มหรสพเวรา บทที่ 19 : สไบนาง
โดย : คีตาญชลี แสงสังข์
มหรสพเวรา โดย คีตาญชลี แสงสังข์ นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น 4 กับเรื่องราวที่จะพาคุณล่องลอยถอยสู่บรรยากาศบ้านเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ย้อนกลับไปเห็นตั้งแต่ของเล็กอย่างแก้วโอเลี้ยงไปจนถึงสิ่งยิ่งใหญ่อย่างโรงมหรสพสมัยใหม่ที่เรียกว่าโรงภาพยนตร์ ขอเชิญท่านพิศเพลินพร้อมกันทั้งประเทศ ณ บัดนี้
ทัพเที่ยงตื่นมาพร้อมกับร่างกายเบาหวิว หัวใจเต้นแรง เขานอนเหงื่อโซมอยู่บนเตียง ได้ยินเสียง “ทัพ ทัพเที่ยง นายได้ยินกันไหม…” แว่วมาจากที่ไกลแสนไกล ก่อนค่อยๆ ชัดเจนขึ้นจนทัพเที่ยงสะดุ้ง
“ได้ยินกันไหมเพื่อน” คราวนี้ตามมาด้วยเสียงดังโครมคราม จักรกำลังเขย่าประตูอยู่หน้าห้อง พื้นกระดานสะเทือนไปตามแรงกระแทกรุนแรงที่ทำเอาบานพับเก่าแก่ส่งเสียงประท้วง
“จักร…นายหรือจักร” ทัพเที่ยงร้องตอบเสียงแห้ง “กันได้ยินแล้ว” เขาตะโกนออกไปอีกรอบ เสียงภายนอกห้องสงบลง ทัพเที่ยงค่อยๆ ชันตัวลุกขึ้น มึนงงว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ความทรงจำสุดท้ายคือเขากำลังจะกระชากมือใครบางคน…แล้วใครบางคนนั้นคือใครกัน ทัพเที่ยงคิดไม่ออก
“ทัพ เฮ้ย! นายได้ยินไหม”
“ได้ยิน”
“งั้นเปิดประตูหน่อย กันเป็นห่วงจะแย่” เสียงจักรสวนเข้ามา ทัพเที่ยงยันตัวลุก เขาค่อยๆ เดินโงนเงนออกไปปลดกลอน เมื่อเปิดประตูออกก็เห็นจักร เฟื่องฟ้า และสาวใช้ชื่อจุกยืนหน้าซีดกระวนกระวายอยู่หน้าห้อง
เขามองใบหน้าทั้งสามด้วยความงุนงง ทว่าเมื่อจ้องหน้าจักร พลันใบหน้าของหลวงเลิศสลักกิจในหน่วยความจำ ก็ทำเอาปลายประสาทของเขากลับมาทำงานอย่างตื่นตัวอีกครั้ง
เขาจำความฝันนั่นได้ทั้งหมดแล้ว…
“กันเรียกอยู่นาน เห็นท่าไม่ดีเลยให้จุกไปเอากุญแจสำรองมาไขบ้าน ว่าแต่นายไม่เป็นอะไรแน่นะ”
“กันไม่เป็นไรซะหน่อย” ทัพเที่ยงตอบ เขาใช้นิ้วมือนวดหว่างคิ้ว “อา…” ทัพเที่ยงคราง “กี่โมงแล้ว”
“นายไม่เป็นอะไรแน่นะ” จักรถามอีกรอบ
“ไม่เป็นไร อาบน้ำแล้วคงดีขึ้น”
“อย่างนั้นก็ไปอาบน้ำเถอะ จะสี่โมงเช้าแล้ว พวกเราจะลงไปคอยที่ระเบียงข้างล่าง” จักรว่า สบตากับเฟื่องฟ้า ดูเหมือนพวกเขาจะไม่เชื่อว่าทัพเที่ยง ‘ไม่เป็นไร’ อย่างที่ชายหนุ่มยืนยัน ทัพเทียงสังเกตเห็นอากัปกิริยาของทุกคน แต่เขาไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรให้ดีกว่านี้แล้ว
