
หัวใจมังกร บทที่ 15 : ความจริงที่พบเจอ
โดย : สิรี กวีผล
![]()
หัวใจมังกร โดย สิรี กวีผล เรื่องของ ชายหนุ่มทายาทตระกูลจีน ถูกพรากคนรักและพรากชีวิตด้วยกระบี่ในอดีต ปาฏิหาริย์แห่งคำสาบานก่อนตายนำพาเขาและเธอกลับมาพบกัน ทว่าต่างภพชาติ ชายหนุ่มต้องเลือกระหว่างหน้าที่และครอบครัว หรือความรักที่เขารอคอยมานานนับร้อยปี อ่านเรื่องราวนี้ได้ทาง เพจอ่านเอา และ www.anowl.co
แสงแดดยังไม่ทันได้ส่องเข้าประตูหน้าต่างห้องนอนของชาง เสียงดังอึกทึกครึกโครมก้องไปทั่วเรือน เสียงเคาะประตูห้องไม้สักบานใหญ่ดังไม่เป็นจังหวะ เฉิงตะโกนเรียกชางอยู่ไม่กี่คำ ความใจร้อนก็ทำให้มือหนาๆ นั้นผลักประตูเข้าไปก่อนที่ซูลี่จะห้าม แสงสว่างสีขาวนวลส่องประกายเจิดจ้าออกมาจากกระบี่ที่อยู่บนหิ้ง สายตาของทุกคนพยายามจับจ้องหาต้นทางของแสงนั้น ชางหมุนคว้าอยู่บนอากาศ เขาพยายามเรียกหากัญญ์กุลณัช
“คุณกัญ คุณกัญ” มือของเขาพยายามคว้าปลายแสงที่หายกลับเข้าไปในกระบี่
“นี่มันเรื่องอะไรกัน” เฉิงสับสนงุนงงกับทุกเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่ต่างกับจางหย่งและถิงถิง ซูลี่เข้ามาคั่นกลางระหว่าง 2 พ่อลูก
“ไม่มีอะไรหรอกเฮีย” ซูลี่พยายามบ่ายเบี่ยงด้วยความกลัวที่เฉิงจะรับไม่ได้
“ถึงขั้นนี้แล้วจะไม่มีอะไรได้ยังไง ที่บ้านนี้มีแต่เรื่อง” เฉิงชะงักไป หันไปมองหน้าซูลี่อย่างหมายมาด “นี่อย่าบอกนะว่าลื้อรู้เรื่องนี้” เฉิงเกรี้ยวกราดน้ำเสียงของเขาดุดัน โมโห “อั๊วเป็นป๊า เป็นป๊าของพวกลื้อทุกคน ทำไมอั๊วถึงไม่รู้อะไรเลย ทุกคนพยายามปิดบังอะไรอั๊วอีก มีอะไรอีกที่อั๊วไม่รู้” เฉิงขึ้นเสียงจนทุกคนหวาดกลัว ทว่าในใจของเฉิงกลับเสียใจอย่างมากที่ทุกคนข้ามหัวเขาไปหมด
“ใจเย็นๆ ก่อนนะป๊า” ชุนเข้ามาจับแขนเฉิง เฉิงสะบัดทิ้งเหมือนเด็กๆ จนซูลี่อดทนต่อไปไม่ไหว
“เพราะเฮียเป็นอย่างนี้นี่ไง ลูกๆ ถึงไม่กล้าบอกอะไร เฮียเคยเปิดใจฟังลูกๆ จริงๆ สักครั้งไหม เปิดใจฟังความต้องการของลูก ความรู้สึกของลูก” ซูลี่ที่ไม่เคยขึ้นเสียงกับเฉิงมาก่อน แต่ครั้งนี้เธออดทนไม่ไหวกับการบงการชีวิตรักของลูกเธอ
“อั๊วไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ยังไงชางก็ต้องแต่งงานกับถิงถิง ส่วนลื้ออาชุนอั๊วจะส่งลื้อไปเรียนนอก” พี่น้อง 2 คนสบตากันด้วยความตกใจทันที จางหย่งมองหน้าลูกสาวด้วยความสงสาร
