รักในรอยน้ำตา บทที่ 14 : กาลเวลาผันผ่าน

รักในรอยน้ำตา บทที่ 14 : กาลเวลาผันผ่าน

โดย : ปิ่นฟ้า

Loading

รักในรอยน้ำตา นวนิยายโดย ปิ่นฟ้า เมื่อรักที่ต้องการมาทั้งชีวิต กลับต้องแลกมาด้วยน้ำตาจากผู้ชายที่เธอรักจนหมดหัวใจ แต่เขากลับทำร้ายเธออย่างเลือดเย็น…เรื่องราวสุดเข้มข้นจากการคัดสรรโดยอ่านเอา มาให้อ่านแล้วทางเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา anowldotco

หลังจากทำงานพิเศษกับอำนาจ สรวิชญ์ก็เรียนบ้างโดดบ้าง แต่ก็ยังอุตส่าห์เรียนจนจบได้ กอปรกับการช่วยเหลือจากรินรดาที่ช่วยทำโพรเจกต์ให้เขาจนสำเร็จ แม้ในช่วงเวลานั้นเขาจะยุ่งกับการทำงานพิเศษมาก จนทำให้กลับห้องไม่ตรงเวลาก็ตาม

โดยสรวิชญ์ให้เหตุผลกับรินรดาว่า ตัวเองเจอคนรู้จักใจดี ให้ยืมเงินจำนวนหนึ่งไปลงทุนเล่นหุ้นและร่วมลงทุนให้ เพราะฉะนั้นในเมื่อมีโอกาสเข้ามาแบบนี้ เขาต้องหมั่นไปอบรมเรียนรู้หาข้อมูลต่างๆ เพิ่มเติม ตลอดจนมีนัดปรึกษาหารือเรื่องการลงทุนบ่อยๆ เพื่อรายได้ที่เพิ่มมากขึ้น

แม้ช่วงแรกๆ รินรดาจะเป็นห่วงการทำงานพิเศษของสรวิชญ์ที่ดูแปลกๆ แต่พอเขายื่นเงินจำนวนหนึ่งให้ เธอก็เบาใจ เพราะอย่างน้อยๆ เขาก็สามารถหาเงินมาช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัวได้

ทั้งสองคนช่วยกันประคองความรัก จนกระทั่งรินรดาเรียนจบ สรวิชญ์จึงตัดสินใจพารินรดาไปแนะนำให้พ่อแม่รู้จักในฐานะภรรยาตามคำที่เขาเคยรับปากไว้ แม้ทั้งสองจะไม่ชอบการอยู่ก่อนแต่งของพวกเขานัก แต่ก็ขัดชายหนุ่มไม่ได้จึงได้แต่บอกอย่างหัวเสีย

“มีลูกก็เลี้ยงได้แต่ตัว ในเมื่อยืนกรานจะอยู่ด้วยกันให้ได้ งั้นก็อยู่มันไปแบบนี้แหละ ไม่ต้องแต่ง ดีเหมือนกันไม่ต้องเปลืองเงินจัดงาน เพราะทางเราก็ไม่มีเงินไปสู่ขออยู่แล้ว ต่อไปนี้ อยากทำอะไรก็ทำ พ่อแม่จะไม่ห้ามอีกต่อไป เพราะถึงอย่างไร ตอนนี้ก็หาเงินใช้เองได้แล้วนี่ ไม่ต้องขอเงินพ่อแม่แล้ว”

ธนินพ่อของสรวิชญ์พูดต่อหน้า เมื่อดูแล้วเขาคงคัดค้านความรักของทั้งคู่ไม่ได้ จึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย

“ต่อให้ผมหาเงินใช้เอง แต่ผมก็ยังรักและเคารพพ่อกับแม่เสมอนะครับ เพียงแต่วันนี้ ผมต้องการพารินรดามากราบแนะนำตัวให้รู้จักน่ะครับ”

“กราบแล้ว แนะนำตัวแล้ว เสร็จแล้วก็กลับกันไปเถอะ พ่อเหนื่อยแล้ว อยากจะพักผ่อน” คำสนทนาไม่กี่คำของธนิน ทำให้รินรดาหน้าเสียก่อนจะเดินออกจากบ้านมาพร้อมกับสรวิชญ์

