ละเล่นลานรัก บทที่ 37 : lucky in game and lucky in love

ละเล่นลานรัก บทที่ 37 : lucky in game and lucky in love

โดย : กุลวีร์

Loading

ละเล่นลานรัก นวนิยายออนไลน์จากอ่านเอา anowl.co โดย กุลวีร์ เมื่อนักกิจกรรมบำบัดสาวที่ต้องคอยแก้ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยมือถือ ต้องการช่วยเหลือหนุ่มรุ่นน้องข้างบ้านที่ไม่กล้าออกไปนอกบ้าน เธอจึงใช้กิจกรรมการละเล่นไทยเป็นตัวช่วย จนเขาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างโดยเฉพาะหัวใจตัวเอง แต่เธอก็มีทั้งคนเก่าและคนใหม่มาให้เลือก

ไขศิลป์ตื่นเช้ามาพร้อมกับบางเรื่องราวที่ยังรบกวนจิตใจ บัดนี้ภาพที่เธอสวมชุดเจ้าสาวยืนเคียงข้างคนสวมชุดเจ้าบ่าวก็ยังเป็นภาพจำฝังใจจนยากจะลบเลือน

ไม่ว่ายังไง เขาคงเป็นได้เพียงน้องชายที่เป็นเพื่อนบ้านกับเธอ จึงไม่มีหวังจะเป็นได้มากกว่านั้นตามที่ใจเขาอยากให้เป็น

ไขศิลป์ยังไม่ได้รับสิทธิ์ของผู้ชนะในวันวานเพื่อที่จะมีโอกาสทำคะแนนกับเธอ และยังไม่ได้ลงมือกระทำอันใดเลยสักอย่าง สุดท้ายคนอื่นก็คว้าเธอไปครอง

หลังจากค่ำวานที่เธอมาเรียกเขาถึงหน้าประตูห้องนอน ไขศิลป์เลือกที่จะไม่พูดจากับเธออีกเลยจนกระทั่งตอนนี้เพื่อขอเวลาคิดทบทวนตัวเอง

แต่ไม่ว่าจะได้ยินเสียงเธอหรือมองเห็นเธอก็ทำให้ยากที่จะลบล้างเธอให้หมดไปจากใจ

หากเขายังคงทำใจไม่ได้จึงไม่พร้อมเผชิญหน้าเธอและไม่สามารถพูดคุยกับเธออย่างเป็นกันเองได้เหมือนก่อน

ไขศิลป์ขออยู่แต่ในห้องนอนซึ่งเป็นที่ที่ปลอดภัยกับหัวใจและความรู้สึกของตน

เขาไม่ยอมรับโทรศัพท์ที่เธอโทร.เข้ามาหลายสาย และยังบอกมารดาที่โผล่หน้ามาดูด้วยความเป็นห่วงว่าอย่าให้ใครมาเคาะประตูห้องรบกวนเวลาทำงาน เพราะรู้ดีว่าถ้าไม่ได้เจอหน้ากัน เธอจะต้องบุกมาถึงด้านหน้าประตูห้องนอนเหมือนค่ำวานที่เธอมาตามให้ไปนั่งกินข้าวด้วยกัน

ในเกมการแข่งขันบนลานกว้าง เขามีน้ำใจนักกีฬามากพอที่จะรู้แพ้รู้ชนะและเคารพกติการวมทั้งผลการตัดสิน แต่ในสนามของความรักที่มีผลอย่างมากต่อหัวใจ เขาซึ่งเป็นผู้แพ้ก็ยังรับไม่ได้จึงไม่อยากไปเจอหน้าผู้ชนะที่อาจจะรอยิ้มเยาะใส่กัน

แข่งขันชิงชัยกันไปก็เท่านั้น สุดท้ายคนแพ้ในการละเล่นก็ได้เธอเป็นรางวัลไปอย่างรวดเร็ว

ความคิดหยุดลงเพียงแค่นั้น เมื่อรู้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างร่วงหล่นลงมากระทบพื้น