“ผมไม่แต่งงานกับใครทั้งนั้น ผมมีคนรักของผม และผมจะกลับไปหาเธอ” ชางพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ลื้อเป็นอะไร เรียกตัวเองว่า ผม คืออะไร” เฉิงไม่เข้าใจ
“ผมรักคุณกัญ ถึงเธอจะอยู่ไกลแสนไกลจากที่นี่ แต่ผมรู้แล้วว่าหัวใจของผม ชีวิตของผมต้องการอะไร” ชางยืนยันหนักแน่น เช่นเดียวกับฝ่ามือที่แน่นหนักประทับเข้าที่หน้าของเขาเต็มแรงทันทีที่เขาพูดจบ เฉิงตัวสั่นไปทั้งตัวที่ตบหน้าลูกชาย ทุกคนพากันตกใจกันยกใหญ่ เลือดค่อยๆ ซึมออกจากปากชางทีละเล็กละน้อย
“คุณกัญบ้าบออะไร กระบี่ด้ามนี้น่ะเหรอที่ทำให้ลื้อเปลี่ยนไป” เฉิงเดินเข้าไปดูกระบี่ใกล้ๆ เห็นรอยบิ่นที่ฟันกระบี่หลายจุด บางจุดร้าวเกือบจะแตกหัก “นี่อั๊วยกกระบี่ประจำตระกูลให้ลื้อดูแล ลื้อกลับเอาไปทำอะไรบ้าๆ ไร้สาระ” เฉิงคว้ากระบี่ขึ้นมาไว้ในมือ ชางเข้ามาจับด้ามกระบี่ยื้อแย่งกัน
“ป๊าจะทำอะไร” เฉิงพยายามจะหักกระบี่ด้วยมือเปล่า ชางคว้ากระบี่ด้วยมือเปล่าเช่นกัน ทำให้ฟันกระบี่บาดเข้าที่มือของเขาเต็มๆ เลือดไหลเป็นทาง ตอนนี้เขาไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรอีกแล้ว ขอแค่ปกป้องกระบี่เล่มนี้ไว้ให้ได้เท่านั้น แต่ทว่ารอยบิ่นที่ใกล้จะแตกทำให้ฟันกระบี่ร้าว เมื่อรับแรงบีบงอมากๆ กระบี่ดำดอกโบตั๋นก็หักลงเป็น 2 ท่อนทันที ปาฏิหาริย์แสงสว่างจ้าก็ขึ้นอีกครั้งแต่ครั้งนี้แสงนั้นอยู่เพียงครู่เดียวและถูกดูดกลับเข้ากระบี่ดำดอกโบตั๋นจนหายวับไปกับตา
“ทีนี้ลื้อจะแต่งงานได้หรือยัง” เฉิงปากระบี่ใส่ตัวชางที่ยืนกำมือเลือดไหล “และอย่าคิดเป็นชู้กับเมียพี่ชายตัวเองอีก” เฉิงพูดกระซิบกับชุน
ทันทีที่เฉิงออกไปจากห้อง ซูลี่ ชุน จางหย่ง ถิงถิง รีบเข้ามาดูอาการชาง เลือดที่ไหลอาบแขนยังไม่มากเท่าน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของเขาในขณะนี้ ชุนมองพี่ชายตัวเองอย่างเข้าใจเพราะเวลานี้เขาเองก็อยากจะร้องไห้ออกมาไม่ต่างกัน