ทั้งสามร่างก้าวลงบันได จุกที่เดินรั้งท้ายหันมามองเขาอีกรอบด้วยความเป็นห่วง ทัพเที่ยงฝืนยิ้ม รู้สึกพะอืดพะอมจนต้องยึดระเบียงบันไดช่วยประคองตัว ตอนนี้ร่างกายของเขาเบาโหวง แทบแยกไม่ออกว่าเวลานี้เป็นเรื่องจริงหรือเขากำลังฝันอยู่
เขาดูใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เฟื่องฟ้าลอบคิด ขณะยืนพิงบานประตูมองออกไปที่สนามหน้าบ้าน เธอเห็นนกกระจอกฝูงหนึ่งบินโฉบลงมาเดินหากินบนพื้นสนาม เสียงจ๊อกๆ แจ๊กๆ ของพวกมันสร้างบรรยากาศให้เรือนก้านมะลิใต้ร่มเงาต้นจันใหญ่มีชีวิตชีวา แต่สำหรับเฟื่องฟ้านั้นหล่อนกำลังอารมณ์ขุ่น ตั้งแต่กลับมาจากวังสราญรมย์คืนนั้น ทัพเที่ยงก็ใจลอย ไม่ว่าเฟื่องจะเรียกร้องความสนใจด้วยมารยาเล่มไหน เขาก็ไม่เห็นหล่อนอยู่ในสายตาอีกเลย
ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนละเลยเฟื่องฟ้าอย่างนี้ แม้แต่ตัวทัพเที่ยงเองก็ไม่เคยทำกับเฟื่องฟ้าอย่างนี้มาก่อน
หญิงสาวคิดแล้วอารมณ์ขุ่น แต่เมื่อเห็นร่างสูงเดินลงมาจากชั้นสองเพื่อไปอาบน้ำ หล่อนก็ปั้นหน้าทักเขาไปว่า “ไม่ต้องรีบนะคะ” ทัพเที่ยงมีอาการสะดุ้งเล็กน้อยเหมือนลืมไปว่ามีเฟื่องฟ้าและจักรอยู่ในบ้านด้วย
นี่เขาเป็นอะไรไปนะ…เฟื่องฟ้ามองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินหายเข้าไปในครัวซึ่งมีนอกชานต่อไปยังห้องน้ำทางด้านหลัง
“อาจักรว่าคุณทัพเที่ยงแปลกๆ ไหมคะ”
“ไม่นี่ นอนดึกละมั้ง” จักรตอบ หญิงสาวละสายตาจากกรอบประตู มองสีหน้าสบายอกสบายใจของผู้เป็นอา ตอนนี้จักรกำลังปลื้มกับความคืบหน้าของโครงการสร้างหนัง จนไม่มีใจสังเกตอะไรอีก
ครู่ใหญ่ๆ ทัพเที่ยงในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีอ่อนก็เดินถือถาดใส่เหยือกและแก้วน้ำออกมาวางบนโต๊ะรับแขก สีหน้าของเขาอิดโรย ขอบตาดำคล้ำ แต่จักรก็ยังคงส่งยิ้มกริ่มโดยไม่เห็นความผิดปกติใดๆ เฟื่องฟ้าจับสังเกตจักร แล้วก็หงุดหงิดที่อาของเธอความรู้สึกช้าจนน่ารำคาญ
“เพราะนายทีเดียว” จักรว่า เอามือข้างที่จับกล้องยาสูบชี้ไปที่ทัพเที่ยง “แม่หนูอรพินบริการอย่างดี เธอพากันไปหาสวรรยาเพื่อขอเบอร์ระย้าถึงบ้าน แต่กันดันทำเธอผิดหวังนิดหน่อย สงสัยจะต้องแก้ตัวคราวหน้า”
ทัพเที่ยงขมวดคิ้ว น่าจะเป็นไปอย่างที่จักรต้องการ
จักรชะโงกหน้าเข้าหาเพื่อนร่างยักษ์แล้วกระซิบเสียงแหบ
