
หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 20 : พาโลโสเก
โดย : กันต์พิชญ์
หริณจันทร์กังสดาล นวนิยายจาก กันต์พิชญ์ นักเขียนจากช่องวันอ่านเอาปี 1 ที่เปิดตัวด้วยผลงานสุดระทึกวางไม่ลง ‘ม่อนเมิงมาง’ ตามด้วย ‘วายัง’ และ ‘สีตคีตา’ ที่ประดาผู้อ่านกล่าวขานว่างานเขียนของกันต์พิชญ์นั้นช่างโดดเด่นและแตกต่าง และวันนี้เขามากับผลงานเรื่องนี้ที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านบนเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา
“พวกเจ้าอุกอาจดักปล้นกระบวนบรรณาการ หวังให้พระบาทกัมรเตงอัญแห่งยโศธรปุระยกทัพย่ำยีศกุนตะใช่ฤๅไม่”
“นั่นเป็นเพียงคำกล่าวหาเลื่อนลอย…” แววตาอินทรธนูดูพร่ามัวด้วยความเจ็บปวด ริมฝีปากบางแตกระแหงขยับถามย้อน “อัญขอถามท่านได้ฤๅไม่ว่าผู้ใดกล่าวโทษชาวรุ้งพราย ฤๅมีผู้ใดเป็นพยานรู้เห็นในเหตุการณ์ ท่านจึงกล่าวราวกับมั่นใจได้เช่นนี้”
ผู้สอบสวนตกตะลึง รอยยิ้มบนใบหน้าแห้งเหือดในชั่วพริบตา ด้วยการไต่สวนคดีความอย่างทหารมักรีบร้อนโยนความผิดให้กับนักโทษ คุ้นชินกับการรวบรัดตัดบทดังที่เป็นมา มันตบบัลลังก์ตั่งสูงดังสนั่นเพื่อกลบเกลื่อน ก่อนโน้มตัวข้ามตั่งด้วยแววตาหยามเหยียดชิงชัง ตวาดเสียงเฉียบ
“เหล่าโขลญศกุนตะต่างรู้แก่ใจ พวกมึงเข้าหากลุ่มโจรป่าปาสคะเมาตั้งแต่แรก หมายร่วมมือกันแทรกซึมศกุนตะ ตีให้แตกจากภายในด้วยการเข่นฆ่าเหล่าขุนนางผู้บริสุทธิ์” มันอ้างถึงพวกขบถดำที่เคยทรยศต่อสรุกห้วยลำแสนไพรอาบาล อันเป็นที่ตั้งภวาลัยศรีศิขรีศวร
“บ่…พวกอัญบ่ได้…”
อินทรธนูขยับริมฝีปากที่แห้งแตกเป็นขุย พยายามสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างยากลำบากขณะตอบ
“ยังจะกล้าหน้าด้านปฏิเสธ ดันทุรังมิรู้ผิดรู้ชอบ!”
เด็กหนุ่มวัยสิบห้าส่ายหน้าให้คำครหา
ยามนี้เปลือกตาของอินทรธนูช่างหนักอึ้ง มือเท้าที่ถูกเชือกเส้นเขื่องรัดแน่นเริ่มเย็นเฉียบจนลมหายใจแทบขาดห้วง เขาไม่รู้วันรู้คืนว่าผ่านไปนานเท่าไรแล้ว มาบัดนี้เส้นประสาทใต้ผิวหนังของแผ่นหลังที่ถูกโบยไม่มีความรู้สึกอีกต่อไป หน้ามืดตาลายคล้ายชีวิตแขวนห้อยด้วยเส้นไหมอยู่กลางอากาศเหนือผาภนุมฎองแรกอันสูงชัน
ประมาทเพียงเล็กน้อย…
ใยหุ้มดักแด้ที่รั้งเนื้อตัวเขาเอาไว้ย่อมขาดผึง ปล่อยร่างกายลงกระแทกพื้นหุบเหวจนแหลกลาญ
“จงสารภาพมาตามตรง!” ผู้สอบสวนตะคอก