ชายหนุ่มรู้ดีว่า หลังจากสถานะทางครอบครัวของเขาไม่เหมือนเดิม พ่อแม่ของเขาต้องอาศัยอยู่บ้านญาติหลังเล็กๆ ที่เอื้อเฟื้อให้อยู่อาศัยเพราะเคยมีบุญคุณต่อกันมาก่อน และเงินเก็บที่มีเหลือเพียงเล็กน้อย ฐปนีย์แม่ของเขาจึงต้องหัดทำอาหารกับขนมหวานขายโดยที่พ่อคอยขับรถรับจ้างส่งอาหาร

แม้พ่อแม่ของเขา จะปรับตัวหาเงินได้ตามสถานการณ์เพื่อความอยู่รอด แต่ทั้งสองคนยังหัวโบราณ เพราะฉะนั้นการที่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันก่อนแต่ง จึงไม่ใช่สิ่งที่ผู้ใหญ่ทั้งสองจะยอมรับได้โดยง่าย

ด้วยเหตุนี้สรวิชญ์จึงพารินรดาจากมา ชายหนุ่มกุมมือเรียวบางนั้นไว้ราวกับจะถ่ายทอดความอบอุ่นและเข้มแข็งให้กับเธอ

“ไม่เป็นไรนะหนู พ่อแม่พี่ก็แบบนี้แหละ ถ้าเราอยู่กันไปสักพัก เดี๋ยวเขาก็ยอมรับเองแหละ”

หลังจากเรียนจบ รินรดาก็ตัดสินใจเปิดสถาบันสอนพิเศษร่วมกับกนกอร เน้นกลุ่มเด็กมัธยมเป็นหลัก โดยใช้ชื่อว่า ‘สถาบันกนกรดา’ ซึ่งรินรดารับผิดชอบสอนวิชาคณิตศาสตร์ที่ตัวเองถนัดตลอดจน ติดต่อหาครูคนอื่นๆ มาช่วยสอนวิชาต่างๆ ขณะที่กนกอรรับผิดชอบเรื่องบริหารและการเงินทั้งหมด ทั้งสองคนเริ่มก่อตั้งจากการเช่าห้องเล็กๆ ก่อนจะค่อยๆ ขยายใหญ่โตจนเป็นที่รู้จักในวงกว้าง

ส่วนสรวิชญ์ หลังจากเขาเรียนจบ เขาได้เป็นพนักงานบริษัทเพื่อต้องการชื่อเสียงและการยอมรับในสังคม ขณะที่เบื้องหลังนั้น เขายังคงทำงานกับอำนาจเป็นการหารายได้พิเศษควบคู่ไปด้วย

ทว่าความที่เขาเป็นคนรักสบาย เบื่อง่าย เขาจึงเปลี่ยนงานบ่อยๆ จนกระทั่งที่สุดท้ายซึ่งเขาทำมาได้นานที่สุดสามปีในบริษัทชื่อดังแห่งหนึ่ง เขาก้าวหน้าในหน้าที่ขึ้นสู่ตำแหน่งผู้จัดการ ทำให้มีรายได้และได้เดินทางไปดูงานบ่อยๆ ระยะหลัง เขาจึงไม่ได้ทำงานกับอำนาจอีกต่อไป

 

รินรดาและสรวิชญ์ช่วยกันสร้างครอบครัว จนรินรดาอายุได้ยี่สิบเก้าปี ขณะที่สรวิชญ์อายุสามสิบปี สำหรับหญิงสาวแล้ว แม้จะไม่ได้จัดงานแต่งงานเหมือนกับคู่รักคนอื่นๆ หากการจดทะเบียนสมรสระหว่างเขาและเธอ ก็ทำให้รู้สึกว่านี่คือฝันที่เป็นจริง อย่างน้อยๆ ก็มั่นใจได้ว่า เขาคือคนที่เธอจะรักและอยู่ด้วยกันตลอดไป

หญิงสาวตั้งใจจะประคองชีวิตคู่ให้มีความสุขที่สุดเท่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะทำได้ และจะไม่ให้ล้มเหลวเหมือนพ่อกับแม่ของเธอเป็นอันขาด ทั้งสองครองรักจนกระทั่งเธอได้ตั้งท้องลูกสาวขึ้นมา และเมื่อเธอคลอด ก็ตั้งชื่อให้ลูกว่า ‘น้องน้ำฟ้า’

