หัวใจมังกร บทที่ 17 : ความรักนำทาง

หัวใจมังกร บทที่ 17 : ความรักนำทาง

โดย : สิรี กวีผล

Loading

หัวใจมังกร โดย สิรี กวีผล เรื่องของ ชายหนุ่มทายาทตระกูลจีน ถูกพรากคนรักและพรากชีวิตด้วยกระบี่ในอดีต ปาฏิหาริย์แห่งคำสาบานก่อนตายนำพาเขาและเธอกลับมาพบกัน ทว่าต่างภพชาติ ชายหนุ่มต้องเลือกระหว่างหน้าที่และครอบครัว หรือความรักที่เขารอคอยมานานนับร้อยปี อ่านเรื่องราวนี้ได้ทาง เพจอ่านเอา และ www.anowl.co

ซองกระดาษสีแดงวางอยู่บนโต๊ะทำงานที่ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ตัวอักษรสีทองเด่นตัดกับกระดาษสีแดงที่วางคว่ำหน้าอยู่ ซองถูกเปิดผนึกเผยให้เห็นกระดาษสีขาวที่มีข้อความคล้ายวันเดือนปีเกิดของใครสักคนวางอยู่ ลมพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างเผยให้เห็นซองกระดาษสีแดงวางซ้อนทับกันอยู่ มือหนาๆ ของเฉิงจับกระดาษเหล่านั้นไว้ไม่ให้ปลิว

“นั่นกระดาษที่เฮียเอาดวงชะตาชางกับอาหมวยไปดูใช่ไหม” ซูลี่ถามตรงๆ หลังจากที่วางถาดอาหารและน้ำไว้ข้างโต๊ะทำงาน เฉิงมองหน้าซูลี่พร้อมกับพยักหน้าให้ “แล้วทำไมถึงมีสองซอง”

“อั๊วปิดบังอะไรลื้อไม่เคยได้เลยนะอาลี่” เฉิงส่ายหน้า

“เฮียตรวจดวงใครถึงสองคู่ พิธีการดูแค่ชางกับอาหมวยก็พอแล้วไม่ใช่หรือ” ซูลี่จ้องหน้าเฉิงคาดคั้น สายตาแบบนี้ทำให้เฉิงที่เป็นเจ้าชีวิต เป็นเถ้าแก่ของทุกคนในตระกูลฟู่พ่ายแพ้ แม้ซูลี่จะไม่ใช่รักแรกของเขาอย่างหลี่จิ้ง แต่เธอกลับเป็นรักที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว เฉิงรู้ตัวอีกทีว่ารักซูลี่ก็เมื่อมีชุนเป็นลูกคนที่ 2

“พวกลื้อเห็นอั๊วเป็นยักษ์เป็นมารคอยขัดขวางความรักลูกๆ ไม่ใช่หรือ อั๊วก็เลยลองเอาดวงอาชุนไปดูคู่กับอาหมวยพร้อมกับชางไปทีเดียวเลย” เฉิงพูดเขินๆ

“ไม่ต้องมายิ้มให้อั๊วเลย ไม่คุยกับอั๊วเป็นเดือนๆ เตี่ยมเสียเตี่ยะนะ” ความคิดถึงของเฉิง ทำให้เขาคว้าตัวซูลี่มานั่งตัก อ้อมแขนแข็งแรงตวัดเกี่ยวกอดร่างของซูลี่กระชับแนบอก สายตาของเขาสื่อสารตรงไปตรงมาอย่างคนคุ้นเคย เขาบรรจงจูบภรรยาอย่างโหยหาและคิดถึง ซูลี่ตอบรับเขาด้วยความเต็มใจเพราะเธอก็คิดถึงสามีที่เคยใจดี อ่อนโยนเช่นกัน

“แล้วยังไงคะ ดวงใครเหมาะสมกับใคร” ซูลี่ที่นั่งตักเฉิงพูดขึ้น เฉิงถอนหายใจแทนคำตอบ

“แบบนี้แสดงว่าดวงของอาชุนคู่กับอาหมวยใช่ไหม”

“ไม่ใช่แค่คู่นะ สมพงศ์กันเลย อั๊วไม่เคยเห็นดวงใครที่จะเกื้อหนุนกันดีขนาดนี้มาก่อน ขนาดลื้อกับอั๊วยังมีเรื่องครอบครัวให้ระวัง แต่ของอาชุนกลับไม่มี”

