ละเล่นลานรัก บทที่ 11 : ตัดไฟแต่ต้นลม

ละเล่นลานรัก บทที่ 11 : ตัดไฟแต่ต้นลม

โดย : กุลวีร์

Loading

ละเล่นลานรัก นวนิยายออนไลน์จากอ่านเอา anowl.co โดย กุลวีร์ เมื่อนักกิจกรรมบำบัดสาวที่ต้องคอยแก้ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยมือถือ ต้องการช่วยเหลือหนุ่มรุ่นน้องข้างบ้านที่ไม่กล้าออกไปนอกบ้าน เธอจึงใช้กิจกรรมการละเล่นไทยเป็นตัวช่วย จนเขาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างโดยเฉพาะหัวใจตัวเอง แต่เธอก็มีทั้งคนเก่าและคนใหม่มาให้เลือก

ไขศิลป์ยังนั่งอยู่ในห้องนอน หากไม่แปลกใจเลย แม้จะได้ยินเสียงพูดคุยของผู้คนและเสียงหัวเราะของเด็กๆ ดังผ่านเข้ามาทางหน้าต่างซึ่งเปิดทิ้งไว้เป็นประจำ เพราะทราบจากมารดาแล้วว่าวันนี้จะมีคนมาทำอะไรกันสักอย่างตรงลานหน้าบ้าน แต่เพิ่งรู้เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้เองว่าใครคือตัวตั้งตัวตีจัดกิจกรรมในบ้านของเขา

ขณะนั่งเล่นเกมในคอมพิวเตอร์ เขาได้ยินเสียงเคาะประตูสามครั้งก็ยังนิ่งเฉย คาดว่ามารดาคงจะมาตามให้ลงไปด้านล่าง

จากเสียงที่ได้ยินเป็นระยะนั้นก็คาดว่าหน้าบ้านน่าจะมีคนจำนวนไม่น้อยจึงทำเป็นไม่รับรู้ใดๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะไม่อยากออกไปเจอคนหลายคนซึ่งไม่เคยรู้จักกัน

พอเว้นช่วงไปสักพักหนึ่ง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกหน ตามมาด้วยเพื่อนชายคนสนิทเปิดประตูเข้ามาอย่างถือวิสาสะเหมือนเป็นเจ้าของห้องนี้เช่นกัน

“ศิลป์ แกลงไปเล่นด้วยกันสิ กำลังสนุกเลย” ฐานินชวนเขาด้วยเสียงเบิกบานสำราญใจ

ไขศิลป์เอ่ยเสียงเรียบ “ไม่เห็นจะสนุกตรงไหนเลย”

“แกนั่งอยู่แต่ในห้องจะสนุกได้ยังไงล่ะ ไปกับฉันเถอะนะ แกได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กๆ ไหม สนุกจะตาย” ฐานินยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ

“ถ้าสนุก แกก็ไปเล่นสิ จะมาเสียเวลาชวนฉันทำไม” เขายังไม่สนใจ เนื่องด้วยไม่ใช่เรื่องที่จะต้องข้องเกี่ยวกับตัวเอง

“ลองลงไปเล่นกับฉันสักนิดก็ได้นะ ถือว่าฉันขอ” ฐานินยังไม่หยุดเซ้าซี้ “หน้าบ้านแค่นี้เอง แกลงไปกับฉันสิ ไม่มีใครทำอะไรแกหรอก ถ้ายอมลงไป แกอาจจะได้งานได้เงิน ลงไปเล่นกับฉันนะ”

ไขศิลป์ทนคำรบเร้าของเพื่อนไม่ไหวก็เดินออกจากห้องตามหลังฐานินไปจนอยู่นอกตัวบ้าน พอเห็นลานกว้างหน้าบ้านมีผู้คนแปลกหน้าเกือบทั่วทุกพื้นที่ เสียงหัวเราะที่เคยได้ยินและเสียงเพลงที่หลายคนช่วยกันขับขานก็หยุดลงชั่วครู่ สายตาทุกคู่เหมือนจะจับจ้องมาที่เขา จากนั้นก็กลับไปเป็นเช่นเคยคือเล่นกันต่อ มีทั้งเสียงร้องเพลงและเสียงขำขันของเด็กๆ

ขณะยืนนิ่งไม่ไหวติง เขารับรู้ถึงอาการต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในไม่ช้า เริ่มจากความประหม่าและความวิตกกำลังก่อตัวจนกลายเป็นความหวั่นกลัวราวกับแม่ทัพที่จะทำศึกกับความรู้สึกภายในตัวเขา

