มหรสพเวรา บทที่ 6 : กาแฟและโรงหนัง

มหรสพเวรา บทที่ 6 : กาแฟและโรงหนัง

โดย : คีตาญชลี แสงสังข์

Loading

มหรสพเวรา โดย คีตาญชลี แสงสังข์ นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น 4 กับเรื่องราวที่จะพาคุณล่องลอยถอยสู่บรรยากาศบ้านเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ย้อนกลับไปเห็นตั้งแต่ของเล็กอย่างแก้วโอเลี้ยงไปจนถึงสิ่งยิ่งใหญ่อย่างโรงมหรสพสมัยใหม่ที่เรียกว่าโรงภาพยนตร์ ขอเชิญท่านพิศเพลินพร้อมกันทั้งประเทศ ณ บัดนี้

“อาจารย์ทัพเที่ยง” จักรส่งเสียงทัก ตอนนี้พวกเขายืนทักทายกันที่หน้าห้องเลคเชอร์บนชั้นสองของตึกอักษรศาสตร์ เมื่อมาถึงตัวและพูดเพียงได้ยินกันสองคนจักรก็เปลี่ยนสรรพนามกระซิบถามทัพเที่ยง

“นายสอนเสร็จหรือยังกันจะชวนไปข้างนอก”

“คุณจักรจะไปไหนครับ” ทัพเที่ยงไม่ยอมใช้คำว่านายกับกันในมหาวิทยาลัย

“ไปหากาแฟสองสลึงดื่ม แล้วกันมีอะไรจะปรึกษาหน่อย” จักรยังกระซิบ ทัพเที่ยงหัวเราะให้กับมุกสดใหม่ของชายหนุ่ม

ช่วงนี้ข่าวในหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งมีเรื่องประจำให้อ่านอยู่สามเรื่อง หนึ่งคือการตระเวนทรงงานเพื่อช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ของในหลวง สองคือข่าวดอกฟ้าอย่างเจ้าหญิงมาร์กาเร็ตแห่งราชบัลลังก์อังกฤษโน้มพระพักตร์ลงมาหาดินอย่างเรืออากาศเอกปีเตอร์ เทาน์เซ็นต์ แม้พระองค์จะประกาศอย่างหนักแน่นว่า จะขออยู่เป็นขวัญกำลังใจประชาชนมากกว่าเลือกความรัก แต่คนยังสนใจติดตามอ่านนิยายรักเรื่องนี้กันไม่เลิกรา เรื่องของเจ้าหญิงมาร์กาเร็ตอยู่ในหนังสือพิมพ์ทุกหัว บางหัวเขียนเป็นสกูปข่าวพิเศษประจำวันอาทิตย์ ขายข่าวได้อีกเป็นเดือน กับสาม ข่าวไฮด์ปาร์คประจำวันที่สนามหลวง ซึ่งกลับมาคึกคักเพราะสามารถเชิญพระองค์จุลซึ่งเพิ่งเสด็จกลับมาเยี่ยมมาตุภูมิให้ขึ้นไปปราศรัยได้ และอย่างหลังนี่แหละที่คงทำให้รัฐบาลรู้สึกว่ามันกระทบต่อความมั่งคั่งมั่นคง จนต้องออกนโยบายช่วยค่าครองชีพประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง แล้วการควบคุมราคากาแฟดำเย็นไม่ให้เกินแก้วละ 50 สตางค์ก็อยู่ในรายการนั้นด้วย แต่การจะหากาแฟดำเย็นหรือโอเลี้ยงราคา 50 สตางค์ได้ก็ต้องทำใจอย่างหนึ่งว่า ถ้าไม่ได้กาแฟผสมกาฝากตากแห้งหรือเม็ดมะขามคั่วละก็ พ่อค้าหัวใสก็จะใช้วิธีลดปริมาณลง

“เอาสิครับ ผมรู้จักร้านหนึ่ง” ทัพเที่ยงยิ้มกว้าง รับมุก

“ไม่เอาเม็ดมะขามคั่วนะ กันชอบ ‘กากกาแฟ’ ผสมข้าวโพดมากกว่า” จักรยังล้อเล่นไม่เลิก คราวนี้ทัพเที่ยงหัวเราะจนนักศึกษาแถวนั้นหันมามอง อาจารย์หนุ่มหน้าแดงเมื่อรู้สึกว่าตัวเองมีกิริยาไม่สมกับความเป็นครู เขาเดินมาดันไหล่จักรให้รีบลงไปจากอาคารเรียน