เขาจ้องมองสิ่งแปลกปลอมที่เพิ่งจะเข้ามาในห้องซึ่งเป็นก้อนกระดาษค่อนข้างกลมอยู่แน่นิ่งบนพื้นจนเกิดความสงสัย

ยังไม่ทันที่ไขศิลป์จะไขข้อข้องใจให้กับสิ่งที่ได้เห็น ก้อนกระดาษอีกหนึ่งก้อนก็เข้ามาทางหน้าต่างตกลงพื้นอยู่ใกล้กับก้อนแรก

เมื่อเขารู้ที่มาที่ไปของของที่เข้ามาในห้องนอน จึงคาดว่าต้นตอนั้นคงเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากรุ่นพี่ที่อยู่ข้างบ้าน!

ส่วนทางด้านของคนที่อยู่ในความคิดของเขา หลังจากปาก้อนกระดาษที่เขียนข้อความลงไปให้เขาแล้วสองก้อนก็รอดูท่าทีชายหนุ่ม

ปรียานุชยืนเท้าสะเอว แหงนหน้ามองไปทางห้องนอนของเขาได้ประมาณสองนาที ยังไร้วี่แววที่เขาจะโผล่หน้ามาทางหน้าต่างเพื่อจะได้คุยกัน

เธอใจร้อนเกินไปที่อยากจะเจอหน้าเขา เมื่อไม่เป็นดังใจก็ไม่รอเวลาให้ผ่านเลยไปแบบเสียเปล่า

ปรียานุชหยิบปากกามาขีดเขียนถ้อยคำลงบนแผ่นกระดาษ เพราะยังเชื่อว่าวิธีนี้จะสื่อสารกับเขาได้

ในเมื่อไม่มาเจอหน้ากันและยังไม่รับสายเหมือนไม่อยากได้ยินเสียงกัน ก็น่าจะเหลือวิธีที่จะเขียนตัวอักษรสำหรับใช้ติดต่อถึงกันเหมือนคนสมัยก่อนที่มีการส่งจดหมายหากัน

พอเขียนคำที่ต้องการเสร็จสิ้น เธอนำหินก้อนเล็กมาวางไว้บนกระดาษ แล้วขยุ้มแผ่นกระดาษให้ห่อหุ้มก้อนหินไว้จนเป็นก้อนเกือบกลม

ปรียานุชนำหินมาใช้เป็นตัวถ่วงให้มีน้ำหนักเพื่อที่จะบังคับทิศทางของก้อนกระดาษที่ถูกขว้างไปเข้าหน้าต่างห้องนอนของเขาพอดิบพอดี

เธอยังเชื่อว่าการทำเช่นนี้ จะได้คุยกับเขาอย่างแน่นอน

ปรียานุชปาก้อนกระดาษที่หุ้มหินไว้อยู่ภายในไปยังหน้าต่างห้องนอนของไขศิลป์ด้วยแรงที่ไม่ต่างจากใช้ปาสองก้อนแรก

เขาปล่อยให้เธอทำตามอำเภอใจ จนก้อนกระดาษอีกก้อนเข้ามาทางหน้าต่าง หลังจากเว้นช่วงไปสักพักหนึ่ง แสดงว่าเธอยังไม่หยุดที่จะขว้างก้อนกระดาษเข้ามาในห้อง

ไขศิลป์คิดจะโยนมันออกไปเพื่อคืนให้คนที่ทำมันขึ้นมา

ก่อนที่จะคว้าก้อนกระดาษเพื่อทำตามความคิดก็มีบางอย่างทำให้เขาฉุกคิดขึ้นมาอีก

หรือเธอพยายามส่งสารอะไรให้กับเขา ไม่ได้จ้องจะรบกวนเขาเพียงเท่านั้น

เขาก้มตัวลงไปหยิบกระดาษก้อนแรกที่อยู่ใกล้มือ สิ่งที่สัมผัสได้คือน้ำหนักที่ไม่ได้เบาเหมือนถือแผ่นกระดาษ เมื่อคลี่กระดาษออกเป็นแผ่นก็พบก้อนหิน แต่สิ่งที่เขาสนใจคือตัวอักษรบนแผ่นกระดาษซึ่งเป็นลายมือของเธอ

