
หัวใจมังกร บทที่ 16 : คนละภพ
โดย : สิรี กวีผล
![]()
หัวใจมังกร โดย สิรี กวีผล เรื่องของ ชายหนุ่มทายาทตระกูลจีน ถูกพรากคนรักและพรากชีวิตด้วยกระบี่ในอดีต ปาฏิหาริย์แห่งคำสาบานก่อนตายนำพาเขาและเธอกลับมาพบกัน ทว่าต่างภพชาติ ชายหนุ่มต้องเลือกระหว่างหน้าที่และครอบครัว หรือความรักที่เขารอคอยมานานนับร้อยปี อ่านเรื่องราวนี้ได้ทาง เพจอ่านเอา และ www.anowl.co
หลายสัปดาห์ผ่านไป ณัฐนันท์กำลังซุ่มปลูกต้นรักกับมามิโดยที่กัญญ์กุลณัชไม่รู้ หรือเรียกว่าไม่ได้สนใจเสียมากกว่า เธอนั่งอ่านประวัติศาสตร์ไทยช่วงคาบเกี่ยวสมัยรัชกาลที่ 5 และ 6 เพราะเหมือนชางเคยพูดถึงเรื่องยกเลิกค้าฝิ่นในประเทศไทย เธอศึกษาจนค้นไปพบประวัติของกระบี่ดำดอกโบตั๋นโดยบังเอิญ เช่นเดียวกับที่เควินเคยพูดไว้
เธอเปิดอินเทอร์เน็ตในแล็บท็อปค้นหาจนพบ ปรากฏเป็นภาพเขียนสีน้ำตาลตัวอักษรเลือนรางจนแทบจะอ่านไม่ออก ทว่ามีนักบุคคลหนึ่งได้อ่านข้อความนี้แล้วเขียนไว้ในคอมเมนต์
‘กระบี่ประจำตระกูลที่เคยล้างมลทิน เพื่อให้ตระกูลไม่แปดเปื้อนจากสตรีเลอโฉม’
หนังสือเล่มนั้นเป็นหนังสือเกี่ยวกับความเป็นมาของกระบี่เล่มสำคัญต่างๆ ในประวัติศาสตร์จีน ที่มีทั้งคงอยู่และสูญหาย คำแปลนั้นอยู่ใต้ภาพของกระบี่ดำดอกโบตั๋น เธอรีบเอาไปให้ภัทรากับกฤตชย์ดู กัญญ์กุลณัชเล่าความฝันต่างๆ ที่ทำให้เธอได้เจอกับชางและเรื่องราวประหลาดต่างๆ ที่เกิดขึ้น
“ในภาพฝันที่เหมือนจริงหนูเห็นชางใส่ชุดนักรบ เขากอดหนูไว้เพื่อปกป้องหนูจนเขากับหนูถูกแทงตาย และก่อนที่คุณพ่อคุณแม่จะเจอเขาในห้องหนู เขาเคยหายตัวมาๆ ไปๆ อยู่สองครั้ง มีครั้งหนึ่งที่หนูหลุดไปอยู่ในยุคของเขาด้วยค่ะคุณพ่อ คุณแม่”
“จำวันที่หนูจะไปประมูลกระบี่ได้ไหม” ภัทราถามขึ้น กัญญ์กุลณัชพยักหน้า “แม่นั่งสมาธิ เข้าภวังค์ ได้เห็นหน้าผู้ชายคนนั้นกำลังถือกระบี่เล่มเดียวกับหนูแต่เหมือนจะเป็นห้องของเขาในยุคสมัยเขา” ภัทรายิ้มก่อนจะพูดต่อ “แล้วแม่ก็ได้เห็นผู้ชายคนนั้น ที่ห้องของลูก”
“เพราะแบบนี้คุณแม่เลยไม่ได้ว่าที่หนูพาผู้ชายเข้าบ้าน” กฤตชย์มองหน้าภัทราหัวเราะ
“พ่อกับแม่ไม่ว่าอะไร พ่อเชื่อใจลูกเสมอนะคะ”
“แม่ก็เหมือนกัน แม่เชื่อว่าหนูจะไม่ทำอะไรเสื่อมเสียเกียรติของตนเอง” กฤตชย์ ภัทรากุมมือลูกสาวไว้แน่น
