รักในรอยน้ำตา บทที่ 9 : หอพัก

รักในรอยน้ำตา บทที่ 9 : หอพัก

โดย : ปิ่นฟ้า

Loading

รักในรอยน้ำตา นวนิยายโดย ปิ่นฟ้า เมื่อรักที่ต้องการมาทั้งชีวิต กลับต้องแลกมาด้วยน้ำตาจากผู้ชายที่เธอรักจนหมดหัวใจ แต่เขากลับทำร้ายเธออย่างเลือดเย็น…เรื่องราวสุดเข้มข้นจากการคัดสรรโดยอ่านเอา มาให้อ่านแล้วทางเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา anowldotco

หลังจากอาบน้ำเสร็จ สรวิชญ์ก็เดินไปที่หน้าต่างมองสายฝนที่ยังตกกระหน่ำไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง ก่อนจะนั่งที่เก้าอี้เก่าๆ ตัวเดียวที่มีอยู่ในห้อง

“ฝนยังตกหนักอยู่เลย”

เสียงทุ้มทำให้รินรดาเงยหน้าจากหนังสือขึ้นมอง พอเห็นสภาพของสรวิชญ์ในตอนนี้หญิงสาวก็ถึงกับหลุดหัวเราะคิกออกมาทันที

เขาสวมกางเกงวอร์มที่หลวมของเธอได้พอดี ขณะที่เสื้อยืดตัวใหญ่หลวมโคร่งสำหรับเธอ เมื่อไปอยู่บนตัวเขากลับเข้ารูปจนดูตัวเล็กไปถนัดตา โดยมีผ้าเช็ดตัวคลุมอยู่บนศีรษะเพื่อเช็ดผมให้แห้ง เรียกว่าหมดมาดคนหล่อที่เธอมักเห็นอยู่บ่อยๆ

“หัวเราะอะไรครับ น้องระริน” คิ้วเข้มเลิกขึ้นด้วยความแปลกใจ

“เปล่าคะพี่ต้น คือเสื้อกับกางเกงตัวนี้ ระรินใส่เองยังหลวมมาก แต่ไม่คิดว่า พอพี่ต้นใส่แล้วจะพอดีตัวแบบนี้”

“นี่กำลังชมพี่ใช่ไหม”

“ชมสิคะ”

คนถูกชมอมยิ้มเล็กๆ ก่อนจะทรุดลงไปนั่งบนพื้นตรงหน้าหญิงสาว ทำให้อีกฝ่ายถึงกับชะงักไปไม่คิดว่า เขาจะขยับมานั่งใกล้ตนมากขนาดนี้ ทำให้เธอรีบขยับถอยห่างโดยอัตโนมัติ จนหลังชนกับผนังห้องไม่สามารถหนีไปไหนได้ เธอจึงหาเรื่องชวนคุยเพื่อปกปิดหัวใจตัวเองที่กำลังเต้นไม่เป็นส่ำ

“เอ่อ…เมื่อกี้พี่ต้นบอกน้องสองคนไปแบบนั้น จะไม่เป็นไรเหรอคะ”

“แบบนั้น…นี่มันแบบไหนเหรอครับ”

“ก็…ที่บอกน้องผู้หญิงสองคนตรงบันไดว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน คบกันมาสักพักแล้ว เราโกหกเขาแบบนี้จะดีเหรอคะ พี่อาจจะเสียหายได้นะ”

“พี่น่ะเหรอครับเสียหาย พี่ว่าดีเสียอีก เอาอย่างนี้ไหม ถ้าน้องระรินไม่อยากโกหก งั้นเราก็มาเป็นแฟนกันจริงๆ เลยดีไหม”

“เอ๊ะ! ระรินไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะคะ” รินรดาเอ่ยเสียงหลงด้วยความตกใจ “อีกอย่างเราเพิ่งพบกันไม่นาน ยังไม่เคยคุยตกลงกันเลย…”

