
หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 23 : มล้าง
โดย : กันต์พิชญ์
หริณจันทร์กังสดาล นวนิยายจาก กันต์พิชญ์ นักเขียนจากช่องวันอ่านเอาปี 1 ที่เปิดตัวด้วยผลงานสุดระทึกวางไม่ลง ‘ม่อนเมิงมาง’ ตามด้วย ‘วายัง’ และ ‘สีตคีตา’ ที่ประดาผู้อ่านกล่าวขานว่างานเขียนของกันต์พิชญ์นั้นช่างโดดเด่นและแตกต่าง และวันนี้เขามากับผลงานเรื่องนี้ที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านบนเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา
“เตคือลูกชายของบานเมืองอย่างนั้นฤๅ”
หัวไหล่บานเมืองสั่นสะท้าน ปิดเปลือกตาทั้งสองลงอย่างอ่อนล้า เพลานี้ความรู้สึกหลายหลากประเดประดังเข้ามาพร้อมกันจนเธอแทบแบกรับเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป
“ดีแล้วละ วิธีที่ประโคนบังคับให้อัญทำ ใช้ได้ผลอย่างที่มันเคยบอกเอาไว้จริงๆ” เดือนนึกถึงเรื่องราวเมื่อสิบห้าปีก่อน
วันนั้นเด็กสาวตั้งใจเข้าสรุกเพื่อแอบไปเยี่ยมบานเมืองอยู่ก่อนแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ประโคนถึงได้บุกมาหาเธอถึงเพิงพักคนงานเหมือง
‘กูจะช่วยมึงและพวกรุ้งพรายออกจากเหมืองนี้เอง แต่มีข้อแม้ว่ามึงห้ามกลับมาเจอหน้าอีเมืองอีก ออกเรือนมีผัวกับคนในเผ่าของมึงเสีย อีเมืองจะได้หายขาดจากไข้วิปริต มิเช่นนั้น…’ ประโคนบีบต้นแขนของเดือนจนปวดหนึบ ‘กูจะขายอีเมืองเข้าซ่อง จองล้างจองผลาญมิให้เผ่ารุ้งพรายได้อยู่อย่างสงบ!’
ทว่าไม่มีสัจจะในหมู่คนพาล
แม้บานเมืองตัดสินใจกินดองกับกระสัง หวังว่าบานเมืองจะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างที่นายจำกอบอยากให้ลูกสาวเป็น แต่บานเมืองกลับถูกยกให้เป็นของเล่นไอ้หาญ ทหารหนุ่มชั้นผู้น้อย นิสัยทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูง
เดือนจึงไม่อาจอยู่เฉยอีกต่อไป ตัดสินใจนำเผ่ารุ้งพรายเข้าชิงตัวบานเมือง
ผลเป็นเช่นไรย่อมรู้ดี น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟประลัยกัลป์เสมอ
นับแต่นั้นไอ้หาญจึงโพนทะนาว่าเผ่ารุ้งพรายก่อขบถ เขียนฎีกาถวายแด่โปญ ขออาสาจับพวกรุ้งพรายในเหมืองไปกุดหัวให้หมด
‘นั่นมิใช่การกระทำเพื่อปิตุภูมิ การใช้กองกำลังเข้าห้ำหั่นมิใช่ทางออก’
โปญปรามไอ้หาญเพียงเท่านั้น แล้วกวาดต้อนเผ่ารุ้งพรายให้ไปอยู่ตีนเขาภนุมฎองแรกแถวตะเข็บสรุกดังเดิม และมีข้อแม้ว่าทุกปีต้องมีหน้าส่วย ตั้งกระบวนแห่แหนเครื่องบรรณาการเข้าถวายแด่โปญ