“งั้นก็ยกเลิกงานแต่งเลยสิเฮีย” ซูลี่ดีใจออกนอกหน้า

“ไม่! อั๊วไม่ยกเลิก” ซูลี่หุบยิ้มทันที “แต่อั๊วจะเปลี่ยนตัวเจ้าบ่าวแทน” เฉิงตอบด้วยรอยยิ้ม ซูลี่ดีใจมากจับแก้มเฉิงหอมซ้ายทีขวาที

“ลูกชายคนโตของเฮียสอนมาน่ะ เขาว่ามันเป็นการแสดงออกถึงความดีใจและความรัก” เฉิงจับหน้าซูลี่ด้วยท่าทางแปลกๆ คล้ายคนจะบีบคอมากกว่า มือเก้ๆ กังๆ จับหน้าซูลี่เข้ามาหอมแก้มซ้ายทีขวาทีอย่างที่เธอทำให้ดู แต่ถึงแม้จะแปลกแค่ไหนก็อบอวลไปด้วยความรัก ในที่สุดความเข้าใจของทั้ง 2 คนก็กลับมามีให้กันเช่นเดิม

 

สิงโตตัวใหญ่กำลังถูกเชิดหัวขึ้นลงตามเสียงกลองที่ถูกตีเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เสียงฉาบตีประกอบจังหวะให้ทุกคนในตัวสิงโตเดินเข้าจังหวะ เช่นเดียวกับนักกายกรรมทั้งหลายที่กำลังกระโดดโลดเต้นตีลังกาด้วยความสนุกสนานครื้นเครง แม้วันนี้จะเป็นวันพิธีการจึงมีเฉพาะคนในตระกูลยังไม่ถึงงานเลี้ยงโต๊ะจีนผู้คนยังมีไม่มาเท่าไร มีเพียงเพื่อนสนิทและแขกบ้านแขกเรือนใกล้ชิดเท่านั้น เถ้าแก่ฝ่ายเจ้าบ่าวที่เฉิงเชิญมาถือหนังสือรับตัวไม่ใช่ใครอื่น จ้านมาในชุดเสื้อคลุมพิธีการยาวสีแดงขาวเดินนำขบวนเข้ามาถึงเรือนของจางหย่ง ถิงถิงอยู่ในชุดเจ้าสาวสีแดงทองปักลายดอกไม้สวยงาม ทว่าใบหน้ากลับดูเศร้าหมองไม่เหมือนคนที่กำลังจะแต่งงาน หลี่จิ้งคอยดูแลความเรียบร้อยอยู่กับเธอ ขั้นตอนสุดท้ายเหลือเพียงเสียบปิ่นปักผมกับกิ่งทับทิมไว้บนเรือนผม เพราะเชื่อว่ากิ่งทับทิมจะช่วยให้คนรักใคร่เอ็นดู และหมายถึงสาวบริสุทธิ์

เสียงเฮฮาสนุกสนานกำลังกันประตูเงินประตูทองเพื่อขออั่งเปาจากเจ้าบ่าว ชางมาในชุดสีขาวแดงปักเลื่อมมังกรทองดูดีมีสง่า ผิดกับใบหน้าและท่าทางที่เหมือนคนไร้วิญญาณ ใครบอกให้ทำอะไรชางได้แต่นิ่งพยายามยิ้มเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ดูเสียมารยาทมากไปกว่าที่เป็นอยู่ ใครขออั่งเปาชางหยิบซองแดงให้ทั้งปึกโดยไม่พูดไม่สบตา ชุนที่มาในชุดสีแดงปักเลื่อมทองยืนอยู่ไม่ห่างกาย แววตาดูสิ้นหวัง ประตูเรือนเจ้าสาวถูกเปิดออก ชุดแต่งกายของชายหนุ่มทั้ง 2 ซูลี่จัดเตรียมไว้ให้แต่เช้า เถ้าแก่ฝั่งเจ้าสาวอย่างหลี่จิ้งเดินออกมารับหนังสือรับตัวจากจ้าน เธอเบี่ยงตัวออกเล็กน้อยเผยให้เห็นหญิงสาวที่กำลังเดินออกมาในชุดสีแดงปักเลื่อมลายดอกไม้สวยงาม ถิงถิงเดินออกมาอย่างสง่าผ่าเผย ใบหน้าที่ถูกตกแต่งมาอย่างสวยงามสะกดให้ชุนตกอยู่ในภวังค์ เขามองถิงถิงอย่างไม่ละสายตา เสียงฉาบและกลองดังขึ้นปลุกเขาออกจากภวังค์ฝัน ผิดกับชางที่ไม่ได้สนใจไยดีความสวยงามของหญิงสาวเบื้องหน้าสักเท่าไร