“นายนั่นก็เหมือนกันค่ะ คนอะไรอ่อยแทบตาย สุดท้ายเอาแต่นั่งจ้องหน้าหนูอยู่ที่มุมระเบียงห้อง” กัญญ์กุลณัชพูดออกมาไม่ทันคิด กฤตยช์ ภัทราได้ยินก็อดหมั่นไส้ลูกสาวตัวดีของตนเองไม่ได้ มือทั้งคู่ขยุมหัวเด็กน้อยจากความเศร้าโศกของความคิดถึง กลายเป็นความคิดถึงที่มีรอยยิ้มเปื้อนอยู่ในใจของเธอ
“หนูว่า เดี๋ยวหนูจะลองไปเดินตามสถานที่ที่เคยเป็นบ้านของชางดูนะคะ เผื่อเจออะไรบ้าง ไม่ต้องห่วงนะคะ เดี๋ยวลากมามิไปด้วย”
“รายนั้นคงไม่ว่างไปกับเราหรอก เห็นว่าจะไปเที่ยวกับพี่ชายตัวดีของเรานั่นแหละ” กฤตชย์ยิ้มพร้อมกับส่ายหัว “ไม่รู้ไปรักกันตอนไหน”
“ห๊ะ!” กัญญ์กุลณัชตกใจ เธอมัวแต่คิดถึงเรื่องชางอยู่หลายอาทิตย์จนไม่ได้สนใจคนใกล้ชิดไปได้ยังไง “เรื่องนี้สำคัญค่ะคุณพ่อคุณแม่ หนูขอรู้เรื่องคนแรกนะคะ”
“เรื่องนายชางอะไรนี่ล่ะ” ภัทราถามขึ้น
“ปล่อยพรหมลิขิตไปก่อนค่ะ เดี๋ยวหนูหาทางลิขิตเอง แต่เรื่องพี่ชายตัวแสบกับเพื่อนรักจะไม่รู้ไม่ได้เด็ดขาด” กัญญ์กุลณัชมุ่งมั่นคาดคั้นเอาคำตอบมาก เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาค้นหาที่อยู่ณัฐนันท์จนเห็นว่าเขาอยู่ในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง มือหนึ่งคว้ากุญแจรถ ทันใดนั้นรถสีขาวพุ่งตัวออกจากบ้านแทบจะในทันที
ร้านอาหารไทยฟิวชั่น ผู้คนมากหน้าหลายตาต่างมาเป็นคู่ เป็นครอบครัว บ้างก็เป็นนักท่องเที่ยว อาหารถูกนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะมีทั้งยำแซลมอน ส้มตำปูปลาร้า ข้าวคลุกกะปิ แกงส้ม ซึ่งเป็นของที่มามิชื่นชอบ ทว่าณัฐนันท์ไม่ค่อยปลื้มสักเท่าไร แต่เมื่อหลงรักคนข้างหน้าไปแล้วของที่ว่าเหม็นก็หอมได้ มามิป้อนแซลมอนชิ้นโตให้ณัฐนันท์ทานอย่างเอร็ดอร่อย
‘รสชาติไม่แย่แหะ’ ณัฐนันท์นึกคิดภายในใจ หลังจากได้ลองอยู่คำสองคำ มือของเขาก็เริ่มไวขึ้น ใจของเขาก็เริ่มเปิดให้กับอาหารอีสานบ้านเรามากขึ้น
“น้องมิชอบทานอะไรมากที่สุดครับ” ณัฐนันท์พูดขึ้น
“ตำปูปลาร้าค่ะ อร่อยอย่าบอกใคร” หลังจากพูดจบการดูดปูก็เริ่มต้นขึ้น จากที่ณัฐนันท์เคยรู้สึกสกปรกไม่สะอาด พอเห็นคนตรงหน้าทานอย่างเอร็ดอร่อยก็อยากลองดูบ้าง เขาหยิบขาปูขึ้นมาดูดทันที
“พี่ณัฐ!” เสียงกัญญ์กุลณัชดังขึ้นยิ่งกว่าแม่ตนเองเรียกเสียอีก ขาปูยังอยู่คาปาก