ใจค่อยๆ เต้นถี่ขึ้นตรงอกด้านซ้าย มือสองข้างสั่นน้อยๆ จนยากเกินจะต้านทานไว้ หน้าผากและบริเวณไรผมรับรู้ถึงความชื้นของเหงื่อทำให้เขาไม่กล้ามองหน้าคนที่ไม่รู้จัก

ภาพความทรงจำที่พยายามปิดกั้นไว้ก็ยังมีแรงมหาศาลจนแสดงตัวประจักษ์แจ้ง ประหนึ่งเขาเป็นมดที่มองเห็นช้าง

“ศิลป์ แกเป็นอะไรหรือเปล่า” ฐานินหันหน้ามาถามเขา

ไขศิลป์ก้มหน้าก้มตาพยายามตอบออกไป แต่ริมฝีปากมีอาการสั่นจนพูดตะกุกตะกัก “ฉัน… กลัว… อีกแล้ว… มันมา…อีกแล้ว”

“แกใจเย็นๆ ลองคิดว่ามันจะไม่เกิดเหมือนที่เคยเกิดขึ้นสิ”

ขณะที่ฐานินพยายามพูดให้เขาคิดในแง่บวกเข้าไว้ ปรียานุชก็เดินเข้าไปใกล้ชายหนุ่มสองคนที่หยุดยืนคุยกัน เธอสังเกตเห็นท่าทีผิดปกติของไขศิลป์ซึ่งไม่ต่างจากวันที่เขาวิ่งชนกัน

หญิงสาวยังไม่ทันเอ่ยปากชวนให้ไปเล่นด้วยกัน ไขศิลป์ก็หมุนตัว จ้ำอ้าวเข้าไปในตัวบ้าน ขึ้นบันไดตรงไปยังห้องนอนของตนเอง ปรียานุชรีบวิ่งตามเขาไปทันที

ฐานินยังละล้าละหลัง ทำตัวไม่ถูกที่เขาผลีผลามกระทำเช่นนั้นจึงต้องเดินตามหลังคนทั้งสองไป

ปรียานุชตรงเข้าไปคว้าแขนเขาไว้ได้ทัน ก่อนที่เขาจะยกมือจับลูกบิดประตู

“ศิลป์เป็นอะไรหรือเปล่า บอกพี่ได้นะ” เธอถามด้วยความเป็นห่วง

ความกลัวและอาการต่างๆ เบาบางลง เมื่อไม่ได้เห็นผู้คนจำนวนมาก ไขศิลป์สะบัดแขนให้หลุดจากการเกาะกุมของเธอ “บอกไปแล้วพี่จะช่วยผมได้เหรอ”

“ถ้าไม่บอก พี่จะรู้ได้ยังไงว่าศิลป์เป็นอะไร” เธอพยายามพูดกับเขาดีๆ

“ผมกลัวคนแปลกหน้า กลัวคนพวกนั้นจะมองผมแล้วหัวเราะออกมา ผมไม่อยากทำอะไรแล้วอับอายต่อหน้าใครๆ ผมอยู่กับคนหมู่มากไม่ได้ พี่เข้าใจหรือยัง” ไขศิลป์บอกสิ่งที่ว่ายวนอยู่ในความคิดของตัวเองยามเจอคนจำนวนมากที่มองมายังตน

ปรียานุชเพิ่งจะเข้าใจในสิ่งที่เขาเป็น สำหรับอาการที่เกิดขึ้นจากตัวเขาซึ่งคิดไปเองทั้งนั้น

“เราต้องคุยกันนะศิลป์ ค่อยหาทางแก้ไขเป็นขั้นเป็นตอน”

“พี่อย่ามายุ่งกับผมเลย” เขาไม่ยอมฟังคำของเธอ

“จะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไม่ได้นะศิลป์ มีอะไรต้องคุยกันเผื่อจะได้ดีขึ้น” หญิงสาวเข้าไปจับแขนเขาเพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกัน

“บอกแล้วไงว่าอย่ามายุ่งกับผม” ไขศิลป์เอ่ยเสียงดัง ผลักปรียานุชจนล้มลงไปกับพื้นโดยไม่ได้ตั้งใจ

หญิงสาวแสบตรงแขนขวาก็ยกขึ้นมาดู

เขาชำเลืองมองรอยถลอกบนแขนของเธอ

ฐานินเห็นช่วงที่เขาผลักเธอพอดีจึงรีบเข้ามาช่วยพยุงตัวหญิงสาวให้ลุกขึ้นยืน

หากปรียานุชลุกผิดจังหวะจึงซวนเซจะล้มลงไปอีก แต่ฐานินเข้ามาประคองไว้ได้ทันด้วยแขนทั้งสองข้าง