“เรายังไม่เคยคุยหรือครับ” สรวิชญ์ยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ “ถ้าอย่างนั้น…คุยกันตอนนี้เลยดีไหมน้องระรินครับ พี่ชอบและรักน้องระรินจริงๆ ขอโอกาสให้พี่ได้ปกป้องดูแลน้องระริน เป็นแฟนกับพี่นะครับ”

ราวกับมีใครมาจุดพลุที่ข้างหูจนมันดับไปชั่วขณะ วินาทีต่อมาทุกอย่างก็กลายเป็นภาพสโลว์เมื่อรินรดาจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาซึ่งยังมีรอยฟกช้ำให้เห็นจางๆ และดวงตาหวานเยิ้มของอีกฝ่าย หากเป็นก่อนหน้านี้เธอคงจะเดินหนีเขาอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ในตอนนี้ เธอจะหนีไปไหนได้ ในเมื่อมีคนตัวโตนั่งอยู่เบื้องหน้า แขนทั้งสองก็กางกั้นรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ ราวกับว่าเธอเป็นลูกกวางตัวน้อยกำลังอยู่ในเงื้อมมือของนายพรานก็ไม่ปาน

เป็นแฟนกันงั้นเหรอ เป็นแฟนกับเขาเนี่ยนะ แต่ที่ผ่านมาเขาก็ดีกับเธอ คอยช่วยเหลือกันมาตลอดนี่นา เมื่อเธอเงยหน้ามองสบตาแสนอบอุ่นตรงหน้า ราวกับต้องมนตร์สะกดของนายพรานรูปหล่อรินรดาเผลอพยักหน้าและตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“ค่ะ”

เพียงคำตอบสั้นๆ ทำให้สรวิชญ์ตาโตเท่าไข่ห่านด้วยความดีใจสุดขีด เขาดึงร่างบางเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขน พลางละล่ำละลักกระซิบข้างหู

“ขอบคุณนะครับน้องระริน ขอบคุณที่ให้โอกาสพี่ ต่อไปนี้ พี่จะเป็นคนดูแลน้องระรินเอง ทั้งร่างกายและหัวใจ”

พูดจบเขาก็บรรจงทาบริมฝีปากจุมพิตที่หน้าผากของหญิงสาวอย่างทะนุถนอม สรวิชญ์พยายามบอกตัวเองให้ใจเย็น เพราะรินรดาไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่เขาเคยเจออย่างที่ผ่านมา

“พี่ต้น อย่าทำแบบนี้…” หญิงสาวรู้สึกกระอักกระอ่วน ใบหน้าแดงระเรื่อ ริมฝีปากยังรู้สึกถึงสัมผัสหวานละมุนติดตรึงไม่หายไป เขาเป็นผู้ชายคนแรกที่ใกล้ชิดเธอแบบนี้

“พี่ขอโทษครับน้องระริน คือพี่ดีใจจนลืมตัว เราเป็นแฟนกันแล้วนะครับ พี่ดีใจที่สุดเลย ต่อไปพี่ก็พูดได้เต็มปากว่า น้องระรินเป็นแฟนพี่”

แต่ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะสนทนาอะไรมากไปกว่านี้ เสียงท้องของสรวิชญ์ก็ร้องจ๊อกๆ ขึ้นมาเสียก่อน จนเจ้าตัวถึงกับยิ้มออกมาด้วยความเก้อเขิน เมื่อท้องเจ้ากรรมไม่รักษาหน้าเจ้าของเสียเลย ขณะที่หญิงสาวหัวเราะคิกออกมาอย่างรู้ทัน

“พี่ต้นน่าจะหิว ระรินพอมีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปติดห้อง เดี๋ยวระรินทำให้กินนะคะ ระรินเองก็หิวเหมือนกัน”

“ขอบคุณครับ งั้นครั้งหน้าพี่ขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงบ้างนะครับ แล้วน้องระรินห้ามปฏิเสธด้วย”

เขารีบดักคอทันที เมื่อเห็นอีกฝ่ายขยับอ้าปากจะปฏิเสธเขา แต่สุดท้ายก็พยักหน้าลงแต่โดยดี

“ก็ได้ค่ะ”

