ละเล่นลานรัก บทที่ 29 : ต้องลองอีกสักครั้ง

ละเล่นลานรัก บทที่ 29 : ต้องลองอีกสักครั้ง

โดย : กุลวีร์

Loading

ละเล่นลานรัก นวนิยายออนไลน์จากอ่านเอา anowl.co โดย กุลวีร์ เมื่อนักกิจกรรมบำบัดสาวที่ต้องคอยแก้ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยมือถือ ต้องการช่วยเหลือหนุ่มรุ่นน้องข้างบ้านที่ไม่กล้าออกไปนอกบ้าน เธอจึงใช้กิจกรรมการละเล่นไทยเป็นตัวช่วย จนเขาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างโดยเฉพาะหัวใจตัวเอง แต่เธอก็มีทั้งคนเก่าและคนใหม่มาให้เลือก

เปรมยุดากลับเข้าร้านขายและเช่าชุดวิวาห์ซึ่งเป็นกิจการที่ก่อตั้งมากับมือจนเริ่มมีคนรู้จักแพร่หลายโดยเฉพาะผู้คนละแวกนี้และบริเวณใกล้เคียง สิ่งที่เรียกลูกค้าได้ดีคือความสวยงามของชุดซึ่งมีหลากหลายแบบและราคาย่อมเยา รวมทั้งการบริการของร้านก็สร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้าเช่นเดียวกัน

เมื่อผู้เป็นเจ้าของมาถึงร้าน เป็นช่วงเวลาพอดีที่ลูกค้าพากันเข้ามาสอบถามและเยี่ยมชมชุดวิวาห์กันเกินที่พนักงานเพียงคนเดียวจะรับมือไหว เปรมยุดาจึงปล่อยให้สามีและลูกสาวเดินไปนั่งพักบริเวณหลังร้านซึ่งใช้เป็นพื้นที่ประจำสำหรับคนในครอบครัวมานั่งรอเพื่อไม่ให้เกะกะลูกค้า

เปรมยุดาเดินเข้าไปแนะนำและพูดคุยกับลูกค้าสองรายด้วยความเป็นกันเอง ช่วงนี้มีคนหลายคู่คิดจะจูงมือกันเข้าสู่ประตูวิวาห์จำนวนมาก จนเธอเองยังแปลกใจที่มีลูกค้านำร้านของเธอไปเป็นตัวเลือกไม่เว้นวัน ซึ่งแต่ละวันก็เข้ามาในร้านกันอย่างไม่ขาดสาย

วันหยุดสุดสัปดาห์จะมีพนักงานประจำในร้านสองคน แต่วันนี้มีหนึ่งคนขอลาไปทำธุระด่วน เปรมยุดาจึงต้องเข้ามาช่วยต้อนรับลูกค้าตลอดทั้งวัน หากยามปกติในแต่ละวัน หนึ่งชั่วโมงก่อนจะปิดร้าน เธอต้องเข้ามาดูแลความเรียบร้อยของร้านอยู่เสมอ

พอลูกค้าเริ่มบางตา เปรมยุดาเห็นฉัตรพงษ์เดินส่งยิ้มให้กันแต่ไกล อีกฝ่ายคงรู้ว่าสามีของเธออยู่ในที่แห่งนี้จึงมาพูดคุยสรวลเสเฮฮาไม่ต่างจากการไปเยือนบ้านเธอ

หลังจากฝากร้านให้พนักงานดูแล เธอก็มานั่งร่วมวงสนทนากับผู้ชายสองคน ส่วนลูกสาวยังนั่งอ่านหนังสือนิทานอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลตามประสาเด็กซึ่งรู้จักเวล่ำเวลาที่ผู้ใหญ่กำลังจะคุยกัน

“เปรมทราบแล้วว่าผู้ชายที่คุณฉัตรเล่าให้ฟังตอนที่มาส่งน้องดรีมเมื่อวานคือใคร” เปรมยุดาเริ่มเข้าประเด็น

ฉัตรพงษ์ซึ่งอยากจะรู้คำตอบก็ตั้งหน้าตั้งตารับฟังหญิงสาวเพื่อให้หายแคลงใจ จนตอกย้ำความคิดที่ว่าชายผู้นั้นคงไม่ใช่แค่เพื่อนกันอย่างที่ปรียานุชแนะนำให้ตนได้รู้

เปรมยุดาเอ่ยต่อ “เป็นคนที่เคยจีบปรีจนตกลงเป็นแฟนกันอยู่หลายปี เคยคิดที่จะแต่งงานกันด้วยนะ แต่ก็เลิกรากันไปจนได้ ตอนนี้เหมือนฝ่ายนั้นคิดจะมารื้อฟื้นอดีต ขอคืนดีกันอีก”