“ทำไมทำรุนแรงกับคนที่หวังดีกับแกด้วยล่ะศิลป์ พี่ปรีอยากให้แกมีชีวิตที่ดี มีงานทำ แต่แกมาทำแบบนี้ ฉันคิดว่าไม่สมควรเลยนะ” ฐานินหันหน้ามาถามเขา หลังจากเห็นรอยถลอกที่แขนของเธอ

ไขศิลป์เห็นภาพพี่สาวข้างบ้านอยู่ในอ้อมแขนของเพื่อนชายก็ฉุนเฉียวเพิ่มขึ้นอีก จึงตอบออกไปแบบไม่รู้สึกรู้สากับการกระทำของตัวเอง

“แค่แผลถลอก คงไม่เจ็บเท่าไหร่หรอก วันสองวันก็หาย ที่เห็นว่าเจ็บมากเพื่อเรียกความเห็นใจจากคนบางคนหรือเปล่า”

“แกพูดอย่างนี้ได้ยังไง อย่ามาประชดฉันหน่อยเลย” ฐานินเริ่มโกรธเคืองเขาที่ไม่ยอมสำนึกในความผิด

ปรียานุชแตะแขนฐานินเพื่อให้ระงับอารมณ์

ฐานินจ้องมองไขศิลป์หวังจะให้กล่าวคำขอโทษกับหญิงสาว แต่ไขศิลป์กลับไม่สนใจ ยืนลอยหน้าลอยตามองไปทางอื่น

เมื่อไม่มีใครเอ่ยขึ้นมา เสียงผู้คนที่เล่นรีรีข้าวสารยังแว่วให้ได้ยิน

“ปล่อยมันไปเถอะพี่ปรี มาช่วยแล้วยังถูกผลักไสกันแบบนี้ก็ปล่อยให้มันจมอยู่อย่างนี้ต่อไป จะนอนจะนั่งเล่นเกม จะอยู่แต่ในห้องแคบๆ ทั้งวัน หรือจะทำอะไรก็เชิญเลย เป็นเรื่องของมัน พวกเราอย่าไปยุ่งจะดีกว่า ถ้ายังคิดไม่ได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะความปรารถนาดีของทุกคนก็ไม่เป็นไร เสียเวลากับคนอย่างแกจริงๆ” ฐานินเอ่ยตั้งแต่ต้นจนจบก็ยังไม่หนีหน้าไปจากไขศิลป์ ทั้งที่ปากเรียกชื่อหญิงสาว

ปรียานุชพยายามคลี่คลายสถานการณ์ให้ดีขึ้นเพื่อชายหนุ่มทั้งสองจะได้พูดจากันดีๆ “ค่อยมาคุยกันใหม่ก็ได้นะ ตอนนี้เหมือนจะอารมณ์ไม่ดีกันทั้งคู่”

หลังจากพูดจบ เธอถูกฐานินดึงแขนให้เดินลงไปชั้นล่างพร้อมกัน ปล่อยให้ไขศิลป์ยืนอยู่กับความคิดตัวเอง

เขารับรู้ถึงความเคืองขุ่นของเพื่อนชาย แต่ทำเป็นไม่สนใจไยดี

ตั้งแต่ไขศิลป์ได้เห็นรอยแผลถลอกที่แขนหญิงสาวก็เกิดความห่วงใย แต่ภาพคนหมู่มากที่เข้ามาหลอกหลอนจ้องจะปลุกความหวั่นกลัวให้ตื่นขึ้นมาอยู่รอมร่อ ประจวบเหมาะที่ได้เห็นภาพความใกล้ชิดของชายหญิง ทำให้ความเป็นห่วงเป็นใยแปรเปลี่ยนเป็นทิฐิที่คิดจะตั้งแง่กับเธอ จึงไม่รับฟังความเห็นใดๆ จากใครทั้งสิ้นแม้แต่เพื่อนสนิท

ตอนที่ฐานินหันหลังให้เขา แล้วก้าวขาผละออกไปพร้อมทั้งจูงแขนหญิงสาวด้วยท่าทีที่ไม่ต่างจากการเดินประคองกันไป บ่งบอกถึงความสนิทสนมและความห่วงใยที่เพื่อนชายแสดงให้เห็นต่อหน้า มันช่างรบกวนจิตใจให้คิดไปต่างๆ นานา จนได้ข้อสรุปว่าฐานินกำลังจะหลงเสน่ห์ของเธอ