เป็นอะไรหรือเปล่า

เขาอ่านข้อความนั้นพร้อมทั้งหาคำตอบ แม้จะเป็นคำถามที่คนถามดูเหมือนจะห่วงใยกันไม่เคยเปลี่ยน แต่เขายังตอบตัวเองไม่ได้เลยว่าเป็นอะไร แล้วจะให้ตอบเธอได้อย่างไร

รู้แค่เพียงว่าไม่เป็นดังใจ เมื่อทราบว่าเธอกำลังจะแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่ใช่ตน

เขาหยิบกระดาษก้อนที่สองมาอ่านต่อ

คุยกับพี่ได้เสมอ

ใจจริงของเขาก็ไม่คิดจะไม่คุยกับเธออีกเลย เพียงแค่เขายังไม่ได้เตรียมใจให้พร้อมเผชิญกับสิ่งที่ได้เจอซึ่งยากเย็นที่จะยิ้มให้กัน ทั้งที่ควรยินดีไปพร้อมกับเธอ

ไขศิลป์หยิบก้อนกระดาษก้อนล่าสุดที่ถูกเธอปาเข้ามาให้ห้อง เปิดอ่านข้อความจากเธอ

บอกกันตรงๆ ก็ได้

เขาควรสารภาพความรู้สึกแท้จริงให้เธอได้รู้เสียทีเพื่อให้รู้ว่าเขานั้นคิดเช่นไรต่อกัน

จะสายไปหรือเปล่าที่เปิดเผยใจตัวเอง

หากเธอเลือกคนผู้นั้นแล้ว ถ้าบอกให้รู้ก็อาจไม่มีประโยชน์อันใด ปล่อยไว้ให้อยู่กับเขาน่าจะดีกว่า

ไม่นานนัก กระดาษที่หุ้มหินไว้อีกก้อนก็เข้ามาทางหน้าต่างจนเกือบจะโดนศีรษะเขา ก่อนจะตกลงสู่พื้น

ไขศิลป์ไม่รอช้าที่จะคว้าขึ้นมาเปิดอ่านข้อความบนแผ่นกระดาษ แต่ข้อความสั้นๆ ที่ได้เห็นก็สั่นสะเทือนความรู้สึกของเขาได้มากพอสมควร

หึงพี่เหรอ

เขาอ่านทวนสามรอบ ก่อนจะถามตัวเองว่าแท้จริงที่เป็นเช่นนี้เพราะเขาหึงเธอใช่ไหม

ถ้าในใจบังเกิดความรักจึงเกิดความหึง สำหรับคำถามล่าสุด เขาก็คงตอบได้ว่าใช่

หากให้เธอล่วงรู้จะเป็นหนทางที่ดีจริงหรือ

เขายังไม่ได้ลงมือทำสิ่งใด กระดาษอีกก้อนก็ถูกปาเข้ามา หล่นลงบนพื้นตรงหน้าพอดิบพอดี

ไขศิลป์รีบเปิดอ่านข้อความจากเธอซึ่งอาจเป็นคำถามเหมือนหลายข้อความที่ผ่านมา แต่ไม่ใช่อย่างที่คาดไว้

ถ้าเงียบไปแสดงว่าใช่

เขายืนยันกับตัวเองอาจจะใช่อย่างที่เธอคิดก็ได้ แต่ไม่ให้เธอรู้น่าจะเป็นเรื่องดีต่อกัน เพราะยังเป็นเพื่อนบ้านคงต้องเจอกันอีก จะได้มองหน้ากันโดยไม่ตะขิดตะขวงใจ ยกเว้นเธอจะย้ายไปอยู่กับผู้เป็นว่าที่เจ้าบ่าว

ก่อนจะคิดเลยเถิดไปไกล ไขศิลป์หากระดาษและปากกา เขียนคำปฏิเสธลงไปโดนพลัน เขานำแผ่นกระดาษไปหุ้มก้อนหิน ก่อนเดินไปยืนข้างหน้าต่าง มองหาเธอ ซึ่งยังยืนจ้องเพ่งมาทางตนแบบไม่ละสายตาไปสักวินาทีเดียว