แดดบ่ายสาดใส่บอร์กวาร์ดสีเงินวาววับจนเปล่งประกาย ใบหน้าของทัพเที่ยงสะท้อนเงาอยู่บนตัวถังประเปรียว ยามที่เลื่อนตัวเข้าไปนั่ง ทัพเที่ยงรู้สึกว่าเขาช่างไม่เข้ากันกับรถเยอรมันแสนแพงคันนี้เอาเสียเลย ไม่ใช่ว่าเขาเจียมตัว แต่ความโฉบเฉี่ยวของเจ้าบอร์กวาร์ดดูเหมือนจะสร้างมาเพื่อจักร ปิ่นพิมุกข์โดยเฉพาะ ส่วนผู้ชายสูงใหญ่อย่างเขา ถ้าจะมีรถสักคันคงจะเหมาะกับรถออสตินรูปทรงบึกบึนเสียมากกว่า

จุดหมายปลายทางของจักรอยู่ที่ห้างวังบูรพา ซึ่งไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยที่พวกเขาสอนมากนัก ทัพเที่ยงจำได้ว่า ในระยะที่วังบูรพาภิรมย์เป็นวังร้างนั้น เวลานั่งรถรางผ่านเขาก็ยังรู้สึกว่า วังของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์นั้นช่างสวยสง่าตราตรึง ครั้งมีข่าวว่ามันถูกขายเขาก็นึกเสียดาย ยิ่งได้เห็นการรื้อถอนเขาก็รู้สึกใจหายราวกับชีวิตวัยเยาว์ของตนโดยฉีกทึ้งลงไปด้วย

ความเปลี่ยนแปลงนั้นบางครั้งก็ทำใจลำบาก แต่เมื่อได้เห็นศูนย์การค้าวังบูรพาขึ้นมาแทนที่ ชายหนุ่มก็อดยินดีไม่ได้ที่วังซึ่งคนเก่าแก่เล่าลือกันว่าไม่เคยหลับใหล มันจะได้กลับมาครึกครื้นสร้างสีสันให้พระนครอีกครั้ง

“ร้านนี้แล้วกัน” จักรเทียบรถจอดข้างทางเท้า ทัพเที่ยงผงกศีรษะรับ พวกเขาลงรถแล้วเดินไปยังร้านกาแฟร้านแรกที่มองเห็นในย่านนั้น

พวกเขาไม่ได้สั่งกาแฟดำเย็นหรือที่เรียกกันอย่างติดปากว่าโอเลี้ยง แต่สั่งกาแฟใส่นมอย่างที่เรียกว่าโอเลี้ยงยกล้อคนละแก้ว แน่นอนว่าเมื่อบวกราคานมเข้าไปมันจึงต้องเกิน 50 สตางค์ คนขายจะขายราคาไหนก็ได้เพราะโปลิศไม่จับ

ในร้านมีป้ายโฆษณาโคคาโคล่าและเซเว่น-อัพ แปะเชิญชวนว่ามันเป็นเครื่องดื่มคาร์บอนเนสที่มีวิตามินซีอยู่บนผนัง ทัพเที่ยงนึกอยากจะสั่งมาบ้างเหมือนกัน แต่ยังคงชอบรสหวานขมของกาแฟเย็นมากกว่า