อินทรธนูใช้หัวไหล่ยันกายตั้งใจจะลุกขึ้น แต่ถูกอารักษ์ที่กรูเข้ามากดร่างแนบพื้นดิน
“กูเห็นว่ามึงอายุยังน้อยนัก ก่อนหน้านี้จึงเมตตา มิได้สั่งให้ลงทัณฑ์สถานหนัก แต่ในเมื่อมึงยังดื้อรั้นเป็นผู้ร้ายปากแข็ง อย่าหาว่ากูใจร้ายก็แล้วกัน” มันพยักพเยิดส่งสัญญาณให้เหล่าอารักษ์
ร่างผอมบางถูกลากไปยังพื้นที่ว่างหน้าบัลลังก์ จากนั้นทั้งสองแขนสองเท้าก็ถูกปลดจากบ่วงเชือก สอดเข้าไปในขื่อ แล้วตอกลิ่มกันไว้ไม่ให้หลุด
บุรุษอารักษ์รูปร่างกำยำย่ำสามขุมเข้ามาหยุดยืนอยู่ด้านข้าง มือข้างที่ถือไม้พลองเรียวยาวกำลังกะเกณฑ์น้ำหนัก จากนั้นก็หวดไม้ลงมายังแผ่นหลังครั้งหนึ่ง
“กูจะถามมึงอีกครั้ง” ผู้สอบสวนยกกุนติกา ภาชนะคล้ายเหยือกสองหู บรรจุสาโทขึ้นจิบหลายอึกอย่างใจเย็น “รุ้งพรายสมคบขบถดำวางแผนประทุษร้ายศกุนตะใช่ฤๅไม่”
“เผ่ารุ้งพรายเป็นผู้บริสุทธิ์…”
อินทรธนูไม่ยอมรับ พยายามเปล่งคำปฏิเสธเสียงแหบแห้ง แม้ร่างกายของเด็กหนุ่มจะเริ่มทนไม่ไหวแล้วก็ตาม
“มีชาวศกุนตะหลายคนเห็นพวกขบถดำป้วนเปี้ยนอยู่แถวตะเข็บหลายครั้งหลายหน มิว่าใครต่างก็รู้ดีว่ามีเพียงพวกเจ้าที่ไปมาหาสู่กับกากเดนพวกนี้”
“หมู่เราเพียงค้าขาย…”
สติสมประดีของเด็กหนุ่มวัยสิบห้าเริ่มเลือนราง เหงื่อกาฬแตกพลั่กทั้งที่ลมหนาวพัดหวีดหวิว
รัตตินี้ช่างมืดทะมึนไร้จุดสิ้นสุด
ท่ามกลางเสียงลม อินทรธนูรู้สึกเหมือนได้กลับไปอยู่ในเพิงกระท่อมแสนอบอุ่นแถวราวป่า
โลหิตแดงฉานค่อยๆ ไหลรินจากปากแผลนับไม่ถ้วนบนแผ่นหลังเปล่าเปลือยสีนวล จากนั้นก่อตัวหยาดของเหลวน่าพรั่นพรึง หยดลงผืนดินเย็นเยียบ
เด็กหนุ่มพยายามกัดฟันทั้งที่ริมฝีปากกำลังสั่นระริก หยาดน้ำใสเอ่อท้นตรงหางตา
“ศิน…” อินทรธนูสะอื้นเสียงเบา “ชาตินี้อัญคงบ่ได้อยู่เป็นคู่ชีพิตของเตอีกแล้ว…”
คำรำพันของเด็กหนุ่มถูกลมหนาวฉีกทึ้ง ลอยล่องอยู่ในเสียงอึงอลของราตรีเย็นยะเยือกอย่างกระท่อนกระแท่น ก่อนม่านแห่งอนธการจะคลี่คลุมสัมปชัญญะทั้งมวลของอินทรธนู
รอบกายศศินมืดมิด กลิ่นคาวเลือดและกลิ่นปากแผลที่เริ่มเน่าของนักโทษผู้อยู่ในห้องคุมขังติดกันตลบฟุ้งในอากาศ เด็กหนุ่มเผลอกลั้นหายใจ เม้มปากสนิท เพราะเส้นประสาทกำลังส่งอาการปวดหนึบมาเป็นระยะด้วยว่าถูกทุบตีจนน่วมไปทั้งตัว หาใช่เหตุจากกลิ่นไม่พึงประสงค์ไม่
“อินทร์…ยามนี้เตจะเป็นอย่างไรบ้าง…”