ปรียานุชยิ้มอย่างพอใจที่คำถามนั้นทำให้เป็นไปตามหวัง เมื่อเห็นเขาหยุดยืนมองมาทางเธออยู่ตรงช่องหน้าต่าง

ไขศิลป์พยายามเล็งตำแหน่งและกะแรงที่จะใช้โยนกระดาษซึ่งมีหินถ่วงอยู่ด้านในเพื่อให้ถึงมือเธอได้พอดี เมื่อคาดคะเนทุกอย่างดีแล้ว เขาก็โยนสิ่งที่อยู่ในมือออกไปนอกหน้าต่างแล้วหันหลังให้เพื่อเตรียมตัวจะผละออกมาทันที

หากยังไม่ทันที่จะก้าวขาก็ได้ยินเสียงร้องของเธอ

“โอ๊ย!”

ปรียานุชคาดไว้แล้วว่าเขาต้องมีบางอย่างบอกให้เธอได้รู้ จนสมใจหมายเมื่อเห็นเขาโยนของในมือมาทางเธอ แต่อาจจะเกิดความผิดพลาดในการกะระยะของผู้โยน ก้อนกระดาษก็ตกลงตรงศีรษะของเธออย่างเหมาะเหม็งราวกับจงใจกลั่นแกล้งกัน

ไขศิลป์รีบพุ่งตัวไปยืนที่หน้าต่าง ชะโงกหน้าออกไปถามด้วยความห่วงใย “พี่ปรีเป็นอะไรหรือเปล่า”

เธอยิ้มกว้าง ขณะยกมือขึ้นจับศีรษะซึ่งไม่ได้เจ็บมากมายนักก็แค่ตกใจ หากลองส่งเสียงให้ดังเข้าไว้ เพียงจะทดสอบชายหนุ่มที่คาดว่ายังมีเยื่อใยและความอาทรต่อกัน จนได้คำตอบว่าเขาเป็นห่วงกันเสมอ

“ทำไมต้องปาใส่หัวพี่ โกรธเคืองอะไรกันก็บอกมาสิ พี่จะได้รู้” ปรียานุชแสร้งเล่นละคร ตะโกนถามออกไปด้วยน้ำเสียงบ่งบอกถึงความฉุนเฉียว

“ไม่ใช่นะ ผมแค่โยนไปให้ถึงพี่ปรี ผมไม่ได้ตั้งใจ” เขารีบปฏิเสธ พูดเสียงดังขึ้นสักหน่อยเพื่อให้เธอที่อยู่บนพื้นดินได้ยิน

ปรียานุชยังแหงนมองเขาซึ่งอยู่บนชั้นสองของบ้าน “ใครก็พูดได้ว่าไม่ตั้งใจ แต่สิ่งที่พี่เจอจากศิลป์มันไม่ใช่ เป็นอะไร ถึงไม่ยอมพูดกับพี่ดีๆ หรือพี่ทำอะไรให้ศิลป์ไม่พอใจ”

เป็นคำถามที่เธออยากจะเอ่ยถามเขามาตั้งแต่ค่ำวานแล้ว

“ผมไม่ได้เป็นอย่างที่พี่ปรีคิดหรอก สบายใจได้”

คำกล่าวของเขาช่างเข้าทางเธอเสียเหลือเกิน “ถ้าไม่มีอะไรกันจริงๆ พี่ขอไปคุยด้วยได้ไหม ไม่อยากจะตะโกนพูดอย่างนี้ มันเจ็บคอ” เธอแสร้งกระแอม

ในเมื่อความจริงย่อมเป็นความจริงวันยังค่ำ ไม่ว่าจะวันนี้หรือวันไหนก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้ นอกจากเปลี่ยนความคิดและหัวใจตัวเองได้เพียงอย่างเดียว

“พี่ปรีมาคุยกับผมที่หน้าห้องก็แล้วกัน”