“เดี๋ยวนี้มีอะไรไม่บอกน้องเลยนะ” กัญญ์กุลณัชเอ็ด “แหม เจ้าเพื่อนตัวดีฝากพี่ชายแป๊บเดียวไปรักกันตอนไหนจ๊ะ ไม่บอกไม่กล่าวเพื่อนเลยนะ” มามิก็โดนหางเลขไปด้วยอีกคน
“แล้วนี่อะไร ส้มตำปูปลาร้า ยำแซลมอน ข้าวคลุกกะปิ พี่ณัฐทานอะไรพวกนี้ด้วยเหรอทุกทีบ่นเหม็น” สิ้นคำพูดกัญญ์กุลณัช ณัฐนันท์ก็หน้าเสีย มามิมองหน้าชายหนุ่มอย่างเอาเรื่อง
“คนเรามันก็เปลี่ยนกันได้” ณัฐนันท์เหงื่อตก
“ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากมาแกล้งพี่ณัฐกับมามิก็เท่านั้นเอง สบายใจละ” ยังไม่ทันที่กัญญ์กุลณัชจะไปมามิก็ถามขึ้น
“แล้วหาคุณชางเจอหรือยัง” มามิเป็นห่วง
“พอจะรู้อะไรบ้างแล้วแหละ แต่ไม่ต้องห่วงนะ เพื่อนมีความสุข ฉันก็แฮปปี้” กัญญ์กุลณัชหันหน้าไปหาณัฐนันท์ “อย่าทำเพื่อนน้องเสียใจ เข้าใจไหม” ณัฐนันท์พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย กัญญ์กุลณัชยกนิ้วโป้งให้
“ฝากพี่ชายตัวแสบด้วยนะมามิ” กัญญ์กุลณัชเดินออกจากร้านอาหาร แต่ยังไม่พ้นเธอหันกลับมาตะโกนหาณัฐนันท์ “ระวังขี้แตก”
คำเดียวทำเอาทุกคนในร้านต่างมองหน้าคนพูดสลับกับณัฐนันท์ที่ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้คนในร้าน
“ยัยกัญตัวแสบ” มามิอายพอๆ กับณัฐนันท์ แต่พอมองหน้ากันก็ได้แต่หลุดขำกันออกมาอย่างสนุกสนาน
กัญญ์กุลณัชมองกลับเข้ามาก็ยิ้มพอใจ ลับหลังสีหน้ากลับเศร้าหมองขึ้นมาทันตาเห็น เธอคิดถึงชางสุดหัวใจ
ไม่ต่างกับชายหนุ่ม ทุกคืนเขาเฝ้าฝันถึงแต่กัญญ์กุลณัชด้วยความทรมานจนแทบจะเรียกว่าปางตาย แต่กลับไม่ตายก็ว่าได้ เจ็บกว่าการโดนต่อย โดนฟัน คือเจ็บที่ไม่ได้พบหน้าคนที่ตนเองรัก ในวันแรกๆ ชางหมกหมุ่นอยู่กับกระบี่ที่หักไป เขาพยายามซ่อมทุกวิถีทางจากช่างตีเหล็กมือดีหลายคนซึ่งก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าต้องตีขึ้นมาใหม่เท่านั้น เมื่อระยะเวลาจากวันเป็นเดือนชางเริ่มตามหาถนนที่คาดว่าจะเป็นบ้านของกัญญ์กุลณัชในอนาคต แต่ค้นหาเท่าไรก็ไม่พบ ยิ่งไปกว่านั้นชื่อถนนแปลกๆ บางชื่อยุคสมัยเขายังไม่เคยได้ยิน พอไปถามใครก็มีแต่คนหาว่าเขาเป็นคนบ้า