“กันบอกไปว่ากันจะไปกับหุ้นส่วน แต่ไม่ได้บอกว่าคนไหน พอเห็นหน้ายายฟ้าเท่านั้นแหละ แม่คุณหน้าซีด กันนี่สงซ้าน…สงสาร” จักรหัวเราะ มองคู่สนทนาว่าจะมีปฎิกิริยาอะไรตอบโต้แต่ทัพเที่ยงยังนิ่ง
“ก่อนกลับกันเลยบอกไปว่าถ้างานนี้สำเร็จ กันจะขอเลี้ยงขอบคุณ แล้วจะเอานายไปด้วย”
เฟื่องฟ้าลุ้นรอฟังว่าทัพเที่ยงจะตอบว่าอย่างไรแต่เขาก็ยังคงนิ่งฟังอยู่บนเก้าอี้เหมือนเดิม จักรซึ่งพยายามยั่วเย้าถึงกับโวย
“ปัดโธ่…นายจะไม่พูดอะไรสักคำเลยเหรอ”
“นายจะให้พูดอะไรล่ะ กันก็กำลังฟังอยู่นี่แล้วไง”
“ก็แม่อรพินน่ะ…นายจะไม่ออกความเห็นอะไรเลยหรือ ถ้ากันนัดว่าจะให้นายพาเธอไปเลี้ยงข้าวขอบคุณ นายจะว่ายังไงล่ะทีนี้”
“ไม่ว่ายังไง” ทัพเที่ยงตอบหน้าตาย
“กันหมายถึงกันไม่ไป ยายฟ้าไม่ไป ให้นายไปกับหล่อนสองคนนะ”
“อือฮึ” ทัพเที่ยงพยักคาง
“แปลว่านายยอมไป”
จักรประหลาดใจ เฟื่องฟ้าจดจ่อรอคำตอบของทัพเที่ยง แล้วก็ต้องหัวเราะออกมาเมื่อเขาตอบจักรไปว่า ถ้านั่นเป็นหน้าที่เหมือนกับการเลี้ยงขอบคุณผู้มีอุปการคุณเขาก็ยินดีทำให้ แต่เขาเป็นคนเข้าสังคมไม่เก่ง คิดว่าหน้าที่นี้จักรหรือเฟื่องฟ้าคงจะเหมาะสมกว่า
“โธ่เว้ย…” ในที่สุดจักรก็หมดความอดทน “นี่นายจะซื่อไปถึงไหน นายไม่รู้หรือไงว่าผู้หญิงเขาคิดยังไงกับนาย นายจะทำไม่รู้ไม่ชี้ไปอย่างนี้น่ะหรือ”
ยิ้มแรกของทัพเที่ยงเกิดขึ้นที่มุมปาก เขาไม่ตอบแต่เปลี่ยนเรื่องไปเสียเฉยๆ เขาถามจักรว่า
“แล้วเรื่องระย้ากับนางเอกของเรื่องว่าไง กันอยากรู้เรื่องนี้” จักรและเฟื่องฟ้ารู้ทันที สีหน้าของเขามันชัดเจนว่า ทัพเที่ยงรู้ทุกเรื่องของอรพินที่เขาควรต้องรู้ เพียงแต่เขาจะเป็นผู้เลือกเองว่าจะแสดงออกกับเรื่องนั้นๆ อย่างไร เมื่อกี้เขาก็แค่ ‘แสดง’ ทำเป็น ‘ไม่รู้’ เพราะเขาอยากแกล้งจักรกลับที่บังอาจมาเย้ายั่วล้อเรียนเขามากกว่า
จักรยกมือข้างที่ถือกล้องยาชี้หน้าทำนองว่าฝากไว้ก่อน ส่วนเฟื่องฟ้านั้นใจสั่น หลงคิดว่าเขาซื่อเป็นไก่อ่อน แท้จริงแล้วทัพเที่ยงไม่ใช่แมวน้อยแต่เขาคือเสือซ่อนเล็บ
ไม่รู้ว่าที่ผ่านมา เขาแกล้งทำเป็นพระอิฐพระปูนเพื่ออยากจะดูความดิ้นรนของเฟื่องฟ้าด้วยหรือเปล่า คิดแล้วหล่อนก็หน้าแดงซ่าน ผู้ชาย ‘เหมือน’ จะธรรมดาคนนี้ แต่ไม่มีอะไรในตัวเขาที่ธรรมดาเลย
