ละเล่นลานรัก บทที่ 32 : ช่วงชิงชัย

ละเล่นลานรัก บทที่ 32 : ช่วงชิงชัย

โดย : กุลวีร์

Loading

ละเล่นลานรัก นวนิยายออนไลน์จากอ่านเอา anowl.co โดย กุลวีร์ เมื่อนักกิจกรรมบำบัดสาวที่ต้องคอยแก้ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยมือถือ ต้องการช่วยเหลือหนุ่มรุ่นน้องข้างบ้านที่ไม่กล้าออกไปนอกบ้าน เธอจึงใช้กิจกรรมการละเล่นไทยเป็นตัวช่วย จนเขาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างโดยเฉพาะหัวใจตัวเอง แต่เธอก็มีทั้งคนเก่าและคนใหม่มาให้เลือก

ปรียานุชมองผู้ชายสามคนไม่วางตา แต่ละคนนั้นมีสีหน้าจริงจังและท่าทางเคร่งเครียดเกินจะเล่นกันเพื่อความสนุกสนาน

“ฉันว่ามันแปลกๆ อยู่นะปรี ดูก็รู้ว่าใครเชียร์ใคร” ธารทิพย์กระซิบพูดกับเธอ

เธอเห็นด้วยกับเพื่อนสาว เมื่อท่าทีพิรามนั้นคอยเชียร์ฉัตรพงษ์อย่างออกนอกหน้า อีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นเก่งกาจที่ส่งเสียงให้กำลังใจเอกลักษณ์ และที่เสียงดังไม่แพ้กันก็คือฐานินที่เชียร์ไขศิลป์แบบไม่แคร์ใคร

“ถ้าเป็นปรี มีผู้ชายสามคนอย่างนั้น ปรีจะเลือกเชียร์ใคร” ธารทิพย์ชวนคุย เมื่อการแข่งดีดลูกแก้วยังไม่สร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้เอาใจช่วยมากเท่าที่ควร

ปรียานุชมองไปยังชายหนุ่มทั้งสามคนพลางถามตัวเองในใจ

พอได้คำตอบเรียบร้อยก็ไม่ได้ตอบออกไป แต่ถามเพื่อนกลับ “ธารล่ะ เชียร์ใคร”

“ฉันเชียร์พี่ฉัตร” ธารทิพย์ตอบเร็วไว

“ฉันนึกว่าธารจะเชียร์หนึ่งในคู่จิ้นของธารซะอีก เห็นให้กำลังใจกันดี”

ธารทิพย์หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะขยายความให้เธอเข้าใจ “ผู้ชายสามคนนั้น ถ้าให้ฉันเลือกคนที่น่าจะเหมาะสมกับปรีมากที่สุดก็ต้องเป็นพี่ฉัตรอยู่แล้ว”

“ทำไมเอาฉันไปเกี่ยวข้องกับสามคนนั้นด้วยล่ะ” เธอค้อนเพื่อนสาว

“ฉันลองคิดเล่นๆ ถ้าสามคนนั้นกำลังแข่งกันเพื่อให้ได้ตัวปรีก็คงประมาทไม่ได้หรอก ดูสิ มีแต่คนตั้งรับ ไม่ยอมคิดจะบุกเข้าไปก่อนเลย”

สิ่งที่ธารทิพย์ได้คาดเดานั้น ช่างตรงกับความเป็นจริงเสียเหลือเกิน

ปรียานุชคิดไปตามคำของเพื่อนแต่ไม่เห็นด้วย

ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ไขศิลป์จะขอลงแข่งขันเพื่ออะไรกัน

เมื่อนึกหาเหตุผลที่ไม่ต่างจากชายอีกสองคนก็เหมือนเขาอยากเป็นตัวเลือกสำหรับหัวใจของเธอ

คิดได้ดังนั้น ใจเธอสั่นไหวแปลกๆ ชอบกล รู้สึกหวามหวิวในอกจนบอกไม่ถูก

เมื่อมีเสียงคนตะโกนให้เข้าไปสู้กันบ้าง เธอจึงกลับมาจดจ่อกับการแข่งขัน เห็นฉัตรพงษ์ดีดลูกแก้วเข้าไปใกล้เอกลักษณ์

ไขศิลป์ยืนมองให้สองคนสู้กันไปก่อน พอสบโอกาส เขาก็ใช้สายตาเล็งไปทางลูกแก้วที่ต้องการ แม้จะอยู่ห่างกันพอประมาณ และระยะห่างนั้นอาจทำให้อีกฝ่ายหัวร่อได้ว่าคงไม่มีโอกาสดีดมาโดนกันแน่ๆ แต่เขาเชื่อในความเป็นนักสู้ พร้อมกับคำว่าเพื่อเธออยู่เต็มหัวใจ ไขศิลป์จึงดีดลูกแก้วของตนไปกินลูกแก้วของฉัตรพงษ์ได้สำเร็จ ขณะที่ใครหลายคนอาจคาดไม่ถึงในความแม่นยำของเขา