งานของตระกูลฟู่ที่ชางได้รับมอบหมาย กลายเป็นชุนที่เข้ามาทำแทน เพราะเขาอยากไถ่โทษที่ทำผิดกับเฮีย ผิดกับถิงถิง ผิดกับตระกูล ชุนเข้ามาดูแลกิจการทั้งเรือ สัมปทานเหมือง อีกทั้งยังคอยช่วยอาเจ็กจ้านทำงานอีกหลายงาน รวมทั้งหมั่นไปเยี่ยมเฮียเหลียงอยู่บ่อยครั้ง ผิดกับชางที่เขาปลีกตัวออกจากสังคมตระกูลฟู่ไปอย่างสิ้นเชิง ใครหลายคนถามหา ชุนก็ได้แต่บ่ายเบี่ยงมาตลอด จางหย่งเห็นสภาพพี่น้องแตกระแหงคนหนึ่งไปทาง อีกคนไปทางเพราะเรื่องความรักเหมือนรุ่นพ่อก็สุดที่จะทนไหว
“อาลี่ อั๊วอกจะแตกตายอยู่แล้ว” จางหย่งมาบ่นกับซูลี่ “ลูกสาวอั๊วกินไม่ได้นอนไม่หลับเป็นเดือนๆ อยู่แล้วนะ ลื้อไม่คิดจะคุยกับเถ้าแก่หน่อยเลยเหรอ”
“จะให้อั๊วพูดยังไง อาชางอยู่ไม่ติดบ้าน วันๆ เอาแต่ไปตามหาหนูกัญ ส่วนอาชุนวันๆ ทำแต่งานเหมือนคนไม่เคยทำงานมาก่อน ส่วนเฮียน่ะเหรอ เก็บข้าวของไปนอนที่ล้งเป็นอาทิตย์แล้ว” ซูลี่ได้แต่ถอนหายใจ
“เราจะปล่อยให้มันเป็นอย่างนี้เหรอ อาลี่” จางหย่งกังวลใจ
“ของแบบนี้ต้องปล่อยให้คิดได้เอง คนอย่างฟู่ เฉิง ยอมฟังใครที่ไหน”
เรือนใหญ่เรือนที่ 2 แห่งตระกูลฟู่ หัวสิงห์แขวนอยู่หน้าประตู มีที่จับไว้ให้คนที่มีธุระกับคนในเรือนคอยเคาะเรียก บัดนี้เสียงดังขึ้นเป็นระยะ สมุน 2 คนเดินออกมาเปิดประตูให้ซูลี่ พร้อมโค้งแสดงความนับถือ
“มีใครอยู่ที่เรือนบ้าง”
“เฮียจ้านกับอาเจ้ครับ” สมุนตอบ
เสียงลงฝีเท้าเบาๆ แต่ทว่ารวดเร็วดุจสายสมเดินผ่านร่มไม้ขนาดกลางพอเป็นร่มเงาให้ตัวเรือนไม่ร้อนเกินไป ลมพัดเข้ามาเหมือนกำลังหอบเอาร่างบางของหญิงสาวที่มีเรื่องร้อนใจเข้ามาเยือนถึงในเรือน
“ซ้อมีธุระอะไรกับอั๊วหรือ” จ้านถามอย่างเป็นกันเองเมื่อเห็นซูลี่มาถึงเรือน หลี่จิ้งที่นั่งอยู่ด้วยยกมือขึ้นไหว้
“อั๊วร้อนใจเรื่องที่บ้าน อยากจะให้พวกลื้อช่วยหน่อย” จ้านกับซูลี่มองหน้ากัน
“เข้าเรื่องเลยละกัน พวกลื้อรู้ใช่ไหมว่าอาชางมีคนรักอยู่แล้ว แต่คนรักของเขาอยู่ไกลกัน อาชางยื่นคำขาดกับป๊าของเขาไม่ยอมแต่งงานกับอาถิงจนทะเลาะกันยกใหญ่ แถมอาชุนดันไปรักกับอาถิงแทน คราวนี้เฮียก็เลยจัดการแยกสองคู่ออกจากกัน จะส่งอาชุนไปเรียนนอก แล้ววันที่อาชุนไปจะให้อาชางแต่งงานกับอาถิง”
“เรื่องราวฟังดูคุ้นๆ นะซ้อ” จ้านมองหน้าซูลี่ หลี่จิ้ง ทุกคนมองตากันอย่างเข้าใจ “อั๊วว่าเฮียรับรู้แล้วแหละว่าเรื่องราวของลูกๆ ซ้อนทับกับเรื่องราวของตัวเองขนาดไหน พวกเราไม่ต้องทำอะไรหรอก ให้เวลาเฮียเขาหน่อย” จ้านฟังแล้วไม่ได้รู้สึกกังวลใจอะไร ผิดกับหลี่จิ้งและซูลี่ที่ยังไม่คลายกังวลใจ