ดังนั้นเขาต้องหาโอกาสย้ำเตือนเพื่อนให้รู้ตัว เพื่อไม่อยากให้ใครผิดหวังในความรักจากการมีมือที่สามเข้ามาแทรกแซง และฐานินต้องมีใจมั่นคงกับคนรักในปัจจุบัน ไม่ใช่ปล่อยใจว่อกแว่กไปกับรุ่นพี่ข้างบ้านที่เพิ่งจะรู้จักกันไม่ถึงเดือน

ไขศิลป์ไม่อยากปล่อยให้ใครต้องถลำลึกไปยิ่งกว่านี้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินควร

 

เมื่อเธอเดินมาที่ลานหน้าบ้านพร้อมฐานิน โดยไม่มีคนที่อยากให้เข้าร่วมกิจกรรมติดตามมาด้วย แม้เธอจะเข้าใจเขา แต่ยังไม่มีเวลาอธิบายให้คนใกล้ชิดเขาได้เข้าใจเช่นกัน

ศศิมีสีหน้าหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด ยามทราบว่าลูกชายไม่เป็นไปตามหวัง

ปรียานุชเห็นมีแต่พวกเด็กๆ เล่นรีรีข้าวสารในลานกว้าง หากวิธีการเล่นได้ถูกปรับเปลี่ยนไป เมื่อใครถูกคล้องก็ต้องไปยืนแทนที่คนหนึ่งซึ่งประสานมือกับอีกคนเพื่อเป็นสะพาน แล้วให้คนคนนั้นมาเกาะหลังต่อท้ายแถววิ่งลอดสะพานวนเวียนกันไป ส่วนคนเป็นผู้ใหญ่นั้นได้แต่นั่งดูอยู่ไม่ไกลพร้อมช่วยกันปรบมือและร้องบทร้องไปด้วยความสุขใจ ขณะเฝ้ามองลูกหลานเล่นด้วยกัน โดยเฉพาะธารทิพย์และสามีที่ปล่อยให้แทนไทยเล่นกับเด็กคนอื่นอย่างเบิกบานใจ

ฐานินชวนเธอให้เข้าไปร่วมเล่นกับเด็กๆ เสมือนพี่คนโตสองคนนำบรรดาน้องชายหญิงทั้งแปดคนเล่นรีรีข้าวสารกันสนุกสนาน พอเด็กคนหนึ่งมีเสียงขบขันก็ส่งผลให้เด็กอีกหลายคนหัวเราะตามไปด้วย แม้กระทั่งเสียงพูดคุยกันหรือเสียงขับขานบทร้องของเด็กๆ ยังเจือไปด้วยความเกษมสำราญใจ

ทุกคนในที่แห่งนี้ต่างก็มีหน้าตาชื่นบาน เพราะสนุกกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนลืมลูกชายเจ้าของบ้านไปเสียสนิท

ปรียานุชจัดกิจกรรมนี้เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นให้เด็กสมัยใหม่ได้รู้จักการละเล่นไทย อาจใช้เป็นแรงจูงใจให้เด็กอยากเล่นกับผู้อื่นมากขึ้นส่งผลให้รู้จักการเข้าสังคม เนื่องจากการละเล่นไทยส่วนใหญ่มักจะเล่นด้วยกันเป็นกลุ่มจึงเกิดการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นและทำให้หลายคนสัมผัสการละเล่นที่อาจลืมเลือนไปอีกด้วย

“ต้องขอบคุณครูปรีมากนะคะ อยากให้จัดขึ้นบ่อยๆ นี่ก็เหมือนได้ย้อนไปในวัยเด็กอีกครั้ง” ผู้ปกครองท่านหนึ่งเดินมาบอกเธอ ก่อนจะพาลูกสาวเดินไปขึ้นรถยนต์ซึ่งจอดอยู่ไม่ไกล

“ฉันไม่เคยเห็นลูกเล่นกับคนอื่นสนุกอย่างนี้เลยนะ” ธารทิพย์บอกเธอ แล้วเอ่ยต่อ “ว่าแต่ว่าเถอะ ทำไมศิลป์ไม่ออกมาเล่นกับแฟนตัวเองล่ะ ฉันอดเห็นภาพฟินๆ เลยวันนี้”

เธอได้แต่ยืนยิ้มให้กับคำกล่าวของเพื่อน จนธารทิพย์เดินผละออกไปหาสามีและลูกที่ยืนคอยอยู่ไม่ห่าง จากนั้นก็ชวนกันกลับบ้าน

ภาพครอบครัวที่พ่อแม่เดินจับมือลูกคนละข้างพลอยทำให้เธอมีความสุขสมไปด้วย

เมื่อทุกคนกลับกันหมดแล้ว ปรียานุชขอตัวอยู่กับศศิและฐานิน ปล่อยให้พี่สาวพาหลานสาวกลับบ้านของเธอไปก่อน

