มหรสพเวรา บทที่ 16 : ชั่วฟ้า

มหรสพเวรา บทที่ 16 : ชั่วฟ้า

โดย : คีตาญชลี แสงสังข์

Loading

มหรสพเวรา โดย คีตาญชลี แสงสังข์ นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น 4 กับเรื่องราวที่จะพาคุณล่องลอยถอยสู่บรรยากาศบ้านเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ย้อนกลับไปเห็นตั้งแต่ของเล็กอย่างแก้วโอเลี้ยงไปจนถึงสิ่งยิ่งใหญ่อย่างโรงมหรสพสมัยใหม่ที่เรียกว่าโรงภาพยนตร์ ขอเชิญท่านพิศเพลินพร้อมกันทั้งประเทศ ณ บัดนี้

 

พระจันทร์รางเลือนอยู่ใต้หมู่เมฆ ส่องแสงอ่อนแรงมาสู่ทางเดินโรยกรวด ตัวชีปะขาวออกมาบินเล่นไฟและตกลงมาตายด้วยความร้อน ทัพเที่ยงเดินผ่านเรือนใหญ่มาจนถึงเรือนก้านมะลิ ระหว่างไขกุญแจ ใจเขาก็นึกไปถึงเรื่องของคืนนี้

จู่ๆ เฟื่องฟ้าก็เบื่อเต้นรำเอาดื้อๆ จักรซึ่งยังไม่หนำใจเลยพาเธอไปส่งที่บ้าน

ทัพเที่ยงว่าบ้านของคุณหญิงลำเจียกใหญ่แล้ว บ้านแถวบางรักของลูกชายคนโตของท่านใหญ่โตยิ่งกว่า แม้พื้นที่จะไม่กว้างขวางเท่าบ้านโชติกเสวกแต่ตัวตึกโอ่อ่า ถูกสร้างเอาไว้เกือบเต็มพื้นที่ พื้นดินที่เหลือยังมีส่วนที่เป็นสวนอยู่บ้าง แต่เป็นเพียงการตกแต่งด้วยพันธุ์ไม้เอาไว้ประดับ ไม่ได้มีไว้เก็บกิน

จักรบรรยายว่าเฟื่องฟ้าเป็นลูกคนโต มีน้องๆ ตามมาอีก 4 คน แต่ไม่มีใครจะเป็นที่โปรดปรานเท่าเฟื่องฟ้า เธอเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวในบรรดาลูกทั้ง 5 ของนายแพทย์โอฬารและคุณศจี อันมีคุณสมบัติล้ำเลิศที่ผู้ใหญ่พูดกรอกหูจักรมาตั้งแต่เด็ก คือเรียนเก่งเหมือนพ่อแถมสวยมากเหมือนแม่ แต่สำหรับจักรนั้นคิดว่าหล่อนเหมือนนางยักษ์ขมูขี เพราะตอนเด็กนั้นเฟื่องฟ้าเจ้าเรื่อง จัดว่าเป็นพี่สาวผู้น่ารำคาญของน้องๆ และหลานสาวคน ‘ไม่โปรด’ ของจักร เพิ่งจะมีตอนโตนี่แหละที่จักรสนิทสนมกับเฟื่องฟ้า เพราะเขาแยกแยะได้แล้วว่าความสวยของผู้หญิงนั้นเป็นแบบไหน

“กันมาญาติดีกับยายฟ้าตอนโตแล้ว เพราะคนสวยมักคบคนสวย เพื่อนยายฟ้าเด็ดขาดทุกคน”

หลังจากบรรยายสรรพคุณหลานสาวตัวเองให้ฟังแล้ว จักรก็พาทัพเที่ยงไปแวะกินรอบดึกแถวสี่กั๊กพระยาศรี บังเอิญเหลือเกินที่เจอสำราญ อริญนั่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มเพื่อนนักเขียนซึ่งกำลังกรึ่มได้ที่ เขาแนะนำทัพเที่ยงและจักรให้กับเพื่อนของเขาในนามนักสร้างหนังมือใหม่ ก่อนจะขยับเก้าอี้ให้ทั้งคู่นั่งลงระหว่างเขาและประมูล อุณหธูป