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว น้องน้ำฟ้าในวัยสามขวบเปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจของพ่อแม่ รินรดาทุ่มเทความรัก และเวลาให้ลูกสาวคนเดียว จนบางครั้งก็เผลอละเลยสามีเพราะความเหนื่อยในการเลี้ยงลูก กอปรกับงานที่ต้องทำหาเงินเลี้ยงลูก ทำให้สรวิชญ์เกิดความเบื่อหน่ายและค่อยๆ เปลี่ยนไปทีละน้อย โดยที่เธอก็ไม่ทันรู้ตัว

ทั้งสองตัดสินใจกู้เงินซื้อบ้านมือสองในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง ก่อนจะย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้ได้เพียงสามเดือน โดยรินรดารับพรพรรณมาอาศัยอยู่ที่บ้านด้วยกัน หลังจากที่ถูกโรงงานเลิกจ้างกะทันหัน ทำให้พรพรรณมาช่วยดูแลหลานสาวคนเดียวแล้วคอยช่วยดูแลบ้านในระหว่างที่เธอไม่อยู่

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รินรดาหมั่นพาน้ำฟ้าไปเยี่ยมปู่ย่าบ่อยๆ แม้หลายครั้งที่สรวิชญ์มักจะไม่ได้ไปด้วย แต่เธอก็ทำหน้าที่แทนเขาทุกอย่างได้ดี จนทิฐิในใจของธนินและฐปนีย์จางไป จนยอมรับเธอเป็นลูกสะใภ้ในที่สุด

‘นี่สินะ ครอบครัวอบอุ่นที่ฉันฝันไว้ ครอบครัวที่อยู่พร้อมหน้ากันพ่อแม่ลูก’

รินรดามองภาพครอบครัวบนโต๊ะทำงานด้วยความปลื้มใจ ตั้งแต่เด็กจนโต หญิงสาวโหยหาชีวิตครอบครัวอบอุ่นแบบนี้มาโดยตลอด และสุดท้ายเธอก็สร้างมันได้สำเร็จ

เย็นวันเสาร์หลังจากที่รินรดาสอนพิเศษเสร็จ เธอเดินออกมาจากห้องเรียน พร้อมเด็กนักเรียนที่รีบกรูแย่งกันออกไปจากห้อง

ทันทีที่เธอเดินกลับในห้องทำงาน เธอก็เห็นเด็กหญิงตัวเล็กกำลังหัวร่อต่อกระซิกกับกนกอรเพื่อนรัก ความเหนื่อยที่สอนเด็กมาทั้งวันก็พลันหายเป็นปลิดทิ้ง ก่อนจะรีบตรงเข้าไปกอดลูกสาวด้วยความคิดถึง

“น้ำฟ้า หิวหรือยังคะลูก” เด็กหญิงส่ายหน้าขณะกำลังเล่นกับตุ๊กตาสีชมพูในมือที่เพิ่งได้รับมาเป็นของขวัญวันเกิดจากกนกอร

“จะหิวได้ยังไงคะ เมื่อกี้เพิ่งกินไอศกรีมกับน้าอรไปเอง ใช่ไหมคะ”

“ค่ะ”

“ขอบใจมากนะอร ช่วยดูแลลูกให้”

“ขอบใจอะไรกันล่ะ เรื่องแค่นี้เอง ว่าแต่…แล้วจะพาลูกไปไหนต่อล่ะ”

“จะพาตัวเล็กไปฉลองวันเกิดน่ะสิ นัดพี่ต้นกับน้าอ้อยไว้ที่บ้านแล้ว แต่เราว่าจะพาสาวน้อยไปหาซื้อชุดสวยๆ ให้เป็นของขวัญสักชุด แล้วค่อยซื้อของกินกลับไปกินที่บ้านน่ะ” ยังไม่ทันขาดคำเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ทันทีที่รินดรารับสาย ใบหน้าหวานก็สลดลงก่อนจะวางสายไป

“ยังไง พี่ต้นไม่ว่างอีกแล้วเหรอ” กนกอรถามอย่างรู้ทัน เมื่อระยะหลัง เธอได้ยินรินรดาบ่นเรื่องสามีให้ฟังบ่อยครั้ง

“ใช่แก นี่ก็ติดประชุมอีกแล้ว เห็นว่าน่าจะดึกกว่าจะได้กลับบ้าน ไม่เป็นไรเนอะลูกเนอะ วันนี้วันเกิดหนูทั้งที ฉลองกันสามคนกับน้าอ้อยก่อนนะ แล้ววันหลังค่อยไปฉลองกับคุณพ่อนะคะ”

“ได้ค่ะ” เด็กหญิงหันมายิ้มกว้างให้กับรินรดาก่อนจะวิ่งไปหานกเจ้าหน้าที่ประจำสถาบันที่เข้ามาพอดี