หน้าตี่จูเอี๊ยถูกจัดขึ้นพร้อมของไหว้มงคล มีส้มวางอยู่บนพานพร้อมกับกองเงินทั้งหลาย ใกล้ถึงเวลาที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะต้องไหว้ฟ้าดิน ไหว้ตี่จูเอี๊ยหรือไหว้เจ้าที่ ไหว้เทพเจ้าเตาไฟซึ่งอยู่ในครัว และไหว้บรรพบุรุษของเจ้าสาว เฉิงกับซูลี่มาในชุดพิธีการสีทองปักเลื่อมมุกเงินเป็นคู่กัน ส่งพลังให้คนในชุดนั้นดูมีอำนาจและบารมีที่หาที่เปรียบไม่ได้ ชางเห็นป๊ากับม้าก็น้ำตาไหล เขาพยายามหลีกเลี่ยงงานนี้มาตลอด 3 เดือน เขาพยายามหาทางกลับไปหากัญญ์กุลณัชแต่ก็ไร้ผล ชางได้แต่ภาวนากับเทพเจ้าขอให้ปาฏิหาริย์มีจริงอีกสักครั้ง

“ฤกษ์งามยามดี ได้เวลาไหว้ฟ้าดิน” เสียงจ้านที่เป็นเถ้าแก่ส่งสัญญาณบอก ทันใดนั้นเอง ชางคุกเข่าลงต่อหน้าเฉิง ซูลี่ พร้อมกับก้มหัวลงแนบพื้น

“อั๊วทำไม่ได้ครับป๊า อั๊วทำไม่ได้” ชางอ้อนวอนเฉิงอย่างสุดหัวใจ น้ำตาของเขาไหลรินจนตัวโยน เฉิงเห็นภาพลูกชายตัวเองก็อดไม่ได้ที่จะมีน้ำตาเช่นกัน

“พอเถอะเฮีย สงสารลูก” ซูลี่แตะมือเฉิงเบาๆ ชางเงยหน้าขึ้นมา คิ้วทั้ง 2 ขมวดแทบจะชนกัน จ้าน หลี่จิ้ง จางหย่ง รวมทั้งเฉิงและซูลี่ ต่างยิ้มให้อย่างอ่อนโยนและเห็นใจในความรักที่มั่นคงของชาง

“หมายความว่ายังไงป๊า ม้า” เฉิงเข้าไปจับตัวชางให้ลุกขึ้นยืน

“หมายความว่าลื้อไม่ต้องแต่งงานกับอาหมวย” ชางได้ยินคำนั้นจากปากเฉิงก็แทบไม่เชื่อหูตัวเอง ไม่ต่างกับชุนที่ยืนอยู่ข้างหลังมองหน้าถิงถิง

“ก็ดวงลื้อสองคนมันไม่คู่กัน อยู่กันไปก็มีแต่เรื่อง” เฉิงเฉไฉ เดินเข้าไปหาชุน “ต้องดวงน้องชายลื้อนี่ สมพงศ์กับอาหมวยที่สุด” เฉิงโอบไหล่ลูกชายคนเล็ก ชุนหันมามองป๊าอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

“ขอบคุณครับป๊า” ชางสวมกอดเฉิงพร้อมๆ กับชุนที่คว้าตัวป๊าของเขาเข้ามากอด ทั้ง 3 คนกอดกันแน่น ความรัก ความเข้าใจ และความอบอุ่นของครอบครัวกลับมาสู่ตระกูลฟู่อีกครั้ง