เวลาผ่านไปหลังจากที่ชางกลับมาในยุคบ้านเมืองของตนเองร่วม 3 เดือน แต่หัวใจของเขายังไม่คลายรักจากกัญญ์กุลณัชเลยแม้แต่วินาทีเดียว เฉิงสังเกตเห็นลูกชายทั้ง 2 คนของเขาที่มีรักมั่นคงกับหญิงที่ตนรักก็เริ่มใจอ่อน เริ่มรู้สึกถึงพลังอำนาจของความรักที่มั่นคง ยามที่นึกถึงตนเองกลับกลายเป็นคนอ่อนแอยอมแพ้กับรักที่ต้องเสียสละ เขาไม่เคยสู้เพื่อให้ได้ความรักมาเลยสักครั้งเดียว
เสียงลมพัดเอื่อยๆ เรี่ยไรผมผ่านร่างกายที่อ่อนล้าไปเบาๆ ลมพัดพาไอหนาวเข้ามาสู่ผิวหนังจนเฉิงต้องกระชับผ้าห่มให้ชิดตัวยิ่งขึ้น ความสงบยามค่ำคืนช่วยคลายความเครียดให้เบาบางลง แต่ทว่าไม่นานจู่ๆ เสียงระเบิดดังขึ้นดังตูมใหญ่หลายครั้งติดๆ กัน เสียงกระบี่ฟันกันอื้ออึงไปหมด เฉิงลืมตาลุกขึ้นยืนมองไปรอบๆ ตัวเห็นแต่ควันเต็มไปหมด ผ้าใบกางเป็นเหมือนกระโจมถูกเปิดออก เฉิงมองเห็นตัวเองในชุดแม่ทัพจีนโบราณที่กำลังสั่งการชี้คนนู้นทีคนนี้ที
“แม่ทัพฮัวตามมันไป อย่าให้มันรอดไปได้” เฉิงมองตัวเองสั่งการกับชายหนุ่มที่หน้าเหมือนหลานชายตัวเองก็ตกใจ เขามองตามชายหนุ่มที่วิ่งไปทันทีเพราะอยากรู้ว่าตนเองในอดีตสั่งฆ่าใคร
ในป่ามืดมิด มีเพียงคบไฟนำทางชายหญิงคู่หนึ่งกำลังวิ่งหนีกองทัพจีนที่กำลังไล่ตามอย่างสุดความสามารถ ชายผู้นั้นหันกลับมามองเห็นคบไฟไล่ตามมาเป็นระยะก็รีบจับมือหญิงสาววิ่งหนี
“พวกมันอยู่นั่นไง ตามไป” แม่ทัพฮัวมองเห็นคบไฟที่โดดเดี่ยวอยู่กลางป่าก็ทำให้รู้ว่าเป้าหมายอยู่ไม่ไกล
“ท่านแม่ทัพ แม่ทัพผิงจะให้เราฆ่าสองคนนั้นจริงๆ หรือ” ทหารคนหนึ่งถามขึ้น
“ข้าทำตามคำสั่ง หรือลื้อจะยอมโดนฟันหัวแทน” ใจลึกๆ ของเขาเศร้าและรู้สึกผิดมาก ถึงแม้จะไม่ได้ผูกพันทางสายเลือดหรือมีความใกล้ชิดกันมาก่อน แต่นั่นคือน้องชายต่างมารดาของเขาอีกคน
ทันทีที่คบไปของชายหญิงดับลง เสียงทหารทั้งหลายกลับรายล้อมรอบตัวชายหญิงคู่นั้นไปเรียบร้อย ชายหนุ่มในชุดทหารจีนโบราณเหงื่อโซมกาย แววตามุ่งมั่นกำลังยืนปกป้องหญิงคนรักอย่างสุดความสามารถ แม่ทัพฮัวเดินถือกระบี่เข้ามาหมายเอาชีวิต เฉิงเห็นกระบี่เล่มนั้นก็นึกได้ว่าเป็นกระบี่ที่ตกทอดมาจากตระกูลของเขา กระบี่ดำดอกโบตั๋น
“อั๊วไม่ได้อยากฆ่าลื้อสองคน แต่พวกลื้อทำผิดธรรมเนียมจีน ผิดศีลธรรมอันดีที่สืบกันมา ผิดคบหญิงตาแม่มด หญิงนอกรีตและชายนอกรีตต้องถูกกำจัดให้สิ้นแผ่นดิน” แม่ทัพฮัวคำรามก่นด่าเสียงดัง