“คุณอรคะ คนขับรถมารอรับแล้วค่ะ

“ฝากบอกให้รอสักเดี๋ยว อ่อนก…ฝากดูหนูน้ำฟ้าให้ที ฉันขอคุยงานกับระรินสักครู่”

“น้ำฟ้าจ๊ะ ไปเล่นกับน้านกก่อนนะลูก น้าขอคุยงานกับแม่ของหนูแป๊บเดียวนะคะ” กนกอรก้มไปคุยกับหนูน้อย

“ได้ค่ะ”

“มาจ้ะ มาเล่นกับน้านกนะ”

ทันทีที่ลูกสาวตัวน้อยเดินออกไปจากห้อง รินรดาก็หันมามองหน้ากนกอรด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของอีกฝ่าย

“งานมีปัญหาอะไรเหรอแก ทำไมดูเครียดขนาดนั้น”

“เฮ้อ! งานน่ะ ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ฉันอยากคุยเรื่องแกมากกว่า”

“เรื่องฉันนี่นะ เรื่องฉันมีอะไร” รินรดาขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจก่อนจะทิ้งตัวลงบนโซฟา

“นี่ระริน ฉันว่า…พี่ต้นทำงานหนักเกินไปไหมแก ดูพี่เขาไม่ค่อยมีเวลาให้แกกับลูกเลย ทำไมแกไม่ให้พี่ต้นลาออกจากงานแล้วมาช่วยทำงานที่นี่ล่ะ นี่เราก็วางแผนจะขยายสาขาไปต่างจังหวัดเพิ่มอีก ถ้าได้คนไว้ใจมาช่วยงานแบบนี้ก็ง่ายเลย”

“ฉันเคยชวนแล้วละ แต่พี่ต้นเอาแต่ปฏิเสธท่าเดียว บอกว่าไม่ถนัดงานสอนพิเศษ ชอบทำงานแบบนี้มากกว่า ฉันก็เลยตามใจ”

“แต่ว่า…งานนั่นมันเป็นลูกจ้างเขา ต่อให้ตำแหน่งสูงขึ้น ก็เป็นลูกจ้างเขาอยู่ดี ทำงานให้ตาย คนที่รวยก็คือเจ้าของบริษัท แต่งานที่สถาบันนี่พวกเราเป็นหุ้นส่วนเจ้าของกิจการ มาช่วยกันบริหารจัดการไม่ดีกว่าเหรอแก ฉันว่านะ ที่นั่นใช้งานพี่ต้นหนักเกินไป มีอย่างที่ไหน ทำงานหนักจนไม่มีเวลาให้ครอบครัวแบบนี้ ก็แย่น่ะสิ ฉันนี่เป็นห่วงแกจริงๆ เลยระริน”

“ไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก ตอนนี้ฉันสบายมาก”

“สบายอะไรล่ะ ต้องสอนพิเศษทุกวัน ไหนจะต้องเลี้ยงลูกอีก ตอนมาสอนก็หอบลูกมาที่ทำงานให้พวกเราช่วยกันเลี้ยงด้วย โชคดีหน่อยที่น้ำฟ้าเข้าอนุบาลแล้ว แกค่อยได้พักบ้าง เออนี่…แกอย่าเข้าใจฉันผิดนะ ฉันยินดีมากที่แกเอาน้ำฟ้ามาเลี้ยงที่ทำงาน พวกเราทุกคนจะได้ช่วยกันเลี้ยงหลาน แต่เท่าที่ฉันสังเกตดู ทำไมมีแต่แกที่ทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว ทำไมพี่ต้นเขาไม่ช่วยแบ่งเบาอะไรเลย ทั้งเรื่องงานเรื่องบ้าน เรื่องลูก ไหนจะเรื่องพ่อแม่เขาเวลาเจ็บป่วยอีก แกก็ต้องเป็นธุระคอยพาไปหาหมอ ทำไมภาระทุกอย่างถึงมาตกที่แกคนเดียว ทำไมพี่เขาไม่คิดจะช่วยเหลืออะไรบ้างเลย”

