ละเล่นลานรัก บทที่ 30 : ตัวเลือกไม่รู้ตัว

ละเล่นลานรัก บทที่ 30 : ตัวเลือกไม่รู้ตัว

โดย : กุลวีร์

Loading

ละเล่นลานรัก นวนิยายออนไลน์จากอ่านเอา anowl.co โดย กุลวีร์ เมื่อนักกิจกรรมบำบัดสาวที่ต้องคอยแก้ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยมือถือ ต้องการช่วยเหลือหนุ่มรุ่นน้องข้างบ้านที่ไม่กล้าออกไปนอกบ้าน เธอจึงใช้กิจกรรมการละเล่นไทยเป็นตัวช่วย จนเขาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างโดยเฉพาะหัวใจตัวเอง แต่เธอก็มีทั้งคนเก่าและคนใหม่มาให้เลือก

ชายหนุ่มเดินออกจากหน้าประตูบ้าน รับรู้ถึงสายตาของมารดาที่ยืนมองด้วยความเป็นห่วงเป็นใย เขาจึงทำเป็นเข้มแข็งเพื่อให้แม่หายวิตกกังวล

ในเมื่อเขาทำตัวเองให้เป็นคนไม่กล้าอยู่ในสถานที่ที่มีคนจำนวนมากก็ต้องแก้ไขและยืดหยัดด้วยลำแข้งของตนเอง

ขาสองข้างก้าวไปตามทาง โดยไม่สนว่าจะมีสายตาใครมองมาที่ตนหรือไม่ พอเดินถึงหน้าปากซอย จุดหมายของเขาคือป้ายรถเมล์จึงต้องผ่านร้านชำที่มีกลุ่มคนนั่งสนทนากัน เมื่อเขาเข้าไปใกล้ผู้คนเหล่านั้นก็ถูกจ้องมองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ไขศิลป์รู้สึกถึงความหวั่นกลัวที่แล่นขึ้นมาปัจจุบันทันด่วน มือสองข้างเริ่มจะสั่นเล็กน้อย หากเขาพยายามกำหนดลมหายใจจนความกลัวลดระดับลงไปได้มาก พอควบคุมมันไว้ได้และไม่เกรงกลัวสายตาใครต่อใครที่มองมายังตน แม้ภาพอดีตจะตามมาหลอกหลอนในทุกย่างก้าว เขาก็ไม่ได้นึกถึงมันหรือไม่คิดจะมองเห็นภาพเหล่านั้นซ้ำอีกเลย เพราะเขาคิดแต่เรื่องปัจจุบันกับอนาคตที่จะต้องมีงานทำ

ในที่สุดเขาก็เดินมาถึงป้ายรถเมล์ แม้ยามนี้จะไม่ค่อยมีผู้คนพลุกพล่านนัก แต่ก็มีคนอื่นให้เห็นประปราย ทั้งนั่งรอรถเมล์ ทั้งเดินผ่านไปมา เขาหยุดอยู่กับที่สักพักหนึ่งเพื่อให้มั่นใจว่าจัดการกับความกลัวได้ด้วยตัวเอง

เขาเองก็เป็นปุถุชนเหมือนคนทั่วไป ไม่ได้ผิดแปลกไปจากคนที่จ้องมองกันเลยสักนิดเดียว

เมื่อรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่เหมือนในอดีตอีกต่อไป เพราะเธอคนเดียวที่ทำให้เขาเริ่มคุ้นชินกับที่ที่มีคนจำนวนมากและไม่สนสายตาใครที่จะมอง

ความคุ้นเคยและความไว้ใจที่เขามีให้แก่เธอเสมอมากลายเป็นความผูกพันทางใจในที่สุด

ตอนนี้ไขศิลป์บอกได้เต็มปากเต็มคำว่าเธอเป็นอีกหนึ่งคนสำคัญในชีวิต ซึ่งควรรักษาไว้ให้อยู่ด้วยกันตราบนานเท่านาน