ฉัตรพงษ์เริ่มใจฝ่อ เมื่อหนทางที่จะสมหวังนั้นช่างรางเลือน เนื่องจากคนที่คิดว่าเป็นคู่แข่งอาจมีโอกาสพิชิตใจปรียานุชได้ง่ายกว่าตน เพราะเคยรู้ใจกันมาก่อนและเป็นยิ่งกว่าคนที่รู้จักมักคุ้นกันดี

“อย่าทำหน้าหงอยอย่างนั้นสิ น้องปรียังไม่ตกลงกับใครเลย แกยังมีสิทธิ์เต็มประตู” พิรามบอกเพื่อนชาย

“ฝ่ายนั้นให้แหวนจองตัวปรีไว้ด้วยนะ แต่ตอนนี้เหมือนปรีจะคืนแหวนให้ฝ่ายนั้นไปเรียบร้อยแล้ว เหมือนจะบอกให้รู้ว่าไม่มีทางคิดจะรีเทิร์นแน่นอน เปรมรู้จักน้องสาวของเปรมดี ถ้ายังมีใจให้ฝ่ายนั้นเหมือนเดิมได้คงไม่คืนแหวนไปหรอก” เปรมยุดาอยากให้ฉัตรพงษ์สบายใจและเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา

ฉัตรพงษ์โล่งใจที่ยังพอมีสิทธิ์คว้าใจหญิงสาวที่หมายปอง หากไม่หมดความสงสัย “ทำไมน้องปรียังให้ฝ่ายนั้นมายุ่งเกี่ยวกันอีกล่ะ”

“เปรมคิดว่าคนเราเมื่อเป็นแฟนกันไม่ได้ก็ยังสามารถเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ เมื่อฝ่ายนั้นเข้ามาดี ปรีคงต้องทำตัวดีตอบ แม้จะดูออกว่าฝ่ายนั้นคิดยังไงก็ตาม”

“แกต้องทำให้น้องปรีเลือกแกให้ได้ ฝ่ายนั้นจะได้ไม่ต้องมายุ่มย่ามแบบนี้” พิรามพูดขึ้นมาบ้าง

“จะให้ฉันทำยังไงอีก แค่น้องปรีไม่เมินกันตอนฉันเข้าไปคุยด้วยก็ดีถมเถแล้ว”

“คุณฉัตรต้องพยายามต่อไป ผู้หญิงเป็นแบบนี้แหละ เล่นตัวไว้ก่อน จะเปิดเผยโจ่งแจ้งให้รู้ว่าสนใจกันก็อาจไม่งามนัก คนอย่างปรีถ้าไม่ชอบใคร จะไม่ยุ่งไม่สนหรือไม่พูดด้วยเลยนะ แต่นี่ยังพูดกับคุณฉัตรบ้าง ถือเป็นเรื่องดี เปรมเอาใจช่วยมากๆ ยินดีให้คุณฉัตรเป็นน้องเขย แค่อย่าถอดใจไปก่อนก็แล้วกัน” เปรมยุดาส่งยิ้มให้กำลังใจฉัตรพงษ์

“พี่สาวออกตัวขนาดนี้ คงยังมีหวังบ้างนะ” พิรามยกมือขึ้นตบไหล่เพื่อนชาย “ว่าแต่ว่าลูกเราเป็นกามเทพได้ดีแค่ไหน”

“อย่าไปหวังพึ่งลูกเรามากนักเลย เปรมคิดว่าขึ้นอยู่กับคุณฉัตรมากกว่าจะจริงใจกับปรีแค่ไหน”

“เมียฉันจะบอกเป็นนัยๆ กับแกว่ามีฝีมือจีบสาวมากแค่ไหน คราวนี้ก็งัดมาใช้ให้หมดเลย” พิรามหัวเราะออกมา คลายบรรยากาศที่เริ่มจะเคร่งเครียดให้รู้สึกผ่อนคลาย

เปรมยุดาอยากให้น้องสาวสมปรารถนาที่ได้สวมชุดแต่งงานเข้าสู่ประตูวิวาห์ หลังจากพลาดหวังมาแล้วครั้งหนึ่ง เธอเชื่อว่าฉัตรพงษ์จะเป็นผู้ชายที่ไว้ใจได้และดีพร้อมสำหรับน้องสาว จึงไม่อยากปล่อยให้แคล้วคลาดกันไป

เปรมยุดายังขอให้ฉัตรพงษ์ช่วยงานของร้านซึ่งเป็นงานที่ไม่ยุ่งยากนักและอาจจะทำให้ชอบใจได้อีกด้วย