เด็กหนุ่มยันกายลุกขึ้นยืน เบือนหน้ากวาดตามองดูสภาพรอบกายอย่างยากลำบาก ผนังห้องคุมขังฝั่งตรงข้ามทวารเหล็กกล้าเต็มไปด้วยเครื่องมือลงทัณฑ์สนิมเขรอะแขวนเรียงรายเป็นแถว
บุตรชายหัวหน้าเผ่ารุ้งพรายผู้เลือดร้อนเดินย่ำเท้าไปมาในห้องคุมขัง
ทุกสิ่งที่สร้างมาหมดสิ้นแล้ว ประตูเหล็กกล้าของตรุตะรางได้ปิดลงแล้ว
ความรู้สึกของชนกลุ่มน้อยที่ถูกกวาดต้อนลงลำรางน้ำครำได้กรีดลึกลงขั้วหัวใจของเด็กหนุ่มซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ระหว่างศศินกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาในคุกโขลญทหาร รูปร่างของผู้เดินนำหน้านั้นอ้วนท้วน บุคลิกภายนอกดูสง่างามอ่อนโยนสมกับเป็นผู้ตัดสินคดีความและพิจารณาคุณโทษ ส่วนสีหน้าผู้เดินตามหลังเต็มไปด้วยความแข็งกร้าวดุดัน ดูแล้วคงเป็นไอ้หัวหน้าทหารโขลญซึ่งรับหน้าที่มาสอบสวนตนกับบิดา
และแน่นอน ไอ้โขลญนายนี้สนิทสนมกับผู้สอบสวนปลัดขิกนั่น
ทันทีที่พวกเขาเพลี่ยงพล้ำตกอยู่ในกำมือของพวกมัน จึงถูกทรมานปางตาย
ทั้งที่พวกตนเป็นผู้บริสุทธิ์แท้ๆ
“บริสุทธิ์งั้นฤๅ” ศศินแค่นเสียง เอ่ยกับตัวเองแผ่วเบา “บริสุทธิ์ในสายตาใครเล่า อัญจะยังกล้าตะโกนบอกใครต่อใครไหมเล่าว่าตนบริสุทธิ์ ผู้คนจะได้หัวร่อถุยน้ำลายใส่หน้าประไร ทุกคนคงขำกันตายห่า เกิดมาเป็นรุ้งพราย หุบปากไว้นั่นละดีแล้ว…”
คนทั้งกลุ่มเดินมาถึงหน้าประตูห้องตรุ พัศดีร่างท้วมที่ย่ำเข้ามาพร้อมกับไอ้หาญผู้รั้งตำแหน่งมหาเสนาปติ วางถ้วยใส่แกงพร้อมกระบอกไผ่ใส่ข้าวเหนียวลงพื้น
“เอาสิ่งใดมาให้มันกิน” ไอ้หาญยกปลายเท้าเขี่ยถ้วยออกไปเบื้องหน้าเบาๆ
เมื่อผู้บังคับบัญชาหน่วยสมิงอย่างมันเห็นแกงอ่อมหมูสามชั้นเลิศรสก็ชำเลืองไปทางพัศดีอย่างไม่สบอารมณ์
“ในเมื่อมันได้รับบทลงโทษฐานปากแข็งไปแล้ว ก็ปล่อยให้มันได้กินอิ่มนอนหลับสักมื้อเถอะ” ใบหน้าพัศดีร่างท้วมเต็มไปด้วยความเมตตา ไร้ท่าทีขุ่นเขืองไอ้หาญที่มันกล้าเอ่ยคำพูดและแสดงพฤติกรรมไม่เคารพยำเกรงเด็กหนุ่มป่าดง
ไอ้หาญกลับเบ้ปาก หัวเราะขึ้นจมูก แสร้งซวนเซจนสะดุดถ้วยแกงหกกระจาย ก่อนออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เอ้า กินเข้าไปซี”
มหาเสนาปติจงใจแสดงพฤติกรรมกักขฬะเพื่อหยามเหยียดศศินอย่างชัดแจ้ง เพราะห้องตรุแห่งนี้ไม่ต่างอะไรกับทัณฑสถานชั่วช้าที่ป้อนคนให้เพชฌฆาตได้ไม่เคยขาด หยาดเลือดของนักโทษซึ่งมีทั้งผิดจริงและถูกใส่ไคล้ให้สารภาพหลั่งรดแทบจะทุกอณูมาหลายปี สั่งสมเป็นคราบดำก่ออาการสะอิดสะเอียนติดกรังอยู่บนพื้นและผนัง
