คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี บทที่ 13 : แม่หญิงนาตาชา

คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี บทที่ 13 : แม่หญิงนาตาชา

โดย : พงศกร

คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี นวนิยายโรแมนติกคอมเมดี้จากอ่านเอา โดย พงศกร เมื่อวิญญาณของแพทย์หญิงยุคปัจจุบันเข้าไปอยู่ในร่างแม่หญิงแห่งกรุงศรีผู้บอบบางที่มีคนหมั่นไส้ทั้งเมือง เธอจึงต้องลุกขึ้นมาปฏิวัติชีวิตของแม่หญิงคนนี้ให้แข็งแกร่ง ไม่ต้องพึ่งพาผู้ชายคนไหน โดยเฉพาะคุณหลวงกำแหงฤทธิรณ หนุ่มหล่อ…อยุธยาคิ้วต์บอยคนนั้น!

 

กลิ่นอาหารเย็นที่แม่หญิงดาราทำหอมฟุ้งไปทั่วทั้งเรือน ออกหลวงกำแหงฤทธิรณถึงกับท้องร้องจ๊อก เมื่อเธอยกสำรับออกมาจากครัว เขาจึงชะโงกไปมองข้าวในโถกระเบื้องด้วยความสนใจ

“ข้าวคลุกกะปิเจ้าค่ะ” ดาราเรศอธิบาย ขณะที่ออกหลวงหนุ่มได้แต่กะพริบตาปริบๆ ด้วยไม่เคยรู้จักกับเมนูประหลาดแบบนี้มาก่อน

“ข้าวคลุกกะปิ” เขาทวนคำของดาราเรศ

“ฮื่อ” หญิงสาวพยักหน้า ยังไม่ทันจะได้อธิบายอะไร เงาอ้วนๆก็โผล่ขึ้นมาจากพื้นกระดานกลางเรือน เล่นเอาดาราเรศตกใจเกือบทำโถข้าวหกคว่ำ

“จ๊ะเอ๋..ขอหนูกินมั่งสิน้า”

หนูยอดนั่นเอง โผล่มาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว

แต่ยังดีที่กุมารตัวแสบทำตามที่รับปากไว้ คือไม่ปรากฏตัวออกมาแบบน่ากลัว แต่มาในรูปลักษณ์ของเด็กชายร่างอ้วนกลม ไว้ผมจุก หน้าตาน่ารัก

“ฉันแบ่งใส่สำรับเล็กๆ เอาไว้ให้แล้วในครัว” ดาเรศพึมพำบอกผีเด็ก “ไปกินเลย อย่ามายุ่งแถวนี้ ผู้ใหญ่เขาจะคุยกัน”

“เย้” กุมารตะโกนด้วยความดีใจ ก่อนจะวิ่งโครมครามหายไปทางห้องครัว และทั้งหมดนั้นมีเพียงดาราเรศคนเดียวที่เห็นและได้ยิน

“พูดกับใครน่ะแม่ดารา” ออกหลวงหนุ่มเลิกคิ้ว

“ปะ…เปล่าเจ้าค่ะ” ดาราเรศรีบแก้ตัว “ฉันบ่นอะไรไปตามประสา…คุณพี่อย่าใส่ใจเลย มากินข้าวดีกว่าเจ้าค่ะ กำลังร้อนๆเลย”

ข้าวผัดกับกะปิมีสีม่วงอ่อนๆ ส่งกลิ่นหอมกรุ่นจนน้ำลายไหล เส้นสีเหลืองๆที่โรยอยู่บนข้าวนั้นคือไข่เจียวหั่นฝอย ที่เคียงอยู่ข้างๆคือหมูผัดกับน้ำตาลจนเหนียวเข้าเนื้อเป็นสีน้ำตาลเข้ม ยังจะมะม่วงดิบซอยเป็นเส้นฝอยเพื่อเพิ่มรสชาติอมเปรี้ยว และถั่วฝักยาวที่หั่นเป็นแว่นเล็กๆกับหอมแดงนั่นด้วย

“ข้าว…นำไปคลุกกับกะปิ…” หัวคิ้วของเขายังขมวดมุ่น “กินแบบนี้ได้ด้วยหรือ…ฉันเคยกินแต่น้ำพริก”