เสียงเฮดังลั่นของฐานิน เรียกความสนใจของทุกคนให้หันมองจนไพล่ไปดูเวลาซึ่งถึงคราวที่กิจกรรมในวันนี้สมควรจบลงได้เสียที แต่เอกลักษณ์ยังขอดีดลูกแก้วกับไขศิลป์ต่อไปเพื่อให้รู้ผลแพ้ชนะ

ระหว่างที่หลายคนทยอยกันกลับ เขากับเอกลักษณ์ยังมีลูกล่อลูกชน ไม่ยอมให้โดนกินได้ง่ายๆ

แม้การเล่นดีดลูกแก้วเหมือนจะยืดเยื้อไปเป็นชั่วโมง แต่มีบางคนอยู่ดูต่อว่าใครจะคว้าชัย

เมื่อคู่ต่อสู้หมดไปหนึ่งและเหลืออีกหนึ่ง ไขศิลป์จึงต้องวางแผนในการโจมตีพร้อมทั้งเฝ้าดูท่าทีของอีกฝ่าย

พอประเมินแล้วว่าตนน่าจะมีโอกาสได้กินอีกลูก ไขศิลป์จึงเป็นฝ่ายบุกเข้าไป โดยร่นระยะให้เข้าไปใกล้พอประมาณเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายดีดลูกแก้วมาโดนกันได้ และเป็นจริงดังคาด เมื่ออีกฝ่ายดีดลูกแก้วมาใกล้เขา แต่ระยะห่างระหว่างกันทำให้เขาไม่สามารถกินลูกแก้วนั้นได้ จึงต้องออกไปไกลแล้วค่อยเข้าใกล้ใหม่อีกหน เป็นเช่นนี้สลับกันไปมาจนมีคนอยากเปลี่ยนกติกาที่เธอเคยอธิบาย

แต่สุดท้ายก็เป็นเพราะตัวเขาเองที่เชื่อมั่นฝีมือของตนมากเกินไป

ไขศิลป์คาดว่าจะเกิดขึ้นเหมือนครั้งก่อน แต่พลาดพลั้งจนทำให้เอกลักษณ์ดีดลูกแก้วมาโดนลูกแก้วของเขาได้

เมื่อเหตุการณ์ไม่เป็นไปตามที่คิด เขาจึงเสนอขึ้นมาอีก

“คุณกับผมไปโยนเส้นกันต่อ ให้รู้ไปเลยว่าใครจะชนะ”

เอกลักษณ์เริ่มเข้าใจในสิ่งที่เขาทำจึงยอมโดยดีและหวังว่าตนคือผู้มีชัย

ส่วนฉัตรพงษ์มีหน้าตาหงอยเหงาเมื่อกลายเป็นผู้แพ้ พิรามก็ยังปลอบใจกันว่าไม่เป็นไร แค่แข่งกันสนุกๆ ฉัตรพงษ์ได้แต่ยิ้มน้อยๆ ให้กับคนที่ไม่รู้เหตุผลแท้จริงของการเล่นดีดลูกแก้วที่ผ่านมา

“พอเถอะนะ เย็นมากแล้ว ไม่หิวกันหรือไง” ปรียานุชเอ่ยขัดคนทั้งสอง

แต่ความตั้งใจจะเป็นผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียวโดยมีตัวเธอเป็นเดิมพัน ทำให้ชายหนุ่มสองคนไม่ฟังคำของเธอเลย

ไขศิลป์เป็นคนขีดเส้นบนลานดิน โดยมีเส้นกลาง เส้นบน เส้นล่าง และใช้เส้นที่เคยยืนโยนลูกแก้วเป็นเส้นโยนสำหรับยืนโยนเหรียญไปทางเส้นสามเส้นที่ขีดไว้ โดยเส้นบน เขาวางเหรียญบาทไว้สองเหรียญ และเส้นล่างหนึ่งเหรียญ

“จะโยนทั้งหมดสามรอบ ใครโยนทับเส้นกลางจะได้เหรียญทั้งหมด ส่วนใครโยนไปทางเส้นบนหรือเส้นล่างก็ได้เหรียญตามจำนวนที่วางไว้ให้ เล่นเสร็จใครได้เหรียญมากที่สุดเป็นผู้ชนะ แต่ถ้าทับเส้นเดียวกัน คนที่ได้เหรียญคือคนโยนทีหลัง” ไขศิลป์อธิบายพลางยื่นเหรียญบาทให้เอกลักษณ์