“ใช่ ข้าคือลูกชายโทนของแม่เมืองกับพ่อหาญ” ปูรณิมตอบคำ
ยังไม่ทันที่เดือนจะได้สอบถามเด็กหนุ่มไปมากกว่านั้น ยายเฒ่าลงผีพร้อมหมอมนตร์เดินกระย่องกระแย่งถือปูนขาวและใบยาสูบเข้ามาพอดี
“พ่อหนุ่มชาวสรุกห้อไปที่เรือนแม่บานเมือง บอกอัญว่ากำลังจะมีพิธีศพ”
ยายเฒ่าชะงัก ประกายตาะระทดสลดใจเมื่อเห็นสภาพแผ่นหลังเปลือยเปล่าของอินทรธนูหลานชายของตนในบองเกวียน ศศินซึ่งนั่งกุมมืออินทรธนูอยู่ข้างกันกำลังสะอึกสะอื้นจนตัวโยน แขนข้างหนึ่งประคองร่างไร้ลมหายใจของกระสังให้นอนแนบตัก
เดือนผินหน้ามองบุตรชาย ก่อนย่ำช้าๆ เข้าไปลูบศีรษะศศินเบาๆ
แม้ศศินเป็นผลพวงจากข้อบังคับของนายจำกอบ แต่นางก็รักเลือดเนื้อเชื้อไขผู้นี้อย่างไม่มีข้อแม้
และการที่เดือนตัดสินใจไม่เข้าไปปลอบโยนเด็กหนุ่มทันที ก็เพราะนางอนุญาตให้เขาเศร้า เห็นคุณค่าของความเศร้าในชีวิต ไม่ผลักไส ให้เวลา ไม่เห็นเป็นของแปลกปลอมที่ต้องกำจัด ไม่เร่งรีบให้หายเศร้า การให้เกียรติความเศร้าของศศิน คือการให้เกียรติเส้นทางชีวิตของศศินอีกทางหนึ่ง
สิ่งที่เดือนทำคือการปรากฏตัวต่อหน้าลูกชาย อยู่ด้วยไม่ห่างหาย ให้ศศินรู้สึกว่าตนมีคนรักและห่วงใยอยู่ข้างตัว
นี่เองคือความรักในแบบของรุ้งพราย ความรักที่ยอมมอบโอกาสและพื้นที่ให้คนที่เรารักได้เป็นในแบบที่เขาเป็น เพราะรุ้งพรายรู้ว่าคนผู้นั้นจะถูกฟูมฟักประกอบร่างตัวเองขึ้นมาได้ด้วยปัญญาในตัวเอง
“แม่จะอยู่เคียงข้างลูกเสมอ” เดือนคว้ามือของศศินมาเกาะกุม
“อัญให้คนเตรียมหัวปลาและเครื่องเลี้ยงผีเอาไว้แล้ว” ยายเฒ่าทอดถอนใจอย่างสมเพชเวทนา “ที่เหลือก็อาบน้ำแต่งตัวเสียให้ดี ค่อยวางพ่อกระสังลงบนใบยาสูบโรยปูนขาว ยกไปฝังในป่าผี”
เดือนผงกศีรษะ มองหมอมนตร์ใช้ปลายนิ้วกวนยาทาแผลสีดำกลิ่นฉุนในชามดินเผา จากนั้นทาบนแผ่นหลังที่ถูกเฆี่ยนของอินทรธนู
“อัญสังหรณ์บ่ดีเลย” ยายเฒ่าลงผีกระซิบ
ทว่าถ้อยคำเหล่านั้นถูกกลบด้วยเสียงร้องเจ็บปวดทรมานของหลานชาย ทันทีที่ยาโดนแผ่นหลัง
“กังวลเรื่องแผลที่แผ่นหลังของพ่ออินทร์ฤๅ” เดือนถามอ้อมๆ
“บ่ายนี้อัญเห็นคนแปลกหน้าแถวชายป่า…”
ยายเฒ่าไม่ได้ตอบคำถามของสตรีหัวหน้าเผ่า ด้วยกำลังจมจ่มอยู่กับสิ่งที่ยายเฒ่าเพิ่งประจักษ์แก่ตาเมื่อช่วงดวงตะวันจวนอัสดงที่ผ่านมา มันคือภาพของส่วนกำลังราบศกุนตะสองสามนายเข้ามาด้อมมองแถวราวป่า