เด็กหนุ่มก้มหน้าต่ำ พยายามซ่อนไอสังหารในแววตา
จู่ๆ ก็มีเสียงกรีดร้องดังโหยหวนทะผ่านผนังหินเข้ามา คล้ายคนกำลังถูกทรมาน เสียงกรีดร้องในช่วงหัวค่ำทำให้มหาเสนาปติหนาววาบ เดินไปมาดุจสัตว์ดิรัจฉานติดอยู่ในจั่นหับ
“ช่วงนี้มีนักโทษเสียสติด้วย?” มหาเสนาปติหาญมุ่นหัวคิ้ว
“ไอ้พวกระยำ! สามรุมหนึ่ง ใช้ไม้พลองอีกต่างหาก แน่จริงก็เรียงเดี่ยวเข้ามาเลย ไอ้พวกตาขาว!” เสียงตะโกนของนักโทษดังก้องแทนคำตอบของคำถาม ตามด้วยเสียงคำรามคล้ายสัตว์ที่บาดเจ็บก่อนสิ้นสติ
และแล้วทุกอย่างก็เงียบงัน เหลือเพียงเสียงอะไรบางอย่างถูกลากไปตามพื้นหิน
พัศดีร่างท้วมซึ่งยืนอยู่ข้างหน้าศศินเคลื่อนปลายนิ้วไปแตะศอก…เพียงนิ้วชี้นิ้วเดียวเท่านั้น เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นทันที เห็นนัยแฝงที่ซุกซ่อนอยู่ในนัยน์ตาชายสูงวัยชัดเจน
‘รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี เพราะบนโลกนี้สิ่งที่ไม่คุ้มค่ากับเหรียญตรามากที่สุดก็คือชีวิตของพวกรุ้งพราย ไม่ช้าก็เร็วจักต้องถูกเก็บกวาดให้สะอาด’
“เฉลาญ์ผู้หนึ่งฝากข้ามาบอกว่ามีคนรออยู่ในระแทะข้างบาราย เยื้องมุมกำแพงแก้วทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอโรคยาศาล” พัศดีกระซิบ บอกสถานที่นัดหมายอันหมายถึง ‘ศาลาไร้โรค’
เด็กหนุ่มหรี่ตา เกรงว่าจะเป็นหลุมพราง แต่ก็ยอมพยักหน้ารับรู้ด้วยนั่นเป็นหนทางเพียงสายเดียวที่จะนำให้เขาหลุดพ้นจากสถานจองจำ
ศศินกวาดตามองหาแสงจันทร์ซึ่งน่าจะลอดเข้ามาตามช่องว่างของผนัง แต่ดิถีนี้เป็นช่วงข้างแรม นั่นหมายความว่ามันจำเป็นต้องเดินคลำกำแพงไปเรื่อยๆ กระทั่งถึงที่หมาย เพราะบริเวณนี้มืดสนิท ไม่อาจมองเห็นอะไรแม้ในระยะแค่ปลายจมูก
จังหวะนั้นเองอารักษ์สองนายยกเปลหามอินทรธนูที่เพิ่งสูญสติเมื่อครู่เข้ามา
ศศินกำหมัดแน่น ขบกรามจบแทบแหลกละเอียดทันทีที่เห็นสภาพคู่ชีพิตของตนในสภาพยับเยิน
พวกมันจงใจเลือกอินทรธนูไปลงทัณฑ์ทรมาน ด้วยเห็นว่าเด็กหนุ่มรูปงามผู้นี้คงเป็นคนหัวอ่อน บังคับให้สารภาพสิ่งใดย่อมเออออห่อหมกง่ายดาย
หารู้ไม่ แม้ร่างกายอินทรธนูจะดูเก้งก้าง แต่นั่นคือลักษณะของบุรุษปราดเปรียว หาใช่ผ่ายผอมเพราะอ่อนแอ
ศศินรู้ดีว่าไอ้หาญต้องการสิ่งใด