ก่อนจะเริ่มโยนเส้น เขาได้เดินเข้าไปขอให้ปรียานุชและธารทิพย์ช่วยเป็นผู้ตัดสิน ทางด้านเอกลักษณ์ก็ได้เดินเข้าไปขอให้เก่งกาจเป็นคณะกรรมการช่วยกันดูอีกคน

“ทำไม กลัวฉันจะโกงให้น้องศิลป์หรือยังไง ถึงไปขอให้คุณเก่งมายืนดูด้วยกัน” ธารทิพย์ถามเอกลักษณ์ที่เดินมาพร้อมเก่งกาจตรงเส้นทั้งสาม

เอกลักษณ์ไม่ตอบโต้ใดๆ เดินไปยืนใกล้ๆ ไขศิลป์ตรงเส้นโยน

“ฉันเชียร์ศิลป์ อย่าให้มันชนะเลย ฉันไม่ชอบ” ธารทิพย์หันหน้ามาบอกเธอ เมื่อเอกลักษณ์ไม่ยอมเสวนาด้วย

“แล้วเอาคุณฉัตรไปไว้ไหนล่ะ” เธอแกล้งหยอกเพื่อน

“เอาไว้ตรงที่เดิม ยังไงพี่ฉัตรก็เหมาะกับปรีมากที่สุด แต่ตอนนี้มีให้เลือกแค่สองคนนั้น ฉันต้องเลือกน้องศิลป์อยู่แล้ว” ธารทิพย์พูดเสียงเบาเพื่อไม่ให้เก่งกาจได้ยิน แล้วเอ่ยต่อ “ที่ปรีไม่เออออกับฉัน หรือว่าปรีเลือกมันตั้งแต่ต้นแล้ว ไม่ได้นะ ฉันไม่ยอมหรอก”

ปรียานุชขบขันท่าทีของเพื่อนสาวซึ่งเหมือนเด็กไม่ได้ดังใจ

หากผู้ที่เข้ามาช่วยทำการตัดสินหรือเป็นพยานมีจำนวนมากกว่าที่ไขศิลป์และเอกลักษณ์เข้าไปขอให้ช่วย เพราะคนที่ยังอยู่ในที่แห่งนี้ต่างก็รอดูว่าใครจะเป็นผู้ชนะ

เอกลักษณ์ทำการเป่ายิ้งฉุบเพื่อหาคนเริ่ม จนไขศิลป์เป็นผู้โยนเหรียญไปที่เส้นก่อน

รอบแรก เขาพยายามจะโยนให้ทับเส้นกลางแต่เหรียญนั้นไปอยู่ทางเส้นบนจึงได้สองเหรียญ ส่วนเอกลักษณ์โยนไปทับเส้นล่างจึงได้แค่หนึ่งเหรียญซึ่งมีจำนวนน้อยกว่าเขา ไขศิลป์ลำพองใจที่อาจจะคว้าชัยได้ในที่สุด

พอรอบสอง ต่างคนก็สลับกัน ทำให้จำนวนเหรียญที่ได้มามีเท่ากัน จึงใช้รอบที่สามเป็นการตัดสินว่าใครจะเป็นผู้ชนะ

ก่อนที่จะเล่นโยนเส้นครั้งสุดท้าย เอกลักษณ์ขอพักสักครู่ ฐานินจึงเข้ามาคุยกับเขา

“แกต้องชนะเลยนะ ไม่เอาคะแนนเท่ากัน เพราะฉันหิวข้าวจนแสบท้องหมดแล้ว แต่ห้ามแพ้”

“ฉันรู้ แกอย่ามารบกวนสมาธิฉันก็พอ”

เมื่อผู้เล่นทั้งสองคนพร้อมชิงชัยเป็นที่เรียบร้อย บรรยากาศก็เงียบเชียบไปช่วงขณะหนึ่ง ไม่มีใครพูดกับใครราวกับกลัวเสียงคุยจะไปทำลายสมาธิของชายหนุ่มทั้งสองคน

เอกลักษณ์เป็นคนเริ่มเล่นก่อนจึงโยนเหรียญไปที่เส้น ปรากฏว่าเหรียญนั้นทับเส้นกลางพอดิบพอดีเหมือนโชคช่วย

ธารทิพย์กระซิบบอกเธอ เมื่อเห็นท่าไม่ค่อยจะดี “ปรีช่วยดึงความสนใจจากมันได้ไหม ฉันจะไปเขี่ยเหรียญของมันให้ไปอยู่ที่เส้นล่าง”