“สีโจงสมพตน่าจะเป็นโขลญของศกุนตะ ตั้งแต่เผ่ารุ้งพรายย้ายจากเหมืองมาอยู่ที่นี่ อัญยังบ่เคยเห็นพวกโขลญโผล่เข้ามาแถวนี้เลยสักครั้ง…ทั้งยังมีข่าวลือไปทั่ว” หมอมนตร์เสริม
เดือนพินิจถ้อยคำที่ได้ยิน นางคุ้นเคยกับวิธีการนุ่งโธตีแนบเนื้อเช่นนี้ดีมาตั้งแต่เมื่อสิบห้าปีก่อน ตั้งแต่ตอนที่หล่อนเทียวไปตลาดพวกศกุนตะเพื่อพบสตรีผู้หนึ่งอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ซึ่งการนุ่งโธตีของส่วนกำลังราบเป็นแบบซ้อนชั้นอย่างพวกลังกาทั้งกระบิ รอยจีบหน้าขาก่อเกิดเส้นริ้ว อันเป็นลักษณะพิเศษของผืนผ้าหน้าแคบที่ถูกถักทอด้วยกี่รั้งเอว
“ข่าวลือ?” เดือนเอียงศีรษะ
ยายเฒ่าจูงแขนหัวหน้าเผ่าออกห่างจากบองเกวียน กระซิบเสียงสั่น
“มิแน่ว่าไอ้หาญอยากกวาดต้อนพวกเราเข้าสรุกอีกครั้ง แต่ครานี้บ่ได้กวาดต้อนชาวรุ้งพรายไปทำเหมือง แต่กวาดต้อนหมู่เราเข้าสู่การฆ่าล้างบาง”
“นี่พวกมันถึงขั้นจะฆ่าล้างบางหมู่เราเชียวฤๅ!” น้ำตาเอ่อคลอดวงตาทั้งสองข้างของเดือน
“ฤๅหมู่เราควรหนีออกไปให้พ้นจากที่นี่” หมอมนตร์เสนอหนทางที่ง่ายกว่าลุกขึ้นสู้มากนัก “ออกสู่อรรณพกว้าง โบยบินเสรี”
“หากที่นี่บ่มีอิสระให้เผ่ารุ้งพราย ก็บ่มีที่ใดอีกแล้วที่เสรี”
คำยืนยันหนักแน่นของเดือนก้องกังวานไปทั่วทั้งขุนเขา
ก่อนวันตั้งกระบวนส่งส่วยบรรณาการหนึ่งวัน
อากาศอวลด้วยเครื่องหอมไม้จันทน์หนักอึ้ง ตะคันทรงสูงจำนวนมากสาดแสงอบอุ่นไปทั่วห้อง บานเมืองเสตาจ้องเส้นฝ้ายฟั่นเกลียวสีแดงที่จุ่มอยู่ในน้ำมันมะพร้าวกำลังลุกไหม้ช้าๆ
“ข้าก็จะเป็นเช่นนั้นในอีกไม่กี่อึดใจนี้ละ” หญิงสาวกระซิบเหน็บแนมตนเอง
เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของเดือน บานเมืองจำต้องทำทุกสิ่งตามที่บิดาสั่ง
โขลญหาญโบกมือไล่บ่าวไพร่ของมันแล้วบานประตูก็หับลง แสงไฟวับแวมทำให้มันไม่ทันได้สังเกตอาการขยะแขยงที่ปรากฏบนสีหน้าของผู้เป็นเมีย กอปรกับไอ้หาญมัวแต่ง่วนอยู่กับการมองเรือนผม ลำคอ และความนุ่มนิ่มของเนินอกบานเมือง
ทั้งที่อยู่กินกันมากระทั่งปูรณิมอายุย่างสิบห้า แต่โขลญหาญยังคงหลงใหลเคลิบเคลิ้มกับเมียผู้นี้ไม่เสื่อมคลาย
การละเล่นของบานเมืองจึงจำเป็นต้องดำเนินต่อเนื่องอย่างไร้จุดสิ้นสุด
ก่อนหน้าปูรณิมจะเกิด นางเคยนึกแคลงใจว่าการละเล่นยื่นหมูยื่นแมวนี้ตนจำต้องเสียสละสิ่งใดบ้าง
‘ไม่ ฉันไม่ได้เสียสิ่งใดเลย’ บานเมืองกล่อมตัวเอง ‘พวกผู้ชายพรรค์นี้ไม่สามารถเอาสิ่งใดไปจากฉันได้’
