
หัวใจมังกร บทที่ 8 : โลกใบใหม่
โดย : สิรี กวีผล
![]()
หัวใจมังกร โดย สิรี กวีผล เรื่องของ ชายหนุ่มทายาทตระกูลจีน ถูกพรากคนรักและพรากชีวิตด้วยกระบี่ในอดีต ปาฏิหาริย์แห่งคำสาบานก่อนตายนำพาเขาและเธอกลับมาพบกัน ทว่าต่างภพชาติ ชายหนุ่มต้องเลือกระหว่างหน้าที่และครอบครัว หรือความรักที่เขารอคอยมานานนับร้อยปี อ่านเรื่องราวนี้ได้ทาง เพจอ่านเอา และ www.anowl.co
3 วันต่อมา รถราขวักไขว่เต็มทั่วท้องถนน รถบ้านขนาดใหญ่สีขาวสะอาดเอี่ยมกำลังแล่นออกจากตัวบ้านสีขาวสะอาดตา ผู้โดยสารบนรถจับจองที่นั่งพร้อมใจกันหลับตาลงเสมือนนัดกันไว้ ปล่อยให้หญิงสาวอย่างกัญญ์กุลณัชเป็นคนขับรถโดยมีชางนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถอยู่ข้างๆ โชคดีของชางที่รถของหญิงสาวมีที่กั้นระหว่างคนขับและคนนั่งซึ่งมีฟิล์มกรองแสงติดไว้แม้จะไม่มืดเท่าไรนัก แต่ในเวลาเกือบเที่ยงคืนก็ทำให้ร่างของชางมองไม่ชัดเจนนัก
“ทำไมต้องตามฉันมาด้วยนะ วุ่นวายไปหมด” กัญญ์กุลณัชมองหน้ามองหลังกลัวๆ คนที่บ้านจะเห็น แค่ตอนออกจากบ้านกว่าจะหลบสายตาคนในบ้านได้ก็เหงื่อแทบแตก
“โถ่ ลื้อก็ใจร้าย จะทิ้งอั๊วไว้ที่บ้านคนเดียวได้ยังไง อั๊วนอนจนคิดว่าจะตายคาห้องนอนลื้อมาจะสามวัน จะไม่ให้อั๊วออกจากบ้านไปไหนบ้างเลยเหรอ” ชางมองถนนหนทางอย่างตื่นตาตื่นใจเหมือนเด็กที่เพิ่งเคยได้ออกจากบ้านครั้งแรก กัญญ์กุลณัชซ่อนชางไว้ในห้องนอนของตัวเองตลอด 2 คืนที่ผ่านมา เธอทำได้เพียงแค่ให้ป้านงค์ทำกับข้าวแยกชุดขึ้นมากินบนห้องนอน ยังโชคดีที่ห้องนอนของเธอมีพื้นที่มากพอที่จะทำให้ชางอยู่ได้โดยไม่ลำบาก มีบ้างที่เขาแอบไปยืนอยู่ที่ระเบียง แต่ชางเป็นสุภาพบุรุษมาก เขาให้เกียรติเธอทุกอย่างเท่าที่ชายหนุ่มคนนึงจะทำให้ได้ พื้นที่เขานอนคงไม่ได้สบายเหมือนบ้านของเขา แต่เมื่อเขามาต่างถิ่นและจำต้องอยู่กับหญิงสาวในห้อง 2 ต่อ 2 ชางก็ทำให้กัญญ์กุลณัชอุ่นใจและสบายใจได้ไม่ยากเท่าไรนัก
“ก็ใช่น่ะสิ คนในบ้านเยอะแยะฉันจะไปบอกคนอื่นได้ยังไง แล้วนี่คุณ เลิกเรียกฉันว่าลื้อๆ ไรนี่ได้ไหม เรียกว่า กัญ ก็พอ” กัญญ์กุลณัชไม่ค่อยถนัดหูเท่าไร ชางพยักหน้าเป็นคำตอบ มือไม้ของเขาอยู่ไม่เป็นสุขเห็นปุ่มกดในรถก็เอานิ้วไปจิ้ม สวิตช์กระจกข้างก็กดลง หน้าต่างเลื่อนลงอัตโนมัติ ชางตกใจรีบปล่อยมือออกจากปุ่ม ร้องตกใจเสียงดังจนกัญญ์กุลณัชเหยียบเบรกตัวโก่ง