เมื่อเธออยากคุยกับเขาก็ต้องมาพบเขา ไม่ใช่ให้เขาออกไปหาเธอ

ปรียานุชได้ยินดังนั้นก็รีบทิ้งสิ่งที่กระทำอยู่ ก้าวขาออกไปจากบ้านตัวเอง มุ่งสู่บ้านของเขา ซึ่งยามนี้ทั้งบ้านน่าจะมีเขาคนเดียวอยู่ในห้องนอน เพราะตั้งแต่เดินเข้ามาในบ้านก็ยังไม่เจอใครเลยสักคน จนหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องนอนของเขา

แม้อีกฝ่ายไม่ต้องเคาะประตู เขารับรู้ได้ทันทีว่าเธอยืนอยู่อีกฝากฝั่งของบานประตู การเปิดประตูไปเห็นหน้าเธอในหนนี้แตกต่างจากหลายคราวที่ผ่านมา เพราะเขาเพิ่งค้นพบเธออยู่ในหัวใจของตนเอง

ไขศิลป์ยิ้มได้ไม่เต็มที่นัก เมื่อเห็นหน้าเธอใกล้ๆ ขณะเฝ้าย้ำซ้ำๆ ในใจว่าควรยินดีกับเธอ

“เป็นอะไรหรือเปล่า หน้าตาดูแปลกๆ หรือจะไม่สบาย” เธอทักขึ้นทันทีที่เห็นหน้ากัน

เสียงถามด้วยความห่วงใยจากใจจริง ทำให้เขาต้องชะงักคำถามที่ตั้งใจจะถามเธอ แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรได้มากกว่านั้น เธอก็ถามต่ออีก

“เมื่อวานที่ออกไปดีลงาน ตกลงว่าได้งานแล้วใช่ไหม หรือจะคิดมากกับงานจนเกินไป หน้าตาไม่ค่อยดีเลย”

เขาจะบอกได้อย่างไรว่ามัวคิดแต่เรื่องเธอกับเรื่องหัวใจตัวเอง

ไขศิลป์ยังไม่รู้จะเริ่มต้นอธิบายเรื่องไหนก่อนก็โพล่งถามเรื่องที่ครุ่นคิดมาเป็นเวลาหนึ่งคืน

“พี่ปรีจะแต่งงานวันไหน ไม่คิดบอกกันให้รู้บ้างเลยเหรอ”

เธอยิ้มให้กับคำถามของเขา เหตุที่เขาไม่ยอมคุยและเจอหน้ากันนั้นเป็นเพราะเรื่องนี้นี่เอง หากเธอยังไม่แก้ความเข้าใจผิดนั้น เพราะมองเห็นหนทางที่จะล่วงรู้ใจของเขาได้จึงถามกลับไป

“ทำไมพี่ต้องบอกศิลป์ด้วยล่ะ”

เขายังอ้ำอึ้งให้กับการตอบคำถามของเธอ พลางคิดในใจว่าเขานั้นก็เป็นเพียงเพื่อนบ้านไม่ใช่คนในครอบครัวที่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเธอ และที่สำคัญเธออาจจะคิดว่าเขาเป็นโรคกลัวการเข้าสังคมจึงไม่ยอมบอกกันเพราะเขาคงไม่ออกไปร่วมงานของเธอ

“ที่พี่ปรีไม่บอกผม เพราะคิดว่าผมคงไปในที่ที่มีคนเยอะๆ ไม่ได้ ถ้าผมไม่เห็นก็คงไม่รู้ รู้อีกที พี่ปรีก็ควงแขนเจ้าบ่าวเข้าบ้านเรียบร้อยแล้ว”

เธอขบขันกับคำของเขา แต่เขานั้นไม่ขำไปกับเธอเพราะเรื่องที่เกิดนั้นไม่ใช่เรื่องตลก

“ทำไมต้องทำเสียงขุ่นด้วยล่ะ ไม่พอใจอะไรกันก็บอก หรือโกรธเคืองอะไรพี่ก็พูดกันได้ เปิดอกคุยกันตรงๆ ดีกว่าที่จะเข้าใจไปเองคนเดียวแบบนี้นะ”