ผู้ชายที่เพิ่งขึ้นรั้งตำแหน่งผู้นี้เกลียดชังวิถีทางเพศยิ่งกว่าสิ่งใดในโลกหล้า จึงหาทางเป่าหูโปญให้กำจัดพวกศศินเสมอมา
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงหน้าบรรณาการวันนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับเผ่ารุ้งพราย
เด็กหนุ่มอาศัยจังหวะที่ไอ้หาญกำลังสนใจสภาพอินทรธนูซึ่งนอนแบ็บอยู่ในเปล เป็นโอกาสที่มันผินหน้ามองตามหลังอารักษ์เหล่านั้นไปพอดี
ศศินออกแรงฟาดสันมือเข้าก้านคอไอ้มหาเสนาปติขี้กร่างให้สาสมกับที่พวกมันได้กระทำต่อร่างอินทรธนู กระทั่งมันล้มลงไปนอนแผ่หลาโดยไม่มีเสียงเปล่งออกมาสักแอะ
ทว่าสิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มแปลกใจยิ่งกว่าคือการที่พัศดีและอารักษ์อีกสองนายต่างก็ยืนมองสิ่งที่เกิดขึ้นเงียบๆ มิหนำซ้ำยังเข้ามาช่วยศศินลากร่างไอ้หาญเข้าไปไว้ในห้องคุมขังอีกต่างหาก
ก่อนศศินจะผลักร่างหัวหน้าโขลญเข้าไปในตรุ เด็กหนุ่มเลือกที่จะฟาดมันที่ต้นคออีกที เพื่อความแน่ใจว่ามันจะไม่ฟื้นขึ้นมาในอีกไม่กี่ชั่วยาม
นักโทษคนอื่นๆ บ้างหลับใหลไม่รู้เรื่องราว บ้างลืมตาตื่น แต่ไม่มีใครสักคนที่ใคร่จะใส่ใจภาวะแวดล้อมรอบกาย
ศศินกระชากพวงกุญแจบั้นเอวมหาเสนาปติ แล้วรีบวิ่งไปเปิดประตูห้องขังของบิดา จากนั้นตรงดิ่งไปยังประตูทางออก ตามด้วยพัศดีร่างท้วมและอารักษ์สองนายที่หามร่างอินทรธนู
“พวกเตเป็นใคร” ศศินถาม
“มิใช่เวลามาอ้อยอิ่ง” อารักษ์ผู้หนึ่งตอบ
เด็กหนุ่มเหลือบไปเห็นตระบองของนายทวารวางกลิ้งอยู่บนพื้น ส่วนเจ้าของนั่งอยู่ตรงข้ามบานประตู ปกติแล้วตรงจุดนี้มักมีนายทวารอยู่สามนาย ไม่รู้ว่าสองนายที่เหลือหายหัวไปที่ใด
ศศินพยายามเปิดบานประตูหนาหนักไม่ให้เกิดเสียง บานพับคร่ำคร่าขึ้นสนิมกลับอดครวญครางไม่ได้
โชคร้ายที่นายทวารยังไม่ทันจะรู้สึกตัว อารักษ์ก็ปรี่เข้าไปฟาดมันให้หลับลึกยิ่งกว่าเดิม ทำให้มันยังคงนั่งอยู่หลังตั่งเตี้ยทั้งอย่างนั้น
ศศินคว้าตระบองก่อนวิ่งลงกระไดหินที่มีแสงไฟสลัวจากตะคันบนตั่งเตี้ยส่องถึง โดยไม่คิดจะลากร่างนายทวารเข้าไปในห้องคุมขัง เมื่อถึงเชิงกระไดถึงได้รู้ว่าทางสะดวก รอบกายมืดมิด เด็กหนุ่มจำเป็นต้องอาศัยการเพ่งไม่น้อย จึงจะเห็นกำแพงแก้วของอโรคยาศาลอยู่ลิบๆ
เด็กหนุ่มวิ่งไปยังมุมกำแพง เอื้อมมือคลำไปตลอดทาง ก่อนจะล้มหัวคะมำลงกับพื้นเมื่อฝ่ามือพบกับความว่างเปล่า
“ศศิน?”