“คุณนั่งดีๆ ไม่ซนจะได้ไหม ฉันไม่มีสมาธิขับรถ” ชางตั้งสติได้ก็กดปุ่มหน้าต่างเลื่อนลงอย่างสนุกสนาน แต่ลมตีหน้าจนผมเผ้ากระเซอะกระเซิงไปหมดพยายามจะปิดหน้าต่างไม่รู้จะทำยังไง พยายามเอานิ้วเขี่ยๆ แผ่นกระจกเพื่อจะหยิบขึ้นมา ทว่า
“เฮ้ยยย…ย” กัญญ์กุลณัชกดสวิตช์หน้าต่างฝั่งตัวเองบังคับหน้าต่างให้ขึ้นมา ชางตกใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำเอากัญญ์กุลณัชหลุดหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน
“ตกใจอะไรกันคุณ ไม่รู้จักสวิตช์หน้าต่างหรือไง” กัญญ์กุลณัชส่ายหน้า ยิ้มให้กับความป้ำๆ เป๋อๆ ของชาง แต่ไม่ทันไรชางมองเห็นปุ่มกดตรงหน้าที่มีอยู่หลายปุ่ม มีตัวอักษรแปลกๆ ที่เขาไม่รู้จักอยู่เยอะแยะ นิ้วเรียวยาวของเขาเลือกกดปุ่ม On เสียงวิทยุในรถดังขึ้นเป็นเสียงเพลงในคลื่นวิทยุหนึ่งที่กำลังเล่น ทำเอาชางตกใจรีบกดปุ่มอื่นๆ เพื่อหยุดเสียง ทว่าเสียงกลับดังขึ้นเรื่อยๆ แถมเปลี่ยนเพลงไปเรื่อยอีก ไม่นานนักเสียงก็เริ่มเบาลง กัญญ์กุลณัชกดลดเสียงที่ปุ่มบริเวณพวงมาลัย ชางมองหน้าเธออย่างสงสัย ยื่นหน้ามาดูที่พวงมาลัย กัญญ์กุลณัชเหยียบเบรกเพราะติดไฟแดงทำเอาชางไม่ได้ตั้งตัวหัวโขกโดนพวงมาลัยไปเต็มๆ
“ฉันจะบ้าตาย คุณมาจากยุคไหนกันแน่คุณผีชาง” กัญญ์กุลณัชเริ่มหัวเสีย
“อั๊วไม่ใช่ผี ก็ไอ้รถยนต์ที่ลื้อ เฮ้ย คุณกัญเรียกมันแปลกตา แถมมีปุ่มเยอะแยะ อั๊วก็เลยอยากรู้” ชางเกาะขอบหน้าต่างดูวิวทิวทัศน์รอบๆ “แถมบ้านเมืองของคุณก็ดูทันสมัยมาก มีไฟอะไรไม่รู้เยอะแยะเต็มไปหมด แล้วทำไมคุณกัญหยุดรถยนต์ล่ะ ทำไมไม่ขับไปเรื่อยๆ” ชางถามอย่างใคร่รู้
“ไฟแดงก็ต้องหยุดเป็นกฎจราจร ถ้าไฟเขียวถึงจะให้รถวิ่ง ส่วนไฟเหลืองก็ต้องชะลอความเร็วเพื่อเบรกก่อนจะหยุดรถ แต่ส่วนใหญ่เหยียบมิดกันมากกว่า” กัญญ์กุลณัชรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนตำรวจจราจรยังไงไม่รู้ ชางเริ่มรู้สึกสนุกกับสถานที่แปลกใหม่ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน เมื่อรถยนต์เคลื่อนตัวเขาจะคอยสังเกตว่ารถยนต์เคลื่อนที่ได้ยังไง เพียงแค่หญิงสาวเหยียบอะไรดำๆ ที่พื้นก็ทำให้รถยนต์วิ่งไปข้างหน้ากับหยุดได้ ชางนึกถึงที่บ้านตัวเอง รถเครื่องพอมีให้เห็นอยู่บ้างแต่เขาไม่เคยได้นั่ง ที่บ้านของเขาไปมาหาสู่กันด้วยคนลากรถ บ้างก็เดินเป็นส่วนใหญ่
เลนถนนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ป้ายบอกขาออกสุวรรณภูมิติดเด่นมาแต่ไกลเพื่อให้นักเดินทาง คนใช้รถใช้ถนนเห็นแต่ไกล ถนนมุ่งหน้าเข้าสนามบินรถยนต์ทั้งหลายต่างมีจุดมุ่งหมายปลายทางเดียวกัน เครื่องบินกำลังทะยานออกจากสนามบิน บ้างกำลังวิ่งเข้าสู่เลนจอด บ้างจอดรอรับส่งผู้โดยสาร ชางเห็นเครื่องบินเป็นครั้งแรกในชีวิต ความตื่นตาตื่นใจอัดแน่นเต็มไปหมด รวมทั้งความกลัวที่จู่ๆ ก็เกาะกุมจิตใจของเขา การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตที่เขาไม่เคยรู้จัก ทุกคนกลายเป็นคนแปลกหน้า ครอบครัวคนรอบข้างหายวับไปกับตา เหลือเพียงแค่หญิงสาวในฝันของเขาคนเดียวที่เขาสามารถพึ่งพิงได้ในเวลานี้
“นกยักษ์!” ชางอุทานออกมา พร้อมกับชี้ไปที่เครื่องบินที่กำลังทะยานสู่ท้องฟ้า
“เขาเรียกว่าเครื่องบิน”
“เครื่องบิน เอาไว้ทำอะไร” ชางสงสัย
“เครื่องบินมีไว้ใช้สำหรับเดินทางทั้งใกล้และไกล มีทั้งเดินทางในประเทศและต่างประเทศ ทำให้เราไม่เสียเวลาในการเดินทาง แถมสะดวกสบายอีกต่างหาก” กัญญ์กุลณัชทำหน้าที่อธิบายคล้ายครูโรงเรียนประถม
“แล้วเรือล่ะ ไม่ใช้เดินทางเป็นหลักเหรอ” ยุคสมัยที่ชางอยู่การเดินเรือถือเป็นการเดินทางหลักที่พาผู้คนเดินทางไปไหนมาไหน
“ก็มีนะ แต่เดี๋ยวนี้เครื่องบินสบายกว่า เร็วกว่า เรือกว่าจะไปถึงอังกฤษใช้เวลาเป็นเดือนๆ เครื่องบินไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงแล้ว” กัญญ์กุลณัชจอดรถที่ริมทางเข้าสนามบินในจุดที่ใช้จอดสำหรับรับส่งคนไม่นานนัก ชางที่กำลังเกาะขอบหน้าต่างดูสนามบิน ดูเครื่องบินถูกมือน้อยๆ ดึงลงให้ไปมุดอยู่ใต้เบาะโผล่ขึ้นมาแค่ช่วงลำตัวเท่านั้น ที่กั้นระหว่างที่นั่งคนขับและคนนั่งถูกลดกระจกลง
“ถึงแล้วค่ะทุกคน” เสียงกัญญ์กุลณัชเจื้อยแจ้วปลุกให้พ่อแม่และพี่ณัฐตื่น ทุกคนงัวเงียพากันลงจากรถ กัญญ์กุลณัชเดินลงมาส่งพ่อแม่ พี่ณัฐเป็นคนทยอยแบกกระเป๋าลงจากรถโดยมีกฤตชย์ช่วย
“เดินทางปลอดภัยนะคะคุณแม่ คุณพ่อ พี่ณัฐด้วย” กัญญ์กุลณัชกอดพ่อแม่ด้วยความคิดถึงและเป็นห่วง
“เดี๋ยวแม่ถึงแล้วจะโทรหานะคะ อยู่บ้านดีๆ ขับรถดีๆ นะคะคุณลูกสาว ผู้ชายในห้องของหนูหล่อดีนะคะ” ภัทรากระซิบข้างๆ หู ทำเอากัญญ์กุลณัชหน้าเปลี่ยนสี
“คุณแม่เห็น”
“ไว้กลับมาค่อยมาแนะนำตัวให้พ่อกับแม่รู้จักนะ” กฤตชย์เดินเข้ามาจับมือภัทรา