ภาพที่เขาได้เห็นจะให้เข้าใจไปทางไหนอีก ถ้าไม่ใช่เธอกำลังจะเข้าสู่ประตูวิวาห์

ก่อนที่เขาจะแย้งออกไป เธอก็ชิงเอ่ยขึ้นมาก่อน จนเขาต้องกลืนคำที่จะพูดลงคอ

“พี่ขอถามตรงๆ ศิลป์แอบมีใจให้พี่ใช่ไหมถึงเป็นแบบนี้” เธอจ้องมองเขาไม่วางตา เพื่อให้ได้ยินคำตอบตามความเป็นจริง

“ถ้าผมมีใจให้พี่ปรีจริงๆ คงไม่มีประโยชน์อะไรเพราะพี่ปรีกำลังจะแต่งงาน แล้วพี่ปรีอยากรู้ไปทำไม” เขายอมรับกับเธอด้วยน้ำเสียงขึงขังให้ฟังดูจริงจัง แต่จากท่าทีของเธอนั้นช่างต่างจากเขาเสียเหลือเกิน

ปรียานุชขบขันเบาๆ ให้กับคนตรงหน้าที่ตีหน้าขรึมโดยไม่รู้ตัว “ถ้าพี่ได้รู้ คงจะมีประโยชน์มากเลยนะ ตกลงว่าศิลป์แอบมีใจให้พี่ใช่ไหม ถ้าไม่ใช่ ทำไมถึงปั้นปึงกับพี่ด้วยล่ะ”

เธอยังอยากให้เขาตอบว่าใช่ซึ่งเป็นไปตามที่คาดไว้

ไขศิลป์ก้มหน้ายอมรับโดยดี ไม่คิดจะปฏิเสธเพื่อไม่ให้เธอรู้ความในจากใจตน เขาก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าเหตุใดจึงอยากให้เธอรับรู้ความรู้สึกแท้จริง

หลายอย่างที่เกิดขึ้นมาทำให้เธอมองเห็นหัวใจตัวเองได้ชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากความผูกพันและความห่วงใยที่มีให้กันเสมอ ยังมีความรักแฝงอยู่ในนั้น จนทำให้เขากลายเป็นคนพิเศษในหัวใจ

เพียงแค่เขาไม่เข้าใจกัน ใจเธอนั้นก็กระวนกระวายแทบอยู่ไม่เป็นสุขจึงพร้อมที่จะไขความกระจ่างให้กับเขา เพราะไม่อยากให้เขาต้องจมอยู่กับความไม่จริง

บางทีความรักอาจจะค่อยๆ ก่อตัว ในขณะที่เธอเห็นเขาออกมาเล่นด้วยกันในลานกว้างหน้าบ้าน

หลังจากที่เธอได้ทราบว่าเขาแอบมีใจให้กัน สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามมานั้นก็เกินความคาดหมายของเขาเลยทีเดียว

“ศิลป์กำลังเข้าใจพี่ผิดไปนะ พี่ไม่ได้จะแต่งงานกับใครหรอก” เธอพูดกับเขาที่ยังยืนนิ่ง ก้มหน้าก้มตาไม่ยอมมองหน้ากันราวกับพยายามซ่อนความในใจไม่ให้เธอสัมผัสถึง

“ถ้าไม่ได้แต่งงานกับใคร เมื่อวานพี่ปรีจะใส่ชุดเจ้าสาวทำไม” เขาแย้งขึ้นมาทันควัน แม้จะยังก้มหน้าอยู่

“ศิลป์มองหน้าพี่หน่อยสิ ตอนคนเราคุยกันต้องมองหน้ากันจะได้รู้ว่าอีกฝ่ายพูดจริง ไม่ใช่แค่แกล้งหลอกกัน”

เขาทำตามคำของเธอ มองไปยังแววตาเธอที่แฝงไว้ด้วยความจริงใจที่มีให้กันตั้งแต่วันแรกจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปรไป

เธอตอบคำถามของเขาเพื่อให้เขาหมดสิ้นความสงสัยและคลายความกลุ้มใจได้เสียที

“ที่พี่ใส่ชุดเจ้าสาว เพราะพี่ต้องเป็นนางแบบให้พี่เปรม พี่เปรมจะใช้รูปของพี่ไว้ให้ลูกค้าเลือกดูชุดเจ้าสาว เมื่อวานก็ใส่สิบกว่าชุด ก่อนที่ศิลป์จะมาเจอพี่”

“พี่ปรีว่ายังไงนะครับ”

ไขศิลป์ไม่ค่อยจะเชื่อหูตัวเอง เพราะกลัวจะคิดเข้าข้างตัวเองเพื่อหลีกหนีความจริงที่จะเกิดขึ้น

“ก็ไม่ว่ายังไง พี่แค่ใส่ชุดเจ้าสาวถ่ายรูปเฉยๆ ยังไม่คิดจะแต่งงานกับใคร ส่วนพี่ฉัตรก็คุยกันดีแล้ว เราเป็นแค่พี่น้องกัน ไม่มีอะไรพิเศษมากกว่านั้น จะให้พี่ไปแต่งงานกับใครได้ล่ะ ตัดตัวเลือกไปหมดแล้ว”

แต่ตอนนี้มีตัวเลือกเดียวคือเขา เธอเก็บถ้อยคำนี้ไว้บอกหัวใจตัวเอง

“พี่ปรีพูดจริงๆ ใช่ไหม” เขายกมือขึ้นจับไหล่สองข้างของเธอราวกับจะเขย่าตัวเธอเพื่อเค้นให้ได้คำตอบแท้จริง

“ใครจะพูดเล่นล่ะ ถ้าพูดเล่น พี่จะได้อะไรขึ้นมา” เธอพูดจบ เขาก็โผเข้ามากอดไว้แบบไม่ทันตั้งตัว

ไขศิลป์ออกอาการดีอกดีใจราวกับเด็กทำของรักหายไปแล้วได้กลับคืน

พอเธอรู้ตัวก็รีบผละออกจากอ้อมแขนของเขา

ต่างคนต่างมองหน้ากัน ขณะที่ความหวั่นไหวในใจเกิดขึ้นไม่ต่างกัน

ทั้งเขาและเธอเก็บซ่อนอาการนั้นไว้ไม่ให้อีกฝ่ายได้รู้

“ศิลป์คงไม่คิดว่าพี่จะแต่งงานกับใครอีกนะ” เธอเอ่ยแก้อาการขวยเขินที่ถูกเขากอด

ไขศิลป์เห็นหน้าของเธอแดงขึ้นมาก็ยิ้มแย้มมากกว่าเดิม

“ถ้าพี่ปรีให้ผมพูดตรงๆ ผมจะถามว่าผมขอจีบพี่ปรีได้ไหม”

เธอไม่คิดว่าเขาจะขอกันตรงๆ ซึ่งๆ หน้าแบบนี้ กับถ้อยคำง่ายๆ ที่ทำให้ใจสั่นไหวได้เช่นกัน

“คิดดีแล้วเหรอ ที่จะมีใจให้คนอย่างพี่”

“ถ้าจะบอกว่าไม่ต้องคิด พี่ปรีจะเชื่อไหม” เขายิ้มให้เธอ จากนั้นก็บอกไปตามความรู้สึกแท้จริงที่ทำให้เขารู้ว่ารักเธอ “พี่ปรีเป็นคนสำคัญของชีวิตผม ผมรู้แค่ว่าถ้าชีวิตได้อยู่กับพี่ปรี คงมีความหมายมากกว่าที่เป็นอยู่แน่นอน พี่ปรีอยู่ในชีวิตผมไปอย่างนี้ในทุกๆ วันได้ไหม ถ้าผมไม่รีบบอกให้พี่ปรีได้รู้ก็กลัวพี่ปรีจะไปแต่งชุดเจ้าสาวยืนข้างคนเป็นเจ้าบ่าวที่ไม่ใช่ผม”

เป็นคำบอกรักที่เธอก็ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินมาก่อน