คำถามดังมาจากข้างบาราย
“ใช่ อัญเอง” เด็กหนุ่มขานรับ
ผู้ที่นั่งอยู่บนแป้นชานระแทะจุดไฟป๊ก เครื่องจุดไฟอย่างง่ายโดยใช้หินเหล็กไฟมาตีกันอย่างเร็วให้เกิดสะเก็ดติดใยนุ่นซึ่งเป็นเชื้อไฟในกระบอกปุยทำจากลำไผ่ แสงไฟสว่างวาบสาดส่องใบหน้าหมดจดคมคาย
“ขึ้นมาซี”
“เฉลาญ์ที่เข้าประนีประนอมเมื่อตอนบ่าย?” ศศินถาม “ตกลงเตเป็นใครกันแน่”
“ผู้ที่กำลังช่วยนักโทษแหกคุกอย่างไรเล่า”
ระแทะพุ่งออกไปในความมืดทันทีที่กระสัง ศศิน และอารักษ์สองนายยกอินทรธนูขึ้นบองเกวียน ส่วนพัศดีคงรั้งรอกลบเกลื่อนสิ่งที่เกิดขึ้นในคุก
“แต่เหตุใดพวกเตถึง…”
รองหัวหน้าเผ่ารุ้งพรายเอ่ยถามยังไม่ทันสิ้นความ ผู้นั่งบนแป้นชานกลับสวนขึ้นทันควัน
“ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปมิได้ ทั้งศกุนตะและเผ่าของเจ้าจะตายกันหมด”
ศศินเห็นชัดว่าอาการง่วงงุนกำลังคืบคลานเข้าครอบงำอีกฝ่ายเช่นกัน เพราะถ้อยคำที่ได้ยินล้วนถูกกดต่ำบ่งความอ่อนล้า
“เราจำเป็นต้องร่วมมือกัน มิเช่นนั้น…”
ไม่อย่างนั้นจะลงเอยเช่นไร ไม่ต้องพูดทุกคนในบองเกวียนก็รู้ชัดอยู่แก่ใจ
ศศินจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาระแวดระวัง “เตตั้งใจทำสิ่งใด”
“แม่ข้าคุ้นเคยกับพวกโขลญ รู้ดีว่าพวกมันเกลียดชังรุ้งพรายด้วยเหตุใด”
“อ้างว่าเผ่ารุ้งพรายเป็นตัวเสนียดนำโรคระบาดมาสู่ชุมชนศกุนตะ” ศศินขยายความจากคำของเฉลาญ์หนุ่ม
ปูรณิมพยักหน้า ยื่นยาลูกกลอนส่งให้อารักษ์ป้อนใส่ปากอินทรธนู จังหวะนั้นเด็กหนุ่มเพิ่งสังเกตเห็นว่าศศินกุมมืออินทรธนูเอาไว้ตลอดเวลา
ที่สำคัญ…แม่ของข้านั่นละที่เป็นชนวนเหตุสำคัญ เพราะความรู้สึกของมารดาเฉลาญ์หนุ่มมีใจปฏิพัทธ์กับนางเดือนหัวหน้าเผ่ารุ้งพรายไม่เคยเปลี่ยนอย่างไรเล่า แม้บิดาของปูรณิมจะพยายามใช้ลำลึงค์รักษาแม่ร่วมสิบห้าปี แต่ความรู้สึกของบานเมืองก็ไม่เคยเปลี่ยน
ปูรณิมกดเรื่องราววรรคสุดท้ายให้จมลงสู่ก้นบึ้งของหัวใจ
“ดูจากเหตุการณ์ในวันนี้แล้ว พวกโขลญจงใจเลือกวันส่วยลงมือก่อความวุ่นวายเรียกความสนใจ ข้าคิดว่าผู้อยู่เบื้องหลังจงใจป้ายสีชาวรุ้งพราย อาศัยระลอกคลื่นแห่งความไม่ชอบใจของชาวศกุนตะช่วยโหมกระพือ” พูดจบ เฉลาญ์ปูรณิมก็ผินหน้ากลับ มองฝ่าความมืดตรงไปเบื้องหน้า
ศศินแปลกใจกับความเปิดเผยของอีกฝ่ายไม่น้อย จึงผงกศีรษะเงียบงัน เพราะเด็กหนุ่มเองก็คะเนเหตุการณ์ไปในทิศทางนั้นเช่นเดียวกัน
“เหตุใดอัญต้องเชื่อเต” ศศินยังคงดึงดัน
“เอ็งมีทางเลือกอื่นฤๅ”
“เหตุใดเตถึงช่วยอัญ”
“เพราะข้าไร้หนทางอื่น นี่คือวิถีเดียวที่เราสามารถธำรงศานติเอาไว้ได้” ปูรณิมเอ่ยตอบอย่างอดทน ก่อนชะลอเกวียนระแทะ
ศศินนิ่งรออีกฝ่ายอยู่อึดใจใหญ่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบว่าเด็กหนุ่มหยุดเกวียนด้วยเหตุใด จึงทำท่าจะชะโงกศีรษะออกไปดูสถานการณ์รอบด้าน