“ก็พี่ต้นต้องทำงานบริษัท จะปลีกตัวมาเหมือนฉันได้ยังไง อีกอย่างพอพี่ต้นตำแหน่งสูงขึ้น ภาระความรับผิดชอบก็มากขึ้นเป็นธรรมดา แต่พี่ต้นก็ช่วยดูแลออกเงินค่าใช้จ่ายดูแลเราเหมือนเดิม พอเราอายุเยอะขึ้น เราก็ต้องเข้าใจกันและกันให้มาก ชีวิตคู่ก็แบบนี้แหละ จะให้มาคอยเรียกร้องเป็นเด็กๆ ไม่ได้หรอก ฉันน่ะเข้าใจพี่ต้นนะ ว่าพี่เขาไม่ค่อยมีเวลา ฉันก็ช่วยรับผิดชอบในส่วนของเขาแทนยังไง ไม่เห็นแปลกตรงไหนเลย”

“เฮ้อ แกนี่นะ เรื่องเงินก็ส่วนหนึ่ง แต่ฉันคิดว่าพี่ต้นก็ควรแบ่งเวลามาให้ครอบครัวบ้างสิ อย่างน้อยก็ช่วยแกดูแลเรื่องน้อยใหญ่ในบ้านบ้าง ไม่ใช่ปล่อยให้แกจัดการวิ่งวุ่นทุกอย่างอยู่คนเดียว ดีนะที่น้าอ้อยมาอยู่กับแก จะได้มาช่วยเลี้ยงลูกดูแลบ้าน ไม่อย่างนั้น ฉันว่า…ฉันคงจะได้ไปเยี่ยมแกที่โรงพยาบาลแน่ๆ ระริน…แกดูแลตัวเองบ้างเหอะ ฉันไม่อยากเห็นแกทำงานหนักจนล้มป่วยเสียก่อน ฉันเป็นห่วงแกจริงๆ นะ”

“อรแกคิดมากเกินไปแล้ว แต่ยังไงฉันก็ขอบใจมากนะ ฉันรับปากจะดูแลตัวเองให้ดี นี่ฉันกำลังคิดอยู่ว่าพ่อแม่ของพี่ต้นก็อายุมากแล้ว บ้านที่อยู่ตอนนี้ก็อาศัยเขาอยู่ ฉันว่าจะหาโอกาสคุยกับพี่ต้น อยากรับท่านทั้งสองมาอยู่ด้วยกันที่บ้าน จะได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา”

“โอ๊ย…แม่คุณ! อยากทำอะไรก็ทำเถอะจ้ะ แกนี่เป็นสะใภ้ที่ดูแลพ่อแม่สามีดีมากเลยนะ แต่ดูลูกชายเขาสิแทบไม่สนใจอะไรเลย ฉันนี่อยากมอบโล่ลูกสะใภ้ดีเด่นให้แกจริงๆ ฉันกลับบ้านดีกว่า จะกลับไปเล่นกับหนูกอไผ่บ้างละ” กนกอรสัพยอกก่อนจะชวนกันแยกย้ายกลับบ้าน

ทุกคำพูดของกนกอรไม่เกินจริงเลย หากที่ผ่านมารินรดาต่างหากที่คอยเฝ้าบอกตัวเองว่าเธอยังไหว เธอทำได้ เธอไม่เป็นไร แม้ในบางวันความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าต่อสิ่งต่างๆ รอบตัว ทำให้เธอต้องแอบร้องไห้คนเดียวบ่อยครั้งก็ตาม

 

เวลาต่อมา รินรดาเดินจูงมือลูกสาวมาเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้าก่อนกลับบ้าน ก่อนจะแวะเข้าไปในโซนชุดเสื้อผ้าของเด็กผู้หญิง เพื่อหาชุดที่น้ำฟ้าชอบให้เป็นของขวัญวันเกิด

“น้ำฟ้า ชอบชุดไหนคะลูก สีฟ้าหรือสีชมพูดี” รินรดาชูชุดทั้งสองในมือให้เด็กน้อยดู แต่เธอก็ต้องตกใจเมื่อไม่เห็นลูกสาวควรยืนอยู่ข้างกาย

“น้ำฟ้า!”