คิดได้เช่นนั้น อกข้างซ้ายก็เริ่มหวั่นไหว เพราะไม่อยากให้เธอหายไปจากชีวิตนี้

นอกจากบิดามารดาจะมีความหมายกับชีวิตเขามากแล้ว ก็ยังมีสาวรุ่นพี่ที่อยู่ข้างบ้านอีกหนึ่งคนที่เขาไม่อยากสูญเสียให้กับชายคนอื่น

ไขศิลป์พอจะรู้แล้วว่าที่เขาไม่พอใจ ยามเห็นเธอคุยกับชายหนุ่มคนอื่นอย่างเป็นกันเองนั้น เพราะเขาเริ่มมีใจให้เธอ แต่ที่ยังไม่รู้แน่ชัดคือปรียานุชจะยอมให้เขาเป็นมากกว่าน้องชายคนหนึ่งซึ่งเป็นฐานะที่เธอมักจะมอบให้กันตลอดเวลาหรือไม่

เมื่อเดินเข้ามาในบ้านด้วยความชื่นบานที่ปัญหาที่เคยเป็นนั้นเริ่มเบาบางลง ไขศิลป์ไม่พบมารดาและน้าสาวอยู่ในบ้าน เรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นจึงบอกกล่าวกับเพื่อนชายเป็นคนแรกผ่านทางโทรศัพท์มือถือ

ฐานินดีใจไปกับเขาและพร้อมทำการนัดหมายกับทางบริษัทนั้นในวันที่เขาจะเข้าไปดีลงานด้วยตัวเอง

ไขศิลป์ตั้งใจว่าให้ได้งานทำมาก่อนจึงค่อยบอกเธอ

กับความพยายามทุ่มเทของเธอด้วยใจจริง เขาจึงมีชีวิตที่ดีขึ้นและมีการมีงานทำโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่นอีกต่อไป เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไขศิลป์ภูมิใจในตัวเองที่สามารถทำจนสำเร็จ เพียงแค่ตั้งใจทำและมุ่งมั่นที่จะปรับเปลี่ยนความคิดหรือการกระทำก็ค้นพบสิ่งดีดีในชีวิต

เขาขอบคุณเธอในใจที่หาทางให้เขาเปลี่ยนแปลงตัวเองได้เสียที หากลึกๆ ในใจก็รู้สึกว่าโชคดีที่ชีวิตนี้ได้พบเธอ

เขาจะบอกคำขอบคุณต่อหน้าเธอพร้อมกับหัวใจตัวเองที่มีเธออยู่ข้างใน

เพราะความห่วงใยที่คอยช่วยเหลือกันเท่าที่คนหนึ่งจะสามารถทำได้ ความรักจึงค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในใจโดยที่ไม่รู้มาก่อน

หากพอรู้ตัวอีกที ความรักก็เด่นชัดในหัวใจจนถึงวันที่จะเปิดเผยให้อีกฝ่ายได้รับรู้

แล้ววันใดคนทั้งสองจะรู้เสียทีว่ามีใจตรงกัน

 

หญิงสาวแจ้งเรื่องการจัดกิจกรรมที่จะมีเร็วขึ้นให้แก่คนที่คาดว่าจะมาเข้าร่วมเล่นด้วยกันได้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่รุ่นน้องข้างบ้าน หลังจากได้ทราบเรื่องน่ายินดีของเขา แม้เจ้าตัวจะยังไม่ได้บอกกับเธอเลยสักคำ

ทันทีที่ก้าวขามาถึงหน้าบ้านตัวเอง เธอก็รู้ว่ามีแขกผู้มาเยือนนั่งคุยกับบุพการีอยู่ในบ้าน

พอเข้าไปในตัวบ้าน แขกที่มาเยี่ยมเยือนกันก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล แต่เป็นเพื่อนบ้านข้างเคียงกัน หากมีคนหนึ่งซึ่งไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนรวมอยู่ในสามคนนั้นด้วย