“หากเป็นข้า จะไม่โผล่หัวออกนอกบองเกวียนสุ่มสี่สุ่มห้าอย่างนั้น” น้ำเสียงปูรณิมฟังดูเฉียบขาด
“มีสิ่งใด”
“ได้ยินฤๅไม่” เฉลาญ์หนุ่มกวาดตามองรอบทิศ
ศศินเงี่ยหูฟัง บรรยากาศโดยรอบเงียบเชียบยิ่ง เด็กหนุ่มจึงมุ่นคิ้วส่ายหน้า “แปลก บ่เห็นมีเสียงอันใดเลย”
“ใช่ ไม่มีเสียงสิ่งใดแม้แต่น้อย” นัยน์ตาปูรณิมหรี่ลงตรวจตราละเอียดลออ วาววับดุจจิ้งจอกในไพรเถื่อน เรียวนิ้วที่กุมสายบังเหียนเค้นแน่นขึ้น “ไม่มีแม้แต่เสียงจิ้งหรีดแลเรไร”
เด็กหนุ่มชาวรุ้งพรายเริ่มกระวนกระวาย ทุกสิ่งรอบกายไร้ซึ่งความเคลื่อนไหว นั่นยิ่งทำให้มันรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ศศินเป็นคนป่าเจนไพร นับแต่เล็กสืบใหญ่สัญชาตญาณของมันจึงมักแม่นยำเสมอ
ทันใดนั้นร่างของอารักษ์นายหนึ่งซึ่งนั่งข้างเปลอินทรธนูก็โงนเงนล้มร่วงจากบองเกวียน
“ห้อเกวียนบัดเดี๋ยวนี้!”
ชีพจรของศศินพลันเต้นตุบรุนแรง มันตะโกนสั่งเฉลาญ์หนุ่มทันที ขณะดึงใบมีดปีกผีเสื้อบางและเบาออกมาจากผ้าพันข้อมือ
บัดนี้โขลญหน่วยสมิงสองนายที่หมอบอยู่แนบพื้นพลิกร่างลุกขึ้น ยกแผ่นไม้ขึ้นใช้ต่างโล่ คอยคุ้มกันอีกคนไม่ให้ต้องปลายศรหน้าไม้จากคนในบองเกวียน
การเคลื่อนไหวของพวกมันเร็วรี่ไม่ขาดตอน ประหนึ่งถูกเคี่ยวกรำเพื่อการนี้นับครั้งไม่ถ้วน
กลุ่มโขลญหลายนายที่อยู่ใกล้เกวียนระแทะมากที่สุดกู่คำรามแล้วกระโจนเข้าประชิด แต่หนึ่งในพวกมันกลับล้มคว่ำคลุกฝุ่นดินกรวดศิลาแลงหลายตลบก่อนแน่นิ่ง อีกหลายคนแผดร้องเจ็บปวดโหยหวน ด้วยลูกศรขนาดยาวอาบพิษคางคกแดงถูกยิงมาจากป่าทึบที่อยู่ห่างออกไป
เห็นได้ชัดว่าเป็นศรพิษหัวแหลมที่พุ่งผ่านสุมทุมปักลงบนต้นขาของพวกมันอย่างแม่นยำนั้น เป็นอาวุธที่เผ่ารุ้งพรายเชี่ยวชาญ
“พ่อ?” ศศินจ้องลึกเข้าไปในนัยน์ตาของบิดา
กระสังผงกศีรษะ ลูกศรเหล่านี้เป็นของชาวรุ้งพรายผู้ร่วมกระบวนส่งส่วยบรรณาการช่วงเช้าที่ผ่านมา
ปีนี้ไอ้หาญขึ้นรั้งตำแหน่งมหาเสนาปติด้วยท่าทีแข็งกร้าว หัวหน้ากองทหารโขลญคนใหม่เริ่มกล่าวโทษเผ่ารุ้งพรายว่าเป็นตัวการนำไข้วิปริตมาติดชาวศกุนตะ บุรุษเริ่มทำตัวอ่อนแอกระชดกระช้อย บ้างปกปิดหนีเมียไปเที่ยวหอสังคีต ที่ทางสำหรับบุรุษชำเราแก่บุรุษ เหล่าอิตถีบางรายยิ่งเป็นหนัก ไม่ยอมออกเรือนเป็นสาวเทื้อขึ้นคาน หันไปเล่นเพื่อน ซ้ำร้ายยังไม่ยอมอุทิศตัวต่อสามีและลูก มหาเสนาปติจึงประกาศให้คำมั่นว่ามันจะขันอาสาเป็นตัวแทนโปญ เจ้าผู้ครองสรุกศกุนตะ มากอบกู้เกียรติยศของสรุกให้กลับมาถูกต้องครรลองคลองธรรมดังเดิม
ด้วยเหตุนี้ หลังเสร็จพิธีส่งส่วยกระสังจึงสั่งให้ผู้ร่วมขบวนติดอาวุธคอยท่าอยู่นอกสรุก ส่วนตนตัดสินใจรั้งรอตั้งแผงแบกะดินขายของป่ากับลูกชายเพื่อสืบหาความเป็นไป โดยมีอินทรธนู คู่ชีพิตของศศินร่วมอยู่โยง แต่ลูกชายเจ้ากรรมดันมาก่อเรื่องตีปากคนก่อนเสียได้