“พ่อไปก่อนนะคะ รักลูกนะ พ่อก็เห็นแต่ไม่อยากให้หนูเขินเกินไปค่ะ” กฤตชย์กระซิบเบาๆ ที่ข้างแก้มลูกสาวของตนก่อนจะยิ้มให้กับภัทรา ทั้งคู่เดินจากไปพร้อมกับโบกมือให้กัญญ์กุลณัช ทั้งนี้ทั้งนั้นณัฐนันท์ได้แต่ยืนงงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ได้แต่เข้ามาโยกหัวน้องสาวตัวเองเบาๆ คล้ายเป็นห่วงก่อนจะเดินตามทั้ง 2 ไป
เมื่อลับตาคนในครอบครัวกัญญ์กุลณัช ชางก็ดันตัวเองขึ้นมาเกาะขอบหน้าต่างรถเพื่อดูวิว หน้าตาของเขาบี้แนบอยู่ที่กระจก
“ว้าย…ย” กัญญ์กุลณัชหันกลับมาไม่ทันตั้งตัว ตกใจเห็นหน้าชางบี้อยู่ที่หน้าต่างรถ ก่อนเธอจะเปิดประตูข้างทำเอาชางที่ไม่ได้ตั้งตัวคว้าตัวกัญญ์กุลณัชไว้เป็นหลักยึด กัญญ์กุลณัชตกอยู่ในอ้อมกอดของเขาอีกแล้ว สายตาคนที่มาสนามบินหันมามองเป็นตาเดียว กัญญ์กุลณัชตกใจรีบแกะมือชางออก
“ฉันต้องหาทางพาคุณกลับบ้านให้ได้ ก่อนฉันจะหัวใจวายตาย” กัญญ์กุลณัชรีบปิดประตู กระโดดขึ้นรถล๊อกรถไม่ให้ชางหลุดออกไปไหนหรือไปทำอะไรป้ำๆ เป๋อๆ อีก
ริมสระบัวแสงไฟสลัวจากเต็งลั้งสีแดง แสงสว่างจากดวงจันทร์ ความระยิบระยับจากดวงดาว ลมเย็นปะทะร่างกายที่เร่าร้อนของชุนทำเอาค่ำคืนนี้สั้นขึ้นมาถนัดตา ในวงแขนของเขากำลังโอบกอดร่างบางของหญิงสาวที่เขาปรารถนามากที่สุดในชีวิต ชุนตระกองกอดถิงถิงไว้แนบอก จากรสจูบที่เร่าร้อน จากความต้องการของทั้งคู่พาให้พวกเขาไม่สามารถหักห้ามใจได้อีก และเมื่อความรักก่อเกิดจากคนสองคนแรงดึงดูดนั้นมากมายมหาศาล ชุนประทับรอยจูบอีกครั้งที่หน้าผากของเธอ ทั้ง 2 นอนกอดกันอย่างโหยหาไออุ่น
“เฮียจะขอหมวยจากป๊า” ชุนพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“หมวยรู้สึกผิดกับเฮียชาง กับป๊า กับเถ้าแก่” ถิงถิงร้องไห้ ชุนกอดเธอไว้แน่นในอ้อมแขน เขาเข้าใจทุกความรู้สึกของเธอ ไม่ต่างกันกับที่เขากำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้ ความรัก ความรู้สึกผิด หน้าที่ ความรับผิดชอบประดังประเดเข้ามาหาเขารวมถึงสิ่งที่เขาทำกับเธอ
“เฮียจะทำให้ความรักของเราเป็นที่ยอมรับของทุกคน เฮียสัญญา” ชุนเช็ดน้ำตาให้เธอ จูบเธออย่างแผ่วเบา ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะต้องเจอกับอะไรบ้าง แต่ค่ำคืนนี้ของให้ถิงถิงเป็นของเขาเพียงผู้เดียวเพียงแค่นั้น
ใบสีเขียวอมน้ำตาลถูกม้วนอยู่ในกระดาษอย่างดี มือหยาบกระด้างหยิบม้วนกระดาษเล็กออกมาจากกระเป๋ากางเกงม้วนแล้วม้วนเล่า ไฟแช็กในมือถูกจุดขึ้นเพื่อเผาไหม้ใบสีเขียวอมน้ำตาลนั้น ควันของกระดาษที่ถูกจุดลอยคว้างบนอากาศ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของใบฝิ่นระเหยเข้าสู่จมูกของเหลียง กลิ่นหอมถูกปอดจับจองเรียบร้อยเหลือเพียงควันสีเทาจางๆ ที่พ่นคืนออกมาแทน