เสียงชายฉกรรจ์หลายคนเดินล้อมหน้าล้อมหลังโดยมีเฉิงเดินนำหน้า ชายเหล่านั้นมีทั้งสวมใส่เครื่องแบบสีกากีมีดาวบนบ่าอยู่หลายดวงและมีสมุนของเฉิงบางส่วน บานประตูเรือนไม้ขนาดใหญ่ไม่ไกลจากบ้านตัวเองเท่าไรนักถูกผลักออกอย่างรุนแรง สมุนหลายคนภายในเรือนต่างกรูกันออกมา พอเห็นเป็นเฉิงก็ก้มหน้าก้มตาหลีกทางให้ แต่ก็ยังมีบางคนรีบวิ่งเข้าไปในเรือนใหญ่
“เฮีย เถ้าแก่เฉิงมา” จ้านเริ่มนั่งไม่ติดรีบให้คนไปดักหน้าไว้ก่อน จ้านรู้ดีว่าเหลียงแอบค้าฝิ่นโดยที่เขาไม่รู้ กว่าจะรู้ลูกชายตัวเองก็ติดฝิ่นจนงอมแงม “เฮียคราวนี้เห็นมีโปลิศมากับเขาด้วย”
“บรรลัยละ ทำไมไม่รีบบอก” จ้านกำลังจะไปหาลูกชายตัวเอง แต่ทว่าเฉิงเปิดประตูเรือนใหญ่เข้ามาทันที
“จะรีบไปไหนหรือ” เฉิงเสียงเข้ม ทำเอาจ้านหยุดเท้าวิ่งแทบไม่ทัน
“ก็จะไปเอาน้ำเอาท่ามาให้เฮียไง เห็นลูกน้องบอกว่าเฮียมา” จ้านรีบเข้ามาประจบ
“ลูกชายตัวดีของลื้ออยู่ไหน ไปเอามันมา” เฉิงออกคำสั่ง หลี่จิ้งได้ยินเสียงเฉิงดังมาจากในเรือนก็รีบปิดประตูห้องเหลียงที่นอนไม่ได้สติเพราะฤทธิ์ฝิ่นที่ไปพี้มา
“โถ่เฮีย หลานมันก็นอน มันทำงานมาทั้งวันทั้งคืน”
“อย่าคิดว่าอั๊วไม่รู้ ลูกลื้อสั่งให้ลูกอั๊วส่งฝิ่นแล้วนัดแนะกับโปลิศเพื่อจับลูกอั๊วเข้าตะราง” พอเฉิงพูดจบจ้านหน้าซีดทันที ไม่คิดว่าเหลียงจะทำกับคนในตระกูลเดียวกันได้ถึงขนาดนี้ เขาที่เป็นน้องถึงแม้จะอิจฉาพี่ชายอย่างเฉิงแค่ไหนก็ไม่มีทางที่จะทำร้ายกันจนถึงคุกถึงตะราง
“โชคดีที่คนของอั๊วไปคาดคั้นมาได้” จ้านมองดูดาวบนบ่าของโปลิศที่เฉิงพามา ก็รู้ว่าคนละระดับกับคนที่ลูกชายตัวเองไหว้วาน
“งั้นพวกกระผมขอค้นบ้านเลยนะครับเถ้าแก่ เบื้องบนให้อำนาจมาเรียบร้อยแล้ว” นายโปลิศพูดขึ้น
“ไม่ต้องค้นหรอกค่ะ เหลียงนอนอยู่ที่ห้อง เดี๋ยวอั๊วพาไป ส่วนของผิดกฎหมายก็อยู่ในห้องนอนเขานั่นแหละค่ะ” หลี่จิ้งเดินออกมาพร้อมกับพูดแทรกขึ้น “ลูกอั๊วคงไม่คิดหนีหรอกค่ะ นอนสลบเพราะฤทธิ์ฝิ่น จะอุ้มไปเลยก็ได้นะคะ”
“ลื้อทำอะไรของลื้อ จะให้ลูกเราโดนจับได้ยังไง ห๊า!!!” จ้านตะคอกแรงไม่เกรงใจ
“แล้วยังไงเฮีย ดีกว่าให้ลูกเราหนีหัวซุกหัวซุน กลายเป็นหมาข้างถนนติดฝิ่น อั๊วทนไม่ได้ที่เห็นลูกเป็นแบบนี้” หลี่จิ้งตวาดออกมาเสียงดังพร้อมน้ำตา จ้านชะงักไปเพราะไม่เคยเห็นภรรยาตนเองเป็นอย่างนี้มาก่อน
เฉิงคิดถึงซูลี่ขึ้นมาทันที ‘นี่คือความรักของแม่ที่มีต่อลูกน่ะหรือ’