“หนูปรีมาพอดีเลย นี่น้าโสม น้องสาวของน้าเอง” ศศิเป็นคนแนะนำอีกฝ่ายให้รู้จัก

ปรียานุชยกมือไหว้อย่างคนมีสัมมาคารวะ เมื่อเจอผู้ที่มีอายุมากกว่ากัน

นอกจากจะเจอคนไม่คุ้นหน้าแล้ว นี่เป็นครั้งแรก หลังจากเลิกงาน พอกลับเข้าบ้านก็ได้เห็นไขศิลป์นั่งส่งยิ้มให้กันอยู่ในบ้านของเธอ

“น้าต้องขอบคุณหนูมากเลยนะที่ช่วยทำให้ครอบครัวของลูกสาวน้า กลับมาเป็นครอบครัวอบอุ่นและยังรักกันเหนียวแน่นมากขึ้นอีก” โสมส่องลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปจับมือเธอ

ปรียานุชทำหน้าทำตาแสดงความสงสัยกับคำกล่าวที่ได้ยิน จนศศิต้องขยายความให้รู้กระจ่างแจ้ง “น้าโสมเป็นยายแท้ๆ ของกีตาร์นะจ๊ะหนูปรี”

เธอปะติดปะต่อความสัมพันธ์ของเพื่อนบ้านได้แล้วก็ส่งยิ้มให้อีกฝ่ายที่ยังไม่คลายความเปรมปรีดิ์ในยามเจอกัน

หลังจากโสมส่องได้รับทราบจากศศิว่าจะมีการจัดกิจกรรมการละเล่นไทยในวันพรุ่งนี้ ก็อดรนทนไม่ไหวจึงต้องแวะมาหาและขอให้ศศิพาไปพบเธอ

“น้าชื่นชมหนูมากเลยนะ อยากเจอตัวมาหลายวันแล้ว ตั้งแต่ได้ยินเรื่องของหนู พรุ่งนี้น้าขอมาดูด้วยคนนะ”

“มาได้เลยนะคะ หนูยินดีค่ะ” ปรียานุชได้จังหวะพูดออกไป

“ดูหน้าดูตาแล้ว หนูเป็นคนมีโหงวเฮ้งดีนะ ใครได้เป็นภรรยาคงจะโชคดีน่าดู” โสมส่องพูดกับเธออย่างเป็นกันเอง “มีแฟนหรือยังล่ะ”

เธอส่ายศีรษะเป็นคำตอบ หากเสียงมารดาก็ตอบออกมาแทน “ยังโสดอยู่เลยนะ”

โสมส่องยิ้มให้เธออย่างคนเข้าใจดี “ไม่เป็นไร อายุเท่านี้ยังมีสิทธิ์เลือกได้ แต่ต้องดูให้ดีๆ อย่าหาว่าน้าจุ้นจ้านเลยนะ แต่ถามจริงๆ เถอะ แค่คนคุยๆ กันอยู่ก็ไม่มีจริงๆ ใช่ไหม”

“ค่ะ” ปรียานุชตอบอย่างชัดเจน

“น้าไม่มีลูกชายด้วยสิ จะได้พามาให้หนูรู้จักกันไว้ แต่น้ามีหลานชายนะ พอจะถูไถได้ไหม ถ้าสนใจก็คุยกันได้เลย ยังโสดเหมือนกัน” โสมส่องมองไปทางไขศิลป์ หากยังเอ่ยต่อเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ “ศิลป์มีอะไรจะคุยกับหนูคนนี้ไม่ใช่เหรอ ออกไปพูดกันข้างนอกก็ได้ ตรงนี้พวกผู้ใหญ่จะคุยกัน”

ไขศิลป์ที่นั่งฟังน้าสาวพูดคุยอยู่สักพักก็ต้องสะดุ้งตัวยามถูกเอ่ยถึง โดยเฉพาะข้ออ้างที่ตนใช้เมื่อเห็นมารดากับน้าสาวจะมาที่บ้านของเธอ เขาจึงขอติดตามมาด้วยเพียงแค่อยากเห็นหน้าเธอ