“พ่อรู้?”
กระสั่งส่ายหน้า “เพียงสังหรณ์ ท่าทีของทหารที่เพิ่งขึ้นเป็นใหญ่บ่สู้ดีกับหมู่เราเท่าใดนัก”
การตอบโต้ของเผ่ารุ้งพรายที่ซ่อนตัวอยู่ช่วงชิงเวลาพอให้หายใจหายคอได้สะดวก บัดนี้ทั่วบริเวณกลับคืนสู่ความเงียบสงัดอย่างรวดเร็ว หลงเหลือเพียงศพทอดร่างระเกะระกะตามแนวสุมทุม แต่ผู้ที่ยังมีลมหายใจในบองเกวียนระแทะยังคงตื่นตัวระมัดระวัง
ชั่วพริบตานั้นโขลญนายหนึ่งซึ่งเดิมทีทอดร่างแน่นิ่งอยู่บนพื้นดินพลันถีบตัวขึ้น เล็งหน้าไม้ใส่คนในบองเกวียน
“ระวัง!” กระสังตะโกนก่อนเบี่ยงกายออกกำบังบุตรชายที่นั่งอยู่ติดกัน
ฉึก!
ศศินหน้าเผือดเมื่อเห็นศรดำปักคาหน้าอกของบิดา
ร่างชายวัยสามสิบชะงักค้างอยู่เช่นนั้นครู่หนึ่ง ประกายตาตื่นตกใจ แขนทั้งสองข้างห้อยลงเชื่องช้า
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 24 : ข้าวจี่
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 23 : มล้าง
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 22 : สุดสวาสดิ์
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 21 : สมิง
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 20 : พาโลโสเก
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 19 : ส่วย
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 18 : ภูเตศวร
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 17 : ศาลิครามศิลา
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 16 : โหมกูณฑ์
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 15 : ความหวัง
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 14 : เชื้อไข้
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 13 : รุ้งพราย
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 12 : พรานโจร
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 11 : หอสังคีต
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 10 : ผลึกเศษะ
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 9 : จตุรงค์
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 8 : ป้อมแดง
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 7 : เฒ่าเกิบ
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 6 : จันทบเพชร
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 5 : ประลัย
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 4 : ข้างนอก
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 3 : คู่ชีพิต
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 2 : สาลิกา
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 1 : อาตมัน
- READ หริณจันทร์กังสดาล : อาทิบรรพ