“นายอยากไปดูหนังเรื่องชั่วฟ้าดินสลายรอบปฐมทัศน์ไหม” จักรถามขึ้น

นี่กระมังที่เป็นเรื่องที่จักรอยากจะปรึกษา ทัพเที่ยงขยับตัวด้วยความสนใจ

ก่อนหน้านี้ทัพเที่ยงอ่านหนังสือพิมพ์เป็นประจำอยู่ 2 ฉบับ และทั้งสองฉบับเขาเห็นหนุมานภาพยนตร์โฆษณาเรื่อง ‘ชั่วฟ้าดินสลาย’ เป็นกรอบเล็กจิ๋วมาหลายสัปดาห์แล้ว อันที่จริงการย้ำโฆษณาภาพยนตร์เพื่อกระตุ้นความสนใจคนดูตั้งแต่ยังไม่มีกำหนดฉาย เป็นการตลาดที่เห็นทั่วไปในหนังสือพิมพ์ทุกหัว แต่ที่ทำให้ทัพเที่ยงสะดุดตาทั้งๆ ที่ ชั่วฟ้าดินสลายมีกรอบเล็กเพียงเท่ากล่องไม้ขีด ก็เพราะคำชวนเชื่อที่เขียนว่า “ชั่วฟ้าดินสลาย 35 มม. เสียง-สี อีสท์แมนคัลเลอร์” อันหมายถึงหนังเรื่องนี้ถ่ายทำอย่างมาตรฐานด้วยฟิล์มหนังขนาด 35 มม. เป็นภาพยนตร์ที่บันทึกเสียงขณะถ่ายทำอย่างที่เรียกว่าเสียงในฟิล์ม ซึ่งผลิตจากฟิล์มสีอีสท์แมนของบริษัทอีสท์แมน โกดัก

ในห้วงเวลาที่หนัง 16 มม.ครองตลาด การจะได้ดูภาพยนตร์ไทยที่ผลิตจากฟิล์มขนาด 35 มม.และบันทึกเสียงขณะถ่ายทำ จึงนับเป็นงานคุณภาพที่ทำให้ทัพเที่ยงออกอาการสนใจจนเก็บไม่อยู่ และยิ่งเป็นงานของมาลัย ชูพินิจที่ให้อรรถรสพิสดารเรื่องนี้ ทัพเที่ยงไม่อยากจะพลาด

“เขากำหนดวันฉายแล้วหรือ” ทัพเที่ยงถามอย่างใคร่รู้

“ที่ลงในหนังสือพิมพ์น่ะยัง แต่คุณสำราญเขารู้จักคนในหนุมานภาพยนตร์นายไม่รู้รึ อาจจะถึงขนาดเป็นรัตน์ เปสตันยีก็ได้” จักรหมายถึงค่ายหนังผู้สร้างชั่วฟ้าดินสลาย ผู้เป็นเจ้าของค่ายคือรัตน์ เปสตันยี เขาสร้างชื่อมาจากภาพยนตร์เรื่อง สันติ-วีณา ซึ่งถ่ายทำด้วยฟิล์มขนาด 35 มม. เช่นเดียวกัน

ทัพเที่ยงส่ายศีรษะ บอกให้รู้ว่าเขาไม่รู้มาก่อนว่าสำราญ อริญ จะรู้จักกับใครในหนุมานภาพยนตร์ไปได้

“เอ้า ไม่แน่นา คุณสำราญไม่ใช่คนขี้โอ่ กันก็ไม่กล้าถาม ได้แต่ขอบคุณที่คุณสำราญรับปากว่าฉายเมื่อไรจะเป็นธุระจองตั๋วรอบปฐมฤกษ์ให้ แต่จะฉายที่ไหนวันไหนกันไม่รู้หรอก”

“เฉลิมกรุง กันเห็นในหนังสือพิมพ์”

จักรทำท่าคิดนาน

“เอ…ก็อาจจะใช่ กันบอกคุณสำราญไปว่าที่ไหนกันก็ดู แต่ขอแถวหน้าๆ จะได้ดูการแสดงหน้าม่านชัดๆ จองไปสองที่เผื่อนายด้วย”

“เลือกแถวแพงเสียด้วย ไม่กลัวกันไม่มีเงินจ่ายให้หรือไง” ทัพเที่ยงแกล้งว่า

“นายสิต้องกลัว” จักรยิ้มเจ้าเล่ห์ “เพราะกันบอกให้คุณสำราญหักเอากับค่าเรื่องนายก่อน แล้วกันค่อยมาจ่ายนายทีหลัง”

“แล้วกัน…” ทัพเที่ยงหัวเราะกว้าง

“แต่กันมีของตอบแทน” จักรทำท่ามีเลศนัย ทัพเที่ยงจะแกล้งไม่สนแต่เขาก็แสดงความสนใจออกไปจนได้

จักรควักกระเป๋าเลื่อนตั๋วออกมาข้างหน้าสองใบ “วันที่ 5 ธันวานี้นายว่างไหมล่ะ”