“แม่ทัพผิงสั่งมาอย่างนั้น ท่านก็จงรีบทำตามซะ”
ชายหนุ่มหันกลับมากอดหญิงสาวที่ตนเองรัก ทันใดนั้นกระบี่ดำดอกโบตั๋นในมือของคนที่หน้าเหมือนหลานชายตนเองก็แทงเข้ากลางหลังทะลุหัวใจของชายหนุ่มพร้อมกับปักเข้ากลางหน้าอกของหญิงสาวผู้นั้นทันที เฉิงตกใจเข้ามาดูเหตุการณ์ใกล้ๆ เห็นชายหนุ่มคนนั้นหน้าเหมือนกับชางลูกชายของตนเอง และใบหน้าของหญิงสาวตาโตคมสวย หรือตาแม่มดอย่างที่เขาเรียก ใบหน้านั้นค่อยๆ หลับตาซุกหน้าบนไหล่กว้างของชายหนุ่มที่เขารักไปพร้อมกับลมหายใจสุดท้าย
“ไม่!!!” เฉิงตกใจกับภาพที่เห็น ภาพนั้นเหมือนจริงจนเขาสัมผัสได้ มือของเขาเปื้อนคราบคล้ายดินมีเสี้ยนไม้จากต้นไม้ติดอยู่ ‘นี่เราสั่งฆ่าลูกตัวเองเพราะแค่เขารักหญิงต่างถิ่นแค่นั้นหรือ’ แม้ในอดีตเขาและชางจะไม่ได้มีความผูกพันทางสายเลือดเหมือนในตอนนี้ แต่กระบี่เล่มนั้นเคยอาบเลือดคู่รักที่ต้องสละชีวิตเพียงเพราะถูกกีดกันทางเชื้อชาติ คำพูดก่อนตายของชายหนุ่มหญิงสาวคู่นั้นดังมาให้ได้ยิน
‘แม้ชาตินี้จะมีอุปสรรคขวางกั้น ชาติหน้ามีจริงอั๊วจะขอรักลื้อหมดหัวใจอย่างนี้ตลอดไป’
‘ฉันจะรอรักจากคุณคนเดียว ขอให้ชาติภพนำมาให้เราได้กลับมารักกัน’
“หรือนี่คือคำสาบานที่ทำให้อาชางได้เจอกับอากัญ” เฉิงจำชื่อหญิงสาวคนรักของลูกชายได้แม่น
กระดาษสีน้ำตาลอ่อนถูกเย็บเล่มเข้าสันด้วยด้ายสีแดงสดเข้าเล่มสวยงาม มีตัวอักษรจีนอยู่บนหน้ากระดาษเป็นตัว 富 (ฟู่) สีทองลายเส้นคมชัด เป็นลายมือสวยงามของชางที่ถูกเขียนขึ้นมาเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน กระดาษเย็บเล่มเป็นหนังสือสู่ขอในวันพิธีหมั้นของเขากับถิงถิง ชางบรรจงเขียนขึ้นแต่แท้ที่จริงแล้วเขาอยากเป็นคนให้กับกัญญ์กุลณัชมากกว่า เขากอดหนังสือสู่ขอไว้อย่างที่กัญญ์กุลณัชเรียกอะไรที่เป็นเล่ม ชางจำได้ทุกรายละเอียดที่เธอเคยบอก ยิ่งเขานึกถึงน้ำตาก็ยิ่งไหล แม้กระทั่งตอนเขียนกระดาษแผ่นนั้น เนื้อความในหนังสือสู่ขอไม่มีอะไรมากมายเป็นเพียงพิธีการอย่างหนึ่งก่อนเข้าสู่วันแต่งงาน