สรวิชญ์มองหญิงสาวเพลินตา อากัปกิริยาต่างๆ ที่รินรดากำลังเตรียมอาหารตรงหน้า ไม่ว่าเขาจะมองอย่างไรก็น่าดูไม่รู้เบื่อ ไม่เหมือนกับสาวสวยคนอื่นๆ ที่พอคุยกันไปสักพัก เขาก็เบื่อหน่ายจนอยากจะไปให้ไกล หากรินรดากลับต่างออกไป ยิ่งพอได้อยู่ใกล้หรือรู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ เขากลับรู้สึกว่าเธอมีเสน่ห์น่ามอง ไม่ใช่แค่ความงามจากภายนอก หากเป็นความงดงามที่มาจากข้างในที่เธอไม่เหมือนใคร

คู่รักใหม่ป้ายแดงนั่งกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปด้วยกันบนพื้นห้องง่ายๆ ทั้งสองพูดคุยไปกินไปอย่างเอร็ดอร่อย แม้อาหารตรงหน้าจะเป็นเมนูง่ายๆ ราคาถูก แต่สำหรับเขาและเธอ อาหารมื้อนี้กลับเป็นมื้อพิเศษที่น่าประทับใจ

ขณะที่ทั้งสองกำลังเพลิดเพลินกับมื้อค่ำจนหลงลืมเวลา เสียงโทรศัพท์มือถือของสรวิชญ์ก็ดังขึ้น พอเขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ก็เป็นชื่อของเอกวิทย์ ชายหนุ่มจึงรีบกดรับสายทันที

“ไอ้ต้น นี่เกิดอะไรขึ้นวะ ทำไมเรื่องของมึงมันดังทั่วโซเชียลเลยล่ะ”

“เรื่องกูที่ต่อยกับไอ้เจตต์เมื่อเช้าน่ะเหรอ กูเห็นแล้วละ”

“เปล่า กูไม่ได้หมายถึงเรื่องที่มึงกับไอ้เจตต์ต่อยกัน แต่มันเป็นเรื่องที่บอกว่า มึงเป็นแฟนกับน้องระริน นี่มันหมายความว่ายังไงกันวะ หรือว่า…กูตกข่าวอะไรไป”

คำบอกเล่าของเอกวิทย์ ทำให้อีกฝ่ายนึกแปลกใจก่อนจะรีบวางสายแล้วเปิดโซเชียลขึ้นมาทันที

สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าคือเรื่องราวของเขาคบกับรินรดาเป็นแฟนที่เผยแพร่ไปทั่วโลกออนไลน์ มีหลายคนเข้ามาคอมเมนต์ชื่นชมเขาและเธอในฐานะคู่รักที่สวยหล่อสมกันดุจกิ่งทองใบหยก

ขณะเดียวกันกระแสโซเชียลกลับหันไปถล่มด่าเจตต์ โดยหาว่าเขาอิจฉาเพื่อนรัก และต้องการแย่งแฟนของเพื่อนมาเป็นของตนจึงทำให้เกิดการทะเลาะกันที่โรงอาหาร

“โธ่เอ๊ย ไม่น่าเลย…”

สรวิชญ์แสร้งอุทานสีหน้ากลัดกลุ้ม ขณะที่สายตาจับจ้องอยู่ที่โทรศัพท์มือถือไล่อ่านข้อความเรื่อยๆ จนรินรดานึกแปลกใจ

“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะพี่ต้น ทำไมสีหน้าดูเครียดจัง มีอะไรหรือเปล่าคะ”

“น้องระรินดูเองเถอะครับ” เขายื่นโทรศัพท์ในมือให้หญิงสาว

ทันทีที่เธอได้อ่านคอมเมนต์ต่างๆ รินรดานิ่งไปอึดใจก่อนที่สีหน้าระบายยิ้มเมื่อครู่จะแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมลง

“ทำไมเขาถึงรู้ว่าเราเป็นแฟนกัน เราเพิ่งตกลงคบกันเมื่อกี้เองนี่คะ”