ความเคลื่อนไหวภายในห้องทำให้เปลวไฟในถ้วยตะคันสั่นไหว ห้องนอนของเรือนแบบไม่มีโข่งหลังนี้โอ่โถงไม่น้อย แคร่ไม้กระดานตั้งอยู่กลางห้อง ปูทับด้วยฟูกนอนผ้าขิดลายขาวตัดดำยัดนุ่นจนฟูนุ่ม ผนังมีคันฉ่องเนื้อสำริดที่ถูกขัดจนสะท้อนเงาเต็มตัววางอยู่
ทหารหนุ่มประคองเมียสาวไปหยุดอยู่ข้างช่องขนาดเล็กพอให้ยื่นศีรษะออกไปได้
“ค่ำนี้ฟ้างาม” มันโอ่อวด ด้วยเรือนของคนท้องถิ่นทิศอีสานไม่นิยมเจาะหน้าต่าง ทว่าเรือนของมันเจาะช่องไว้ดูดาว ชมนกดูไม้ ทำให้ดูพิเศษกว่าเรือนผู้อื่นในละแวก “เอ็งอยากดูกับข้าฤๅไม่”
บานเมืองฝืนยิ้ม
เรือนของโขลญหาญหลังนี้กรุฝาไม้ไผ่สานลายคุบ ซึ่งเป็นการใช้ตอกปื้นและตอกผิวสานคละ แม้ไอ้หาญเจ้าของเรือนเพิ่งรั้งตำแหน่งมหาเสนาปติ ผู้บังคับบัญชาประดาทหารโขลญ ทว่าที่พักอาศัยหลังนี้ของมันกลับไม่มีเรือนโข่ง มีเพียงชานขนาดไม่กว้างนักเชื่อมระหว่างเรือนนอน ครัว และร้านน้ำ
ผู้ชายพรรค์นี้มั่งคั่งขนาดนี้มาได้อย่างไร ทั้งที่โขลญชั้นผู้น้อยคนอื่นยังชะเง้อต่อแถวรับเบี้ยหวัดรายปีอันน้อยนิด
คำตอบคือนายจำกอบ บิดาของเธอ
นายจำกอบคิด โขลญทหารดัน พวกมันย่อมได้ผลประโยชน์
“จิบสักหน่อยไหม” บานเมืองเอ่ยถาม พลางยื่นขันน้ำตะไคร้เหยาะน้ำผึ้งป่า
ฝ่ายหลังยังคงแหงนหน้ามองท้องนภา ไม่ได้ขานคำตอบ หยักยิ้มมุมปากเจืออาการพึงใจ จากนั้นมันจึงรับขันเงินไว้ในมือ ยกดื่มอึกใหญ่ทีเดียวครึ่งขัน ครางเสียงต่ำในลำคอด้วยแรงราคะ
บานเมืองแสร้งหัวเราะคิกคัก ด้วยลึกๆ ในหัวใจนางเต็มไปด้วยความรู้สึกเคียดแค้นชิงชัง
“จิบน้ำผึ้งมิใช่เช่นนี้ แบบที่พี่ทำเขาเรียกว่าดื่มน้ำฝน”
“ข้ามิได้นึกถึงศิลปะในการละเลียดสิ่งใดมากมาย รับรู้ได้เพียงรสหวานซ่านลิ้นก็พอแล้ว” หาญพลอยหัวเราะตามผู้เป็นเมีย ในใจคิดหาสาเหตุว่าทำไมวันนี้บานเมืองถึงได้เอาอกเอาใจเขาเป็นพิเศษ
“น้ำผึ้งชั้นสูงควรต้องหวานหกส่วนหอมติดจมูกสี่ส่วน ลื่นแลชุ่มคอ น้ำผึ้งชั้นกลางหวานเจ็ดหอมสาม ลื่นคอแต่เลี่ยน ส่วนน้ำผึ้งของดิฉานเป็นเพียงน้ำผึ้งชั้นต่ำ หวานแต่ไม่หอม ทั้งเลี่ยนแลไม่ลื่นคอ”
บานเมืองเน้นคำว่า ‘ดิฉาน’ เป็นพิเศษ ด้วยสรรพนามนี้เป็นคำที่ไอ้หาญชอบใจเวลาได้ยินเธอพูดเหลือเกิน แต่ยิ่งบานเมืองใช้คำนี้แทนตัวเองมากเท่าไร เธอยิ่งรู้สึกราวกับว่าตนกำลังเอ่ยคำแทนตัวเองว่า ‘ดิรัจฉาน’ อย่างไรอย่างนั้น
ไอ้หาญหัวเราะชอบใจอย่างที่บานเมืองคาด กัดฟันอยู่กับไอ้หาญมาตั้งสิบห้าปีจะไม่ให้เธอรู้ซึ้งถึงสันดานของมันได้อย่างไร
เพื่อแลกกับความปลอดภัยของคนที่เธอรักแล้ว ไม่ว่าสิ่งใดเธอก็ยอมได้ทั้งนั้น