ทัพเที่ยงพยักหน้าช้าๆ มองตั๋วสองใบนั้นด้วยอาการระแวง จักรยิ้มพราย

“คุณป้าท่านอยากจะไปงานวันเฉลิม บัตรราคาตั้งสามสิบห้าบาท ท่านออกทุนให้ถึงสี่ใบ สองใบของท่านกับแม่เย็น อีกสองใบสำหรับกันกับใครก็ได้ที่กันอยากชวนไป” จักรยกแก้วกาแฟขึ้นจิบอย่างมีมาดก่อนพูดต่อ

“ไอ้ที่กันต้องไปไม่ได้แต่เพียงไปสนองพระเดชพระคุณคุณหญิงป้าท่าน แต่กันพลาดเรื่องขวัญใจคนจนเมื่อฉายคราวที่แล้ว บัตรหมดในพริบตาเดียว แล้วมันมีฉายในงานนี้ด้วย” เขาจ้องหน้าทัพเที่ยง “นายว่างไปไหมล่ะ” จักรมุ่งมั่นจะเอาคำตอบ

“จะดีหรือ” ทัพเที่ยงลังเลด้วยราคาบัตรอันแสนแพง “คุณหญิงท่านอาจจะอยากให้นายพาคนอื่นไป”

“โธ่…นายหมายถึงสาวๆ นั่นเหรอ ใครจะไปกับกันล่ะ”

คราวนี้ทัพเที่ยงหัวเราะอย่างกั้นไม่อยู่ “อย่างจักร ปิ่นพิมุกข์ต้องพูดว่า ใครจะปฏิเสธต่างหาก”

จักรทำหน้าเบ้ “นี่นายไม่รู้ใช่ไหม..” เขาขยับหาบางอย่างปากก็ว่า “งานมันเริ่มตั้งแต่ไก่โห่ รายการแสดงยาวเหยียดไม่รู้จะเสร็จกี่โมงกี่ยาม มีทั้งดนตรี โขน ละคร หนัง” จักรหันซ้ายหันขวา ในที่สุดเขาก็เจอบางอย่างที่ต้องการ ชายหนุ่มหยิบหนังสือพิมพ์เดลิเมย์จากโต๊ะด้านข้าง เปิดไปสองสามหน้าแล้วส่งให้ทัพเที่ยงอ่าน

“ผู้หญิงคนไหนจะอยากไปเป็นเพื่อนกันดูแลญาติผู้ใหญ่กันทั้งวันแบบนั้นล่ะวะ…ดูเอาเองเถอะ”

มันเป็นโฆษณางานวันเฉลิมพระชนมพรรษา ที่ขึ้นหัวบรรทัดแรกเอาไว้ว่า ‘อรุโณทัยแห่งความอภิรมย์ ชวนชื่น’ บรรทัดถัดมาบอกเวลาเริ่มงานคือ 7 นาฬิกาของวันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม ซึ่งนับว่าเริ่มแต่ ‘ไก่โห่’ อย่างที่จักรว่าเอาไว้จริงๆ

ทัพเที่ยงไล่ตาอ่านก็พบรายการแสดงถึง 6 รายการ เริ่มตั้งแต่ดนตรี 3 กองทัพ มีชื่อ ชรินทร์ งามเมือง สุเทพ วงศ์กำแหง อยู่ในรายชื่อนักร้องนั้นด้วย รายการต่อมาคือละครย่อยของกองทัพบกและทัพเรือ ต่อด้วยโขนนั่งราว ซึ่งมีล้อต๊อก สมพงษ์ ชูศรี และนักแสดงตลกคนอื่นๆ นำแสดง ก่อนจะคั่นรายการด้วยการจับฉลากและทายปัญหา แล้วจบลงด้วยการฉายภาพยนตร์ 16 มม. สีธรรมชาติซึ่งพากย์โดยนักพากย์ประจำโรงหลังบรอดเวย์คือ เทพาและอาภรณ์ ร่วมกับ ส.อาสนจินดาและคณะ บรรทัดก่อนสุดท้ายที่ตัวอักษรต่างไปจากบรรทัดอื่นอย่างจะเรียกร้องให้ตามองเขียนว่า

‘จุมพล ปัทมินทร์ –อถึก อรรถจินดา เปนโฆษก’