“ศิลป์มีอะไรจะคุยกับพี่เหรอ” ปรียานุชหันหน้าไปถามชายหนุ่ม ทำเป็นไม่ได้ยินข้อเสนอของโสมส่อง

เมื่อถูกไล่ให้ออกจากวงสนทนา ไขศิลป์จึงต้องพาเธอเดินมาตรงหน้าบ้านโดยไม่ได้ตอบคำถามของเธอ

ยามค่ำคืนที่ท้องนภาเต็มไปด้วยความมืดดำ มีดวงดาวส่องแสงประกายระยิบระยับให้เห็นดารดาษอยู่เต็มผืนฟ้า เขาไม่ค่อยจะได้แหงนหน้ามองเบื้องบนบ่อยนัก หากราตรีนี้ดูสวยงามมากกว่าที่เคยมองเพราะมีเธออยู่ข้างกัน

“พี่ปรีเคยออกมานั่งดูดาวบ้างไหม” ปากก็พูดไป แต่เขายังไม่ละสายตาจากท้องฟ้า

เธอหันมองชายหนุ่มรุ่นน้องที่วันนี้ทำตัวแปลกไป พออีกฝ่ายไม่ได้มองหน้ากัน เธอก็มองไปยังแผ่นฟ้าไม่ต่างจากเขา

“ท้องฟ้าไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน ต่อให้จะมีดาวหรือไม่มีดาว ถ้าได้แหงนหน้ามองที่บ้านของตัวเอง มันก็สวยเหมือนกันหมดแหละ” เธอตั้งใจจะไม่ตอบคำถามของเขา

“ผมว่าคืนนี้ก็สวยเหมือนกัน”

“กลับไปนั่งมองที่บ้านของศิลป์สิ อาจจะสวยกว่านี้ก็ได้”

“แค่นี้ก็สวยมากพอแล้วครับ” เขาหันหน้ามามองเธอ เมื่อคำพูดของเธอเหมือนจะไล่กันกลายๆ แต่เป็นจังหวะเดียวกับที่เธอหันมองเขาพอดี ความวาบหวามใจปรากฏขึ้น จนเขาต้องพูดต่อ “บ้านผมกับบ้านพี่ปรีห่างกันแค่นี้ นั่งมองที่บ้านของพี่ปรีก็เหมือนกับบ้านของผม”

ยิ่งเขาพูดก็ยิ่งทำให้ใจของเธอต้องสั่นไหว ถ้อยคำแสนกำกวมที่พอจะทำให้เธอคิดไปไกล แต่เธอสลัดความคิดนั้นไปให้พ้นตัวโดยการเปลี่ยนเรื่องคุย

“มีเรื่องจะคุยกับพี่ไม่ใช่เหรอ”

ไขศิลป์ที่ไม่ได้เตรียมเรื่องมาคุยกับเธอก็เริ่มทำตัวไม่ถูก จึงเอ่ยเรื่องของตนเมื่อหลายวันก่อนซึ่งยังไม่เคยบอกเธอ “ผมเดินออกจากบ้านไปถึงป้ายรถเมล์ได้แล้วนะ ไม่ค่อยกลัวอีกด้วย”

หญิงสาวเห็นท่าทีแสดงถึงความภาคภูมิใจของชายหนุ่มก็ส่งยิ้มให้ “พี่บอกแล้วว่าศิลป์ต้องทำได้ คงไม่เกินความพยายามหรอก ถ้าคิดจะสู้กับความกลัวจริงๆ แต่ต้องลองเจอคนบ่อยๆ ไม่ใช่ขังตัวเองอยู่ในห้อง เพื่อสร้างความมั่นใจให้ตัวเอง พรุ่งนี้พี่จัดกิจกรรมคงช่วยให้ศิลป์มั่นใจได้อีกสักหน่อย”