“งานดีๆ แบบนี้จะขาดเฮียไปได้ยังไง” เสียงเหลียงดังขึ้นมาจากหน้าเรือนใหญ่ที่ทำพิธี ทุกคนหันไปหาเหลียงเป็นตาเดียว รอยยิ้มเปรอะเปื้อนไปทั่วเรือนอีกครั้ง ชายหนุ่มทั้ง 3 คนพี่น้องกลับเข้ามากอดคอกันเหมือนตอนเด็กๆ ความอิจฉาริษยาถูกเจือจางให้เบาบางลงด้วยความรักความเข้าใจ

“พวกลื้อไม่ทันพวกป๊ากับอาแปะหรอก พวกลื้อต้องมีเฮียคอยเป็นหัวคิดให้” เหลียงขยุมหัวชางและชุนพลางกอดคอทั้งคู่ไว้ข้างกาย ทั้ง 3 คนสนุกสนานเฮฮา บรรยากาศงานแต่งงานที่ดูเหมือนจะล่มไม่เป็นท่าแต่กลับกลายเป็นทุกคนพร้อมสมัครใจที่จะอยู่ในพิธี

“ป๊า นี่ป๊าก็ร่วมมือกับอาแปะ อาเจ็กด้วยเหรอ ไม่สงสารหมวยหรือยังไง” ถิงถิงขึ้นเสียงใส่จางหย่งทำเอาทุกคนต่างเงียบไปพร้อมๆ กัน

“อย่าโกรธป๊าลื้อเลยนะอาหมวย เพราะป๊าลื้อนั่นแหละที่ดันจับสังเกตอั๊วได้ พอเห็นโอกาสหน่อยก็เข้ามาถาม เฮ้อ…รู้ใจอั๊วมากกว่าซ้อของลื้ออีกนะ ไม่สิต้องเรียกว่าม้าแล้วถึงจะถูก” เฉิงจับมือถิงถิงขึ้นมา “ใช่ไหมลูกสาวของป๊า”

ถิงถิงโกรธป๊าไม่ลงเมื่อเฉิงออกตัวรับหน้าให้ เธอสวมกอดเฉิงด้วยความรู้สึกขอบคุณ วันนี้เป็นวันที่เฉิงรู้สึกว่าอ้อมกอดของเขามีคุณค่า มีความหมายสำหรับลูกหลานทุกคนอย่างที่ซิงอีเคยบอกไว้จริงๆ

“เข้าใจกันแล้ว จะแต่งกันไหม” เฉิงถามลอยๆ ขึ้นมา ทำเอาซูลี่กับหลี่จิ้งยิ้มไม่หุบ ครอบครัวทั้ง 3 ครอบครัวกลับมารักใคร่ปรองดองกันอย่างที่ควรจะเป็นเสียที

“แต่งครับ/แต่งค่ะ” เสียงชุน เสียงถิงถิงดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน

ชุดของชุนเข้ากับถิงถิงโดยไม่มีใครสังเกตตั้งแต่แรก เป็นเนื้อผ้าผ้าผืนเดียวกันที่ปักเลื่อมมังกรบินอยู่บนหมู่ดอกไม้สวยงาม ลายชุดของทั้งคู่ต่อกันเป็นผืนเมื่อทั้ง 2 ยืนคู่กันเส้นปักเลื่อมก็ต่อกันเป็นหัวใจดวงเดียวอย่างชัดเจน ชุดนั้นเฉิงเป็นคนสั่งให้ซูลี่กับหลี่จิ้งเป็นคนจัดหา คนเย็บ คนตัด เขาคิดมาทั้งหมดเพื่อให้ลูกทั้ง 2 ได้มีความรักอย่างที่ตนเองปรารถนา เฉิงเคยทำผิดพลาดมาเมื่อครั้งอดีตแต่เขาจะไม่ยอมให้อดีตมาเกิดขึ้นอีกครั้งในปัจจุบัน

 