“หึ หึ ฮ่าฮ่าฮ่า” เป็นเสียงหัวเราะดังสะใจของเหลียง หลังจากที่เห็นภาพเหตุการณ์ของชุนกับถิงถิง
เหลียงที่สงสัยเรื่องราวของชางและชุนตอนนี้กระจ่างเต็มตา เรื่องราวที่จะนำพาให้อาณาจักรของชางพังทลายลง
“เล่นชู้กันในครอบครัว พี่น้องแย่งเมียกัน สนุกฉิบหาย” เหลียงหัวเราะดังลั่น ตาของเขาเปล่งประกายสีแดง ความอาฆาตมาดร้ายแฝงอยู่ภายในเต็มเปี่ยม ดวงตาของเขาค่อยๆ เลื่อนลอย แสยะยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่ในกมล เขาเดินเป๋ไปมาพาตัวเองกลับเรือนฟู่จ้านที่ไม่ไกลนัก ความสะใจของเขาล้นอยู่ในอก ฤทธิ์ของฝิ่นทำให้เขาคุมสติไม่อยู่ จนลืมไปว่าที่บ้านของเขาไม่มีใครรู้ว่าเขาติดฝิ่น
“ไอ้เหลียง” เสียงจ้านตะโกนเข้ม เมื่อเห็นสภาพลูกชายเดินเซพิงประตูหน้าเรือนเสียงดังโครมเบ้อเร่อ จ้านเดินเข้ามาใกล้ลูกชายตนเอง กลิ่นฝิ่นคละคลุ้งไปทั่วร่างกาย
“นี่ลื้อเล่นฝิ่นด้วยเหรอ” จ้านแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง หลี่จิ้งรีบเดินเข้ามา
“ลื้อรู้ใช่ไหมว่า ไอ้เหลียงมันติดฝิ่น” จ้านหันมาจับตัวหลี่จิ้งเขย่าอย่างแรง
“อั๊วไม่รู้นะเฮีย” หลี่จิ้งมองหน้าเหลียงอย่างเป็นห่วง ผิดกับจ้านที่โกรธเคืองหลี่จิ้งที่ดูแลลูกไม่ดี
“มีเมียอย่างลื้อ คิดผิดไปจนวันตาย หน้าตาสะสวยอย่างเดียวนอกนั้นไม่ได้เรื่อง ไม่รู้ไอ้เฉิงมันชอบอะไรที่ตัวลื้อ แค่ลูกคนเดียวยังดูแลไม่ได้” จ้านเหวี่ยงหลี่จิ้งลงพื้น เหลียงเห็นม้าตัวเองร้องไห้ที่โดนป๊าตัวเองทำร้ายก็รีบเข้ามาประคองด้วยสภาพมึนเมา
“ม้า” เหลียงพูดอย่างเป็นห่วง หลี่จิ้งโอบตัวลูกชายไว้
“ลุกขึ้นมาไอ้ตัวดี” จ้านกระชากแขนเหลียงขึ้นมา ปล่อยหมัดขวาตรงเข้าที่หน้าลูกชายตนเองจนเหลียงเซกระเด็นไปชนโต๊ะ ข้าวของตกแตกกระจาย “ลื้อไปเลิกฝิ่นให้ได้ อั๊วมีเอาไว้ขายพวกกุ๊ย ไม่ใช่ให้ลื้อมาติด มาทำตัวเป็นกุ๊ยเหมือนกับพวกมัน” จ้านชี้หน้าด่าลูกชายตัวเอง หลี่จิ้งเห็นเหลียงปากแตกก็เข้าไปเช็ดเลือดให้ลูก
“โอ๋มันเข้าไป โอ๋จนมันทำตัวเป็นกุ๊ย” เหลียงได้ยินป๊าด่าก็เลือดขึ้นหน้า
“กุ๊ยเหรอ ไหนล่ะที่บอกอั๊วว่าจะได้ขึ้นเป็นเถ้าแก่ตระกูลฟู่ ไหนล่ะเงินทอง อำนาจที่ป๊าบอกว่าโตมาแล้วอั๊วจะได้ มีที่ไหน มันอยู่ที่ไหน” เหลียงขึ้นเสียงตวาดเสียงดังลั่น