จักรจิ้มนิ้วลงไปที่รายการสุดท้าย

“ขวัญใจคนจน ดูชื่อคนพากย์สิ ส.อาสนจินดา เล่นเองแล้วจะพากย์เองด้วย ให้ตาย…กันว่านายก็ต้องไม่อยากพลาดเรื่องนี้แน่”

จักรคาดการณ์อย่างรู้ใจ โดยที่ไม่เคยรู้ว่า เมื่อสามปีก่อนทัพเที่ยงลงมือเขียนนิยายสั้นเรื่องแรกออกมาเรื่องหนึ่ง เมื่อเขียนเสร็จ เขาก็เอาต้นฉบับไปขอคำแนะนำอาจารย์คุณชายแอดไวเซอร์ของเขา อาจารย์คุณชายท่านชอบใจ เลยส่งต่อไปให้ ‘ชอุ่ม ปัญจพรรค์’ ผู้เป็นบรรณาธิการนิตยสาร ‘โฆษณาสาร’ ของกรมประชาสัมพันธ์ เรื่องของทัพเที่ยงจึงได้ลงเป็นตอนๆ อยู่สี่เดือน ได้ค่าต้นฉบับถึงตอนละ 40 บาท ซึ่งเท่าๆ กับเงินเดือนครูชั้นต้นทั้งเดือนทีเดียว

เมื่อได้เข้ามาในแวดวงน้ำหมึกและใจมีให้แก่ภาพยนตร์ ส. อาสนจินดา ที่ผันตัวจากนักเขียนและนักหนังสือพิมพ์ไปสู่ละครเวทีและหนังนั้น จึงเป็นบุคคลที่ทัพเที่ยงวาดหวังอยู่ในใจเงียบๆ ว่า สักวันหนึ่งเขาอาจจะเป็นเหมือนนักเขียนรุ่นพี่คนนี้ และตอนนี้จักรก็กำลังชี้ไปที่ชื่อของ ส. อาสนจินดา พลางเคาะนิ้วโป๊กๆ ลงตรงนั้น

“ได้เจอคุณ ส. เชียวนะ” เขาว่า “สรุปว่านายรับปากแล้วนะ” จักรย้ำให้แน่ใจ

ทัพเที่ยงพยักหน้ารับ ปากบอกขอบคุณจักรที่ชวนเขา เวลาที่ทัพเที่ยงตื่นเต้นนั้นเขามักมีอาการพูดไม่ออก ซึ่งนับเป็นท่าทางที่ทำให้เป็นคน ‘ดูยาก’ ตามนิยามที่จักรให้กับทัพเที่ยงไว้ในภายหลัง

ทั้งคู่ดื่มกาแฟและคุยเรื่องหนังกันอีกครู่ใหญ่ ก่อนจะจ่ายเงินแล้วตัดสินใจไปดูหนังที่กรุงเกษม โรงภาพยนตร์ใหม่เอี่ยมใกล้โรงเรียนสายปัญญาซึ่งเพิ่งฉายเรื่องแรกไปไม่ถึงเดือน

“เจมส์ ดีน นี่ใคร” จักรหันมาถามทัพเที่ยง ขณะมองใบปิดหนังหน้าโรงภาพยนตร์ ชื่อดารานำแสดงทั้งสามคนนั้นเล็กจิ๋วเมื่อเทียบกับชื่อผู้กำกับและชื่อเจ้าของบทประพันธ์นามกระเดื่องอย่าง จอห์น สไตน์เบ็ค

ทัพเที่ยงส่ายหัว “เขาว่ากันว่าจอห์น สไตน์เบ็คเลือกมาเล่นบท ‘คาล’ ด้วยตัวเองเชียว”

“เขาที่ว่าคือใคร” จักรซัก

“เขาคือคอลัมน์บันเทิง กับนี่” ทัพเที่ยงว่าเรียบๆ แล้วส่งนิตยสารฉบับปฐมฤกษ์ของโรงหนังกรุงเกษมให้จักรพลิกดู