“แล้วผึ้งเช่นไรจึงจักได้น้ำผึ้งชั้นสูง”
ความงามและความเย้ายวนอย่างเป็นธรรมชาติของบานเมืองทำให้ลมหายใจของไอ้หาญแทบขาดห้วง
“ผึ้งไฟ” ริมฝีปากอวบอิ่มเอื้อนเอ่ย
“ผึ้งไฟ? ชื่อนี้ข้ามิเคยได้ยิน เลี้ยงอย่างผึ้งโพรงของชาวสรุกฤๅไม่”
เสนาปติพยายามทำตัวให้มีเสน่ห์สุดความสามารถ ทั้งที่ดูอย่างไรก็เหมือนนักเลงอันธพาลกักขฬะชอบรังแกผู้อื่น โดยเฉพาะการใช้อำนาจกับผู้ไร้อำนาจ
บานเมืองพยักหน้า
“ยายเฒ่าลงผีที่มาอยู่กับเราเคยเลี้ยง ได้ยินว่าทั้งหวานแลหอมติดจมูก”
“ญาติแม่เมืองที่มาจากยโศธรปุระน่ะฤๅ” โขลญหนุ่มนิ่วหน้าทันที
สาเหตุที่มันนิ่วหน้าหาใช่เรื่องราวที่บ้านเมืองโป้ปดเกี่ยวกับยายเฒ่าลงผี แต่เมื่อมันไพล่นึกถึงบ้านเมืองทางทิศใต้ทีไร ก็มักอดนึกถึงพวกรุ้งพรายไม่ได้
“พูดถึงยโศธรปุระก็อดนึกถึงพวกวิปริตไม่ได้…”
บานเมืองเม้มปากแน่น ไม่ได้เอ่ยอะไร
เพราะหากไอ้หาญล่วงรู้ว่าแท้จริงแล้วยายเฒ่าลงผีผู้นี้เป็นตัวแทนของเดือน คอยส่งข่าวเทียวไปมาระหว่างบานเมืองกับเผ่ารุ้งพรายละก็ ไอ้หาญคงถึงขั้นบั่นคอตัวเองตายเพราะความโง่งมเป็นแน่แท้
“พวกเสนียดจัญไร อยู่ไปก็รกโลก บ้างเลือกสมสู่เบื้องหน้า บ้างร่วมประเวณีด้านหลัง ชายหญิง หญิงหญิง ชายชาย ทุด! แค่คิดก็อยากสำรอก”
บานเมืองสะดุ้ง
ใช่ นางเองก็ไม่นิยมชมชอบลึงค์เหมือนกันกับเผ่ารุ้งพราย
แม้คำสอนของบรรพบุรุษสรุกศกุนตะมองว่าความสัมพันธ์ระหว่างสตรีเป็นสิ่งต้องห้าม ทว่านางไม่อาจหักห้ามความรู้สึกของตนได้แม้แต่น้อย ที่ผ่านมานางเอาตัวรอดได้เป็นอย่างดีด้วยการทำทีเป็นสวามิภักดิ์ ไม่โต้แย้ง แต่สิ่งที่ผู้อื่นไม่เคยรู้คือบานเมืองได้ซ่อนตัวตนหนึ่งไว้เป็นความลับ
‘บานเมือง’ เดือนยืนกระซิบเรียกอยู่ข้างเรือน ‘เตเป็นอะไรฤๅ ล้มหมอนนอนเสื่อใช่บ่’
สายตาเลื่อนลอยของบานเมืองพลันมีชีวิตชีวาขึ้นมาเล็กน้อย ไม่รู้กี่วันแล้วที่นางไม่ได้ยินเสียงนี้
‘ฉันมิได้ป่วย…’ แต่หลุมอเวจีในหัวใจของเด็กสาวกำลังร้อนเป็นไฟ
บานเมืองจะบอกสตรีผู้เป็นที่รักของตนเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า
‘โอ๊ย! มีลูกสาวก็เหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้านอย่างเขาว่า’ นายจำกอบย่ำกระไดลงไปใต้ถุนเรือน ตะคอก ‘กูทำเวรทำกรรมอะไรไว้นักหนาวะ ตัวเสนียดถึงได้เทียวมาตอมอยู่แถวนี้ไม่หยุดหย่อน ไสหัวไปเลยนะมึง อย่าเสนอหน้ามาชวนลูกสาวกูไปเข้าลิทธิพิปริตของพวกมึงอีก ไป!’