ไขศิลป์รู้ว่าเธอทำเพื่อเขา “ผมจะไม่กลัว ต่อให้มีคนเยอะกว่าครั้งก่อนก็ตาม”

“แต่เรื่องที่ศิลป์เดินออกมานอกบ้านได้ พี่รู้มาหลายวันแล้ว น้าศิบอกพี่ นินก็บอกพี่ด้วยนะ”

เขาพอจะทราบว่าเธอกับเพื่อนชายนั้นพูดคุยกันทางโทรศัพท์จึงคิดจะถามให้แน่ใจ “ถ้าผมขอถามพี่ปรีตรงๆ ว่าพี่ไม่ได้ชอบเพื่อนของผมจริงๆ ใช่ไหม”

แม้เธอจะไม่ทันตั้งตัวที่อยู่ดีๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่องคุย แต่ตอบไปตามความจริง “นินมีแฟนแล้ว พี่ไม่คิดจะแย่งแฟนคนอื่นหรอก ทำไม กลัวพี่จะแย่งนินมาเหรอ”

“ใช่ ผมพยายามกันไม่ให้พี่สนิทกับนินมากนัก ผมไม่ไว้ใจเพื่อนของผม กลัวมันจะเตลิดไปไกล” เขายอมรับโดยไม่คิดปิดบัง

เธอเพิ่งจะเข้าใจการกระทำของเขาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ซึ่งเธอเองก็ตีความจากสิ่งที่เห็นในแบบผิดๆ จนได้ทราบความจริงก็โล่งใจที่เขายังไม่มีคนพิเศษในใจ

ทำไมต้องโล่งใจด้วยล่ะ ปรียานุชยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เหมือนกัน

พอเธอเงียบไป เขาจึงชวนคุยต่อ

“ถ้าตัดนินออกไป พี่จะเลือกใครระหว่างคนใหม่หรือคนเก่าที่เข้ามาจีบ”

ปรียานุชอดแปลกใจไม่ได้ที่เขายังหนีไม่พ้นเรื่องคนที่เธอจะเลือกให้เป็นคนพิเศษในหัวใจ หรือเป็นเพราะเธอเองที่เคยคุยเรื่องของแฟนเก่าให้เขาได้รู้

“คงต้องดูไปก่อน ตอนนี้พี่ยังไม่คิดจะเลือกใคร” เธอไม่รู้ว่าอนาคตเป็นเช่นไร

“ถ้าวันหนึ่งพี่ปรีต้องเลือกล่ะ” เขายังอยากรู้คำตอบของเธอ

“พี่ต้องเลือกคนที่พูดคุยกันแล้วสบายใจ ไม่ต้องลำบากใจที่อยู่ด้วยกัน และคนคนนั้นก็ต้องยอมรับสิ่งที่พี่เป็นให้ได้”

ไขศิลป์เงยหน้ามองท้องฟ้า เอ่ยออกมาลอยๆ อย่างคนใสซื่อ “ตอนที่พี่ปรีอยู่กับผม ได้คุยกับผม พี่ปรีสบายใจบ้างไหมหรือลำบากใจบ้างหรือเปล่า”

เป็นคำถามที่พอจะทำให้ใจเธอไหวหวั่นโดยไม่ต้องทวนซ้ำ

ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน หลังจากทิ้งคำถามไว้ให้เธอขบคิด เพราะยังไม่อยากได้ยินคำตอบออกจากปากเธอในยามนี้

“ผมรบกวนเวลาพี่ปรีนานแล้ว พรุ่งนี้ไว้เจอกัน ฝากบอกแม่ด้วยว่าผมขอกลับบ้านก่อน”

ปรียานุชนั่งมองเขาเดินห่างออกไป หากในใจก็ยังมีแต่คำถามนั้นซึ่งเหมือนจะสื่อเป็นนัยๆ ว่าเขาอยากจะเป็นตัวเลือกของเธออีกคน หรือเธออาจคิดไปเอง

 



Don`t copy text!