หญิงสาวรีบแขวนชุดทั้งสองไว้ที่เดิม ก่อนจะรีบเดินตามเด็กน้อยไปเมื่อเห็นหลังไวๆ วิ่งเลี้ยวไปตรงทางเดินด้านหน้า

“พ่อ! พ่อจ๋า”

เสียงเจื้อยแจ้วของน้ำฟ้า ทำให้เธอรีบจ้ำตามลูกไปด้วยความแปลกใจ จนกระทั่งเห็นลูกสาวตัวน้อยพุ่งเข้าไปกอดขาคนเป็นพ่อ เท้าของเธอก็ต้องชะงักนิ่งอยู่กับที่

“พี่ต้น…”

รินรดาแปลกใจเมื่อเธอเห็นเขามาอยู่ที่นี่ในเวลานี้ ทั้งที่เขาเป็นคนบอกเธอเองว่าติดประชุม แต่หัวคิ้วของเธอก็ต้องขมวดหนักขึ้น เมื่อเขาไม่ก้มลงทักทายหรือกอดลูกอย่างที่เคย กลับหน้าถอดสีเลิ่กลั่ก

“พ่อจ๋า…”

สรวิชญ์หันรีหันขวาง ทำตัวไม่ถูกจะสลัดลูกออกก็ไม่กล้า จนกระทั่งมีหญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้แล้วคล้องแขนเขาไว้แสดงความเป็นเจ้าของ

“เอ๊ะ! นี่มันอะไรกันคะพี่ต้น แล้วเด็กคนนี้ใคร”

“พ่อ พ่อจ๋า”

“พ่อเนี่ยนะ!”

ผู้หญิงคนนั้นอุทานลั่นอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อเห็นเด็กน้อยยังไม่ยอมไปไหน

ราวกับฟ้าผ่าลงมากลางศีรษะจังๆ รินรดาได้แต่ยืนนิ่งอึ้ง เย็นวาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า

“พ…พี่ต้น! ไหนบอกว่าติดประชุมไงคะ แล้วผู้หญิงคนนี้ใครกัน”

สรวิชญ์ถึงกับไปไม่เป็น ไม่คิดว่าจะมาเจอภรรยาและลูกสาวที่ห้างแห่งนี้ เพราะปกติรินรดาจะยุ่งมากจนแทบไม่มีเวลามาเดินเล่นซื้อของในห้าง เขามองผู้หญิงทั้งสองคนสลับไปมาก่อนที่สายตาจะมาหยุดอยู่ที่ลูกสาวที่ยังกอดขาไม่ปล่อยด้วยความลังเล

“เอ่อ คือพี่…”

น้ำฟ้ากางแขนออกให้สรวิชญ์พลางร้องขึ้น

“พ่อจ๋า อุ้มหนูหน่อย อุ้ม…”

ชายหนุ่มถึงกับหายใจไม่ทั่วปอด มือกำลังขยับไป แต่ทว่าพอหางตาแลเห็นสายตาของกวินนาถที่มองมาเขม็งอย่างจับผิด มือที่ยื่นไปหมายจะอุ้มลูกน้อยเหมือนอย่างเคยจึงตกลงข้างตัว กลับยืนนิ่งทำเฉยชาเหมือนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ชายหนุ่มอยากเอาตัวเองออกจากสถานการณ์อิหลักอิเหลื่อนี่เหลือเกินแต่เขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร

ใครจะไปคิดว่าระยะเวลากว่าสามปี กับความลับที่เขาพยายามปกปิดมานานต้องมาแตกในวันนี้เพียงเพราะเกิดเหตุการณ์รถไฟชนกันโดยไม่คาดฝัน คนหนึ่งคือรินรดา คู่ชีวิตที่เขารักและร่วมสร้างครอบครัวกระทั่งมีลูกด้วยกัน

ขณะที่อีกคน ‘กวินนาถ’ ผู้หญิงที่เขาอยู่ใกล้แล้วรู้สึกสดชื่นมีชีวิตชีวา ประกอบกับฐานะทางบ้านของเธอเป็นถึงเจ้าของบริษัทที่เขาทำงานอยู่ด้วย ยิ่งทำให้เขาคาดหวังอยากเป็นหนูตกถังข้าวสาร จะได้กลับมามีชีวิตความเป็นอยู่ที่สุขสบายขึ้นเหมือนเมื่อครั้งครอบครัวยังไม่ล้มละลาย

คนหนึ่งก็แม่ของลูก

อีกคนก็ถุงเงินถุงทองที่เขาทิ้งไม่ได้เด็ดขาด

‘ซวยแล้ว รถไฟชนกัน ฉิบหายแล้วกู’

เขามองดูสถานการณ์ตึงเครียดตรงหน้า ใบหน้าหล่อเหลาเครียดขึ้ง หัวคิ้วขมวด เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกทำอะไรไม่ถูก คิดไม่ออกว่าจะแก้ปัญหาตรงหน้าอย่างไรดี