ทุกครั้งที่คิดถึงคืนวันที่บิดาขังตนไว้ในเรือนเมื่อสิบห้าปีก่อน บานเมืองก็อดไม่ได้ที่จะมุ่นหัวคิ้ว
ไอ้หาญคงรับรู้ได้ จึงหันหน้าเข้าหาปรางนุ่มนิ่มของเมียที่อยู่ในโอวาท แล้วหยอกล้อด้วยการบรรจงจูบลงไปครั้งหนึ่ง
“แม่เมือง แม่เมืองเจ้าคะ”
ขณะที่ริมฝีปากของบานเมืองกำลังสั่นระริก ยายเฒ่าก็ซอยเท้าถี่มาจากหน้าเรือน พลางส่งเสียงเรียกแต่ไกล โชคดีที่หญิงชราเข้ามาได้จังหวะ ดึงความสนใจ ขัดอาการเสียจริตของบานเมืองไม่ให้กำเริบ รั้งกรงเล็บที่กำลังจะถูกยกขึ้นทึ้งศีรษะของตัวเธอเองให้ชะงักงัน
บานเมืองผินหน้าตามเสียงเรียกหญิงชราที่กำลังรียรุดเข้ามาหาแล้วทำทีเป็นเอ็ดไปอย่างนั้นเอง
“ยายเฒ่า ทำไมเจ้าจึงเสียมารยาทเช่นนี้ เบาเสียงลงหน่อย รบกวนเวลาพักผ่อนของท่านมหาเสนาปติแล้ว”
หญิงสูงวัยงำวาจา ไม่เอื้อนเอ่ยคำใดอีก ขณะเดียวกันก็ผ่อนฝีเท้าให้ช้าลง กระทั่งยอบกายลงข้างกายโฉมสะคราญ “มีโขลญมาขอพบท่านมหาเสนาปติเจ้าค่ะ”
“ตายจริง ดึกดื่นป่านนี้มีเรื่องด่วนอันใด” บานเมืองยกหัวคิ้วเล็กน้อย
“บอกให้พวกมันรั้งอยู่หน้าเรือน ประเดี๋ยวข้าจะลงไป” ไอ้หาญหงุดหงิดที่มีคนมาขัดจังหวะเข้าด้ายเข้าเข็ม
“เจ้าค่ะ” ยายเฒ่าเอ่ยก่อนกระวีกระวาดลงจากเรือนไป
จังหวะนั้นโขลญผู้น้อยนายหนึ่งวิ่งตะลีตะลานเข้ามาหาผู้บังคับบัญชา คำพูดกระท่อนกระแท่นเต็มไปด้วยลมหายใจหอบถี่ “ท่านมหาเสนาปติ!”