“ทับเส้นกลาง” เก่งกาจตะโกนบอก หากแอบลอบยิ้ม พอรู้ว่าเพื่อนมีสิทธิ์เป็นผู้มีชัย

เอกลักษณ์ดีใจจนออกนอกหน้า ไม่สนเลยว่าไขศิลป์นั้นยังไม่ได้โยน

“ไม่น่าจะทันนะธาร” ปรียานุชเอ่ยขึ้น ยามมองเห็นไขศิลป์กำลังทำท่าจะโยนเหรียญ

เขาเริ่มใจคอไม่ดี โอกาสจะเป็นผู้ชนะคือต้องโยนทับเส้นกลางให้ได้เหมือนกัน หากยังไม่หมดหวัง พร้อมทั้งภาวนา ถ้าเธอเป็นคนของเขาก็ขอให้ตนเป็นผู้ชนะด้วยเถิด

หลังคำภาวนา เหรียญก็หลุดออกจากมือ ลอยไปตามแรงที่ใช้โยน ในช่วงเวลาไม่กี่วินาทีก็ทำให้คนที่รอดูผลแทบหยุดหายใจ

พอเหรียญของเขาตกลงบนพื้นและหยุดนิ่ง ธารทิพย์เป็นคนแรกที่ส่งเสียงดีใจพร้อมทั้งกระโดดโลดเต้นแบบไม่อายสายตาใคร

“ตกตรงเส้นกลางพอดี” ฐานินเอ่ยบอกให้เขารู้

ทั้งไขศิลป์และเอกลักษณ์ต่างรีบกรูกันเข้ามาดูผลของการเล่นโยนเส้น ซึ่งเหรียญบาทสองเหรียญทับเส้นกลางเหมือนกัน แต่ไม่จำเป็นต้องถามหรอกว่าเหรียญไหนเป็นของใคร เห็นแค่นี้ก็รู้แล้วว่าคนโยนทีหลังเป็นผู้ชนะ

ฐานินรีบเข้าไปกอดเขา พร้อมทั้งแสดงความยินดี ซึ่งไม่มีใครรู้เลยว่าผลของความมีชัยนั้นคือเรื่องใด นอกจากเอกลักษณ์และฉัตรพงษ์เท่านั้นที่รู้ดี

ฉัตรพงษ์ยิ้มอย่างดีใจที่เอกลักษณ์เป็นผู้แพ้ไม่ต่างกัน สุดท้ายแล้วก็ยังมีโอกาสเข้าไปทำคะแนนกับเธอเท่ากันเช่นเคย

ปรียานุชมองเขาส่งยิ้มให้ด้วยความไม่เข้าใจ แต่ไม่ได้เอ่ยถาม หากยังดีใจไปกับเขา

ไขศิลป์ขอเข้าไปในบ้านพร้อมเพื่อนชาย ปล่อยให้เธอยืนอยู่บนลานกว้างกับพี่สาวและผู้อื่นอีกไม่กี่คน

“ปรีอย่าลืม งานที่พี่ขอให้ช่วยนะ แล้วพี่จะโทรนัดหมายอีกที” เปรมยุดาพูดกับเธอ เมื่อถึงเวลาที่ต้องแยกย้ายกลับบ้าน

“งานของพี่เปรม ปรีขอเวลาเตรียมตัวสักสองวันนะ ไม่เอาแบบโทรบอกเย็นนี้ แล้วพรุ่งนี้ต้องไปทำ” เธอย้ำกับพี่สาว

เปรมยุดามองเห็นพิรามกับลูกสาวเดินออกมาจากตัวบ้านพอดีก็ขอตัวกลับ

ฉัตรพงษ์ส่งยิ้มน้อยๆ ให้กับเธอโดยไม่พูดไม่จา ก่อนจะเดินตามหลังครอบครัวพิรามไป

“งานอะไรเหรอปรี” ธารทิพย์ถามเธอ

“รอใกล้ถึงวันนั้น แล้วฉันจะเดินไปบอกธารเองดีกว่า” ปรียานุชเลือกที่จะปิดบังเพื่อนไว้ก่อน

ธารทิพย์อยากที่จะอยู่คุยต่อ แต่ชาญชัยพาแทนไทยเข้ามาบอกว่าลูกหิวข้าวมากแล้ว จึงชวนกันกลับทั้งครอบครัว

เมื่อเห็นเธอยืนอยู่คนเดียว เอกลักษณ์ที่ยังไม่กลับก็ได้ทีเข้ามาคุยกับเธอ

“เราแพ้แล้วนะปรี” เอกลักษณ์เอ่ยเสียงอ่อน

“ก็แค่เล่นสนุก อย่าไปคิดมากเลย คราวหน้ามาเล่นกันอีกได้”