“ได้สิเจ้าคะ” ดาราเรศหัวเราะชอบใจ เธอหยิบถ้วยที่บรรจุเม็ดมะม่วงหิมพานต์คั่วจนหอมกรุ่น เอามาโรยลงไปบนข้าว “ต้องโรยด้วยเม็ดมะม่วงหิมพานต์ด้วยเจ้าคะ…โชคดีมากๆ ที่ได้เม็ดมะม่วงหิมพานต์มาจากแม่มีนา เลยได้เอามาใช้พอดี”

ยังพูดไม่ทันขาดคำ สามีของเธอก็รีบกินข้าวคลุกกะปิด้วยความเอร็ดอร่อย เพียงไม่กี่อึดใจก็หมดเกลี้ยงจาน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหิวหรือเพราะอร่อยกันแน่

“อร่อยมาก” เขาเอ่ยชม ดวงตาที่เงยขึ้นมามองแม่หญิงดาราเต็มไปด้วยความชื่นชม “สีสันดูจืดชืด แต่ไม่นึกเลยว่าจะอร่อยถึงเพียงนี้…มีอีกไหม”

“หมดแล้วเจ้าค่ะ” ดาราเรศส่ายหน้า “ฉันใช้ข้าวที่เหลือจากมื้อเช้า…พอผัดได้แค่สองจาน ถ้าคุณพี่ไม่อิ่ม แบ่งของฉันไปก็ได้นะเจ้าคะ”

“ไม่ละ” เขาส่ายหน้า “แม่ดารากินเถอะ…เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”

เขานั่งมองร่างแบบบางใช้มือเปิบกินข้าวคลุกกะปิด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ดาราเรศมัวแต่เอร็ดอร่อยกับอาหารจึงไม่ได้สังเกตเห็นสายตาทำนองนั้น

“เปิดร้านขายของวันแรกเป็นอย่างไรบ้าง” เขารอจนหล่อนรามือจากอาหารตรงหน้า จึงเอ่ยถามด้วยความสนใจใคร่รู้

“ขายดีมากเจ้าค่ะ” ดาราเรศยิ้มตาหยี “คุณหญิงกระต่ายเหมาไปหมดทุกอย่าง พวกเราเลยได้ปิดร้านกันตั้งแต่ยังไม่เพล”

หล่อนเริ่มชินกับการนับเวลาแบบคนโบราณ

“คุณหญิงเหมาข้าวของหมด แล้วพรุ่งนี้จะขายอะไร” เขาสงสัย

“ยังมีสินค้าอีกเยอะเจ้าค่ะ” ดาราเรศว่า “ก่อนหน้านี้ฉันเตรียมทำน้ำปรุงเอาไว้มากพอสมควร ประเดี๋ยวให้บ่าวไพร่ช่วยกันกรอกใส่ขวด พรุ่งนี้ก็เอาไปขายได้แล้ว ส่วนสินค้าของแม่มีนากับแม่เข็มก็ยังพอมี…รับรองว่าวันพรุ่งนี้ ร้านของเรามีสินค้าพร้อมให้บริการเจ้าค่ะ”

“อยู่ป่าผ้า มีผู้คนผ่านไปผ่านมามากมาย…แม่จะว่าอะไรไหม ถ้าจะฝากให้ช่วยเป็นหูเป็นตาให้สักหน่อย” เขาวกเข้าเรื่องที่ต้องการ

“เป็นหูเป็นตา” ดาราเรศไม่เข้าใจความหมาย “คุณพี่หมายถึงอะไรเจ้าคะ”

“ถ้าพบอะไรผิดปกติ หรือได้ยินคนพูดอะไรเกี่ยวกับผีปอบ ลองสอบถามความแล้วเอามาเล่าให้ละเอียด เขาสั่งความ “วันนี้ท่านเจ้าคุณไชยให้คนตรวจศพทั้งหมดที่ถูกปอบฆ่าตายและยังไม่ทันได้เผา ทุกศพถูกผ่าท้องด้วยของมีคมทั้งสิ้น…มีคนสร้างสถานการณ์ปอบอาละวาดขึ้นมาในเมือง ด้วยวัตถุประสงค์บางประการ”

“นั่นไง…ฉันว่าแล้วว่าเรื่องนี้มันต้องมีเงื่อนงำ” ดาราเรศถอนใจ “ถามจริงๆเถอะเจ้าค่ะ ถ้ามีคนทำเป็นปอบหลอกชาวบ้านอย่างที่เราสงสัย เขาจะทำไปเพื่ออะไร”