พวกเขานั่งตัวลีบ นามปากกาอุษณา เพลิงธรรมของประมูลในวงการนักเขียนนั้นศักดิ์สิทธิ์พอๆ กับชื่อ ส.อาสนจินดา ในวงการภาพยนตร์ทีเดียว

“คุณมูลนี่คุณจักร ปิ่นพิมุกข์และวิราฬราช ราตรี คุณมูลเรียกทัพก็ได้ พวกนี้เขาอยากทำหนัง คนนี้เขาเป็นโปรดิวเซอร์ ช่างภาพก็จะเอาด้วย” สำราญ อริญผายมือไปที่จักร “ส่วนคนนี้เขาถนัดเขียนสกรีนเพลย์ ผมจะให้เขาแปลงเป็นนิยายลงในหนังสือพิมพ์ผมด้วย สำคัญนักคนนี้ สาวๆ ส่งจดหมายมาหาสัปดาห์ละหลายสิบเลยคุณเอ๋ย”

สำราญ อริญออกปากรับรองทัพเที่ยง เขายังพูดต่อไปให้ประมูล อุณหธูปฟังอีกว่า จักรและทัพเที่ยงได้ไปพบ ส.อาสนจินดามาแล้ว

ทัพเที่ยงลอบมอง บ.ก.ของเขาด้วยความนับถือน้ำใจ สำราญ อริญเมตตาทัพเที่ยงเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ว่าเขาจะเป็นแค่นักศึกษาร่างโย่งผอมบักโกรกเมื่อหลายปีก่อน หรือเป็นอาจารย์ร่างใหญ่ในเวลานี้

“สำราญพูดถึงขนาดนี้ ไม่เชื่อก็คงจะไม่ได้แล้วละ” ประมูล อุณหธูปหัวเราะ เขาซักถามถึงงานเขียนของทัพเที่ยง ซึ่งทำเอาชายหนุ่มตื่นเต้นจนนั่งไม่ติด จนกระทั่งนักเขียนใหญ่เล่ามาถึงเรื่องการสร้างภาพยนตร์ชั่วฟ้าดินสลายของครูมาลัย ชูพินิจ ว่าก่อนที่หนุมานภาพยนตร์จะทำจนดังระเบิดระเบ้อ ประมูลและผองเพื่อนเคยทำเรื่องนี้มาก่อน

ทัพเที่ยงและจักรตาโตจนเผลออุทานออกมาพร้อมกัน พวกเขาเพิ่งจะไปดูชั่วฟ้าดินสลายช่วงส่งท้ายปีเก่าที่นิวโอเดียน คนแน่นโรงจนต้องเสริมเก้าอี้ หลังการฉายตัวหนังโด่งดังส่งให้พระเอกกล้ามงามอย่าง ชนะ ศรีอุบนถูกพูดถึงไปทั้งประเทศ รวมทั้งเพลงประกอบภาพยนตร์ซึ่งครูมารุตแต่งและควบตำแหน่งผู้กำกับไปด้วยเป็นที่สนใจไม่แพ้กัน พอรู้จากประมูล อุณหธูปว่า ก่อนหน้าที่ครูมารุตจะสร้างหนังเรื่องนี้ ประมูล อุณธูปเคยเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้กับ ประหยัด ศ. นาคะนาทมาก่อน พวกเขามีหรือจะไม่ตื่นเต้น

“แล้วทำไมไม่ได้สร้างล่ะครับ” จักรสงสัย ประมูล อุณหธูปวางแก้วยิ้มปร่า

“สร้างสิ ใครว่าไม่ได้สร้าง โต้โผใหญ่คือหม่อมหลวงต้อย ชุมสาย ตั้งใจจะใช้ชื่อ ‘ชั่วฟ้า’ เพราะได้พระเอกสาวเครือฟ้ามาสวมบทส่างหม่อง…เคยดูไหม”

“คือผม…ไม่เคยดูครับ” ทัพเที่ยงพูดอย่างเกรงใจ “แต่ถ้าผมรู้ ผมไม่พลาดชั่วฟ้าแน่ๆ ครับ” ทัพเที่ยงเสริม ซึ่งเขาหมายความตามนั้นจริงๆ เจ้าของนามปากกาอุษณา เพลิงธรรม ตบเข่าฉาด

“ปัดโธ่…ผมหมายถึงชั่วฟ้าซะที่ไหน”