ไม่ต่างกันกับถิงถิง จางหย่งเป็นคนเขียนหนังสือสินสอด เป็นหนังสือที่แสดงรายการสินสอดที่ฝ่ายหญิงให้ฝ่ายชายไปจัดเตรียม ถิงถิงอยากเป็นคนให้หนังสือเล่มนี้กับมือของชุนมากกว่าเฮียชาง ชายหญิงทั้ง 2 หน้าตาอมทุกข์กันทั้งคู่ แม้พิธีนี้จะเป็นแค่พิธีภายในระหว่าง 2 ครอบครัวก็ตาม เฉิงมองปฏิกิริยาทุกคนก็พอจะเข้าใจ ซูลี่ จางหย่งทำตามธรรมเนียมอย่างเสียไม่ได้ เพียงแต่ในพิธีนี้ชุนไม่ได้เข้ามาด้วยเท่านั้น
“เฮียชาง” ถิงถิงยกน้ำชาเคารพว่าที่สามี ชางไม่แม้แต่จะรับน้ำชาจากมือถิงถิง จนกระทั่งได้ยินเสียงกระแอมดังขึ้นเป็นเชิงตักเตือนให้ชางไม่เสียมารยาท ชางรับน้ำชาจากมือเธอเพียงแต่ไม่รับดื่ม เขาวางมันลงหน้าป๊ากับม้าและจางหย่ง ชางรู้สึกเพียงแค่เขาทำหน้าที่ลูกที่ดีได้เพียงเท่านี้ บังคับร่างกายของเขายังไงก็ได้ เพียงแต่ใจของเขาไม่รับใครเข้ามาอีกแล้ว
“พี่ขอตัวก่อน” ชางใช้คำสมัยใหม่กับทุกคน กลายเป็นคำติดปากของเขาตั้งแต่กระบี่หักไป ถิงถิงไม่ถือสาชางเลยแม้แต่น้อย เธอพยายามมองหาชุนซ้ายทีขวาที บ้างก็มองไปนอกเรือนเผื่อจะได้เห็นหน้าชายคนรัก
ที่โต๊ะอาหารบ้านตระกูลเฉิง อาหารถูกจัดวางเต็มโต๊ะ มีของโปรดทุกคนรวมทั้งถิงถิงและจางหย่ง โต๊ะกลมขนาดใหญ่ถูกจัดเข้ามาแทนที่โต๊ะอาหารตัวเดิมได้สักระยะ เพราะสมาชิกในบ้านเพิ่มขึ้น เฉิงกลับมาอยู่บ้านตั้งแต่เขาฝันประหลาด
“เฮีย” ชุนเรียกชางก่อนจะลงไปทานอาหาร ชางหันมามองน้องชายตัวเองเป็นเชิงอนุญาตให้พูดได้
“อั๊วขอโทษนะเฮีย” ชุนน้ำตาซึม “อั๊วรักถิงถิงจริงๆ นะ” ชางเห็นน้ำตาน้องชายก็เข้าใจความรู้สึกของคนรักกันที่รักกันไม่ได้
“เฮียก็ขอโทษลื้อนะ เฮียพยายามเต็มที่ที่จะคืนถิงถิงให้ลื้อแล้ว แต่…” ชางหยุดพูดไป เขาดึงน้องชายตัวเองเข้ามากอด “แต่เฮียจะไม่หยุดพยายามตราบใดที่ยังไม่ได้แต่งงาน เฮียก็จะทำให้ลื้อได้แต่งงานกับน้องหมวยให้ได้”
“คนรักของเฮียเป็นใครกัน เธออยู่ไกลมากเลยเหรอ” ชุนถามด้วยความสงสัย
“ลื้อเห็นที่เฮียหายตัวกลับมาใช่ไหม” ชุนพยักหน้า “เฮียหายตัวไปหาเธอต่อหน้าม้า ม้าเลยรู้เรื่องทั้งหมดที่เฮียไปเจอคนที่เฮียรัก กระบี่เล่มนั้นเชื่อมโยงเฮียกับเธอไว้เมื่อนานมาแล้ว” ชางพูดไปพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง เสมือนกำลังใช้ความคิดถึงเล่าเรื่องให้ชุนฟัง
“ถ้าวันหนึ่งเฮียไม่อยู่ เฮียฝากดูแลทางนี้ด้วยนะ” ชางจับไหล่ชุนแววตามุ่งมั่นและมีความหวัง
พี่น้อง 2 คนพลางคุยกันเดินมาที่โต๊ะอาหารด้วยกัน ซูลี่เห็นภาพลูกๆ กลับมาคุยกันได้ก็ดีใจ ผิดกับเฉิงที่ทำหน้าสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างสองคนพี่น้อง