เอกลักษณ์หัวเราะในลำคอคาดว่าเธอคงไม่รู้อะไรเลย “ปรียังคิดอีกอยู่เหรอว่าเป็นแค่การเล่นสนุก ทำไมต้องจริงจังขนาดนั้นด้วยล่ะ ปรีดูไม่ออกจริงๆ เหรอ”

เธอคิดไปตามคำที่ได้ยิน แต่ไม่พบคำตอบ จนอีกฝ่ายไขความกระจ่างให้กับเธอ

“ที่ดีดลูกแก้วกัน ถ้าใครชนะจะมีโอกาสได้ทำคะแนนกับปรี โดยคนแพ้จะต้องยอมถอย เราเป็นคนต้นคิด แต่เราก็เป็นคนแพ้ ตลกดีนะ อยู่ดีไม่ว่าดี”

ปรียานุชไม่ประหลาดใจมากสักเท่าไร เมื่อทุกสิ่งเป็นไปตามคำพูดเล่นๆ ของเพื่อนสาว

การแข่งขันหาผู้ชนะจากการละเล่นที่ผ่านมานั้นคล้ายมีเธอเป็นรางวัล

ส่วนคนที่ได้รับรางวัลคือไขศิลป์

เหตุที่เขาส่งยิ้มให้กันเพราะแค่ดีใจที่เป็นผู้มีชัยหรือเขาได้รางวัลเป็นเธอ

“ปรีฟังเราอยู่หรือเปล่า” เอกลักษณ์เห็นเธอเหม่อลอย

“ถึงเราจะมีโอกาสได้คุยกับใครมากกว่า แต่ต้องใช้เวลาเรียนรู้กันไปก่อน เราไม่ด่วนตัดสินใจหรอก”

“เรายังพอมีสิทธิ์ใช่ไหม” เอกลักษณ์ถามตรงๆ หากเธอยังอ้ำอึ้งไม่ตอบอะไร “มันมีคำตอบง่ายๆ นะ แค่ใช่กับไม่ใช่ แต่ที่ปรีไม่ยอมตอบมาเลย มันอาจจะเป็นคำตอบที่ไม่ตรงใจเรา ที่เป็นอย่างนั้นเพราะปรีมีคนอยู่ในใจแล้วใช่ไหม จึงให้สิทธิ์นั้นกับเราไม่ได้อีก”

“ไม่ใช่นะเอก” เธอรีบปฏิเสธทั้งที่ไม่แน่ใจ แต่ยังตั้งตัวไม่ทันกับการเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“ไอ้เด็กหน้าอ่อนคนนั้นใช่ไหมที่อยู่ในใจปรี” เอกลักษณ์เหมือนจะไม่ฟังคำเธอ

เมื่ออีกฝ่ายพูดถึงเด็ก เธอก็นึกถึงเด็กผู้ชายคนหนึ่ง “กีตาร์น่ะเหรอ เอกคิดมากไปหรือเปล่า”

“เด็กอย่างนั้น เราไม่คิดจะมาเป็นคู่แข่งของเราได้หรอก ก็ลูกเจ้าของบ้านท่าทางแปลกๆ นั่นไง ปรีอย่าแกล้งทำเป็นไม่รู้หน่อยเลย”

เธอไม่รู้จริงๆ ว่าเอกลักษณ์พูดถึงไขศิลป์ หากเริ่มมีอารมณ์ขุ่นมัวยามถูกต่อว่ากัน จึงเอ่ยประชดไปโดยไม่คิด “พอเอกพูดขึ้นมา เราเริ่มสนใจศิลป์ซะแล้วสิ”

แม้จะพูดไม่คิด หากหัวใจก็ไหวหวั่นแปลกๆ

เอกลักษณ์จะพูดต่อแต่ก็ยั้งปากไว้ เมื่อเห็นกีตาร์วิ่งตรงมาหาเธอโดยมีเก่งกาจและสิตางค์เดินตามหลังมาด้วยกัน

“เอกจะกลับหรือยัง พวกเรากลับก่อนแล้วกันนะ” เก่งกาจถามเพื่อน ก่อนจะหันหน้าพูดกับเธอ “คุณปรีอยู่คุยกับเอกไปก่อนก็ได้ครับ พวกเราไม่รบกวน กีตาร์ไหว้ลาน้าปรีกับน้าเอกนะลูก”