หนังสือปกอ่อนราคา 10 สตางค์ที่ทัพเที่ยงเพิ่งจ่ายเงินซื้อหน้าโรงภาพยนตร์ย้ายมาอยู่ในมือของจักร ด้านในมีเรื่องย่อภาพยนตร์ 4 เรื่อง เรื่องแรก คือ ‘โฉมตรูบุกนิสิต’ อันมาจากชื่อ HOW TO BE VERY, VERY POPULAR แสดงนำโดย เชอร์รี่ นอร์ช ซึ่งทเวนตีย์ เซ็นจูรี ฟ้อกซ์ โอ่ว่าเป็นคู่แข่งคนใหม่ของมาริลีน มอนโร โรงหนังกรุงเกษมเลือกฉายเรื่องนี้ประเดิมชัยให้โรงตัวเอง ส่วนเรื่องที่สองนั้นคือวิมานโลกีย์หรือ East of Eden ที่ทัพเที่ยงและจักรกำลังจะเข้าไปดู

“ดาวดวงใหม่ที่จะไต่ถึงขั้น ‘มารอน แบรนโด’ เชียวหรือ” จักรอ่านข้อความแนะนำตัวเจมส์ ดีน เขาเบ้ปากอย่างไม่เชื่อถือ

“เจ้าแห่งอารมณ์ดิบเถื่อน” ทัพเที่ยงพูดข้อความสุดท้ายที่กล่าวถึงดาราหน้าใหม่คนนั้น ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ ในคำโฆษณานั่น แล้วก้าวนำจักรซึ่งกำลังเพลินกับการถ่ายรูปร้านขายขนมขบเคี้ยวซึ่งเต็มไปด้วยโหลบรรจุขนมสีสันต่างๆ หน้าโรงหนังเข้าไปในโรงภาพยนตร์

ด้านในโรงภาพยนตร์ปรับอากาศเอาไว้จนเย็นฉ่ำ มันใหม่เอี่ยม โอ่อ่า และไต่ระดับขึ้นไปค่อนข้างชัน ทัพเที่ยงเห็นสาวๆ ที่เข้ามาหาที่นั่งต้องรวมกระโปรงบานพวกเธอเอาไว้ เพื่อไม่ให้ไประศีรษะผู้ชมด้านหน้าซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้ว

ตอนนี้ใจของทัพเที่ยงมีแต่เรื่องหนัง หนัง แล้วก็หนัง โดยเฉพาะหลังออกจากโรง เรื่องสุดขบถดิบเถื่อนของจอห์น สไตน์เบ็คและการแสดงของเจมส์ ดีน ทำให้ทัพเที่ยงลืมความตั้งใจเมื่อเช้า แล้วเขาก็ลืมสนิทเหมือนฝังดินกลบเมื่อออกจากโรงภาพยนตร์แล้วเจอสำราญ อริญซึ่งเข้ามาดูในรอบเดียวกัน

“ทัพเที่ยง คุณจักร” ชายผู้คร่ำหวอดในแวดวงหนังสือพิมพ์ทักอย่างประหลาดใจ

“คุณสำราญ…บังเอิญจังครับ” จักรออกอาการยินดีจนออกนอกหน้า สำราญ อริญมองเลยมาที่ทัพเที่ยง

“คุยกับวิราฬราช ราตรีแล้วใช่ไหม” เขาถามอย่างล้อๆ ทัพเที่ยงหน้าแดง ไม่รู้ว่าตัวเองจะอายทำไมเหมือนกัน

“ครับ…” จักรยิ้มกริ่ม “ตอนนี้ได้คนเขียนบทแล้ว แต่พวกผมยังไปต่อไม่ค่อยถูก คุณสำราญพอจะแนะนำคนในวงการให้พวกผมได้ไปขอความรู้บ้างไหมครับ”

“ฮือ…” เขาทำท่านึก “ถ้าวงการนี้ก็…ผมกับสมชายเป็นเพื่อนเรียนสวนกุหลาบมาด้วยกัน แต่ยังไม่รับปากนะ”

“สมชาย…!” ทัพเที่ยงลากเสียง ใจเต้นแรง “สมชายไหนครับ”

“เอ้า ส.อาสนจินดาไงล่ะทัพ นี่ผมไม่เคยเล่าให้คุณฟังหรือ ฮึ…” บ.ก.หนังสือพิมพ์สยามประชามิตรหัวเราะ จักรและทัพเที่ยงหันมองกันอย่างไม่อยากจะเชื่อหู

“ส. … ส.อาสนจินดาเลยหรือครับ” ทัพเที่ยงทวนอย่างกลัวว่าตัวเองจะฟังผิด สำราญ อริญพยักหน้า

“เอ้า…ก็ใช่น่ะสิ” เขารับรอง



Don`t copy text!