จักรหมดสนุกในการยั่วทัพเที่ยงแล้ว เขาจึงเล่าแผนการล้ำลึกของตัวเองให้ทัพเที่ยงฟังว่า ที่เขาดิ้นรนไปหาสวรรยาถึงบ้าน แทนที่จะเพียงขอเบอร์โทรระย้ามานั้น เป็นเพราะเขาอยากจะไปหยั่งเชิงดูที่บ้านของหญิงสาวก่อน เมื่อไปถึงแล้วเขาก็เดาถูก หล่อนเป็นลูกข้าราชการเล็กๆ ที่หยิ่งผยองในเกียรติยศของตัวเอง เขาเองก็ไม่รู้ว่าไปทำให้เจ้าหล่อนเกลียดขี้หน้าตอนไหน แต่เดาได้ว่าถ้าวิ่งไปขอหล่อนมาเล่นหนังตรงๆ คงจะโดนปฏิเสธมาแบบนุ่มนิ่มเป็นแน่ เขาจึงคิดจะเข้าทางพ่อแม่ ซึ่งมันก็ได้ผลเพราะบังเอิญอย่างร้ายกาจว่าแม่ของสวรรยาเป็นเจ้าประจำโรงละครเฉลิมกรุง และตอนนี้ก็ตาม ส.อาสนจินดา และสมควร กระจ่างศาสตร์ จากโรงละครมาดูภาพยนตร์ที่ทั้งสองแสดงเป็นพระเอกด้วย
“ดีที่ถามคุณอรพินของนายเอาไว้ก่อน ที่นี้ก็เข้าทางกัน คุณแม่เขาตื่นเต้นใหญ่ที่ยายฟ้าจะเอาลูกสาวเขาไปถ่ายขึ้นปกแมกกาซีน”
“ตกลงคุณสวรรยาเขายอมมาแสดงหนังเราใช่ไหม” ทัพเที่ยงต้องการความกระจ่าง
“กันไม่รู้หรอกว่ายอมไม่ยอม” จักรเล่นลิ้น “แต่แม่เขายอมและสนับสนุนลูกสาวเขาด้วย กันก็เลยชวนคนแม่มาดูตอนถ่ายหนัง เป็นการรับประกันว่าเราจะไม่จับลูกสาวเขามาทำเป็นดาวยั่วดาวโป๊”
“ทำแบบนั้นได้หรือ เขาอาจจะแสดงไม่ได้ก็ได้ถ้าเขาไม่ชอบ”
“ไม่มีทาง” จักรมั่นใจ “คุณอรพินของนาย” จักรจงใจใช้คำ ‘ของนาย’ ซ้ำไปอีกหน คราวนี้ได้ผล ทัพเที่ยงหัวเราะพร้อมส่ายหัวอย่างรำคาญจักรที่ไม่หยุดเล่นเสียที “เธอบอกกันว่าสวรรยาเพื่อนของเธอเป็นนางรำมาตั้งแต่เรียนประถม พอขึ้นมัธยมแม่คุณก็แสดงเป็นนางเอกงานละครโรงเรียน ไม่มีเสียละที่จะตื่นกล้อง”
“นั่นมันงานเด็กไม่ใช่หรือ พอเจอกองถ่ายเธออาจจะประหม่าก็ได้”
“รำต่อหน้าคนเป็นร้อยเป็นพัน กองถ่ายคนหลักสิบ ถ้าแม่คุณจะอายก็คงจะเพราะแกล้งเราแล้วมั้ง”
“แกล้งอาจักรละไม่ว่า” เฟื่องฟ้าทำนาย “ไม่รู้ไปทำอิท่าไหน ปกติสาวๆ มีแต่ติดใจอาจักร แต่สวรรยาคนนี้ดูเขาขวางๆ อาจักรอยู่นะคะ ไม่รู้ตัวหรือคะ”
“ก็รู้อยู่ แต่ไม่สน เขารับงานรับเงินของเราแล้ว เขาก็ต้องทำให้ดีซี” จักรผายมือ ทำราวกับสวรรยาไม่ใช่สาระของชีวิต
เฟื่องฟ้าหันไปหาทัพเที่ยงเหมือนหาพวก แต่แล้วเธอก็หายใจไม่ทั่วท้อง เมื่อเห็นเขามองค้างอยู่ที่ประตูหน้าบ้าน
แสงวิบวับของวงแดดที่ลอดใบต้นจันลงมากระทบพื้นเฉลียงดูเว้าแหว่ง ทัพเที่ยงขมวดคิ้วเล็กน้อย เผยอปาก เหมือนอยากจะพูดกับใครสักคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น แต่ที่จริงแล้วไม่มีสิ่งใดอยู่ตรงนั้นเลย
“คุณทัพเที่ยง” เฟื่องฟ้าเรียก ทัพเที่ยงไม่ขยับ เขายังคงทำสีหน้าแบบเดิมให้บางสิ่งที่เฟื่องฟ้าไม่อาจมองเห็นได้