ศศิพูดถึงลูกชายที่ทำตัวไม่เป็นดังใจซึ่งยังคงอยู่แต่ในห้อง แม้ตรงหน้าบ้านจะไม่เหลือใครอยู่เลยสักคนเดียว

“อย่าไปโกรธศิลป์เลยนะคะ เป็นเพราะปรีเองที่คาดคะเนผิดไป สำหรับการเริ่มต้นใช้กิจกรรมกับศิลป์ เท่าที่เห็น ไม่ใช่ศิลป์ไม่อยากจะมาเล่นกับพวกเรา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในตัวศิลป์ทำให้ไม่กล้ามาเจอผู้คนมากกว่าค่ะ” เธอพยายามทำให้มารดาและเพื่อนสนิทของเขาเข้าใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ เพื่อจะได้หาทางแก้ไขร่วมกัน

“แต่มันไม่ควรผลักพี่ปรี” ฐานินเหมือนจะกลับมาฉุนเฉียวที่เขาทำเช่นนั้นกับเธอ

“ลูกของน้าทำอะไรหนูปรีหรือเปล่า” ศศิถามด้วยความใคร่รู้ ทั้งที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกในคำกล่าวที่ได้ยิน

“เรื่องเล็กน้อยค่ะ ปรีไม่ได้เจ็บตัวมากมาย” เธอไม่อยากให้มารดาต้องเป็นทุกข์เพิ่มขึ้นอีก จากนั้นก็เบี่ยงเบนความสนใจของศศิด้วยการเปลี่ยนเรื่องคุย “ปรีมีบางเรื่องจะพูดให้รู้กันค่ะ พวกเราไปนั่งคุยกันสักครู่ดีกว่า”

เมื่อคนทั้งสองนั่งบนเก้าอี้ไม้ยาว ด้วยท่าทีที่พร้อมตั้งใจรับฟังคำอธิบายจากเธอ ปรียานุชก็ไม่รอช้าที่จะกล่าวถึงการประมวลผลของตัวเอง

“ปรีลองปรึกษาจิตแพทย์และนักจิตวิทยาเกี่ยวกับพฤติกรรมของศิลป์จากที่นินเคยเล่าให้ฟัง จนปรีได้เห็นและได้ยินจากปากของศิลป์เอง พอนำทุกอย่างมากลั่นกรองเพื่อให้สอดคล้องกับปัญหาของศิลป์มากที่สุด ตอนนี้ปรีพอจะมองออกแล้วว่าศิลป์เป็นอะไร”

พอเธอหยุดพูดก็ยิ่งทำให้คนฟังอยากจะรู้มากขึ้น

ฐานินจ้องมองหญิงสาวไม่วางตา

ศศินั่งนิ่งหลับตา เตรียมพร้อมที่จะฟังคำของเธอที่เอ่ยต่อ

“ตามความคิดของปรี ศิลป์น่าจะเข้าข่ายเป็นโรคกลัวการเข้าสังคมมากกว่าจะเป็นโรคเก็บตัวตามที่เคยคิดไว้ตั้งแต่แรก เพราะคนที่เป็นโรคเก็บตัว มักจะอยู่แต่ในห้องทั้งวันทั้งคืน ไม่ยอมออกไปเจอหน้าใครๆ แม้แต่คนในครอบครัวของตัวเอง แต่ศิลป์อาจจะยังไม่เป็นถึงขั้นนั้น เพราะออกมากินข้าวกับพ่อแม่ เข้าห้องน้ำ ยอมคุยกับเพื่อนตอนที่มาหากัน หรือยอมออกมาข้างนอกได้ ดังนั้นโรคกลัวการเข้าสังคมคือสิ่งที่เป็นไปได้และส่อเค้ามากที่สุดกับสิ่งที่ศิลป์กำลังเป็นอยู่ ซึ่งโรคนี้มักจะมีอาการกลัวทุกครั้งที่ออกไปเจอสายตาของคนแปลกหน้า หรือกลัวที่ที่มีผู้คนหมู่มากทำให้ไม่กล้าออกไปไหน ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้นานวันก็อาจส่งผลให้เป็นโรคเก็บตัวและโรคซึมเศร้าได้ด้วย ซึ่งไม่ดีแน่ๆ”

“ทำไมพอเป็นโรคนั้นจะต้องไม่ออกไปไหนด้วยล่ะครับพี่ปรี” ฐานินเหมือนจะยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอกล่าวถึง