“แม่จะรู้ไปทำไม” ออกหลวงหนุ่มเลิกคิ้ว

“ถ้าจะให้ฉันช่วยสืบ คุณหลวงก็ต้องเล่ามาเจ้าค่ะ” ดาราเรศต่อรอง “ถ้าไม่เล่า ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าจะเริ่มสืบจากที่ตรงไหน”

“เดิมทีฉันก็ไม่ได้คิดอะไรมาก” ออกหลวงหนุ่มสารภาพ “ศพถูกผีปอบกินไส้ ดูอุจาดน่าเวทนา ส่วนมากญาติสวดหนึ่งคืนแล้วเผาเลย เราเลยไม่ได้ตรวจดูบาดแผลให้ละเอียด จนกระทั่งแม่ดาราชี้ให้ดูแผลของหนูยอดนั่นละ พอตรวจดูบาดแผลของศพที่ยังไม่ได้เผาทั้งหมด ฉันกับท่านเจ้าคุณไชย”

เขาหมายถึงออกญานคเรศฤๅไชย ผู้เป็นเจ้านายโดยตรง

“เราเลยออกจะมั่นใจว่าต้องมีคนสร้างสถานการณ์นี้ขึ้นมา”

“และคนผู้นั้นก็คือ…” ดาราเรศรอฟังคำตอบ

“ไม่รู้” ออกหลวงผู้สามีสั่นหน้า

“โธ่” น้ำเสียงแม่หญิงดาราออกจะผิดหวัง

“เรายังไม่รู้จริงๆ” ออกหลวงกำแหงฤทธิรณว่า “หลักฐานเท่าที่มีในตอนนี้ ยังน้อยเกินกว่าจะสรุปได้ว่าเป็นฝีมือของคนพวกไหน แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ผู้คนหวาดกลัว พอพลบค่ำก็พากันหลบอยู่แต่ในบ้าน ได้ยินเสียงดังแกรกกรากผิดสังเกตก็ไม่กล้าออกมาดูกัน ทำให้จำนวนโจรผู้ร้ายที่ปล้นชิงทรัพย์สินของชาวบ้านเพิ่มมากขึ้นอย่างผิดสังเกตในช่วงเวลาสองถึงสามเดือนนี้”

“แล้วจับโจรได้ไหมเจ้าคะ” ดาราเรศอยากรู้

“ไม่ได้” เขาส่ายหน้า “พวกมันไม่ทิ้งเบาะแสเอาไว้เลย แถมยังไม่มีใครเคยเห็นรูปพรรณสัณฐานของพวกมันด้วย…สิ่งเดียวที่น่าแปลกใจคือโจรพวกนี้จะปล้นเอาแต่ทอง ของอย่างอื่นไม่แตะต้องเลย”

“อือม…น่าแปลกจริงๆเจ้าค่ะ” ดาราเรศพลอยครุ่นคิดตามไปด้วย

“เรื่องนี้ห้ามกระโตกกระตากให้ใครรู้เด็ดขาด” เขาสั่ง “คอยสืบหาข่าว แล้วมาบอกฉัน…เพียงเท่านี้ พอจะทำได้ไหม”

“ได้เจ้าค่ะ…ฉันจะคอยเป็นหูเป็นตาให้  คุณพี่ไม่ต้องห่วง เรื่องเป็นนาตาชาเนี่ย ฉันถนัดนักละเจ้าค่ะ”

“นาตาชา” ออกหลวงถึงกับงง “แม่ดาราหมายถึงผู้ใด”

“อุ๊ย…ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ คุณพี่ก็รู้ว่าหมู่นี้ฉันป้ำๆเป๋อๆ  สติสตังไม่ค่อยจะดี พูดอะไรออกไปเนี่ย..นี่แน่ะ นี่แน่ะ…” ดาราเรศยกมือขึ้นตบปากตัวเองเบาๆ

ก็นะ…จะให้อธิบายอย่างไร ว่านาตาชาที่ว่า เธอหมายถึงนาตาชา โรมานอฟ สายลับสาวจากภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ในยุคสมัยที่เธอจากมา อธิบายให้ตายเขาก็คงไม่เข้าใจ

ในปีพ.ศ.ที่เธอเคยมีชีวิตอยู่นั้น คำว่า ‘นาตาชา’ เป็นคำแสลง หมายถึง หญิงสาวผู้มีความสามารถในการสืบความลับจากผู้อื่น ตรงกับสิ่งที่ออกหลวงกำแหงฤทธิรณขอให้เธอช่วยอยู่พอดี