ลูกชายทำตามคำของบิดาอย่างว่าง่าย

“คุยกันเสร็จพอดีค่ะ แล้วมาเล่นด้วยกันใหม่นะคะ” เธอบอกคนที่กำลังจะกลับ

“ฉันขอกลับด้วยคน คนแพ้ยังไงก็ไม่ได้ใจเหมือนคนชนะหรอก” เอกลักษณ์กล่าวลอยๆ ก่อนจะเดินนำหน้าครอบครัวเก่งกาจไปอย่างคนที่เหมือนจะยอมรับความพ่ายแพ้ในวันนี้

พอคล้อยหลังพ่อแม่ลูกที่เดินออกไปจากบ้านของเขา ไขศิลป์ก็เดินมาส่งเพื่อนชาย

เมื่อเขาเดินย้อนกลับเข้าบ้านและหยุดคุยกับเธอ “พี่ปรีไม่หิวเหรอครับ”

เธอมองคนตรงหน้าที่กล้าส่งยิ้มให้กันบ่อยขึ้น “รู้สึกหิวนิดหน่อยน่ะ แต่ขอเข้าไปขอบคุณน้าศิก่อน” ไขศิลป์เดินนำหน้าเธอไปเพียงก้าวเดียว ปรียานุชก็ถามเขาอีก “ทำไมถึงไปเล่นกับพวกนั้น”

ไขศิลป์หันมาแสดงสีหน้าไม่เข้าใจคำถามของเธอ

สาเหตุที่ปรียานุชถามออกไปเช่นนั้น เพราะอยากรู้ว่าเขาจงใจเข้าไปร่วมเล่นหรือแค่อยากเล่นด้วยกันเพื่อความสนุกซึ่งไม่ได้มีสิ่งใดซ่อนเร้นในการเป็นผู้ชนะ แต่เขาไม่ยอมตอบจนเธอต้องขยายความ

“ที่ขอไปเล่นดีดลูกแก้วกับคุณฉัตรกับเอก รู้หรือเปล่าพวกนั้นเล่นกันทำไม”

“ผมเห็นว่าเล่นหลายคนน่าจะสนุกดี” เขาตอบไม่ตรงกับความจริง

“ศิลป์ไม่คิดบ้างเหรอว่าสองคนนั้นจะคิดยังไง ที่ขอลงแข่งก็เหมือนอยากจะสนิทกับพี่” เธอพยายามพูดให้เขารู้ว่าพอจะทราบเรื่องที่ใช้เธอเป็นเดิมพันในการดีดลูกแก้ว และเลือกใช้คำว่าสนิทซึ่งน่าจะฟังดูเข้าทีกว่าคำว่ามีใจให้กัน เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายคิดว่าเธอเข้าข้างตัวเอง

“แล้วผมกับพี่ปรียังสนิทกันไม่มากพอใช่ไหม ถ้าใช่ ผมอาจจะต้องใช้สิทธิ์ของผู้ชนะบ้างแล้ว” เขาถามและตอบให้เสร็จสรรพ หากยังเอ่ยต่อ “ผมชนะสองคนนั้นได้ก็ดีเหมือนกัน คนที่ตามจีบพี่ปรีจะได้ไม่ต้องเข้ามายุ่งให้พี่ปรีไม่สบายใจอีก ไม่ดีเหรอ”

ปรียานุชยืนครุ่นคิดกับคำของเขา หากคำถามหลังนั้นก็ตอบได้เลยว่าคงดีที่ชีวิตเธออาจจะไม่มีชายหนุ่มสองคนเข้ามาวุ่นวายสักชั่วระยะหนึ่ง แต่คำถามแรกนี่สิ อาจจะสนิทกันพอประมาณจนมีความเชื่อใจและไว้วางใจมอบให้แก่กัน

เธอทบทวนความสัมพันธ์ของตนกับอีกฝ่ายซึ่งเริ่มจะคลุมเครือ เพราะหัวใจรับรู้ถึงความไม่ค่อยจะชัดเจนมากนักกับคำตอกย้ำที่ว่าเขาก็ไม่ต่างจากน้องชายคนหนึ่ง

ไขศิลป์ยืนมองเธอที่ยังไม่ยอมเอ่ยคำใดก็คาดว่าเธอคงจะไม่ยินดีที่เขาเป็นผู้ชนะในวันนี้ จึงรีบเร่งฝีเท้าเข้าไปในบ้านโดยไม่รอเธอ

บางทีเขาอาจจะต้องทบทวนใจตัวเองเพื่อให้รู้แน่ชัดว่าชีวิตตนนั้นต้องการพี่สาวข้างบ้านจริงๆ หรือแค่อยากลองฝีมือเท่านั้นจึงคึกคะนองขอลงสนามแข่งขันกับคนทั้งสอง