ฉัตรพงษ์จึงยินดีให้ความร่วมมือทันทีที่ได้รับฟังถึงสิ่งที่ต้องทำ

ไขศิลป์นั่งนึกถึงการร่วมเล่นการละเล่นไทยครั้งล่าสุด ยามที่ตนกลายเป็นจุดสนใจเดียวของคนทั้งหลาย แม้ความหวั่นกลัวสายตาผู้อื่นจะเกิดขึ้นบางเบาก็ยังสามารถควบคุมไม่ให้ความกลัวนั้นขยายใหญ่โตจนเกินที่จะต้านทานได้

ทุกอย่างอยู่ที่มุมมองของตัวเอง ความกลัวก็เช่นกัน ถ้าเลือกจะมองเห็นเป็นช้างตัวใหญ่ มันก็จะใหญ่โตมโหฬารสร้างความหวั่นเกรงจนต้องวิ่งหนีออกมาให้ไกล แต่ถ้าเลือกจะมองเห็นเป็นไรฝุ่น มันก็เป็นสิ่งขนาดเล็กจนเราแทบมองไม่เห็น นี่คือคำกล่าวของเธอที่เคยบอกกัน

ไขศิลป์จะมองความกลัวที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งใดคงขึ้นอยู่กับตัวเอง ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าต้องเห็นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ดังนั้นก็อยู่ที่การปรับเปลี่ยนความคิดหรือมุมมองของตน คงจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเพื่อให้ชีวิตเขามีงานทำต่อไปได้

เขาจึงอยากจะลองออกไปข้างนอกอีกสักครั้งเพื่อทดสอบตัวเอง

ไขศิลป์นั่งมองดูจอคอมพิวเตอร์ที่มืดสนิทซึ่งยังไม่ได้เปิดใช้งานตั้งแต่ตื่นลืมตา

ความสนุกสนานที่ได้รับจากการละเล่นไทยต่างๆ นั้นช่างแตกต่างจากการนั่งเล่นเกมคอมพิวเตอร์ อีกทั้งยังเป็นการช่วยฝึกให้เขาพบปะผู้คนแปลกหน้าไปในตัว จนได้เรียนรู้ที่จะควบคุมความกลัวในจิตใจ

เขาอยากให้ถึงวันที่จัดกิจกรรมเร็วไว ทั้งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นไปเมื่อสามวันก่อน เพราะอยากคุยกับเธอและได้มองหน้ากัน

ชายหนุ่มหันหน้าไปทางหน้าต่างที่เคยยืนมองเห็นเธอ แต่วันนี้เธอคงไปทำงานและอาจกลับบ้านตามเวลาปกติ แม้เขาอยากได้ความมั่นใจจากเธออีกครั้ง แต่ไม่อยากรั้งรอให้ถึงช่วงค่ำ

ไขศิลป์คิดทดสอบตัวเองให้รู้กันไปเลยว่าจะปราชัยจนสะบักสะบอมหรือจะสู้กับความกลัวจนชนะได้

เมื่อความคิดคำนึงมีแต่พี่สาวข้างบ้าน เขาเผลอไปนึกถึงตอนที่มองเห็นผู้ชายคนอื่นเข้ามาสร้างความคุ้นเคยกับเธออย่างออกนอกหน้า จนเริ่มก่อเกิดความไม่ชอบใจในตอนที่เห็นเธออยู่เคียงข้างชายคนใดที่ไม่ใช่ตน ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งหงุดหงิด ทำไมไม่เป็นตนที่ไปยืนพูดคุยหรือทำความรู้จักกับเธอให้มากกว่าที่เป็นอยู่ ทั้งที่ที่ตรงนั้นเขาน่าจะมีสิทธิ์ไปยืนข้างๆ เธอได้มากกว่าใคร

เขาส่ายหัวซ้ำๆ ราวกับคนไล่ยุงตอมศีรษะ หวังสลัดความคิดนั้นให้พ้นตัว ก่อนที่จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างขว้างหูขว้างตาไปมากกว่านี้

ไขศิลป์ทบทวนหัวใจตัวเองซึ่งมีแต่เรื่องของเธออยู่เต็มไปหมด

พอไม่นาน เขาต้องกดรับสายจากผู้ที่โทร.เข้ามา

“ฉันจะบอกให้แกรู้ บริษัทนั้นเร่งให้แกเข้าไปหาไวๆ แกต้องออกนอกบ้านไปที่ที่มีคนเยอะๆ ลองเจอคนแปลกหน้าได้แล้ว อย่ารีรอ คิดเสียว่าทำเพื่อเงิน ถ้าไม่ลองทำ แกคงจะชวดงานนี้แน่ๆ” ฐานินพูดกับเขารวดเดียวจบก็วางสายไป