“ถ้าให้พี่เดา น่าจะเป็นน้องผู้หญิงสองคนที่เจอตรงบันไดแน่ๆ คงจะไปกระจายข่าวให้เราน่ะสิ ดีเหมือนกันนะ ข่าวลือที่ด่าว่าน้องระรินเสียหายจะได้หมดไป”

“สงสารก็แต่พี่เจตต์ กลับมาโดนคนด่าแทน หาว่าพยายามแย่งระรินจากพี่ต้น ทั้งที่ไม่เป็นความจริงเลยสักนิดเดียว”

“เรื่องจริงเป็นอย่างไร มีแค่เจตต์ที่รู้ตัวเองดี น้องระรินไม่ต้องกังวลนะครับ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป พอมีเรื่องใหม่คนก็ลืมเรื่องพวกนี้ไปหมดแล้วละครับ มาครับเดี๋ยวพี่ช่วยล้างจานดีกว่า”

“อุ๊ย! ไม่ต้องค่ะ ระรินล้างเองได้ค่ะ”

“เมื่อกี้น้องระรินทำอาหารให้พี่กินแล้วนี่ ให้พี่ช่วยล้างจานบ้างเถอะนะ พี่ไม่อยากให้มือสวยๆ ของแฟนพี่เปื่อยเพราะน้ำยาล้างจานนี่นา มาครับพี่จัดการเอง”

รินรดามองอีกฝ่ายอย่างรู้สึกดีมากขึ้นเรื่อยๆ หวังว่าเธอจะคิดไม่ผิดที่ยอมรับอีกฝ่ายเป็นแฟน พอไม่ต้องล้างจาน หญิงสาวจึงเดินไปที่หน้าต่างก็เห็นว่าด้านนอกฝนหยุดตกแล้วจึงหันไปบอก

“พี่ต้นคะ ฝนหยุดตกแล้วพี่ต้นกลับบ้านได้แล้วละค่ะ”

สรวิชญ์ชะงักมือที่กำลังล้างจาน พร้อมกับนึกสาปแช่งฟ้าฝนในใจ

‘จะรีบหยุดตกทำไม น่าจะตกหนักทั้งคืนจะได้หาข้ออ้างนอนค้างที่นี่เสียเลย’

“แต่พี่ยังล้างจานไม่เสร็จเลยนี่”

“ไม่ต้องล้างแล้วค่ะ พี่ต้นรีบกลับก่อนดีกว่า เดี๋ยวฝนจะตกหนักมาอีกหรอก ช่วงนี้หน้าฝนอยู่ด้วย”

“แต่…”

ท่าทีอิดออดของเขาทำให้รินรดารู้สึกแปลกใจจนต้องพยายามคะยั้นคะยอให้ชายหนุ่มรีบกลับบ้าน หากเขากลับท้วงขึ้น

“นี่ก็ดึกมากแล้ว พี่ไม่กลับไม่ได้เหรอครับ กว่าพี่จะเดินออกจากซอยไปถึงรถพี่อาจจะโดนโจรผู้ร้ายดักตีหัวเอาก็ได้นะ น้องระรินไม่ห่วงพี่เหรอครับ” เขาออดอ้อนอย่างน่าสงสาร แต่รินรดาก็ไม่ยอมใจอ่อน ตอนนี้ข่าวของเธอเพิ่งถูกแก้ไขให้กลับมาดีขึ้น ยังไม่อยากตกเป็นขี้ปากใครว่าให้ผู้ชายมานอนอ้างแรมด้วย ถึงอย่างไรเธอก็เป็นผู้หญิงมีแต่จะเสียหาย

“ฝนเพิ่งหยุดตกแบบนี้ โจรยังไม่ทันออกมาหรอกค่ะ เชื่อระรินเถอะนะคะ พี่ต้นรีบกลับบ้านเถอะค่ะ ระรินก็ง่วงเต็มที พรุ่งนี้ต้องตื่นไปเรียนแต่เช้าด้วย”

“งั้นได้ครับน้องระริน ถ้างั้นพี่กลับก่อนนะครับ”