“มีเรื่องอันใดก็พูดมา”
บานเมืองลอบชำเลืองสังเกตการแต่งกายของโขลญผู้นี้แวบหนึ่ง มันนุ่งโจงสมพตทิ้งชายตกข้างสะเอวทั้งสองด้าน อันเป็นการใช้ผ้าผืนแคบยาวพันรอบสะเอว ผูกปมด้านหลัง จากนั้นดึงชายด้านหน้าลอดใต้หว่างขา แล้วเหน็บไว้ด้านหลังอีกที ซึ่งบางครั้งหญิงสาวได้ยินชาวศกุนตะเรียกการนุ่งเช่นนี้ว่าการนุ่งแบบชักชายผ้า ท่อนบนเปล่าเปลือยของมันมีเพียงสายเศวาลติดตาบทิศขนาดกระจิริดไว้กลางแผ่นหลัง
โขลญผู้น้อยดูอึกอัก จากนั้นกลอกตาจ้องบานเมืองและผู้ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่มันจะพูด
“ถ้าอย่างนั้นฉันกับยายเฒ่าจักเข้าครัวตั้งเครื่องว่างไว้รอ” บานเมืองตีสีหน้าเกรงอกเกรงใจ
“ว่ามา” หาญสั่งหลังจากบานเมืองเดินคล้อยหลังไป
“วันพรุ่งพวกรุ้งพรายจักตั้งกระบวนส่วนบรรณาการ”
ไอ้หาญได้ฟังพลันหรี่ตาอันลิงโลด ฤกษ์งามยามดีที่มันเฝ้ารอมาถึงแล้ว บัดนี้มันได้ขึ้นเป็นรองผู้บังคับบัญชา ดูแลหน่วยสมิง สามารถออกคำสั่งให้พวกชิงชังพวกวิปริตผิดเพศลงมือทำอะไรก็ย่อมได้
“ไอ้บัด มึงไปแจ้งหน่วยสมิงที่ภักดีต่อข้าเตรียมตัวให้พร้อม ข้าหาเรื่องดีๆ ไว้รอใส่ไคล้พวกมันเอาไว้แล้ว” ไอ้หาญกระซิบ “แล้วมึงก็อย่าเพิ่งกระโตกกระตาก”
โขลญผู้น้อยพยักหน้าก่อนแจ้นออกไป
บานเมืองหรี่ตามองตามแผ่นหลังไอ้บัดพลางจิกปลายนิ้วลงบนเสาเรือนไม้ตะแบก
ความเจ็บปวดพุ่งแปลบขึ้นที่ขมับซ้ายของเธออีกแล้ว
บานเมืองกระซิบงึมงำกับตัวเองโดยเริ่มจากสิ่งสามัญ สิ่งที่เธอรู้แน่ว่านั่นคือความจริงไม่ใช่ภาพหลอน ก่อนขยับไปยังสิ่งซับซ้อนรอบกาย แล้วความรวดร้าวทั้งมวลจะหายไป
“กูชื่อบานเมือง คนรักของกูชื่อเดือนเผ่ารุ้งพราย กูเกลียดเพศผู้ ตัวผู้ทุกตัวล้วนชาติชั่วทั้งนั้น กูอยากให้พวกมันตายไปให้หมด!”
ปลายเล็บที่กดลงไปในเนื้อเสาถูกง้างกระทั่งปรากฏหยดเลือดขนาดจิ๋วซึมซิบบริเวณผิวหนังเยื่อขาวข้างเล็บ
และแล้วอาการเต้นตุบแถวขมับก็หายไป
“แม่เมือง…” ยายเฒ่าลงผีโผเข้ามาด้วยความเป็นห่วง
“ข้ามิเป็นอันใด” บานเมืองยกมือปราม “คงต้องรบกวนยายเฒ่าช่วยส่งข่าวให้ปูรณิม”
หญิงชราผงกศีรษะหนักแน่น
“กำชับให้ลูกชายฉันคอยอยู่โยงรักษาความปลอดภัยให้เผ่ารุ้งพรายตลอดหน้าส่วยที่จักถึง” บัดนี้นัยน์ตาของหญิงสาวมีแต่ความคลุ้มคลั่ง “ไม่น่าว่าไอ้หาญจักถือโอกาสใส่ความกระบวนส่วยสาบรรณาการ หาเรื่องเข้าห้ำหั่นเผ่ารุ้งพราย”
“ครานี้ร้ายแรงถึงขั้นคอขาดบาดตายเทียว?” ยายเฒ่าลงผีเบิกตาโพลง
“ข้าก็หวังว่าไอ้หาญจักไม่กล้าบังอาจถึงเพียงนั้น”
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 24 : ข้าวจี่
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 23 : มล้าง
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 22 : สุดสวาสดิ์
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 21 : สมิง
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 20 : พาโลโสเก
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 19 : ส่วย
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 18 : ภูเตศวร
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 17 : ศาลิครามศิลา
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 16 : โหมกูณฑ์
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 15 : ความหวัง
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 14 : เชื้อไข้
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 13 : รุ้งพราย
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 12 : พรานโจร
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 11 : หอสังคีต
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 10 : ผลึกเศษะ
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 9 : จตุรงค์
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 8 : ป้อมแดง
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 7 : เฒ่าเกิบ
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 6 : จันทบเพชร
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 5 : ประลัย
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 4 : ข้างนอก
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 3 : คู่ชีพิต
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 2 : สาลิกา
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 1 : อาตมัน
- READ หริณจันทร์กังสดาล : อาทิบรรพ