“เมื่อคนเราเกิดอาการกลัว สิ่งหนึ่งคือต้องพยายามทำยังไงก็ได้เพื่อให้อาการกลัวหายไปโดยเร็วซึ่งจะได้ไม่ต้องทนทรมานอยู่กับอาการกลัว อย่างศิลป์ที่พอเห็นคนแปลกหน้าหรือคนจำนวนมากจ้องมองมาที่ตัวเองก็เกิดกลัวสารพัดตามอดีตที่เคยเกิดขึ้น ทั้งกลัวคนหัวเราะใส่ กลัวจะทำผิดพลาดจนเป็นเรื่องอับอายต่อหน้าคนอื่น ความกลัวเกิดขึ้นได้ทั้งนั้นเมื่อเราคิดจะกลัว จึงทำให้ไม่อยากเข้าร่วมสังคมกับผู้อื่นหรือกลัวการเข้าสังคมตามมา”

“ถ้าเป็นอย่างนั้น คงขึ้นอยู่กับมันจะรับมือกับความกลัวยังไง” ฐานินมีสีหน้าเข้าใจคำอธิบายของเธอมากขึ้น

“ตอนนี้สิ่งที่ศิลป์ทำได้คือหนีออกมาให้ห่างเพื่อให้ไม่มีความกลัวเหลืออยู่ในใจตัวเอง มากกว่าที่จะหยัดยืนเผชิญหน้ากับความกลัว แล้วชนะความกลัวให้ได้” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เธอจึงคาดเดาปมอดีตในใจของไขศิลป์อาจจะใหญ่โตจนเจ้าตัวนั้นยากจะขจัดให้หมดไปจากความทรงจำ

“หนูปรีช่วยศิลป์ได้ไหม ถือว่าช่วยครอบครัวของน้าก็ได้นะ” ศศิพูดด้วยเสียงอ่อน หลังจากรับรู้ถึงสิ่งที่ลูกชายเป็นอยู่

“ศิลป์เหมือนน้องคนหนึ่งของปรี เมื่อรู้ว่าน้องมีปัญหา คนเป็นพี่สาวจะนิ่งเฉยได้ยังไงคะ” เธอย้ำกับศศิเหมือนที่เคยพูดกันมาก่อน

“อยากให้มันมาได้ยินอย่างที่ผมได้ยินจังเลย จะได้รู้สักทีว่ายังมีคนปรารถนาดีกับมัน ไม่ใช่จะกลัวไปเสียหมด” ฐานินเอ่ยแทรกขึ้นมา

ปรียานุชพูดต่อ เพื่อให้คนทั้งสองเข้าใจไขศิลป์มากยิ่งขึ้น “แต่ทุกอย่างจะดีขึ้นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับตัวของศิลป์ที่จะจัดการกับความกลัวที่เกิดขึ้นมาได้ดีแค่ไหนค่ะ ความกลัวเหมือนคู่ต่อสู้ของศิลป์ ถ้าศิลป์แข็งแกร่งพอก็ไม่มีสิ่งใดจะเข้าสู้แล้วชนะได้เท่านั้นเอง”

“ตอนนี้อยู่ที่ตัวและใจของมันจะกล้าสู้กับความกลัวมากแค่ไหน แต่เท่าที่เห็น เหมือนมันจะยอมแพ้ตลอดเลย” ฐานินพูดไปตามความคิด

“ดังนั้นพวกเราต้องช่วยให้ศิลป์กล้าออกจากบ้านไปเจอผู้คนในสังคมโดยไม่ต้องรู้สึกกลัว ตอนแรกควรเข้าไปพูดให้ศิลป์เข้าใจในสิ่งที่เป็น แล้วค่อยปรับความคิดพร้อมทั้งให้ลองเจอผู้คนบ้าง”

ปรียานุชเป็นแค่คนที่ช่วยแนะแนวทางให้ไขศิลป์ได้เดินต่อไป แต่เขาต้องเดินด้วยขาตัวเอง ไม่ใช่รอให้เธอต้องช่วยยกขาขึ้นมาเพื่อที่จะเดินบนเส้นทางชีวิตได้ไกล

“เมื่อกี้ผมไม่น่าพูดใส่อารมณ์กับมันเลยนะพี่ปรี” ฐานินพูดกับเธอ หลังจากเข้าใจตัวเขามากขึ้น

“ไปขอโทษศิลป์ก็ได้ ศิลป์จะได้รู้ด้วยว่าพวกเราเข้าใจในสิ่งที่เป็น พี่ฝากบอกศิลป์ด้วยว่าพี่ไม่ได้โกรธที่ทำกับพี่อย่างนั้น”