พูดไม่ทันขาดคำ เขาก็ฉวยจังหวะที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัวขโมยหอมแก้มนุ่มไปฟอดใหญ่ก่อนจะรีบผลุนผลันออกจากห้องไป ทิ้งให้รินรดายืนเอามือกุมแก้มตัวเองด้วยความเขินอาย

หญิงสาวเดินมามองเขาที่ริมระเบียงก่อนจะเห็นชายหนุ่มหันมาโบกมือให้ก่อนจะเดินลับหายไปตามทาง พลันสีหน้าที่เคยยิ้มแย้มก่อนหน้าก็สลดลง เมื่อหวนนึกถึงภาพเมื่อครั้งในอดีตที่ตราตรึงในหัวใจมาเนิ่นนาน…

 

‘อีริน มึงจำไว้นะ อย่าได้คิดมีผัวเด็ดขาด ผู้ชายมันก็เหี้ยเหมือนกันหมด ดูอย่างพ่อมึงสิ เงินสักแดงก็ไม่เอามาให้กู แถมมันยังมาขโมยเงินของกูไปเลี้ยงอีเมียน้อยอีก ผู้ชายดีๆ มันไม่มีหรอกเว้ยอีริน มึงดูกู ดูเอาไว้ถ้ามึงมีผัว เดี๋ยวมันก็ทิ้งมึงไปเหมือนกู’

เสียงพูดอ้อแอ้ พร้อมกลิ่นเหล้าโชยหึ่งออกมาจากร่างผอมเกร็งของผู้เป็นแม่ที่รินรดาในวัยแปด ขวบกำลังช่วยประคองเดินโซซัดโซเซไปยังห้องนอนพร้อมหนีบขวดเหล้าเปล่าไม่ยอมวาง

‘แม่จ๋า แม่นอนนะจ๊ะ’

เด็กหญิงพยายามประคองมารดานอนลงบนที่นอน หากเจ้าตัวกับขืนตัวไว้และจับบ่าทั้งสองของรินรดาไว้แน่น ชั่วขณะหนึ่งที่ปรางทิพย์จ้องมองลูกสาวด้วยความโกรธจัด ก่อนจะผลักลูกสาวตัวน้อยให้กระเด็นออกห่างไปชนผนังห้อง พร้อมเสียงตะคอกด่ากราด

‘อีริน อีลูกเวร ทำไม…ทำไมมึงไม่เกิดมาเป็นผู้ชายวะ มึงรู้ไหม กูกับพ่อมึงอยากได้ลูกผู้ชายมากแค่ไหน ถ้ามึงเกิดมาเป็นเด็กผู้ชาย พ่อของมึงก็คงไม่หนีไปมีเมียน้อย ไม่ไปมีลูกใหม่ ดูสิพออีเมียน้อยมันมีลูกชาย มันก็ทิ้งกูไป มันเป็นความผิดมึง อีลูกเวร ทำไมมึงไม่เกิดมาเป็นผู้ชาย มึงจะเกิดเป็นผู้หญิงทำไม เพราะมึง เพราะมึงคนเดียว อีลูกชิงหมาเกิด ฮือๆ’

ปรางทิพย์ร้องไห้คร่ำครวญซ้ำไปซ้ำมาพักใหญ่ ก่อนที่เสียงอ้อแอ้จะค่อยๆ เบาลงและเงียบไป เพราะเจ้าตัวผล็อยหลับไปด้วยความเมาในท้ายที่สุด

รินรดานั่งกอดเข่ามองแม่ของตนที่กำลังหลับสนิทด้วยน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้แล้วดึงผ้าห่มผืนบางห่มให้อย่างเบามือ แม้จะน้อยใจในสิ่งที่แม่พูด แต่ถึงอย่างไรก็เป็นแม่ผู้ให้กำเนิด

‘แม่จ๋า…เมื่อไหร่แม่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม เมื่อไหร่แม่จะเลิกกินเหล้าสักทีจ๊ะ หนูอยากให้แม่รักหนูบ้างจัง’