“คุณพี่อย่าใส่ใจเลยนะเจ้าคะ เอาเป็นว่าฉันจะคอยสืบข่าวให้คุณพี่ก็แล้วกัน”

“ดี” เขาพยักหน้าและส่งยิ้มอ่อนโยนให้แม่หญิงดาราเป็นครั้งแรก “ขอบใจแม่ดารามากนะ”

 

กลิ่นอาหารหอมกรุ่น ไม่ได้อวลอยู่เฉพาะที่เรือนหลังเล็กของออกหลวงกำแหงฤทธิรณกับเมียของเขา หากทว่ากรุ่นลอยเลยไปถึงเรือนหลังใหญ่ด้วย

คุณหญิงแป้นเพิ่งสวดมนต์เสร็จ เตรียมตัวจะเข้านอน ทว่ากลิ่นอาหารที่ลอยมาตามลมนั้นหอมจนน้ำลายไหล คุณหญิงอยากรู้ว่าที่เรือนหลังเล็กทำอะไรกัน เลยออกมาที่ระเบียงหน้าเรือนกลาง ตั้งท่าจะชะเง้อมองไปยังที่มาของกลิ่นหอม ก็พบกับแม่หญิงบัวและแม่หญิงใจที่พากันออกมาชะเง้อมองเช่นกัน ส่วนนังเจียมนั้นตามติดอยู่ทางเบื้องหลังของเจ้านาย

“เรือนโน้นมันทำอะไรกินกันอีกแล้วเจ้าค่ะคุณแม่” แม่หญิงบัวฉอด “ฮ๊อม หอม”

“หอมอะไร เหม็นสิไม่ว่า” แม่ใจทำหน้าเชิด กลืนน้ำลายลงคอเสียงดังเอื๊อก ก่อนจะแค่นเสียงออกมาว่า “อยากจะอ้วก”

“ไม่ต้องมาแกล้งอ้วกเลยพี่ใจ” แม่หญิงบัวหันไปทางพี่สะใภ้อย่างรู้ทัน “พี่ใจก็อยากกินใช่ไหมล่ะ เมื่อครู่ ฉันได้ยินเสียงท้องพี่ร้องดังจ๊อก”

“ท้องร้องเพราะ ฉันกินอิ่มมากเกินไปต่างหาก” แม่ใจเถียง แต่ทันทีที่พูดจบกระโยค ท้องของเธอก็ร้องจ๊อกดังๆออกมาให้เจ้าของขายหน้าอีกครั้ง

“แน่ะๆ” แม่บัวหัวเราะชอบใจ “เห็นไหม”

“พอได้แล้ว เถียงกันเป็นเด็กๆ” คุณหญิงแป้นทำเสียงเอ็ดกลบเสียงท้องของเธอที่ร้องขึ้นมาเช่นกัน

“ตกลงมันทำอะไรกินกัน ดึกดื่นป่านนี้” แม่บัวพึมพำ

“กลิ่นเหมือนกะปิ” คุณหญิงแป้นวิเคราะห์ เธอทำจมูกขยุกขยิก พยายามสูดกลิ่นอาหารที่ลอยมาตามลม

“คุณแม่เจ้าขา” แม่หญิงบัวกะพริบตาปริบๆ “ลูกหิว”

“หิวอะไรอีก” คุณหญิงแป้นเอ็ด “เพิ่งจะกินข้าวเย็นเสร็จไป”

“ก็กลิ่นมันออกจะหอม” แม่บัวหันไปทางบ่าวคนสนิทของผู้เป็นมารดา “นังเจียม…แกไปสืบมาหน่อย เรือนโน้นทำอะไรกินกัน สืบมาด้วยนะว่านัง…เอ๊ย พี่ดาราทำเองหรือว่าบ่าวไพร่เป็นคนทำ”

“ฉันว่าบ่าวทำนั่นละ จะมีใคร” แม่ใจยักไหล่ “แม่ดาราจะทำอะไรเป็น เอะอะก็เป็นลม เอะอะก็เวียนหัวหน้ามืด คนแบบนั้นทำกับข้าวไม่ได้หรอก”

“แต่คราวที่แล้วมันทอดไก่นะเจ้าคะ” แม่บัวยังติดใจไม่หาย “ฮ๊อม หอม ลูกยังอยากจะกินเลย ถ้าคุณแม่ไม่ห้ามเอาไว้ละก็”