ยิ่งได้รู้ว่าเขาเป็นเช่นนี้เพราะอะไร ปรียานุชก็ยิ่งเป็นห่วงรุ่นน้องข้างบ้าน และพยายามจะแก้ไขให้เขามีชีวิตปกติใกล้เคียงกับคนทั่วไปมากที่สุด

“หนูปรีจะทำยังไงกับลูกชายของน้าต่อล่ะ พาคนมาเล่นที่หน้าบ้านขนาดนี้ก็ไม่ยอมมาเล่นด้วย” ศศิมีสีหน้าดีขึ้น เมื่อรู้ว่าเธอยังคิดจะช่วยเหลือบุตรชายต่อไป

“ต้องลองเริ่มใหม่อีกครั้งค่ะ อาจจะต้องพึ่งนินด้วย อย่าเพิ่งหนีหายไปไหนนะ”

“ผมไม่หายไปไหนหรอกพี่ ยังไงมันก็เป็นเพื่อนผม ให้ทิ้งมันไปไม่ได้หรอกครับ” ฐานินส่งยิ้มให้เธอ พลางลุกขึ้นยืน “ผมขอขึ้นไปหามันก่อน จะไปขอโทษและพูดกับมันให้รู้ว่าพี่ปรีหวังดีกับมันจริงๆ คนแบบนี้หายาก ไม่ใช่พี่น้องกันแท้ๆ ยังจะช่วยเหลือกันขนาดนี้ ผมขอชื่นชม”

“หนูปรีทำงานกับเด็กมาหลายปี จึงมีจิตใจเมตตากับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน” ศศิให้เหตุผลแทนเธอ

“ตอนเด็กๆ เคยอุ้ม เคยป้อนข้าว อาบน้ำให้ก็ยังเคย เหมือนน้องนุ่ง จะไม่ให้ช่วยกันเลยคงไม่ได้”

พอเธอพูดจบ ฐานินก็ผละออกไปสู่ขั้นบันได แล้วก้าวขึ้นไปชั้นบน

“ถ้าหนูปรีจัดกิจกรรมอีกก็มาใช้หน้าบ้านของน้าได้ตลอดเลยนะ อีกไม่กี่วัน น้าจะมีหลานมาอยู่ด้วย คงได้เล่นกับเด็กคนอื่นบ้าง” ศศิเอ่ยขึ้น แต่ไม่ได้บอกเรื่องราวของหลานชายมากไปกว่านั้น หากเธอได้เจอตัวเด็กชายผู้นั้นคงจะมองเห็นถึงความผิดปกติแน่นอน

ปรียานุชพูดคุยกับศศิเพียงไม่นานก็ขอตัวกลับบ้านและขอเวลาปรับเปลี่ยนรูปแบบกิจกรรมเพื่อให้ไขศิลป์สามารถเข้าร่วมเล่นการละเล่นไทยด้วยกันได้

ทางด้านฐานิน เมื่อเข้าไปในห้องของไขศิลป์ เพราะรู้ดีว่าเจ้าของห้องไม่เคยล็อกประตู ก็ลงไปนั่งใกล้ๆ แม้อีกฝ่ายจะยังจ้องแต่หน้าจอคอมพิวเตอร์

“ศิลป์ เมื่อกี้ฉันขอโทษที่พูดไม่ดีใส่แก” ฐานินบอกเขา

ไขศิลป์ที่ตอนแรกจะทำเป็นไม่สนใจ คิดว่าเพื่อนคงจะเข้ามาต่อว่าต่อขานกันอีก ก็หันหน้ามอง “เรื่องมันผ่านมาแล้ว ฉันไม่เก็บมาคิดมากหรอก”

“พี่ปรีพูดให้ฉันเข้าใจแกมากขึ้น ฉันก็เลยขึ้นมาหาแก ก่อนจะกลับบ้าน”

เขาไม่อยากทราบว่าหญิงสาวพูดอะไรกับเพื่อนชาย เพราะมีสิ่งที่เขาอยากรู้ยิ่งกว่านั้น “ฉันถามจริงๆ เถอะ แกคิดยังไงกับพี่ปรี”

“พี่ปรีเป็นคนจิตใจดี ชอบช่วยเหลือคน เข้ากับคนอื่นง่าย นี่ฉันก็เพิ่งเจอพี่ปรีได้ไม่นาน แต่เหมือนจะรู้จักกันเป็นปี พูดด้วยแล้วสบายใจ แกลองพูดคุยกับพี่ปรีบ้างสิ จะได้รู้สึกเหมือนฉัน…” ฐานินหยุดพูด เมื่อเห็นเขายกมือขึ้นห้าม