“คุณทัพเที่ยง” เฟื่องฟ้าร้องดังขึ้น จนจักรต้องเขย่าชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านข้าง
“นายเป็นอะไร”
“ปะ เปล่า เปล่า” เขาหันมาปฏิเสธ แต่ไม่วายลอบมองไปยังทิศทางเดิม เฟื่องฟ้ามองตาม รู้สึกระแวงเมื่อนึกถึงคำเด็กรับใช้ที่สาธยายถึงผู้หญิงห่มสไบสีจำปา
เหลวไหล เขาไปดวงจันทร์กันแล้ว จะมีผีมีสางได้อย่างไรกัน…หญิงสาวสะบัดเสียงใส่ตัวเองในใจ แต่ไม่วายหันไปมองยังทิศที่เพิ่งละสายตามาอีกครั้งหนึ่ง
บ่ายคล้อยลมพัดแรงเหมือนกำลังจะมีพายุ ท้องฟ้าที่เคยใสกระจ่างคลึ้มลงอย่างรวดเร็ว ราวฝนหลงฤดูกำลังจะมา
“อาจักรเชื่อเรื่องผีจริงๆ ไหมคะ” เฟื่องฟ้าถามขึ้น ขณะเดินกลับออกมาจากเรือนก้านมะลิ จักรหัวเราะเบาก่อนจะกระเซ้าว่า เขาไม่คิดว่าจะได้ยินคำถามเช่นนี้จากสาวสมัยเช่นเฟื่องฟ้า
“แหม…ถ้าไม่เชื่อ อาจักรทำหนังผีทำไมล่ะคะ”
“แล้วฟ้าอยากทำเรื่องนี้ทำไม” เฟื่องฟ้าหยุดเดิน มองหน้าอาหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน
“เราทำหนังก็ต้องการกำไร เรื่องผีกับคนไทยเป็นของคู่กัน”
จักรยิ้มยียวนแล้วดีดนิ้ว “คอร์เร็คต์…รู้แบบนี้แล้วจะถามอาทำไม”
“คือ…ไม่รู้สิคะ ช่วงนี้ฟ้าอาจจะฟังเด็กจุกมากไปก็ได้มั้งคะ”
“อย่าไปฟังมาก นี่ไม่รู้ว่านายทัพฟังมากไปด้วยหรือเปล่า อาว่าดูใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว แปลกๆ” ประโยคหลังจักรเอียงคอครุ่นคิด เฟื่องฟ้าสาวเท้าไปประชิดแล้วฉุดแขนข้างหนึ่งของผู้เป็นอาเอาไว้
“อาจักรคะ หมายความว่ายังไงคะ”
“ก็ไม่มีอะไรหรอก” จักรพูดผ่านๆ ไม่หยุดเดิน “หมู่นี้รู้สึกอาจารย์ทัพเที่ยงของพวกเราจะเหม่อๆ หน้าคล้ำๆ อย่างกับคนอดหลับอดนอน ไม่เหมือนคนกระตือรือร้นก่อนหน้านี้ แต่บางที…” จักรยกมือเกาคาง “อาว่าเพราะบทหนังเสร็จแล้ว ไอ้ความกังวลและความกระตือรือร้นมันก็เลยซาๆ ไป”
“อย่างนั้นหรือคะ” เสียงเฟื่องฟ้าผิดหวัง หล่อนถอนหายใจยาวก่อนที่ใจที่ประหวัดถึงผู้ชายในเรือนก้านมะลิฉุดขาเฟื่องฟ้าให้หยุดเดิน
หญิงสาวหันหลังกลับไปมอง แล้วก็ต้องเบิ่งตากว้างเมื่อเห็นสีจำปาของผ้าผืนหนึ่ง ลอยพะเยิบพะยาบอยู่ด้านหลังม่านหน้าต่างที่หันเข้าหาทางเดิน เฟื่องฟ้าผงะ หันไปหาจักรอย่างรวดเร็ว แล้วก็เห็นว่าอาหนุ่มของหล่อนมีอาการตะลึงค้างและกำลังจ้องหน้าต่างบานนั้นอยู่ ทั้งสองหันมามองหน้ากันแต่เมื่อหันกลับไปยังหน้าต่างบานนั้นอีกรอบ ภาพประหลาดที่เห็นก็อันตรธานหายไปราวกับไม่เคยมีใครยืนอยู่ตรงนั้น