บรรยากาศภายในเรือนใหญ่ของตระกูลฟู่อบอวลไปด้วยความรักของหนุ่มสาว รอยยิ้มและความสุขเนืองแน่นอยู่ในภายใน ทุกคนที่มาร่วมงานต่างแสดงความยินดีให้กับชุนและถิงถิงด้วยความจริงใจ จ้านกับเหลียงยังกอดคอกันด้วยความรัก เฉิงจับมือซูลี่ไว้แน่นเหมือนกับความสัมพันธ์ที่พวกเขาทั้งคู่ฝ่าฟันกันมา แม้บรรยากาศจะอบอวลไปด้วยความรักมากเพียงใด ชางกลับรู้สึกว่าเขากลายเป็นคนนอกตระกูลฟู่ไปเสียแล้ว จากที่เขาเคยถูกห้อมล้อมด้วยความเคารพจากทุกคนในตระกูลแต่บัดนี้กลายเป็นชุนที่ทุกคนต่างพากันยินดี ชางนึกเข้าใจความรู้สึกของเหลียงอยู่บ้าง

ที่นี่คงไม่ใช่ที่ของเขาอีกแล้ว ชางอยากกลับไปหากัญญ์กุลณัช อยากกลับไปใช้ชีวิตในโลกของเธอ ป่านนี้เธอยังจะรอเขาเหมือนที่เขารอเธอหรือไม่ ความรักของเธอจะมั่นคงเช่นเดียวกับเขาไหม หรือเป็นเพียงแค่เขาที่พร่ำคิดถึงเธออยู่ฝ่ายเดียว ความคิดเหล่านี้รบกวนจิตใจของชางอยู่ทุกวัน แต่เขาเชื่อมั่นในความรักของเขา ตราบใดที่เธอและเขายังมีหัวใจเดียวกัน

“ผมอยากฟังคำตอบจากคุณกัญนะ” ชางปลีกตัวออกมาจากงานหลังจากจบพิธีการสำคัญ ก่อนที่ค่ำคืนนี้เป็นงานโต๊ะจีนและส่งตัวบ่าวสาว เขามานั่งริมน้ำหลังศาลเจ้าที่ที่เคยได้พบกัญญ์กุลณัชนั่งอยู่ที่ม้าหิน ชางนึกถึงไฟหัวใจที่กัญญ์กุลณัชทำให้ในคืนก่อนที่เขาจะจากมา แต่เขาไม่ได้ยินเสียงที่เธอพูดกับเขาอีกเลยหลังจากพยายามอ่านปากที่เธอพูดแต่แสงสว่างที่พาเขากลับมาและเสียงทะเลาะกันของเฉิงและชุนกลบเสียงของเธอไปจนหมด

 

ขณะเดียวกันกัญญ์กุลณัชออกมาเดินตามหาชางในที่ที่เคยมาด้วยกัน ตะลัคเกียะหรือปัจจุบันเรียกว่า ตลาดน้อย เป็นไชน่าทาวน์เก่าแก่ที่สุดของเมืองไทยอยู่ในโซนถนนเยาวราช สำเพ็ง และราชวงศ์

กัญญ์กุลณัชเดินไปตามซอยวานิช 2 ซึ่งเป็นถนนสายแคบๆ เลียบฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาบนพื้นที่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของเขตสัมพันธวงศ์ เธอนั่งพักอยู่ใกล้ๆ ริมน้ำ ทอดสายตาไปเรื่อยๆ

“นายจะลืมฉันหรือยังนะ นายชาง” กัญญ์กุลณัชคิดถึงชางสุดหัวใจ ไม่กี่สัปดาห์ที่เขาหายไปทำให้กัญญ์กุลณัชรู้ว่าหัวใจของเธอไม่สามารถลืมผู้ชายหน้าตี๋มีเขี้ยวเล็กๆ คนนี้ได้เลย เขาเข้ามาเปลี่ยนชีวิตของเธอให้เป็นระเบียบมากขึ้น เปลี่ยนให้เธอเติบโตรู้จักคิดถึงคนอื่น รู้จักเห็นอกเห็นใจ และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีมากขึ้น แถมใจเย็นขึ้นอีก ซึ่งทุกคนในบ้านเธอลงความเห็นกันแล้วว่า นายชางคนนี้เหมาะจะเป็นลูกเขยมากที่สุด

“ทุกคนในบ้านฉันรอเจอนายอยู่นะ ฉันเองก็เหมือนกัน” กัญญ์กุลณัชพูดคนเดียว พูดไปพูดมาคิดไปคิดมาน้ำตาก็ไหลทุกครั้ง เธอไม่ชอบตัวเองที่อ่อนแอขนาดนี้แต่ชางทำให้หัวใจเธอหวั่นไหวและโหยหามากที่สุด