ไขศิลป์จ้องมองโทรศัพท์มือถือพร้อมทั้งชั่งใจจะต้องทำเช่นไรต่อไปดี

หากมีเพียงคำตอบเดียวคือต้องลองออกไปนอนบ้านดูสักครั้งถึงจะรู้เอง

ขณะที่ชายหนุ่มอยู่ในห้องนอนบนชั้นสองของบ้าน ในห้องนั่งเล่นซึ่งอยู่ชั้นล่างของบ้าน ผู้เป็นมารดากำลังต้อนรับแขกผู้มาเยือนที่หายหน้าไปหลายเดือน

“กลับมาได้กี่วันแล้ว ไม่มาให้พี่เห็นหน้าบ้างเลย หรือมีธุระอะไรจะคุยกับพี่ล่ะโสม ถึงมาหากันได้” ศศินั่งคุยกับโสมส่อง

“น้องมีเรื่องดีๆ อยากบอกให้พี่ศิรู้ น้องเพิ่งกลับมาจากต่างจังหวัดเมื่อวาน พอได้รู้ได้เห็น ก็ไม่อยากเก็บไว้รู้อยู่คนเดียว” โสมส่องทำท่าทีมีลับลมคมในเหมือนจะบอกแต่ยังอมพะนำไว้ เรียกความใคร่รู้ของคนฟังให้มีมากขึ้น

“อยากจะบอกเรื่องอะไรก็บอกมาเถอะ พิรี้พิไรอยู่ได้” ศศิเอ่ยขึ้น

“แหม…พี่ศิอย่าว่าน้องเลยนะ จะมีเรื่องอะไร ถ้าไม่พ้นเรื่องของครอบครัวลูกสาวของน้องเอง ก่อนน้องไปต่างจังหวัดนึกว่าบ้านจะแตกเสียแล้ว พอมาถึงเท่านั้นแหละก็เห็นคืนดีกัน ดูเหมือนจะรักใคร่กลมเกลียวกันกว่าแต่ก่อนด้วยซ้ำ แต่ที่น้องคาดไม่ถึงและเป็นเรื่องดีมากๆ คือ…”

“กีตาร์ใช่ไหมล่ะ” ศศิเอ่ยดักทางน้องสาว เมื่อโสมส่องร่ายยาวมาขนาดนั้นก็พอจะมองออกว่ากล่าวถึงเรื่องใด

“พี่ศิอย่าเพิ่งขัดกันสิ น้องยังบอกไม่หมดเลย” โสมส่องต่อว่าอย่างคนอารมณ์ดี “หลานชายของน้องเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย แต่ก็ดีแล้ว ไม่ทำตัวแย่เหมือนเมื่อก่อน ไม่รู้ว่าสองคนนั้นไปได้ยาดีมาจากไหนให้ลูกกิน”

“คงเป็นหนูปรีนั่นแหละที่ให้คำแนะนำกับพ่อแม่ และพยายามจัดกิจกรรมให้เด็กๆ กับพ่อแม่ได้มีเวลาร่วมกัน” ศศิตอบออกมา

เมื่อโสมส่องทำหน้าทำตาเป็นเชิงถามว่าคนที่พูดถึงนั้นเป็นใคร ศศิก็ไม่รอช้าที่จะสาธยายเรื่องราวของปรียานุชให้น้องสาวได้รับรู้จนกระจ่างใจ

“การใช้เวลาเล่นกับลูก มันได้ผลดีทันตาเห็นขนาดนั้นเลยเหรอ” โสมส่องถามด้วยความข้องใจ

“พี่ว่ามันก็ได้ผลเหมือนกัน ดูกีตาร์เป็นตัวอย่าง แต่คงเป็นแค่ส่วนหนึ่งนะ การที่เด็กเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ต้องขึ้นอยู่กับพ่อแม่ด้วย สองคนนั้นคงตั้งใจ ลูกจึงมีนิสัยดี ทำตัวน่ารักได้ขนาดนี้”

“พี่ศิพูดแบบนี้ น้องอยากจะเห็นหน้าคนที่ทำให้สองคนนั้นคิดได้ขึ้นมาเสียแล้วสิ” โสมส่องมองไปทางบ้านเรือนที่ตั้งอยู่ข้างเคียงกับบ้านของศศิ

“ตอนนี้หนูปรีคงไม่อยู่บ้านหรอก ออกไปทำงาน ถ้าอยากจะเจอจริงๆ คงต้องเป็นวันจัดกิจกรรมในบ้านพี่ มาสิ นั่งดูพวกเด็กๆ กับหนุ่มสาวเล่นกันสนุกดี”