“อั๊วไม่ไปป๊า ช่วยอั๊วด้วยม้า อั๊วไม่ไป ไม่ได้ทำผิดอะไรมาจับอั๊วทำไม” โปลิศ 2 คนหิ้วปีกเหลียงออกมาจากห้องนอน โปลิศอีกคนแบกถังไม้ขนาดใหญ่ที่มีฝิ่นอยู่เปิดออกมาให้ดู
สภาพเหลียงแทบดูไม่ได้ ผอมโทรม ตาลึกโบ๋ ขอบตาคล้ำดำเหมือนคนอดหลับอดนอนมาหลายคืน ผิวพรรณไม่มีน้ำมีนวลอย่างชายวัยแตกเนื้อหนุ่ม ร่างกายที่เคยกำยำล่ำสันบัดนี้ผอมแห้งแทบไม่มีแรง กำลังดิ้นรนขัดขืน หลี่จิ้งเข้ามากอดลูกชายตัวเองไว้ด้วยน้ำตานองหน้า จ้านเห็นสภาพลูกชายตัวเองก็อดรนทนไม่ไหวเข้าไปกระชากคอเสื้อเหลียงขึ้น
“ป๊าบอกให้ลื้อเลิก ทำไมไม่เลิก ลื้อรับสภาพตัวเองแบบนี้ได้ยังไง ห๊ะ!!” จ้านผลักอกลูกชายอย่างแรงจนเซไป
“ก็เพราะอั๊วเชื่อป๊าไง เชื่อป๊ามาตลอด แล้วป๊าเคยเชื่ออะไรในตัวอั๊วบ้าง” เหลียงตะโกนอย่างโมโห
“ป๊าไม่เคยเชื่อว่าอั๊วจะดูแลงาน ดูแลบ้าน หรือใครได้เลย ป๊าให้คนคอยประกบอั๊วตลอด ไอ้ฝิ่นนี่ก็เหมือนกัน อั๊วก็ขายอย่างที่ป๊าขาย” สายตาทุกคู่มองไปที่จ้าน จ้านตบหน้าเหลียงอย่างเหลืออดเพราะกลัวว่าลูกจะพาตัวเองซวยเข้าคุกเข้าตะรางไปอีกคน
“หยุด!” หลี่จิ้งตวาดขึ้นท่ามกลางสภาวะอารมณ์ที่ร้อนระอุ “ก็เพราะทั้งสองคนนั่นแหละที่คิดจะเป็นใหญ่ บ้านเราถึงลุกเป็นไฟอย่างทุกวันนี้ เฮียก็ไม่ต้องไปโทษลูกเลยนะ ป๊าเป็นยังไงลูกก็เป็นอย่างนั้น เฮียก็ทำอะไรลับหลังเฮียเฉิงมาตลอด ไม่ใช่เพราะอั๊วเหรอที่ต้องไปตามเช็ดตามล้างให้ ที่เราไม่มีปัญหาอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะอั๊วนี่แหละที่ไปยกมือไหว้ เอาข้าวเอาของไปกำนัลเขา” หลี่จิ้งพูดทั้งน้ำตา
“อั๊วไม่อยากเห็นครอบครัวเราพังพินาศ อั๊วถึงอยากให้โปลิศเขาพาเหลียงไปรักษาให้หาย ม้าอยากได้ลูกชายที่น่ารักของม้าคืน” หลี่จิ้งร้องไห้เดินเข้าไปกอดแก้มเหลียง เหลียงรับรู้ได้ถึงความรักของแม่ที่มีให้เขามาตลอดถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว
“เฮียเองก็เลิกอยากได้อยากมีกับเขาสักที ทุกวันนี้เราไม่มีอะไรบ้าง เรามีแทบทุกอย่าง ที่เฮียไม่มีก็แค่คำว่า ‘หัวหน้าตระกูลฟู่’ เท่านั้นเอง มันเป็นแค่คำเรียกเองนะเฮีย มันคุ้มเหรอที่ครอบครัวเราต้องพังพินาศ เฮียได้อั๊วมาแล้วคนหนึ่งจากการแย่งพี่ชายที่เขารักเฮียมากๆ พี่ชายที่เสียสละคนรักของตนเองให้น้องชายได้” เฉิงมองหน้าจ้านน้ำตาซึม หลี่จิ้งเดินเข้าไปหาจ้าน