“คำก็กุ๊ย สองคำก็กุ๊ย ใครมันจะไปดีเท่าไอ้ชางของป๊ากันล่ะ เกิดมาก็มีทุกอย่างวางอยู่ตรงหน้า เป็นน้องแต่เสือกขึ้นรับตำแหน่งแทนอั๊ว อั๊วก็ไม่ต่างกับป๊าหรอกเป็นได้แค่ลูกคนรอง ไม่ใช่ลูกคนโตของตระกูลฟู่ ถ้าอั๊วเป็นกุ๊ย ก็เพราะมีป๊าเป็นกุ๊ยนั่นแหละ”
ไม่ทันขาดคำ มือของจ้านก็ตบเข้าหน้าของเหลียงไปอีกทีเต็มๆ หลังมือของจ้านกำลังจะเหวี่ยงกลับมาซ้ำ ทว่าหลี่จิ้งเข้ามาขวางไม่อยากให้จ้านทำร้ายลูก เธอจึงรับหลังมือของจ้านไปเต็มๆ จนเลือดกบปาก เหลียงได้สติเข้ามาประคองม้าไว้ จ้านมือสั่น
“ไปเลยนะ ทั้งคู่ อย่ามาให้อั๊วเห็นหน้าอีก”
คำพูดของลูกชายแทงใจดำจ้านเข้าเต็มๆ มือของเขาสั่นเทา แม้เขาจะดุด่าหรือทำร้ายคนอื่นแค่ไหน เขาก็ไม่เคยคิดจะทำร้ายครอบครัวแม้แต่ครั้งเดียว ในใจลึกๆ เขาทั้งรักและหวงหลี่จิ้งและเหลียงมาก เป็นความอยากเอาชนะเฉิงด้วยการครอบครองหลี่จิ้ง แต่เขารับรู้ได้ว่าแท้จริงแล้วเขาเองก็รักหลี่จิ้งไม่น้อย
หลังจากที่ซิงอีออกจากห้องเฉิงไป เฉิงเองก็ฉุกคิดกับคำพูดต่างๆ ของซิงอี
“เฮียๆ เขาก็อยากให้เถ้าแก่แสดงความรักกับพวกเฮียนะครับ / สัมผัสจากพ่อมีค่ากับลูกนะครับเถ้าแก่”
แม้ในใจจะรู้และเห็นด้วยอยู่เต็มอก แต่เฉิงไม่สามารถแสดงออกกับลูกๆ ของเขาได้ สัมผัสที่เขาเคยกอด หอมแก้มนั้นหมดไปตั้งแต่ลูกของเขาอายุกี่ขวบเขาก็จำไม่ได้
“คิดถึงอาชางอยู่เหรอเถ้าแก่” จางหย่งเดินเข้ามาเงียบๆ เฉิงเช็ดหน้าเช็ดตาทำตัวเข้มแข็งเช่นเคย “ไม่ต้องซ่อนหรอกเถ้าแก่ อั๊วอยู่กับเถ้าแก่มาจนถึงขนาดนี้แล้ว เราสองคนผ่านอะไรมากันเยอะพอที่จะรู้ว่าตอนนี้เถ้าแก่คิดยังไง”
“อั๊วทำผิดใช่ไหม อาหย่ง” น้ำเสียงเฉิงเศร้าลง “อั๊วหวังดีกับลูก อยากให้ได้ดี มีครอบครัวที่ดี” จางหย่งเดินเข้ามานั่งข้างๆ
“เถ้าแก่ไม่ผิดหรอก แต่ความหวังดีของเถ้าแก่อาจจะไปทำร้ายความรู้สึกของลูกๆ” จางหย่งมองหน้าเฉิงอย่างใจเย็น “อั๊วเองก็ทำผิดกับอาถิงเหมือนกัน จริงๆ อั๊วรับปากที่จะมาคุยกับเถ้าแก่ให้ อาถิงไม่ได้รักอาชางเลยนะเถ้าแก่” จางหย่งพูดตรงๆ เฉิงมองหน้าจางหย่งอย่างหาคำตอบ
“เถ้าแก่อาจจะดูไม่ออก แต่ลูกสาวอั๊วมีใจให้กับอาชุนอยู่นะ” จางหย่งพูดตรงกว่าเดิม เฉิงสะอึกไป
“แต่อั๊วเห็นอาชางกอดกับอาถิง”
“พี่น้องกันกอดกันด้วยความเป็นห่วง วันก่อนอาชางไปมีปากเสียงกับอาเหลียงมา อาถิงก็เลยทำแผลให้ ภาพที่เราเห็นอาจจะไม่ใช่อย่างที่เราคิดเสมอไปหรอกนะเถ้าแก่” จางหย่งเตือนสติเฉิง