“ฟ้า…ฟ้า” จักรเขย่าแขน เฟื่องฟ้ากำลังคิดว่าจะไม่พูดในสิ่งที่เห็น เสียงของจักรก็แทรกอย่างแตกตื่นขึ้นมาเสียก่อน
“เมื่อกี้ หน้าต่างชั้นล่าง…ฟ้าเห็นอะไรไหม”
“อ่า…ฟ้าตาฝาดค่ะอาจักร”
“อา…อา…ก็น่าจะตาฝาด”
ชายหนุ่มและหญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นอาหลานยืนจ้องหน้ากันไปมา เหงื่อเม็ดเป้งของจักรไหลย้อยลงข้างขมับ เฟื่องฟ้ามองมันและรู้ว่าจักรก็คงไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น
“กลับไปดูกัน” จักรชวน เฟื่องฟ้าพยักหน้า ก้าวเดินกลับไปกับผู้เป็นอาด้วยหัวใจระทึก
หญิงสาวนึกถึงคำเด็กจุก
‘ผีนางตานีนะคะคุณ มันจะหลอกผู้ชายเอาไปบำเรอมัน สังเกตง่ายๆ ผู้ชายคนนั้นจะไม่ค่อยอยากออกไปไหน แล้วจะโทรมลงๆ ช่วยไม่ทันก็ตายค่ะ’
‘เหลวไหลน่า อาการอย่างนั้นเขาอาจจะป่วยก็ได้ ไปเหมาว่าโดนผีหลอก’ คราวนั้นหล่อนปรามจุก แต่จุกไม่ละความพยายาม
‘ไม่ป่วยนะคะคุณฟ้า ใช่ไหมพี่ผิน ไปหาหมอเขาก็บอกแค่ว่าพักผ่อนน้อยๆ ทั้งๆ ที่นอนวันยังค่ำ’
‘บอกไปคุณฟ้าก็ไม่เชื่อเอ็งหรอกอีจุก มันเชื่อกันยาก ของอย่างนี้ต้องได้เห็นกับตาตัวเอง’ ผินสรุปอย่างคนผ่านโลกมามากกว่า วันนั้นเฟื่องฟ้าส่ายหน้า ทำนองว่าทำอย่างไรเธอก็คงเชื่อไม่ลง แต่วันนี้เวลานี้เฟื่องฟ้าชักไม่แน่ใจเสียแล้วว่า เธอจะมั่นคงพอจะมองทุกอย่างเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ไปได้หมด
ทัพเที่ยงยังนั่งอยู่ในห้องรับแขกชั้นล่าง เมื่อเขาเห็นจักรและเฟื่องฟ้าย้อนกลับไปก็เอ่ยถาม สองอาหลานอ้ำอึ้งพูดไม่ออกว่าจะกลับมาเพื่ออะไร ทัพเที่ยงเลยเดาไปว่าลืมของ แต่ทั้งคู่ก็ไม่มีของที่ลืมเอาไว้
ปฏิภาณไหวพริบทำให้จักรถามออกไปว่า “เห็นกันเอากล้องถ่ายรูปมาหรือเปล่า”
ทัพเที่ยงส่ายหน้า “ไม่เห็นนะ หรือกันไม่ได้สังเกตก็ไม่รู้ กล้องนายหายหรือ”
“กันก็ไม่รู้เหมือนกัน แค่รู้สึกโล่งๆ คอ ก็เลยนึกว่าลืมเอาไว้”
“ไม่นะ คุณฟ้าเห็นจักรเอากล้องมาหรือครับ”
“ไม่แน่ใจค่ะ ฟ้าไม่ทันสังเกต” เฟื่องฟ้ากวาดตามองรอบห้อง ถ้าทัพเที่ยงจะจับสังเกตเขาก็จะได้เห็นว่า สายตาของเฟื่องฟ้ามองสูงเหมือนหาอะไรบางอย่างที่ไม่น่าจะเป็นกล้อง
“ลองเดินดูให้ทั่วไหมครับ” ทัพเที่ยงเสนอ
“ไม่ต้องหรอก” จักรสะกิดเฟื่องฟ้า “เอาเป็นว่าถ้ากลับบ้านแล้วกันหาไม่เจอค่อยโทรมาบอกให้ที่นี่ช่วยหาก็แล้วกัน นายพักผ่อนเถอะ…พักเยอะๆ ด้วยนะ” จักรกำชับ