ทว่ายังไม่ทันที่สรวิชญ์จะคิดคิดหาทางออก ผู้หญิงข้างกายก็จับแขนเขาแล้วถามขึ้นเสียงเข้มด้วยความแปลกใจ

“ผู้หญิงกับเด็กนี่เป็นใครคะ พี่ต้นรู้จักด้วยเหรอคะ”

“รู้จักสิ ฉันชื่อระรินเป็นภรรยาของเขาไง ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย จดทะเบียนกันแล้วด้วย ส่วนเด็กคนนี้ก็คือลูกสาวของพี่ต้นกับฉัน” เสียงเน้นย้ำชัดเจนทุกถ้อยคำจนคนฟังถึงกับอ้าปากค้าง

รินรดามองหน้าสามีและพ่อของลูกสลับกับกวินนาถอย่างผิดหวังและเสียใจในคราวเดียวกัน

ขณะที่กวินนาถ พอได้ฟังคำตอบของรินรดา มือเรียวที่กำลังเกาะแขนเขาอยู่ก็รีบปล่อยมือออกทันควันพร้อมกับจ้องหน้าเขาเขม็งเพื่อค้นหาความจริง

“อะไรนะ! เมียกับลูกงั้นเหรอ ไม่จริงใช่ไหมคะ ก็ไหนพี่ต้นบอกว่าโสดนี่นา แล้วนี่มันอะไรกัน”

“เอ่อ…คือพี่โสดจริงๆ นะยี่หวา พี่กับระรินเราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว เราสองคนกำลังจะหย่ากัน!”

คำว่า ‘กำลังจะหย่า’ ที่ออกจากปากของเขา ทำเอารินรดาถึงกับสะท้านไปทั้งร่าง

‘เธอกำลังจะหย่ากับเขาอย่างนั้นเหรอ’

‘เราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วอย่างนั้นเหรอ’

‘ตั้งแต่เมื่อไหร่ เมื่อไหร่กัน…’

หยาดน้ำใสๆ เริ่มไหลรินออกจากดวงตาจนพร่าเลือน เธอจ้องมองหน้าชายคนรักด้วยความผิดหวังและเสียใจ ไม่คาดคิดเลยว่าผู้ชายที่เธอแสนรักจนมอบกายและหัวใจให้ ขนาดทำผิดพลาดเธอก็ยังให้อภัยและให้โอกาสกลับมาเริ่มต้นใหม่ หวังว่าเขาจะเป็นผู้ชายคนแรกและคนเดียวในชีวิตของเธอ สุดท้ายจะนอกใจไปคบซ้อนกับผู้หญิงคนอื่น

“ห…หย่างั้นเหรอ”

สรวิชญ์พยายามส่งสายตาปรามภรรยาไม่ให้พูดมาก พร้อมหาทางอธิบายให้กับแม่สาวข้างกายคนใหม่ เพื่อขายผ้าเอาหน้ารอดไปก่อน กับรินรดาน่ะอย่างไรก็เป็นของตาย เดี๋ยวเขาค่อยบีบน้ำตาง้อนิดง้อหน่อย เธอก็หายงอนกลับมาคืนดีแล้ว โง่จะตาย แต่กับคนใหม่ที่ยังไม่มีอะไรแน่นอนนี่สิ หากเขาเสียกวินนาถไปก็ยากจะเรียกร้องคืนมาได้ง่ายๆ

กวินนาถมองสรวิชญ์ผ่านม่านน้ำตาแห่งความเจ็บช้ำที่ถูกหลอกลวง ก่อนจะแค่นหัวเราะออกมา

“อะไรนะคะ กำลังจะเลิกกัน อย่างนั้นเหรอคะ”

“จริงครับที่รัก พี่กำลังจะหย่ากับเขาจริงๆ เราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว”

ยังไม่ทันขาดคำ ฝ่ามือเรียวก็ฟาดใส่ใบหน้าของเขาอย่างจังจนหน้าสะบัดหันไปอีกข้าง

“แบบนี้เขาเรียกว่าโสดตรงไหน คนสารเลว เราจบกันแค่นี้เถอะค่ะ”

“ยี่หวา”

กวินนาถรีบวิ่งจากไปด้วยความอับอาย ที่อยู่ๆ เธอก็กลายเป็นมือที่สามของครอบครัวคนอื่นไปโดยไม่รู้ตัว ไม่มีผู้หญิงคนไหนรับได้หรอก ที่จู่ๆ ตัวเองก็ถูกอวยยศให้เป็นเมียน้อยทั้งที่ไม่ได้ต้องการ

