกไม้สวยงามคล้ายตู้เก็บของโบราณ ถัดไปเป็นปูนปั้นแกะสลักลวดลายต่างๆ มีทั้งคุ้นตาและแปลกตา เครื่องชามสังคโลกขอบทองลายนกยูงสวยงามจัดเรียงเป็นชุดเข้าคู่กับโต๊ะหินอ่อน ผนังร้านประดับตกแต่งด้วยกรอบรูปเรียงรายกันเป็นทิวแถว ภาพต่างๆ เป็นภาพบุคคล ทิวทัศน์ บางกรอบมีลายเซ็นจางๆ ระบุวันที่และตัวเลขแปลกๆ ทิ้งไว้ กัญญ์กุลณัชพาทุกคนเข้าไปที่หลังร้าน เธอนั่งทำแผลให้ชางอย่างเบามือ ความรู้สึกอบอุ่นหัวใจ ใจเต้นระรัวต่างกับถิงถิงที่เคยทำแผลให้เขามาหลายครั้งหลายครา

“จ้องหน้าฉันทำไม” หน้ากัญญ์กุลณัชแดงจนถึงหู

“ก็คุณกัญน่ารัก อ่อนหวาน แถมใจดีครับ” ชางพูดตรงๆ ตามความรู้สึกของเขา ทำเอาคนฟังยิ่งหน้าแดงเข้าไปใหญ่ ทั้งคู่สบตากันหวานซึ้ง

“เอ่อ ในนี้ไม่ได้มีกันสองคนนะคะ” มามิกระแอมแทรกขึ้นมา “เห็นใจเพื่อนบ้าง แล้วนี่แกจะเอายังไงต่อ” มามิเข้าประเด็น

“ผมว่าตอนนี้น่าจะยังไม่น่าห่วง กล่องกระบี่อันนั้นไม่ใช่กล่องที่จะหาช่างมาเปิดดูง่ายๆ สลักกุญแจโบราณต้องใช้ช่างชำนาญถึงจะเปิดได้” ชางพูดขึ้น

“นั่นสิ ดีนะคุณเห็นก่อนว่าเควินทำอะไรไว้ ไม่งั้นฉันคงไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อ” กัญญ์กุลณัชรู้สึกขอบคุณชาง เขาเป็นที่พึ่งให้เธอในยามคับขันและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี รวมทั้งช่างสังเกตและวางแผน ผู้ชายแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ

กัญญ์กุลณัชนึกถึงเมื่อคืนหลังจากที่เควินหนีไป ระหว่างที่ทุกคนกำลังคุยประวัติของชาง เขาสังเกตเห็นไฟสีแดงกะพริบแปลกๆ อยู่ใต้โต๊ะทำงานของกัญญ์กุลณัช เขาทำสัญญาณมือเพื่อให้ทุกคนมาดูจนรู้ว่าเป็นเครื่องดักฟัง การคุยของทั้ง 3 คนเป็นเพียงการคุยเพื่อหลอกล่อเควินเท่านั้น แท้ที่จริงแล้วกระบี่ยังอยู่ที่บ้านของเธอ ซึ่งในตอนแรกกระบี่จะมาอยู่ในเซฟแต่ทว่าชางหายใจไม่ออกเมื่อกระบี่ถูกปิดผนึก ทุกคนเลยลงความเห็นกันว่าที่ที่อันตรายที่สุดน่าจะเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด เพราะอย่างน้อยกว่าเควินจะวนกลับไปที่บ้านเราทุกคนก็น่าจะหาทางปกป้องกระบี่เล่มนี้ได้

“นึกว่าหายไปไหนกันหมดบ้าน” เสียงณัฐนันท์ดังขึ้น

“พี่ณัฐ” หญิงสาวทั้ง 2 ตกใจ ชางมองชายหนุ่มที่เข้ามางงๆ

“พี่ณัฐมาได้ยังไง” กัญญ์กุลณัชถาม

“พ่อแม่เราเป็นห่วงเรามาก เลยส่งพี่กลับมาก่อน แต่ไปที่บ้านก็เห็นไม่มีใครอยู่ พี่ก็เลยมาที่นี่” ณัฐนันท์มองหน้าชางเป็นเชิงตั้งคำถาม

“มีเรื่องอะไรจะเล่าให้พี่ฟังไหม” ณัฐนันท์มองหน้ากัญญ์กุลณัชดุๆ เสียงเข้มเหมือนคนหวงน้องสาว ชางสัมผัสได้เขาลุกขึ้นยืนพร้อมกับยกมือไหว้อย่างสุภาพ

“สวัสดีครับ ผมชื่อ ชาง ครับ” ชางยิ้มให้ณัฐนันท์อย่างเป็นมิตร ผิดกับณัฐนันท์ที่ไม่ยิ้มให้เขาเลยแม้แต่น้อย ชางรู้ทันทีว่าพี่ชายคนนี้น่าจะหวงกัญญ์กุลณัชเป็นแน่

“แก มีธุระจะไปกับคุณชางไม่ใช่เหรอ ไปสิ” มามิขยิบตาเป็นเชิงให้สัญญาณไล่ทั้ง 2 คนออกไป กัญญ์กุลณัชเข้าใจทันทียกมือไหว้พี่ชายตัวเองแล้วขอตัวออกไป เธอดันหลังชางให้ออกจากร้านไปเร็วๆ โดยมีมามิคอยดันอยู่ท้ายสุดอีกคน ก่อนที่ณัฐนันท์จะได้พูดอะไร

“เดี๋ยวฉันจัดการเคลียร์ให้เอง” มามิกระซิบกัญญ์กุลณัช

 

 



Don`t copy text!