ทัพเที่ยงมองหน้าจักรแล้วหันไปมองประมูล อุณหธูปด้วยความมึนงงอีกครั้ง ก่อนจะร้องขึ้นมาเหมือนนึกได้

“อ้อ…คุณมูลหมายถึงคุณชลิต สุเสวี” ทัพเที่ยงตื่นรู้ “ผมเคยดูสาวเครือฟ้าครับ เขาดังมาจากเรื่องนี้” ทัพเที่ยงตอบรับ ส่วนจักรนั้นนั่งเงียบเพราะสาวเครือฟ้าออกฉายในปี 2495 ซึ่งเขายังเรียนอยู่ต่างประเทศ

“นั่นละ เสียดายเป็นบ้า”

“มันเกิดอะไรขึ้นหรือครับ” น้ำเสียงทัพเที่ยงเกรงใจ

“เกิดความผิดพลาดในการล้างฟิล์มน่ะซี นายทุนของเราท่านไปได้สูตรล้างฟิล์มมา กะไม่ต้องง้อไอ้พวกมะกัน ซื้อฟิล์มของมันแล้วต้องส่งไปเข้าแล็บถึงฮาวาย ท่านรับเป็นนายทุนเอง ล้างเอง ลงทุนให้เป็นแสนเชียวนา” ประมูล อุณหธูป ยกแก้วกรอกปาก ทัพเที่ยงและจักรจ้องรอคำตอบ ใจเริ่มเต้นเมื่อได้ยินว่าลงทุนเป็นแสน

นักหนังสือพิมพ์ใหญ่วางแก้ว เอื้อมหยิบมะยมในจานขึ้นมาถือไว้ก่อนว่า

“สุดท้ายฟิล์มไม่เหลือให้ดูแม้แต่กาก เจ้าปุ๊จะแจ้งเกิดทางการแสดงแข่งกับ ส.เขาเสียหน่อย เลยได้มาแจ้งเกิดเอาดีทางการหนังสือแทน”

นักเขียนนักแปลเจ้าของสำนวนเย็นนอกร้อนในหัวเราะกับความหลัง ปุ๊ที่เขาพูดถึงคือรงค์ วงษ์สวรรค์ นักเขียนหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับทัพเที่ยง แต่สำบัดสำนวนคนละทางกัน ตามคำบอกเล่าปุ๊หรือรงค์ วงษ์สวรรค์ได้รับบท ‘ทิพย์’ ผู้จัดการปางไม้ของพะโป้ ซึ่งในฉบับที่ทัพเที่ยงเพิ่งได้ดูนั้น ประจวบ ฤกษ์ยามดีเป็นผู้แสดง

“น่าเสียดายนะครับ” ทัพเที่ยงพูดจากใจ ทัพเที่ยงนึกไม่ออกจริงๆ ว่าหน้าตาของหนังจะออกมาแบบไหน แต่คงจะเข้าท่าดีเหมือนกัน

ประมูล อุณหธูปพยักหน้า เขาไม่ได้พูดคำว่าเสียดายออกทางปาก แต่ทัพเที่ยงคิดว่าไม่ว่าใครมาเจอเหตุการณ์เช่นนี้เข้าก็คงต้องเสียดาย

เมื่อนักเขียนใหญ่หันไปหาแก้วของตัวเองและหยุดพูดไปแล้ว สำราญ อริญก็หันมาถามถึง ส.อาสนจินดาบ้าง

“คุยกันอยู่พักใหญ่ๆ ครับ อาจารย์บอกเราว่าเรื่องดาราว่าสำคัญแล้ว โรงฉายยิ่งสำคัญกว่า ถ้าหาโรงฉายไม่ได้ก็จบ อย่างเรื่องปริศนา ตอนแรกว่าจะฉายที่เฉลิมชาติแต่โรงหนังมาปิดปรับปรุงเสีย ทีนี้ก็หาที่ฉายกันให้วุ่นเลยครับ” ทัพเที่ยงเป็นคนอธิบาย

“นั่นละสำคัญ” สำราญ อริญตอบ เจ้าของนามปากกาอุษณา เพลิงธรรมหันมาพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย

“เห็นว่าบางเรื่องถ้าเข้าแล้วไม่ทำเงินตั้งแต่วันแรกหนังก็โดนถอดเร็ว หรือบังเอิญมีหนังฝรั่งที่ทำท่าว่าจะได้เงินกว่าเข้ามาก็จะโดดแย่งรอบฉายจนต้องไปขายให้โรงชั้นสองจริงหรือครับ” จักรถามขึ้นมาบ้าง

“นั่นก็จริงอีกเหมือนกัน” ประมูล อุณหธูปรับรอง

“แล้วมีวิธีแก้ไหมครับ”

“ในความเห็นผม ถ้าไม่เป็นเจ้าของโรงหนังเสียเอง ก็ต้องทำมันให้ได้ทุกอย่าง สู้มันให้เป็นบ้า แบบคนที่พวกคุณไปคุยมานั่นแหละ”

“ครับ” ทัพเที่ยงและจักรตอบรับเกือบพร้อมกัน

สู้และรักมันให้มากๆ นั่นคือคำที่ทัพเที่ยงจะจำไว้ เขาเปิดประตูเข้าบ้าน ใจก็คิดว่าทำหนังนั้นไม่ใช่ของง่าย ตอนอยู่วงนอกคิดว่ามีเงินก็มีหนัง แต่พอเริ่มลงมือ มีเงินก็ช่วยอะไรไม่ได้ ถึงช่วยได้ก็เพียงบางเรื่องแต่ไม่ใช่จะแก้ปัญหาได้ทั้งหมด

วันที่รู้ว่าจะไม่ได้วิไลวรรณ วัฒนพานิชมาเป็นนางเอก เฟื่องฟ้าเสนอให้หานางเอกหน้าใหม่ แต่จักรไม่เห็นด้วยเพราะคิดว่านางเอกและพระเอกใหม่ทั้งคู่หนังจะไม่ดึงดูดให้คนมาดู แต่ตอนนี้ทัพเที่ยงรู้แล้วว่าด่านแรกที่ต้องผ่านให้ได้ก่อนนั้นคือเจ้าของโรงภาพยนตร์ไม่ใช่คนดู แต่เอาจริงๆ อีกเหมือนกัน ตอนนี้ด่านแรกของ ‘สาปรักเรือนร้าง’ ไม่ใช่โรงฉายหรือนักแสดง แต่พวกเขาจะต้องหาทีมงานให้ได้ครบเสียก่อน

 

สิบห้านาทีต่อมาทัพเที่ยงเข้ามาถึงเตียงนอน ระหว่างเอนตัวลงเขาลองทำสมาธิก็เห็นกลิ่นยืนกระสับกระส่าย ลังเลว่าจะเข้ามาหาเขาหรือไม่เข้ามาดี เขาลอบยิ้ม นึกไปถึงผู้หญิงชุดเหลือง หล่อนไม่เหมือนแม่กลิ่นเท่าใดนักหรอก ละม้ายวิไลวรรณ วัฒนพานิชมากกว่า ถึงกระนั้นถ้าได้หล่อนมาแสดงก็ไม่เลวทีเดียว

ทัพเที่ยงนึกเลยไปถึงเพลงประกอบ ไม่รู้จักรคิดถึงเรื่องนี้บ้างไหม สำหรับเขานั้นยังติดใจเพลง ‘เพียงคำเดียว’ ของสุเทพ วงศ์กำแหง เขาจำได้ว่ามันมีเนื้อร้องยาวถึงหกท่อน ครูสุนทรีบรรจงแต่งเป็นเรื่องราว ไม่ซ้ำกันสักท่อนเดียว เขาอยากแต่งเพลง แต่เขาเล่นดนตรีไม่เป็นสักชิ้นนอกจากเป่าขลุ่ยได้งูๆ ปลาๆ แล้วถ้าเขาแต่งได้ล่ะ จักรจะทำให้ สุเทพ วงศ์กำแหง ยอมมาร้องประกอบให้ไหมหนอ…

ทัพเที่ยงฟุ้งฝันก่อนจะค่อยๆ ผล็อยหลับลงไปโดยที่ไม่รู้ว่า ในซอกเงามืดของห้องนอน กลิ่นซึ่งเหมือนจะลังเลในทีแรก กำลังรอให้เขาหลับอยู่

 



Don`t copy text!