“เฮียไม่ต้องโทษใคร ไม่ต้องโกรธเฮียเฉิง เพราะทุกวันนี้อั๊วรักเฮีย รักเฮียมาตั้งแต่เฮียมอบลูกชายที่น่ารักให้อั๊วนะ” หลี่จิ้งเข้าไปกอดจ้าน น้ำตาลูกผู้ชายของจ้านที่ไม่เคยแม้แต่จะให้ใครเห็นบัดนี้น้ำตานั้นไหลอาบแก้ม แม้จะไม่ค่อยแสดงออกแต่คำพูดของหลี่จิ้งทำให้เขาสะท้านไปถึงหัวใจ หัวใจของเขากลับมามีชีวิตอีกครั้ง ความอคติ ความรังเกียจ ความอิจฉาริษยาที่มีต่อเฉิงหายวับไปกับตา
“งั้นพวกกระผมพาตัวไปโรงพักก่อนนะครับ เถ้าแก่” โปลิศนายหนึ่งพูดขึ้น
“ไปรักษาตัวนะ แล้วกลับมาเป็นหลานที่น่ารักของแปะเหมือนเดิมนะเหลียง” เฉิงตบไหล่เหลียงด้วยความอบอุ่นเอ็นดูเหมือนตอนที่เขายังเป็นเด็ก เหลียงเดินคอตกไปพร้อมกับรอยน้ำตาที่ทิ้งไว้
“เฮีย อั๊วขอโทษนะ” จ้านคุกเข่าลงทันทีที่เฉิงกำลังจะเดินกลับ เฉิงเข้ามาประคองไหล่จ้านให้ลุกขึ้นยืน น้ำตาลูกผู้ชายไหลรินด้วยความสำนึกผิด เฉิงโผเข้ากอดจ้านอย่างให้อภัย หลี่จิ้งเห็นภาพของพี่น้องที่กลับมารักกันอีกครั้งก็ปลื้มใจ
“อั๊วไม่เคยโกรธ เกลียดลื้อเลยนะจ้าน” เฉิงพูดด้วยความอ่อนโยน เขาเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังมองภาพลูกชายทั้ง 2 คนของตัวเองทะเลาะกันแล้วดีกันอีกครั้ง เขาเริ่มกังวลกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต เริ่มมองเห็นภาพของตนเองซ้อนทับอยู่บนตัวลูกๆ ของเขา
เพล้ง…ง เสียงกระจกบานใหญ่แตกกระจาย แสงไฟระยิบระยับตกสะท้อนเศษกระเบื้องที่หล่นอยู่เต็มพื้นห้อง เสียงดังจนปลุกณัฐนันท์กับมามิตื่นขึ้น เสียงเปิดประตูทั้ง 2 ห้องดังออกมาแทบจะพร้อมกัน มามิถือไม้เบสบอลกระชับอยู่ในมือ ส่วนณัฐนันท์เป็นผู้นำเดินตามเสียงที่ดังขึ้นมาจากห้องของกัญญ์กุลณัช
เป็นไอ้โม่งคนเดิมที่ตอนนี้ไม่คิดจะปิดบังใบหน้าอีกต่อไป
“ไอเควิน!” เสียงณัฐนันท์คำรามใส่พร้อมกับแสงไฟที่เปิดสว่างขึ้น เควินพยายามกลับเข้ามาหากระบี่ที่ตนเองต้องการ
“ต้องการอะไร” มามิตะโกนกลัวๆ อยู่ด้านหลังชายหนุ่มที่คอยปกป้องเธอ
“ทำเป็นไขสือ กูรู้หมดว่าพวกมึงเล่นละครตบตากู กระบี่ไม่ได้เอาไปเก็บไว้ที่ร้านของยัยคุณหนูกัญ แต่มันไม่เคยออกจากที่นี่เลยต่างหาก” เควินยิ้มเยาะ
“นายรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่” มามิถาม
“ก็ตั้งแต่แรก” เควินแกะเครื่องดักฟังขึ้นมาจากใต้โต๊ะ “กระทืบไอ้ผีชาง เจ้าไม่มีศาลหาบ้านกลับไม่ได้เล่น มันก็สนุกดีนี่หว่า” เควินหัวเราะ พร้อมกับชักปืนขึ้นมาเล็งไปที่ณัฐนันท์
“อย่าเข้ามานะเว้ย กูแค่มาเอากระบี่แล้วก็ไป ไม่อยากฆ่าใครตาย” เควินเล็งปืนขู่ เขาเห็นกล่องกระบี่ที่เก็บไว้ในตู้โชว์ในห้องกัญญ์กุลณัช
“เฮ้ย ไปหยิบมา” ปืนสะบัดชี้เป็นสัญญาณให้ณัฐนันท์เป็นคนเดินเข้าไปหยิบ “เปิดออกให้เห็นชัดๆ ด้วย” ทันทีที่กล่องถูกปิด กระบี่เล่มที่เควินหมายตาก็ปรากฏให้เห็นทันที เควินหัวเราะอย่างสะใจ
“พวกมึงไม่รู้หรอกว่า ประวัติของมันทำให้มันมีราคามากแค่ไหน” เสียงหัวเราะสะใจของเขาจางหายไปพร้อมกับตัวเควินที่กระโดดออกจากทางหน้าต่าง
เสียงไซเรนดังขึ้นอยู่รอบบริเวณบ้านกัญญ์กุลณัช เงารถสีเงินคาดแดงเปิดไซเรนจนสว่างไปทั่วถนนและภายในตัวบ้าน เควินเสียบกระบี่ไว้ข้างกายคล้ายนินจาเพื่อพยายามหนีเอาตัวรอด
“น้องมิเรียกมาเหรอ” มามิส่ายหน้า ทั้ง 2 มองอย่างสงสัยว่าใครเป็นคนเรียกตำรวจ
ตำรวจเรียกตัวเควินผ่านเครื่องกระจายเสียง เพื่อเป็นสัญญาณเตือนให้หยุดทุกการกระทำที่กำลังคิดจะทำ ตำรวจล้อมบ้านกัญญ์กุลณัชไว้ทุกด้าน ตอนนี้เควินหน้าเสีย พยายามปีนกำแพงรั้วหนีแต่โดนตำรวจรวบตัวไว้ได้ ทันทีที่ตำรวจเข้าปะทะกับเควินทำให้กระบี่ที่เสียบอยู่ที่เอวหล่นกระแทกพื้นพร้อมๆ กับตัวของเควิน เสียงฟันกระบี่ลั่นเหมือนจะหัก
“เธอคิดจะทำอะไร” เสียงภัทราดังขึ้น ณัฐนันท์กับมามิที่ดูอยู่ชั้น 2 ริมระเบียงห้องกัญญ์กุลณัชตกใจที่เห็นภัทรากับกฤตชย์อยู่กับตำรวจ
“ที่เข้าหาลูกสาวฉันเพราะต้องการแค่นี้น่ะหรือ” เสียงกฤตชย์ตวาดเสียงดังจนเควินกลัวหัวหด
“กระบี่ กระบี่มันสั่งผม” เควินพยายามเอาตัวรอด แต่แถไปได้ไม่ไกลนัก ภัทรากับกฤตชย์ขอให้ตำรวจควบคุมตัวเควินไปที่โรงพักทันที กระบี่ที่เป็นของกลางก็ถูกส่งคืนให้กับภัทราในคืนนั้น
“คุณป้ากลับมาตอนไหนคะ แล้วรู้ได้ยังไงว่าเควินจะเข้ามาขโมยของ” มามิยิงคำถามรัวๆ ทันทีที่ทุกคนเข้ามาในบ้านเรียบร้อย