หลังจากจักรกฤษณ์ทิ้งแม่และเธอย้ายไปอยู่กับเมียน้อย แม่ของเธอก็กลายเป็นคนติดเหล้าเมามาย ข้าวแกงที่เคยขายเป็นประจำทุกวันก็ขายบ้างไม่ขายบ้าง เงินที่พอมี นอกจากจักรกฤษณ์จะคอยแอบลักขโมยไปปรนเปรอเมียน้อย เจ้าตัวก็เอาไปลงกับขวดเหล้า ดื่มเพื่อดับทุกข์และคลายเครียดไปวันๆ จนมันร่อยหรอลงไปทุกทีๆ

มิหนำซ้ำ พอปรางทิพย์มองเห็นหน้ารินรดาก็ยิ่งนึกโมโหสามี พานเอาอารมณ์โกรธต่างๆ มาลงที่ลูกสาวโดยไม่ได้สนใจเลยว่ารินรดาจะรู้สึกเช่นไร โหยหาอ้อมกอดอบอุ่นจากมารดามากแค่ไหน

รินรดาปาดน้ำตาออกเมื่อหวนนึกถึงเรื่องเมื่อครั้งวันวาน ภาพเหตุการณ์ในวัยเด็กเธอยังจำได้ไม่เคยลืมเลย แม้กระทั่งความเจ็บปวดทุกข์ใจของคนเป็นแม่และตัวเอง นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เธอได้แต่เตือนตัวเองเสมอว่า เธอจะไม่มีวันปล่อยให้ความรักทำให้ตัวเองต้องตกอยู่ในสภาพเดียวกับแม่เด็ดขาด เพราะเธอจะไม่มีวันรักใครคนไหน

แต่แล้ววันนี้ สรวิชญ์กลับเป็นผู้ชายคนแรกที่เข้ามาทลายกำแพงหัวใจด้านชาของเธอได้ในที่สุด ไม่รู้เมื่อไหร่ที่หัวใจของเธอเปิดรับเขาเข้ามา รู้ตัวอีกที รินรดาก็ตอบรับเป็นแฟนเขาไปด้วยความเต็มใจเสียแล้ว

‘ไม่รู้คิดถูกหรือคิดผิดที่ตกลงเป็นแฟนกับพี่ต้น’ ใจหนึ่งรู้สึกดีกับเขา หากส่วนลึกในใจกลับเต็มไปด้วยความกังวลว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย

ขณะที่หญิงสาวกำลังคิดอะไรเพลินๆ เสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้นมา

“ว่ายังไงอร ยังไม่นอนอีกเหรอ”

“ใครจะไปหลับลงระริน ฉันก็เป็นห่วงแกน่ะสิ เลยโทรมาหาเนี่ย โซเชียลเดี๋ยวนี้เป็นอะไรก็ไม่รู้ ฉันว่า…มันเลอะเทอะเหลวไหลไปกันใหญ่แล้ว เมื่อกี้ฉันเข้าไปดู มีแต่คนพูดกันว่าแกกับพี่ต้นเป็นแฟนกัน พวกนั้นบ้าไปกันใหญ่แล้ว เป็นแฟนกันบ้าอะไร ไร้สาระชะมัด”

“ไม่ไร้สาระหรอกแก…”

“เอ๊ะ! อะไรนะ…เมื่อกี้แกพูดว่าอะไรฉันได้ยินไม่ถนัด”

“ฉันบอกว่า ไม่ไร้สาระหรอก”

“เดี๋ยวนะ หมายความว่ายังไง ไม่ไร้สาระ…” กนกอรเงียบไปอึดใจก่อนจะอุทานออกมาด้วยความตกใจ “แกอย่าบอกนะว่า…แกกับพี่ต้นเป็นแฟนกันแล้วจริงๆ”

“ใช่”

“อะไรนะ ยังไง เมื่อไหร่ ทำไมฉันไม่รู้เรื่อง ทำไมมันกะทันหันแบบนี้ มันเกิดขึ้นได้ยังไง หรือว่า…พี่ต้นบังคับข่มขู่อะไรแกหรือเปล่า แกถึงได้ยอมคบกับพี่เขาเป็นแฟนน่ะ” คำถามรัวเป็นชุดทำเอารินรดาหลุดหัวเราะออกมา

“ยัยอร แกถามทีละคำถามสิ ถามหลายคำถามแบบนี้ใครจะไปตอบได้หมดล่ะ”

“โอเค งั้นฉันถามใหม่ ตกลงแกกับพี่ต้นเป็นแฟนกันตั้งแต่เมื่อไหร่”

“เพิ่งตกลงคบกันเป็นแฟน ก่อนหน้าที่แกจะโทรมาไม่นานนี่แหละ”

“หา! ว่าไงนะ!”