หรือนี่เป็นการสารภาพรักและขอความรักจากเธอโดยไม่มีคำว่ารักให้ได้ยิน

เธอเอ่ยแก้อาการขัดเขินจากการได้ยินคำของเขา “ถ้าพี่เปรมไม่ให้พี่แต่งชุดเจ้าสาว พี่ก็ยังไม่ใส่หรอก”

“พี่ปรีจะขัดข้องไหม ถ้าผมจะเดินหน้าจีบพี่ปรี” เขาถามย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจังยิ่งกว่าเดิม

“พี่ไม่ได้ปิดโอกาสที่จะเรียนรู้ใครอยู่แล้ว อยากทำแบบนั้นก็ลองดูได้” เธอต้องไว้ตัวไว้ก่อน ทั้งที่ใจจริงก็มีเพียงเขาคนเดียว

“ตั้งแต่วันนี้ ผมคงไม่ได้เป็นแค่น้องชายข้างบ้านของพี่ปรีแล้วนะ” เขาคาดว่าคงได้เวลาที่ผู้ชนะในการละเล่นครั้งนั้นได้ทำคะแนนเพื่อพิชิตหัวใจเธอสักที

เธอคิดทบทวนในวันที่เขาทำเป็นไม่พอใจกัน คงเป็นเพราะคำว่าน้องชายที่พูดให้เขาได้ยินนี่เอง

“แต่ไม่ว่ายังไง ศิลป์ก็ยังเป็นน้องชายของพี่เสมอ”

ปรียานุชคิดแกล้งหยอกเขาด้วยคำคำนั้น แล้วก็ได้ผล เมื่อเห็นเขาเปลี่ยนจากสีหน้ายิ้มแย้นเป็นขึงขังทันควัน จนเธอหลุดหัวเราะออกมา

“พี่ปรีคิดว่าผมจะพูดเล่นเหรอครับ” เขาถามเสียงเรียบ ยามเห็นท่าทีของเธอ

เธอยกมือขึ้นทำท่าปฏิเสธพลางขบขันไปด้วย “พี่ยังพูดไม่จบเลย ศิลป์ก็ยังเป็นน้องชายของพี่เสมอ ถึงแม้ในอนาคตจะอยู่ในความสัมพันธ์ที่เป็นมากกว่านั้นก็ตาม เพราะศิลป์อายุน้อยกว่าพี่”

“ตกลงพี่ปรียอมคบกับผมจริงๆ นะครับ” เขาเปลี่ยนท่าทีสดใสเช่นเดิม

“ถ้าศิลป์จีบพี่เพื่อตั้งใจจะคบกันอย่างนั้นก็ได้ แต่ต้องจีบให้ติดก่อนนะ” เธออ้อมแอ้มตอบออกไป ทั้งที่ใจจริงก็อยากให้เป็นเช่นนั้น

เมื่อพูดกันเข้าใจดีแล้ว รวมทั้งได้ล่วงรู้ความรู้สึกแท้จริงของอีกฝ่ายซึ่งตรงกันอีกด้วย เธอจึงขอตัวกลับไปบ้านตัวเองด้วยหัวใจพองฟูคับอก

ไขศิลป์เดินออกไปส่งเธอถึงหน้าบ้าน ก่อนผละจากกัน เธอยังมอบคำยินดีในการที่เขาออกไปดีลงานด้วยตัวเองจนสำเร็จตามหวัง

ชายหนุ่มรู้แค่เพียงว่าถ้าไม่รีบลงมือกระทำอะไรสักอย่างก็อาจจะสูญเสียเธอให้แก่คนอื่นได้ เขาจึงไม่รอช้าที่จะบอกความในให้เธอรู้

เมื่อเธอรับทราบแล้ว จากนั้นก็เดินหน้าต่อไปเพื่อวันข้างหน้าจะได้ครองคู่กัน

เขาเพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าตนนั้นโชคดีในการงานพร้อมทั้งโชคดีในด้านความรักไปพร้อมกัน เหมือนคำที่เคยได้ยิน…lucky in game and lucky in love

 



Don`t copy text!