“ป้ากับลุงได้ข่าวจากสายตำรวจในไทยว่ามีกลุ่มคนที่ต้องการแย่งประมูลกระบี่เพื่อเอาไปขายทอดตลาดให้นักสะสม ไม่ต่างจากปัญหาที่ลอนดอน ตัวการที่นู่นถูกจับได้เลยซัดทอดมาที่นายเควินนี่แหละ ป้าเลยรีบกลับมา” ภัทราอธิบาย
“ลุงรีบไปดูกระบี่ที่ร้านเห็นว่าอยู่ครบ เลยนึกเอะใจถึงกระบี่ที่กัญประมูลมา พร้อมกับมีของแถมเป็นหนุ่มหล่อจากไหนก็ไม่รู้มาด้วย ลุงเลยปะติดปะต่อเรื่องราวได้ครบจบในทีเดียว” กฤตชย์ยักคิ้วให้ภัทรา เหมือนตัวเองเป็นยอดนักสืบ เสียงปรบมือดังขึ้นจากณัฐนันท์กับมามิ
“สุดยอดเลยค่ะคุณลุงคุณป้า” มามิยกนิ้วโป้งให้
“แล้วคุณลูกสาวตัวดีพาผู้ชายหนีไปไหนอีกล่ะคะรอบนี้” ภัทราเหล่มองณัฐนันท์ ณัฐนันท์ยิ้มแห้งก่อนจะสารภาพว่าน้องสาวตัวเองไปเที่ยวสมุยกับชาง
“กระบี่เล่มนี้จะเก็บไว้ไหนดีคะ” มามิเห็นทุกคนกำลังคุยกันเรื่องกัญญ์กุลณัช เลยพยายามช่วยเปลี่ยนเรื่อง แต่ทันทีที่เธอหยิบกระบี่ดำดอกโบตั๋นขึ้นมา กระบี่ก็หักเป็น 2 ท่อนทันที จากการเปลี่ยนเรื่องเพื่อช่วยเพื่อน ตอนนี้กลายเป็นมีเรื่องเพิ่มขึ้นมา กระบี่เกิดแสงประหลาดส่องสว่างออกมาจากรอยแตกและหายกลับไปในตัวกระบี่ดังเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้ง 4 คนต่างตกใจกับสิ่งที่เห็น
“นึกว่ามีแต่ในนิยาย” มามิบ่นกับตัวเอง “ยัยกัญกับคุณชางจะเป็นยังไงบ้างเนี่ย”
ทันทีที่รุ่งสางหลังจากชางหายตัวไปต่อหน้าต่อตากัญญ์กุลณัชเมื่อคืน เธอพยายามตะโกนเรียกหาเขาจากทุกที่ที่คิดว่าเขาจะหายเข้าไป ทั้งกระเป๋า ห้องน้ำ หรือแม้กระทั่งกระจก ประตู ตามนิยายที่เธอเคยได้อ่านได้ดูมา แต่ทว่าหาที่ไหนก็ไม่พบ กัญญ์กุลณัชรีบเช็กเอาต์เพื่อกลับกรุงเทพฯ เธอรู้สึกว่าต้องมีเรื่องเกิดขึ้นกับกระบี่ดำดอกโบตั๋นแน่ๆ ไม่อย่างนั้นชางคงไม่หายไปแบบนี้
กัญญ์กุลณัชลากกระเป๋ากลับเข้าบ้านอย่างทุลักทุเล ป้านงค์ที่กลับมาแล้วรีบเข้าไปช่วยคุณหนูของเธอถือของ กฤตชย์ ภัทรา ณัฐนันท์ มามิ นั่งหน้าเครียดกันอยู่ในบ้าน เหมือนกำลังนั่งรอเธอกลับมา
“คุณพ่อ คุณแม่” ทันทีที่กัญญ์กุลณัชเห็นหน้ากฤตชย์กับภัทรา เธอวิ่งเข้าไปโผกอดแม่ร้องไห้เสียยกใหญ่ แต่ทว่าไม่มีใครประหลาดใจ ไม่นานนักน้ำตาค่อยๆ หายไป กัญญ์กุลณัชเริ่มได้สติที่ต้องกลับมาหากระบี่ดำดอกโบตั๋น
“คุณแม่คะ หนูต้องขึ้นไปดูกระบี่ เดี๋ยวหนูมานะคะ” กัญญ์กุลณัชกำลังจะวิ่งขึ้นไป