ทัพเที่ยงพยักหน้ารับ เขาลุกตามออกมาส่งเฟื่องฟ้าและจักรอีกรอบ คราวนี้เฟื่องฟ้ามองชายหนุ่มร่างสูงด้วยความเป็นห่วงอย่างไม่ปิดบัง เมื่อเดินพ้นเรือนก้านมะลิมาแล้วหญิงสาวก็ตัดสินใจถามจักรผู้เป็นอาว่า เขาพอจะมีความรู้เรื่องผีสางนางตานีบ้างไหม
“ทำไม คิดว่านายทัพโดนผีสิงหรือไง”
“อาจักรเนี่ยละก็ ฟ้าจริงจังนะคะ” หญิงสาวว่าเสียงเครียด จักรหัวเราะ
“เรื่องอย่างงี้อาไม่มีหรอก ถ้าแม่จุกเสียงแจ๋วละก็น่าจะเยอะเลยล่ะ” เขาพูดขำๆ เฟื่องฟ้ารู้ทันทีว่าจักรยังเชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์มากกว่าไสยศาสตร์ ส่วนหล่อนซึ่งเพิ่งกลับมาจากเมืองนอกไม่ถึงสองเดือนนั้นตอนนี้ชักไม่มั่นใจเสียแล้วว่ากำลังเจอกับอะไรอยู่
เฟื่องฟ้าไม่ได้เล่าให้จักรฟังว่า วันแรกที่เธอพบทัพเที่ยงที่บ้านคุณหญิงลำเจียก เขาเข้ามาพบด้วยเรื่องหญิงสาวห่มสไบในห้องนอนใหญ่ จุกซึ่งนั่งอยู่หน้าห้องได้ยินเต็มสองหู ถึงแม้ทัพเที่ยงจะคิดว่าตัวเองเมา แต่จุกซึ่งเอาเรื่องนี้มารายงานเฟื่องฟ้าก็ยืนยันว่า คนที่เคยเห็นผีที่เรือนก้านมะลิต่างก็เห็นเป็นผู้หญิงห่มสไบสีแสดด้วยกันทั้งนั้น ยิ่งโดยเฉพาะเฟื่องฟ้าและจักรที่เห็นบางสิ่งบางอย่างเมื่อครู่นี้ ก็เห็นผ้าผืนนั้นเป็นสีแสดด้วยไม่ใช่หรอกหรือ
- READ มหรสพเวรา บทที่ 25 : ผู้มาเยือน
- READ มหรสพเวรา บทที่ 24 : เข้าสู่โหมดมืออาชีพ
- READ มหรสพเวรา บทที่ 23 : ไม่มีเวลาเหลือแล้ว
- READ มหรสพเวรา บทที่ 22 : กำจัดเสี้ยนหนาม
- READ มหรสพเวรา บทที่ 21 : คาหนังคาเขา
- READ มหรสพเวรา บทที่ 20 : ระย้า
- READ มหรสพเวรา บทที่ 19 : สไบนาง
- READ มหรสพเวรา บทที่ 18 : ล่องอดีต
- READ มหรสพเวรา บทที่ 17 : ย้อนเวลา
- READ มหรสพเวรา บทที่ 16 : ชั่วฟ้า
- READ มหรสพเวรา บทที่ 15 : โรงมหรสพ
- READ มหรสพเวรา บทที่ 14 : กลุ้ม
- READ มหรสพเวรา บทที่ 13 : ดอกแก้วแทนใจ
- READ มหรสพเวรา บทที่ 12 : คำสาป
- READ มหรสพเวรา บทที่ 11 : กล่อมนอน
- READ มหรสพเวรา บทที่ 10 : คนไม่กลัวผี
- READ มหรสพเวรา บทที่ 9 : เฟื่องฟ้า
- READ มหรสพเวรา บทที่ 8 : จับผีมือเปล่า
- READ มหรสพเวรา บทที่ 7 : ส.อาสนจินดา
- READ มหรสพเวรา บทที่ 6 : กาแฟและโรงหนัง
- READ มหรสพเวรา บทที่ 5 : ไฟปริศนา
- READ มหรสพเวรา บทที่ 4 : กลิ่นเก่าโลกใหม่
- READ มหรสพเวรา บทที่ 3 : นักเขียนผี
- READ มหรสพเวรา บทที่ 2 : ใครในเรือน
- READ มหรสพเวรา บทที่ 1 : เรือนก้านมะลิ