ความมีชัยในวันนี้เป็นสิ่งที่เขาควรดีใจที่ได้มาหรือไม่ เมื่อความรู้สึกของเธอนั้นอาจไม่เป็นไปในทางเดียวกัน เพราะเธอคงมีใครสักคนอยู่ในใจจึงไม่จำเป็นต้องแข่งกันให้เสียเวลา

ถ้ามีคนได้คะแนนจากเธอไปเต็มเม็ดเต็มหน่วย แล้วคนคนนั้นคือใคร

คำตอบที่เขายังค้นหาไม่พบสักที นอกจากเธอคนเดียวที่จะตอบกันได้

 

ปรียานุชผละออกมาจากตัวเจ้าของบ้าน หลังจากเข้าไปขอบคุณที่ให้ใช้สถานที่หน้าบ้านจัดกิจกรรมในวันนี้ พอเธอเดินมาถึงหน้าประตูบ้านของตนเองก็เห็นธารทิพย์เดินออกมาจากบ้านฝั่งตรงข้าม เพื่อมาพูดคุยกันอีก หลังจากจัดการให้ลูกชายกินข้าวเย็นเสร็จเรียบร้อย

“ปรีเพิ่งจะกลับเหรอ วันนี้เลิกช้ากว่าทุกวันเลยนะ เพราะสามคนนั้นที่เล่นกันไม่จบสักที” ธารทิพย์เริ่มพูดกับเธอ

“พวกเขาคงติดใจการละเล่นไทย อยากเล่นกันนานๆ” เธอไม่ยอมบอกเพื่อนสาว แม้ใจจะรู้เหตุผลแท้จริง

“ฉันคิดว่าแปลกๆ อยู่นะ สามคนนั้นเล่นกันจริงจังเกินไปแบบต้องชนะให้ได้ เหมือนใครชนะจะได้เงินล้านอย่างนั้นเลย”

มันไม่ใช่เงินล้านที่คนชนะจะได้ไป แต่รางวัลของผู้ชนะนั้นเกี่ยวข้องกับเธอโดยตรง

ปรียานุชนึกถึงผู้ชนะก็เปลี่ยนเรี่องคุย “ธารคิดว่าศิลป์ทำตัวแปลกไปจากเดิมบ้างไหม”

“แปลกยังไงเหรอ แต่เท่าที่ฉันเห็น ศิลป์กล้าพูดกล้าเล่นกับคนอื่นมากขึ้นนะ ไม่เหมือนวันแรกๆ ที่นั่งก้มหน้า ไม่ยอมพูดกับคนอื่นเลย” ธารทิพย์มองเธอด้วยความสงสัย

ปรียานุชขอปรึกษาเพื่อนในเรื่องที่ก่อกวนหัวใจเธอ “ศิลป์เหมือนจะสนใจฉันเป็นพิเศษ ชอบมองฉันบ่อยๆ ฉันไม่รู้หรอกว่าเริ่มเป็นแบบนี้ตั้งแต่ตอนไหน แต่ฉันเพิ่งเห็นวันนี้”

“ปรีคิดว่าศิลป์เริ่มจะจีบปรีเหรอ” ธารทิพย์ถามออกมาตรงๆ “แต่ฉันคิดว่าศิลป์อาจทำไปเพราะหวงพี่สาวอย่างปรีก็ได้ พอเห็นทั้งพี่ฉัตรทั้งมัน ต่างก็รุมล้อมจีบปรี คนเป็นน้องชายคงคิดจะมากันท่า ไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับพี่สาว ทำนองนั้นมากกว่านะ”

ความเสียดายบังเกิดขึ้นฉับพลัน เมื่อคิดไปตามคำกล่าวของเพื่อนสาว

หรือเธอไม่อยากเป็นพี่สาวของไขศิลป์

ปรียานุชรีบส่ายศีรษะให้กับอีกหนึ่งความคิดซึ่งแอบแฝงในใจ

“จะเป็นอย่างที่ธารว่ามาจริงๆ ใช่ไหม”

“ฉันไม่รู้หรอกว่าจริงไหม แต่ปรีอย่ามาทำหน้าเสียดงเสียดายอย่างนั้นเลย” ธารทิพย์จ้องมองเธอไม่วางตาราวกับจับพิรุธกัน จนเอ่ยขึ้นมาอีก “ปรีแอบหวังอะไรอยู่หรือเปล่า”

“เปล่า” เธอพูดขึ้นทันควัน อีกทั้งยังพยายามหลีกหนีความรู้สึกในใจตนเอง “จะหวังอะไร แค่อยากเห็นศิลป์เป็นไปในทางที่ดีขึ้น แค่นี้ก็พอใจมากแล้ว”