เสียงอุทานแสบแก้วหูดังมาทางสายโทรศัพท์ ก่อนที่รินรดาจะค่อยๆ เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้อีกฝ่ายฟังจนหมด โดยจงใจละฉากที่โดนเขาจูบไว้เป็นความลับ

“จริงเหรอวะแก พี่ต้นมายืนอยู่ด้านล่างเพื่อรอเจอแกนี่นะ แล้วทำไมพี่เขาไม่โทรหาแกล่ะ”

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“อีน้องผู้หญิงสองคนนั่นเจอฉันหน่อยไม่ได้ ไม่อย่างนั้นโดนดีแน่ แต่ว่า…การที่พี่ต้นออกรับหน้าปกป้องแก มันดีมากเลยนะเว้ย ดูเป็นสุภาพบุรุษดี ไม่เห็นเหมือนกับที่พี่เจตต์บอกเลย ฉันไม่แปลกใจเลยที่แกตกลงเป็นแฟนกับพี่ต้น นี่ถ้าฉันเป็นแก ฉันก็ตกลงคบพี่ต้นเป็นแฟนเหมือนกัน ผู้ชายที่อยู่เคียงข้างเรา ในวันที่เราเจอเรื่องแย่ๆ หลายต่อหลายครั้ง มันทำให้เรารู้ว่า ในวันข้างหน้าถ้าเกิดมีเรื่องทุกข์ขึ้นมาหนักกว่านี้ เขาจะยังอยู่เคียงข้างเรา ระริน…แกคิดถูกแล้วละที่คบกับพี่ต้นเป็นแฟน ฉันดีใจด้วยนะ”

“ขอบใจนะ ฉันนึกว่าแกจะด่าที่ฉันด่วนตัดสินใจคบกับพี่ต้นเป็นแฟนเสียอีก”

“โอ๊ย ฉันจะว่าแกทำไม ฉันก็แค่ตกใจมากกว่า แต่แกคบพี่ต้นดีกรีเดือนมหาลัยแบบนี้ ผู้หญิงหลายคนต้องอิจฉาแน่ๆ เลยว่ะ แต่แกอย่าไปสนใจสายตาคนพวกนั้นเลย ใครจะมองยังไงก็ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่า ในวันนี้แกมีความสุขกับสิ่งที่แกเลือก ก็เพียงพอแล้ว”

“นั่นสินะ”

“ถ้าอย่างนั้นคืนนี้แกรีบนอนพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้เจอกัน”

แม้กนกอรวางสายไปแล้ว แต่รินรดายังไม่อาจข่มตาหลับลงได้ เธอได้แต่เฝ้าคิดและบอกกับตัวเองว่า…

อดีตในวัยเด็กที่แสนเจ็บปวด หากเธอยังยึดติดกับความทุกข์ เธอคงไม่มีวันพบเจอกับความสุขเลยตลอดชีวิต รินรดาจึงเลือกที่จะปล่อยวางเรื่องราวร้ายๆ ให้เป็นเพียงทรงจำสีจางๆ

และตอนนี้ เธอตัดสินแล้วที่จะเริ่มต้นก้าวเดินไปสู่โลกใบใหม่

โลกที่เธอเปิดให้สรวิชญ์เข้ามาในหัวใจที่ถูกปิดตายเป็นครั้งแรก แม้จะไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เธอพร้อมจะยอมรับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นไม่ว่าความสุขหรือความทุกข์โดยมีเขาเป็นแฟน



Don`t copy text!