“ฉันว่าแกอยู่ห่างๆ พี่ปรีจะดีกว่านะ” เขาอยากเตือนเพื่อนมากกว่านี้ แต่พูดไปก็เท่านั้น เพราะคนกำลังลุ่มหลงคงไม่ทำตามคำของเขาง่ายๆ

“ทุกคนหวังดีกับแก และเข้าใจในสิ่งที่แกเป็น โดยเฉพาะพี่ปรีที่พร้อมจะช่วยแกให้เดินออกนอกบ้านได้โดยไม่กลัว หรืออยู่กับคนหมู่มากได้โดยไม่ต้องหลบสายตาใครต่อใคร แกควรรับความหวังดีจากพี่ปรีไว้ อย่าบอกให้ฉันเลิกยุ่งกับปรีเลย เพราะฉันอยากจะช่วยแกเหมือนกัน ตอนนี้ฉันก็ชื่นชมพี่ปรีมากๆ”

“อย่าชื่นชมจนเผลอมีใจให้พี่ปรีก็แล้วกัน” เขาอดเหน็บแหนมเพื่อนไม่ได้ หลังจากได้ยินคำกล่าวที่ว่าอย่าบอกให้เลิกยุ่งกับพี่ปรีเลย

ฐานินถามกลับทันที “ทำไมล่ะ”

“แกมีแฟนอยู่แล้ว หรือพอเจอพี่ปรี แกจะทำเป็นไม่รู้ตัว หรือแกคิดจะจับปลาสองมือ” เขาไม่อ้อมค้อมกับเพื่อน

ไขศิลป์ชักจะฉุนขึ้นมา เมื่อฐานินหัวเราะเสียงดังราวกับได้ฟังเรื่องตลกจากปากเขา

“ถ้าแกไม่อยากให้ฉันจับปลาสองมือ แกก็ลองเอาปลาจากฉันไปสักมือสิ พี่ปรีนี่ไง ฉันคิดว่าเป็นผู้หญิงนิสัยดีนะและดูจะห่วงใยแกมากด้วย” ฐานินบอกเขา

“แกก็รู้ว่าฉันชอบคนแบบไหน”

“เหมือนตัวการ์ตูนในเกมที่มีนมโตๆ ก้นใหญ่ๆ เดินทีก็เด้งทีอย่างนั้นน่ะเหรอ มันไม่มีจริงหรอก ถ้ารอแฟนแบบนั้น ชาตินี้แกก็ไม่มีทางได้เจอ” ฐานินยังหัวเราะออกมา

“แกจะไม่ยอมอยู่ห่างพี่ปรีใช่ไหม” เขาถามเพื่อนตรงๆ

“จะให้ห่างกันได้ไง ถ้าแกกลัวฉันจะเผลอใจให้พี่ปรี แกก็เข้ามาขวางไว้สิ” ฐานินพูดโดยไม่คิดอะไร

แต่ไขศิลป์นั้นคิดกับทุกคำพูดของเพื่อน หากเริ่มมองเห็นหนทางที่จะต้องตัดไฟแต่ต้นลม ก่อนเพื่อนจะหลงเสน่ห์หญิงสาวแบบโงหัวไม่ขึ้นจนคิดจะตัดสัมพันธ์กับคนรัก หรือเพื่อนอาจจะริเจ้าชู้คิดจะเก็บไว้ทั้งสองคน เขาจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นเช่นนั้นเด็ดขาด

เมื่อเขาไม่กล่าวคำใด ฐานินก็เอ่ยขึ้นอีก “แกจะคิดหรือจะทำอะไรก็เรื่องของแก แต่วันนี้ฉันสนุกจริงๆ ที่ได้เล่นรีรีข้าวสาร แกพลาดมากที่ไม่ได้ลงไปเล่นด้วยกัน พอพูดถึง ฉันก็นึกถึงหน้าพี่ปรีตอนอยู่กับเด็กๆ ช่างดูมีความสุขจริงๆ เชียว”

ไขศิลป์ยังจมอยู่ในความคิดของตัวเองจนฐานินขอตัวกลับ เขาตัดสินใจแน่วแน่ที่จะต้องนำตัวเองไปขัดขวางความสัมพันธ์ของคนทั้งสองไม่ให้สนิทแนบแน่นมากเกินไป

แต่เขาจะทำเช่นไร ถ้ากิจกรรมที่เกิดขึ้นตรงหน้าบ้านของตนยังมีผู้คนจำนวนมากอย่างเช่นวันนี้



Don`t copy text!