“พูดกันตามจริง ฉันก็ไม่ว่าหรอกนะ ถ้าปรีสนใจศิลป์ขึ้นมา ศิลป์โตเป็นหนุ่มมากแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ คนเราเคยรู้จักกันมาก่อนและห่วงใยกันอีก บางทีอาจจะเกิดความผูกพันทางใจโดยไม่รู้ตัวก็ได้” ธารทิพย์พูดให้เธอเข้าใจ ก่อนจะยิ้มกริ่มแล้วเอ่ยต่อ “ไม่ผิดหรอกนะถ้าคิดจะมีแฟนที่เด็กกว่า แต่ต้องคิดดูดีๆ ว่าคนที่จะเลือกให้เป็นสามีนั้นดูแลคุ้มครองเราได้มากแค่ไหน ไม่ใช่ให้เราดูแลกันฝ่ายเดียว อย่างนั้นเหนื่อยแย่”

ปรียานุชตั้งใจฟังคำแนะนำของเพื่อนสาว หากชั่วขณะหนึ่งเผลอคิดให้ไขศิลป์เป็นคนพิเศษของตน หัวใจก็เต้นโครมครามจนเกินจะยับยั้งได้ทัน

“ปรีคิดว่าที่ฉันพูดไปจริงไหมล่ะ ครอบครัวสมัยนี้ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหน้าก็มีเยอะ แต่จะให้ผู้ชายเป็นช้างเท้าหลัง อยู่แต่ในบ้านไปวันๆ โดยไม่ทำอะไร แค่รอกินรอนอนพร้อมเรา ฉันว่ามันเกินไปนะ” ธารทิพย์ยังไม่วายปิดท้ายโดยกล่าวถึงชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง “ฉันยังเชียร์พี่ฉัตร ฉันดูออกว่าพี่ฉัตรเป็นคนมีความจริงใจ รักใครรักจริง และด้วยหน้าที่การงานคงจะหาเลี้ยงปรีได้ ที่สำคัญยังรู้จักดีกับพี่เขยพี่สาวของปรีด้วย คนคนนี้ถ้าไม่เป็นคนนิสัยดีจริงๆ พี่เปรมคงไม่แนะนำให้มารู้จักปรีหรอก”

เมื่อได้ยินคำสรรเสริญเยินยอของเพื่อนสาวที่มีต่อฉัตรพงษ์ซึ่งไม่ต่างจากคำของพี่สาวที่เคยพูดกันในวันนั้น บางทีเธออาจจะต้องให้โอกาสชายผู้นั้นเพื่อที่ตัวเองไม่ต้องพลาดหวังกับความรักอีกหน

ความไม่สมหวังในรักอาจเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ เมื่อคนใดคนหนึ่งมีใจไม่ตรงกัน

ทว่าต่อให้เป็นเรื่องปกติ พอเกิดขึ้นมาสักครั้งหนึ่งแล้วก็ทำให้ใจบอบช้ำจมกับความเศร้าไปชั่วเวลาหนึ่ง หากเป็นไปได้เธอก็ไม่อยากทุกข์ทนเพราะความรัก

เมื่อเธอยังตกอยู่ในภวังค์ความคิดพร้อมทั้งแสดงสีหน้าคิดไม่ตก ธารทิพย์ก็พูดด้วยความขบขันเพื่อให้บรรยากาศไม่เคร่งเครียด “ที่ฉันเชียร์พี่ฉัตรให้ปรี เพราะฉันอยากเก็บศิลป์ไว้จิ้นกับนินต่อไป แม้คนหนึ่งจะมีแฟนแล้ว แต่ฉันขอให้อีกคนโสดอย่างนี้ดีกว่า”

ปรียานุชยิ้มให้กับเหตุผลของเพื่อน ถึงแม้ชีวิตช่วงนี้จะมีผู้ชายมาตีสนิทพร้อมๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นคนใหม่หรือคนเก่า หรือแม้แต่คนที่เคยผูกพันกันมาตั้งแต่เด็กๆ เธอจะเลือกใครให้เป็นคนพิเศษในใจคงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ แม้หลายคำของเพื่อนสาวจะทำให้ฉุกคิดในหลายแง่มุม แต่เธอขอเลือกด้วยหัวใจและความรู้สึกตัวเองเป็นหลัก เพราะภายในใจนั้นมีเพียงคนคนเดียวดำรงอยู่ในมุมหนึ่งที่เริ่มจะมองเห็น

เมื่อใดเธอจะรู้แน่ชัดว่าเป็นเขานั่นเอง



Don`t copy text!