“นายชาง! กลับมาซะที คิดถึงมากรู้ไหม” กัญญ์กุลณัชตะโกนเสียงดังก้องไปทั้งแม้น้ำเจ้าพระยา ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาตกใจ มองกัญญ์กุลณัชงงๆ

เสียงของกัญญ์กุลณัชกลับดังขึ้นๆ เหมือนสายน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยาพัดพาความคิดถึงไปส่งให้กับคนที่เธอคิดถึง ชางที่นั่งอยู่ม้าหินริมน้ำได้ยินเสียงกัญญ์กุลณัชแว่วๆ มาแต่ไกลเหมือนเรียกชื่อตัวเขา ไม่นานนักเขาก็ได้ยินเสียงเธอดังขึ้นมาอย่างชัดเจน

          “นายชาง! กลับมาซะที คิดถึงมากรู้ไหม

ชางได้ยินก็รู้ทันทีว่าเป็นเสียงของกัญญ์กุลณัช ม้าหินที่นั่งแทบจะหมดหน้าที่ทันที ชางลุกขึ้นมองซ้ายมองขวา พยายามเดินหาต้นตอของเสียงนั้น แต่ก็ไร้วี่แววกัญญ์กุลณัช

“คุณกัญ! คุณได้ยินผมไหม” ชางไม่รู้จะทำยังไง เขาทำได้เพียงตะโกนโต้ตอบกลับไป

ไม่ต่างกันความคิดถึงของเขาถูกพัดพาด้วยสายน้ำสายเดียวกันที่ยังคงทำหน้าที่ส่งสารความคิดถึงกลับมาที่คนที่ชางคิดถึงเป็นที่สุด กัญญ์กุลณัชที่นั่งอยู่ริมน้ำได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองก็ตกใจ เสียงนุ่มๆ ละมุนหูขนาดนี้มีคนเดียว เสียงนั้นส่งมาถึงเธอ

“นายชาง นายอยู่ที่ไหน” กัญญ์กุลณัชโต้ตอบกลับไปด้วยความคิดถึง เสียงสะอื้นและหยดน้ำตาไหลออกมาพร้อมๆ กัน ความดีใจเกิดขึ้นมาทันที เพียงแค่เสียงของเขาก็ทำให้น้ำตาจากความเสียใจกลับกลายเป็นน้ำตาแห่งความคิดถึง

“ผมกลับไปหาคุณไม่ได้ กระบี่เล่มนั้นหักไป แต่คุณรอผมก่อนนะ ผมสัญญา ผมจะกลับไปหาคุณให้ได้” ชางพยายามโต้ตอบกับกัญญ์กุลณัช แม้เขาจะไม่รู้เลยว่าตอนนี้เขาคุยกับเธอที่ไหน แต่เพียงแค่ได้ยินเสียงเธอ ได้รับรู้ถึงความคิดถึงของเธอที่มีต่อเขาก็คลายความเศร้าที่มีมาเป็นแรมเดือนให้หายไปเป็นปลิดทิ้ง กัญญ์กุลณัชได้ยินเสียงนั้นไม่ชัดเจนเหมือนสายน้ำจะพัดพาเสียงนั้นมาเพียงแค่ส่วนหนึ่ง เธอจับประเด็นได้เพียงว่ากระบี่หักและให้รอ

ชางยังคงตะโกนคุยแข่งกับสายลมและสายน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ทว่าเสียงของกัญญ์กุลณัชได้หายไปกับระลอกคลื่นไปเสียแล้ว ชางนั่งเหม่อลอยคิดถึงเธออยู่ที่เดิมตรงนั้น ด้านกัญญ์กุลณัชเมื่อเธอไม่ได้ยินเสียงของชางที่พัดพามากับสายน้ำกับสายลม เธอเริ่มรู้สึกว่าเขาอยู่ไม่ไกลจากเธอเป็นแน่ กัญญ์กุลณัชไม่รอช้าเธอจำบ้านชางที่อยู่แถวตะลักเกี๊ยะได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นเหมือนเรือนไม้ใหญ่หลังเดียวในบริเวณนี้ เธอรีบเดินแทบจะเป็นกึ่งวิ่งเพื่อไปให้ถึงเรือนไม้หลังนั้นให้เร็วที่สุด

 

 



Don`t copy text!