ความเจ็บใจและแค้นใจในตัวคนรัก ที่เธอกับเขา คบหากันมาจนถึงขั้นพูดคุยวางแผนจะแต่งงานกัน นี่มันไม่มีค่าอะไรเลยหรือ สุดท้ายความฝันก็กลับพังทลายไปชั่วพริบตาเพราะคำโกหก แล้วที่ผ่านมา เรื่องระหว่างเขากับเธอ มีเรื่องไหนที่จริงบ้าง

หรือสุดท้ายแล้ว แม้แต่ความรักที่เขาเฝ้าพูดกับเธอ ก็เป็นเพียงแค่ลมปากเท่านั้น

‘นี่ฉันโง่มากใช่ไหม ถึงกล้าหลอกลวงกันได้ขนาดนี้’

สรวิชญ์สบตารินรดาแวบหนึ่งด้วยความลังเลปนรู้สึกผิด ก่อนจะหันไปมองทางกวินนาถที่เดินจากไปด้วยความเสียดาย แล้วสุดท้ายมาหยุดนิ่งที่ลูกสาวของตัวเองที่กำลังกอดขา ร้องเรียกให้เขาอุ้ม

ทว่าชั่วแวบหนึ่งที่เขาเกิดความลังเลขึ้นในจิตใจ ก่อนจะตัดสินใจเด็ดขาด

“ปล่อย!”

“พ่อจ๋า อุ้ม อุ้ม”

“โอ๊ย! บอกให้ปล่อยไงล่ะ”

เมื่อร่างเล็กไม่ยอมปล่อยขาเขาง่ายๆ สรวิชญ์จึงผลักน้ำฟ้าจนเซถลาล้มลงไปที่พื้น ก่อนที่ตัวเองจะรีบวิ่งตามกวินนาถไป โดยไม่สนใจลูกสาวที่กำลังร้องไห้งอแงด้วยความเจ็บปวดที่ร่างบางกระแทกกับพื้นปูน

“น้ำฟ้าลูกแม่!” รินรดาต้องรีบเข้ามาประคองลูกสาวลุกขึ้นก่อนจะโอบกอดไว้แนบอก

“พ่อ พ่อจ๋า…”

น้ำฟ้าพยายามร้องเรียกผู้เป็นพ่อ หากเขาก็ไม่แม้แต่จะหันกลับมามองลูกตัวเอง จนร่างสูงลับหายไปจากสายตา เสียงร้องไห้จ้าของเด็กน้อยก็ยังไม่มีวี่แววจะเงียบลง

“ไม่เป็นไรนะคะลูก ไม่เป็นไรนะ แม่อยู่นี่แล้ว เจ็บตรงไหนไหมลูก”

ปากเธอพูดปลอบลูกสาว หากน้ำตาก็ไหลออกมาไม่ขาดสาย ความปวดร้าวบาดลึกราวกับถูกมีดคมๆ เฉือนหัวใจซ้ำรอยแผลเก่า

ในที่สุดประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอยเดิม ชีวิตเธอก็ไม่ต่างจากแม่ที่ถูกพ่อทิ้งไป แต่ที่ทนไม่ได้คือเหตุการณ์นั้นมาเกิดกับลูกสาวผู้เป็นแก้วตาดวงใจ

เขาทำให้เธอเจ็บต้องร้องไห้มากเท่าไร เธอทนได้ แต่นี่เขากลับทำให้ลูกสุดที่รักของเธอต้องเจ็บจนต้องเสียน้ำตาออกมาแบบนี้ เธอจะทนได้อย่างไรกัน หัวใจของเธอแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อเห็นลูกสาวคนเดียวต้องลิ้มรสความเจ็บปวดดุจเดียวกับที่เธอเคยเผชิญ ในวัยที่ควรสดใสมีแต่ความสุข

“ฮือ…แม่ขอโทษนะน้ำฟ้า แม่ขอโทษ…”

สองแม่ลูกนั่งกอดอยู่บนพื้นนานพักใหญ่ ทำให้คนที่เดินผ่านไปมาได้แต่มองอย่างสงสารปนเวทนา จนกระทั่งเธอเริ่มรู้สึกตัว ค่อยๆ ประคองลูกน้อยยืนขึ้นแล้วพากลับไปที่รถของตัวเอง โดยที่ไม่ทันได้ซื้อของขวัญให้กับน้ำฟ้าตามที่ตั้งใจ



Don`t copy text!