“ไม่ต้องขึ้นหรอกค่ะ” กฤตชย์คว้าข้อมือไว้ได้ ผ้ากำมะหยี่สีขาวสะอาดตาที่คลุมกระบี่ดำดอกโบตั๋นถูกมามิเปิดออก กระบี่หักเป็น 2 ท่อน ฟันกระบี่มีรอยบิ่นอยู่มากกว่าครั้งแรกที่ได้มา เธอไม่เคยได้สังเกตเลยสักครั้ง น้ำตาของกัญญ์กุลณัชค่อยๆ ไหลกลับมาอีกครั้ง
“กระบี่หักได้ยังไงคะคุณพ่อ คุณแม่” กัญญ์กุลณัชกวาดสายตาหาทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ณัฐนันท์และมามิ
“ไอ้เควินเข้ามาขโมย แล้วกำลังจะปีนรั้วหนีตำรวจแต่พลาดตกลงมาทำกระบี่หัก” ณัฐนันท์เล่าให้กัญญ์กุลณัชฟังแบบคร่าวๆ
“เพราะแบบนี้ใช่ไหมเลยกลับมาคนเดียว” มามิเข้ามากอดเพื่อนสนิทของตนเอง กัญญ์กุลณัชปล่อยโฮออกมาเสียงดัง กฤตชย์ ภัทรา ณัฐนันท์ไม่เคยเห็นกัญญ์กุลณัชรักใครมากขนาดนี้มาก่อน ยิ่งไปกว่านั้น ชางทำให้กัญญ์กุลณัชเปลี่ยนไปจากสาวหัวสมัยใหม่ที่ทำอะไรรวดเร็ว รอใครไม่เคยได้ อดทนไม่ค่อยเป็น กลับกลายเป็นผู้ใหญ่ที่รู้จักการอดทน รู้จักคิดหน้าคิดหลังมากขึ้น และเธอสามารถดูแลตัวเองได้ในเวลาคับขัน กัญญ์กุลณัชมีสติมากขึ้นอย่างที่ทุกคนคิด
“แม่เชื่อว่า วันหนึ่งเขาจะต้องกลับมาหาลูก” ภัทราสัมผัสได้ว่าชายหนุ่มหน้าตี๋คนนั้นจะต้องกลับมาได้อย่างแน่นอนเพียงแค่ไม่รู้ว่าช้าหรือเร็ว ในนิมิตของเธอเห็นลูกสาวกับชายหนุ่มคนนั้นได้แต่งงานกันภายในบ้านหลังนี้ และเธอคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอย่างแน่นอน

- READ หัวใจมังกร บทที่ 16 : คนละภพ
- READ หัวใจมังกร บทที่ 15 : ความจริงที่พบเจอ
- READ หัวใจมังกร บทที่ 14 : ความสุขหมดอายุ
- READ หัวใจมังกร บทที่ 13 : อดีตของฉัน ปัจจุบันของเรา
- READ หัวใจมังกร บทที่ 12 : ด้วยชีวิตของผม
- READ หัวใจมังกร บทที่ 11 : ความรักของดอกโบตั๋น
- READ หัวใจมังกร บทที่ 10 : ความลับในที่แจ้ง
- READ หัวใจมังกร บทที่ 9 : ความรับผิดชอบ
- READ หัวใจมังกร บทที่ 8 : โลกใบใหม่
- READ หัวใจมังกร บทที่ 7 : แนะนำตัว
- READ หัวใจมังกร บทที่ 6 : รอยบิ่น
- READ หัวใจมังกร บทที่ 5 : โชคชะตา
- READ หัวใจมังกร บทที่ 4 : ดอกโบตั๋น
- READ หัวใจมังกร บทที่ 3 : พายุอารมณ์
- READ หัวใจมังกร บทที่ 2 : ตระกูลฟู่
- READ หัวใจมังกร บทที่ 1 : คนแปลกหน้า