“หล่อนไม่กลัวปอบหรือไง” คุณหญิงแป้นเน้นย้ำ “ลืมไปแล้วหรือว่านั่นอาจไม่ใช่แม่ดารา แต่เป็นผีร้ายที่มาสิงร่างแม่ดาราอยู่”

“จริงด้วย” แม่บัวรีบสั่นหน้าด้วยความหวาดกลัว เธอกำชับนังเจียมว่า “รีบไปรีบกลับมาล่ะ ฉันจะรอฟังข่าวอยู่ทางนี้”

“ได้เจ้าค่ะ” นังเจียมก็มีความอยากรู้ไม่แพ้นาย สิ้นคำพูดของแม่หญิงบัว นางบ่าวก็ตวัดผ้าคลุมบ่าขึ้นคลุมศีรษะแล้วเดินย่องไปตามทางเดินยาว ที่เชื่อมเรือนหลังใหญ่และหลังเล็กเข้าด้วยกัน…

แสงจันทร์คืนนี้ส่องสว่าง ไม่ต้องใช้ไต้ใช้ไฟ ก็สามารถมองเห็นทางเดินได้ถนัด โดยเฉพาะนางเจียมผู้เป็นบ่าวอยู่ที่เรือนหลังนี้มาทั้งชีวิต

นางทาสเดินลัดเลาะมุ่งหน้าไปยังเรือนเล็กของคุณเข้มด้วยความชำนาญ ได้กลิ่นอาหารหอมกรุ่นแล้วน้ำลายไหล ได้ยินเสียงคุณหลวงและเมียหัวร่อต่อกระซิกกันแล้วอดจะอมยิ้มด้วยความประหลาดใจมิได้ ช่วงนี้ดูเหมือนคุณเข้มจะเอาใจใส่เมียเป็นพิเศษ ข้างแม่หญิงดาราก็ดูไม่เหมือนคนเดิม แต่จะอย่างไรนางก็ยังอยากให้คุณเข้มได้แม่หญิงแก้วเป็นเมียมากกว่าอยู่ดี แม่หญิงแก้วทั้งสวย ทั้งอ่อนหวาน กิริยาท่าทางหรือก็เรียบร้อยสมกับเป็นผู้ดี ช่างเอาอกเอาใจ แตกต่างจากแม่หญิงดาราราวฟ้ากับเหว

ย่องลงบันได มุ่งหน้าไปทางห้องครัวที่อยู่ใต้ถุนเรือน ถ้าจะสืบว่าเรือนนี้กินอะไรกันก็ต้องมาที่เป้าหมายหลักคือที่ครัวนี่ละ

ในครัวจุดไต้เอาไว้สลัวราง กวาดตามองไปรอบๆก็เห็นมีเด็กผมจุกนั่งกินอะไรอยู่คนเดียวที่กลางห้อง นางทาสขมวดคิ้วมุน ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเรือนหลังเล็กมีเด็กอยู่กับเขาด้วย

“นั่นใครน่ะ” นางเจียมผลักประตูครัว เยี่ยมหน้าเข้าไป พร้อมกับแกล้งทำเสียงกระแอม “ลูกเต้าเหล่าใคร มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

“น้าเรียกฉันเหรอ” เด็กชายผมจุกหันหน้ากลับมามองนางเจียม ทั้งที่ตัวยังนั่งอยู่ที่เดิม

“เออ เรียกแกนั่นละไอ้หนู” นางเจียมเท้าเอว ลืมนึกไปว่าท่าทางหันคอของเด็กชายนั้นผิดธรรมชาติอย่างยิ่งยวด “นั่งกินอะไรอยู่”

“กินข้าว” เด็กชายว่า

“ข้าวอะไร ใครทำ” นางเจียมได้ทีรีบถาม

“ข้าวคลุกกะปิ แม่หญิงดาราทำ อร๊อย อร่อย” เด็กชายหัวเราะชอบใจ

“แม่หญิงดาราเนี่ยนะ ทำอาหารเอง” นางเจียมโคลงศีรษะ

“ลองกินไหมล่ะน้า” เด็กชายถามก่อนจะหันกลับไปเปิบข้าวใส่มือ แล้วเอื้อมมือยืดยาวจากกลางห้องมาตรงหน้านางเจียมที่ยืนอยู่ตรงประตู

และนางทาสเพิ่งนึกได้ในตอนนั้นว่าเด็กที่ไหนจะหันหน้ากลับมาข้างหลัง และยื่นมือยาวได้ไม่ต่ำกว่าสองวาแบบนี้

นอกจาก…

 

 



Don`t copy text!