โสมส่องพยักหน้ารับทราบอย่างเข้าใจดี

ศศิเอ่ยต่อ เมื่อพูดถึงการจัดกิจกรรมของหญิงสาว “นอกจากจะช่วยให้พ่อแม่ได้ใช้เวลาเล่นกับลูกแล้ว ยังช่วยลูกของพี่ได้ด้วยนะ ตอนแรกพี่คิดว่าคงจะไม่ได้ผลกับศิลป์หรอก ไม้แก่ขนาดนั้นอาจจะดัดยากสักหน่อย แต่พอลองดูก็ได้ผลเหมือนกัน”

“ได้ผลยังไงเหรอพี่ศิ” โสมส่องเร่งถาม

“ศิลป์ไม่ค่อยจะอยู่ในห้องนอนทั้งวันแล้ว มาอยู่ข้างล่างบ้าง ไปนั่งหน้าบ้านบ้าง อีกไม่นานคงจะออกไปนอกบ้านได้ พี่ดีใจที่ลูกเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น”

ศศิเห็นไขศิลป์เดินผ่านห้องนั่งเล่น จึงเรียกให้มาทำความรู้จักกับโสมส่องอย่างเป็นทางการ

เขายกมือและกล่าวสวัสดีผู้เป็นน้าด้วยท่าทีสุภาพเรียบร้อย

“ไม่เคยเห็นหน้ามาหลายปี โตเป็นหนุ่มหล่อเฟี้ยวเชียวนะ มีแฟนหรือยังล่ะ” โสมส่องทักหลานชายอีกคน

“ยังครับ” ไขศิลป์ตอบด้วยเสียงดังฟังชัด

“แล้วศิลป์จะไปไหนหรือออกไปนั่งหน้าบ้าน” ศศิถามลูกชาย

“จะลองออกไปข้างนอกสักหน่อย อยากรู้ว่าจะเป็นยังไง” เขาบอกไปตามความตั้งใจของตน

“ให้แม่เดินไปด้วยไหม เผื่อมีอะไร แม่จะช่วยได้ทัน” ศศิเอ่ยด้วยความเป็นห่วง

“ผมคงจัดการได้ ขอลองออกไปคนเดียวดีกว่า” ไขศิลป์ยังเชื่อมั่นว่าตัวเองต้องทำได้ ถ้ายังกลัวหรือแสดงอาการออกมาจนควบคุมลำบากก็แค่วิ่งกลับเข้าบ้านอย่างเร็วไวเท่านั้นเอง

“ปล่อยลูกไปเถอะพี่ศิ โตขนาดนี้แล้ว ไม่ใช่เด็กๆ ต้องให้เรียนรู้และแก้ปัญหาด้วยตัวเอง น้าเป็นกำลังใจให้นะ” โสมส่องส่งยิ้มให้เขาแล้วพูดกับศศิ “พี่ศิไปข้างนอกกับน้องดีกว่า ไปเดินซื้อของกัน”

ไขศิลป์ตั้งใจจะลองเดินไปตามทางเดินที่เคยหวาดกลัวกับสายตาผู้คน ขอเริ่มจากจุดนี้เพื่อลองดูว่าจะมีอาการกลัวเหมือนที่เคยเกิดขึ้นหรือไม่ ถ้าเกิดขึ้น เขาจะลองจัดการกับความกลัวหรือฝึกควบคุมตัวเอง ไม่ให้คิดว่าความกลัวจะต้องชนะตนได้ แต่เป็นตนต่างหากที่ต้องชนะมัน หากทำได้สำเร็จคงจะออกไปดีลงานด้วยตัวเองได้สักที

เขาไม่ได้สังเกตเลยว่าเมื่อคิดจะก้าวขาออกนอกบ้าน อาการที่เคยมีนั้นแทบไม่เกิดขึ้นให้ต้องนึกกริ่งเกรง นี่คงเป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่ดีของการเริ่มต้นที่จะเข้าสู่สังคมแท้จริง

หนนี้คงเป็นการเดินออกไปนอกบ้านเพื่อทดสอบสิ่งที่เคยประสบในลานกว้างตอนร่วมกิจกรรมของเธอจนนำมาใช้กับสถานการณ์จริงได้

ไขศิลป์จะเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใด ยามลองวัดใจตัวเองอีกครั้งหนึ่ง

จงอย่ามองความกลัวเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่ แค่ให้มองเป็นรอยเข็มทิ่มก็พอ

 



Don`t copy text!