“มีช้อนไหมครับม้า” ชางลืมตัวขอช้อน นานแรมเดือนที่เขาไม่ได้นั่งกินข้าวร่วมโต๊ะอาหารกับใคร ทุกคนต่างมองหน้าชางด้วยความสงสัย ชางตัดปัญหาด้วยการหยิบตะเกียบคีบอาหารตามเดิมและซดน้ำซุปจากถ้วยโดยตรงเช่นเดิม
ตึง…เสียงมือชุนกระแทกเข้าที่โต๊ะอาหารจนโต๊ะสั่น มือของเขาปูดบวมขึ้นมาทันที ชางเห็นรีบจับมือน้องชายตัวเองขึ้นมาพลิกดูหน้าดูหลัง จับงอ ดึงเพื่อเช็กว่ามือหักร้าวหรือไม่ หลังจากนั้นเขายกมือชุนขึ้นมาเป่า
“เพี้ยง ไม่เจ็บนะเดี๋ยวก็หาย” ชางจุ๊บปากลงที่มือชุน 1 ที ชุนตกใจรีบดึงมือออกจากมือพี่ชายทันที ทุกคนบนโต๊ะอาหารมองชางเป็นตาเดียว
“เฮีย” ชุนเขินหน้าแดง ไม่เคยมีใครทำแบบนี้กับเขามาก่อน ยิ่งเป็นเฮียชางหัวใจตกไปอยู่ปลายเท้า
“จ่อติ๊ไก๊” เฉิงเสียงเข้ม
“คุณกัญบอกผมมาว่า เมื่อคนที่เราห่วงใยเจ็บตัว เป่ามือเบาๆ แล้วจุ๊บตรงที่เจ็บจะหาย” ชางอธิบายไปพร้อมรอยยิ้ม ซูลี่ดีใจที่หญิงสาวคนที่ลูกชายตัวเองหลงรักเป็นคนจิตใจดี ทำให้ชางเปลี่ยนเป็นคนอ่อนโยน เห็นอกเห็นใจผู้อื่น
“ไร้สาระ” เฉิงพูดตัดบท พร้อมกับคีบอาหารใส่ปากอย่างไม่ได้สนใจ แต่ทว่าในใจของเขาเริ่มอยากรู้จักหญิงสาวคนนี้เสียแล้ว หญิงสาวที่เข้ามาเปลี่ยนลูกชายของเขาให้มีรอยยิ้ม มีจิตใจที่อ่อนโยน จางหย่งสังเกตอาการเฉิงก็พอเห็นว่าเฉิงเริ่มมีอะไรเปลี่ยนไปทีละนิดแต่ยังไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง

- READ หัวใจมังกร บทที่ 16 : คนละภพ
- READ หัวใจมังกร บทที่ 15 : ความจริงที่พบเจอ
- READ หัวใจมังกร บทที่ 14 : ความสุขหมดอายุ
- READ หัวใจมังกร บทที่ 13 : อดีตของฉัน ปัจจุบันของเรา
- READ หัวใจมังกร บทที่ 12 : ด้วยชีวิตของผม
- READ หัวใจมังกร บทที่ 11 : ความรักของดอกโบตั๋น
- READ หัวใจมังกร บทที่ 10 : ความลับในที่แจ้ง
- READ หัวใจมังกร บทที่ 9 : ความรับผิดชอบ
- READ หัวใจมังกร บทที่ 8 : โลกใบใหม่
- READ หัวใจมังกร บทที่ 7 : แนะนำตัว
- READ หัวใจมังกร บทที่ 6 : รอยบิ่น
- READ หัวใจมังกร บทที่ 5 : โชคชะตา
- READ หัวใจมังกร บทที่ 4 : ดอกโบตั๋น
- READ หัวใจมังกร บทที่ 3 : พายุอารมณ์
- READ หัวใจมังกร บทที่ 2 : ตระกูลฟู่
- READ หัวใจมังกร บทที่ 1 : คนแปลกหน้า