“แต่อั๊วประกาศไปแล้ว ยังไงอั๊วก็จะไม่คืนคำเด็ดขาด อั๊วจะไม่ยอมให้คนนินทาว่าตระกูลฟู่เสียๆ หายๆ หมั้นหมายกับพี่แต่ไปแต่งกับคนน้อง อั๊วยอมไม่ได้” เฉิงประกาศกร้าว “ดึกแล้วลื้อไปนอนเถอะ อั๊วขออยู่คนเดียว” สิ้นคำพูดเฉิงก็เดินหายเข้าไปอีกฟากหนึ่งของห้องนอน
รถบ้านไซซ์ใหญ่สีขาวกลับเข้ามาจอดที่จอดรถภายในตัวบ้าน ป้านงค์เดินเข้ามารับคุณหนูของเธอ ชางลงมาจากรถโดยลืมไปว่าที่บ้านของกัญญ์กุลณัชไม่มีใครเคยเห็นหน้าเขามาก่อน
“ใครหรือคะคุณหนู” กัญญ์กุลณัชตกใจ ลืมตัวไปว่ามีชางนั่งรถกลับมาด้วยรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน
“เพื่อนสาวของกัญญ์เองค่ะ ป้านงค์ไปนอนได้แล้วค่ะ ดึกแล้ว กัญดูแลตัวเองได้ค่ะ” กัญญ์กุลณัชดันหลังป้านงค์เบาๆ เป็นเชิงไล่ให้ไปนอน กลัวป้านงค์จะบอกพ่อแม่ของเธอ
ชางเพิ่งได้เห็นบ้านของกัญญ์กุลณัชเต็มๆ ตาจากภายนอก บ้านของเธอดูโอ่อ่ากว้างใหญ่ มีหญ้าเขียวๆ อยู่หน้าบ้านเกือบเต็มพื้นที่ ตัวบ้านเป็นบ้านปูน 2 ชั้น มีกระจกบานใหญ่แปลกตา แถมไฟในบ้านก็สวยงามเหมือนหยดน้ำเล็กๆ ไล่ระดับอยู่บนบันไดขึ้นชั้น 2 พลันสายตาเหลือบไปเห็นบ่อน้ำหน้าบ้าน ชางสนใจเดินไปดูหวังจะเห็นปลาเหมือนบ้านตัวเอง ทว่าบ่อน้ำนั้นกลับมีน้ำพุ่งขึ้นมา น้ำพุ่งเข้าเต็มหน้าชางจนหงายหลัง
“น้ำแตกแล้วคุณกัญ” กัญญ์กุลณัชได้ยินคำนั้นก็ตกใจรีบเอามือไปปิดปากคนพูด
“อ้ามแอก อ้ามแอก อุนอันอิดอากอ๋มอำไอ” ชางพยายามพูดผ่านมือที่ถูกปิด
“จะบ้าเหรอคุณ น้ำแตกอะไร นี่เขาเรียกว่าน้ำพุ” กัญญ์กุลณัชลมแทบจับ เสียงชางตะโกนจนเพื่อนบ้านเปิดไฟ ชางมองน้ำพุตรงหน้าสวยงามก็นึกว่าเป็นที่อาบน้ำกลางแจ้ง รีบถอดเสื้อโยนลงพื้นทว่ากลับไปลงหน้าของกัญญ์กุลณัชเต็มๆ เธอรีบปัดเสื้อเขาออกเพื่อไปดึงเขาออกจากน้ำพุตรงหน้าก่อนจะมีใครมาเห็นเข้า เธอต้องหยิบมือถือมาเปิดแฟลชนึกว่าเขาจะจมน้ำไป ทว่าเธอเดินรอบน้ำพุหลายรอบกลับไม่เจอชางที่ลงไปเล่นน้ำ

- READ หัวใจมังกร บทที่ 9 : ความรับผิดชอบ
- READ หัวใจมังกร บทที่ 8 : โลกใบใหม่
- READ หัวใจมังกร บทที่ 7 : แนะนำตัว
- READ หัวใจมังกร บทที่ 6 : รอยบิ่น
- READ หัวใจมังกร บทที่ 5 : โชคชะตา
- READ หัวใจมังกร บทที่ 4 : ดอกโบตั๋น
- READ หัวใจมังกร บทที่ 3 : พายุอารมณ์
- READ หัวใจมังกร บทที่ 2 : ตระกูลฟู่
- READ หัวใจมังกร บทที่ 1 : คนแปลกหน้า







