แก่นไม้หอม บทที่ 10 : บ้าน

แก่นไม้หอม บทที่ 10 : บ้าน

โดย : กิ่งฉัตร

แก่นไม้หอม นวนิยายออนไลน์ โดย กิ่งฉัตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ กับเรื่องราวที่จะทำให้คุณได้รู้ว่าผู้หญิงเป็นเมียและแม่ไม่ต่างจากแก่นไม้ที่แข็งแกร่ง มั่นคงและทรหดที่ยึดให้ใบได้แผ่กว้าง และหากโลกนี้เชื่อว่าผู้ชายเป็นใหญ่ แต่จริงๆ แล้วทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นหยินที่โอบหยางทั้งสิ้น

 

ซิ่วเฮียงมารู้อีกนานหลังจากนั้นว่า คำอวยพรจากใจจริงของหล่อนไม่สัมฤทธิผลเพราะงานแต่งงานระหว่างพยอมกับพนมล้มเลิกไปตั้งแต่วันที่หล่อนออกจากมหาชัยนั่นเอง…

พยอมยกเลิกทุกอย่าง แถมยังเดินสายแจ้งญาติผู้ใหญ่ที่เชิญมาเป็นเกียรติในงานแต่งด้วยตัวเอง หญิงสาวไม่ปิดบังเลยว่าถูกผู้ชายหลอก พนมมีลูกเมียอยู่แล้วและหวังจะแต่งงานกับหล่อนเพื่อผลประโยชน์เท่านั้น

มีคนเคยถามด้วยเสียงเหมือนๆ จะห่วงแต่แววตาสนุกในความทุกข์ของผู้อื่นว่า ล่มงานก่อนวันแต่งไม่ถึงครึ่งเดือนแบบนี้ไม่อายคนหรือ ทำไมไม่แต่งไปก่อนแล้วค่อยเลิกกันทีหลัง หญิงสาวยิ้มตอบทั้งๆ ที่ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความขมขื่นคับแค้นใจ ตอบกลับด้วยเสียงสงบว่า

“อายสิ อายแทบจะแทรกแผ่นดินหนีเลยละ แต่ฉันยอมอายยอมเสียหน้าแล้วให้มันจบไปดีกว่าติดอยู่กับคนตอแหลปลิ้นปล้อนไม่จริงใจ ไม่ใช่สาวๆ แล้วนี่ถึงจะได้ยังเพ้อฝันว่าตัวเองจะเปลี่ยนคนเลวเป็นพ่อพระได้ ขนาดเมียเด็กกับลูกอ่อนเขายังสลัดทิ้งได้ สาวแก่อย่างฉันถ้าไม่มีเงินไอ้หน้าตัวเมียแบบนั้นมันจะทนอยู่ด้วยหรือ”

พยอมประกาศเสียเองแบบนี้ พวกช่างซุบซิบนินทาทั้งหลายเลยไม่รู้จะซุบซิบอะไรอีก มีแต่พนมที่ยังไม่ยอมแพ้ ชายหนุ่มไม่อยากเสียบ่อเงินบ่อทองอย่างพยอมไป และยังคิดตื้นๆ ว่าขอให้ได้แต่งงานไปก่อน เขาสามารถกล่อมหญิงสาวให้ยกโทษให้และกลับมารักมาหลงเขาเหมือนเดิมได้ แถมยังคิดเลยไปอีกว่า หลังจากกล่อมพยอมได้แล้วเขาค่อยไปง้อซิ่วเฮียงกับลูกที่สุพรรณ มหาชัยกับสุพรรณไม่ได้ไกลกันเท่าไร พอมีเงินจากพยอมแล้วเขาสามารถขึ้นล่องได้สบายๆ

คิดสะระตะแบบนี้แล้ว พนมจึงเริ่มพูดถึงความสัมพันธ์ของเขากับพยอมที่เกินเลยไปกว่าการเป็นคู่หมั้นคู่หมายธรรมดาไปทั่วตลาด เขาเชื่ออย่างงมงายว่าครอบครัวของพยอมเป็นคนมีหน้ามีตา คงจะทนเรื่องอื้อฉาวไม่ได้และยอมรับเขาเป็นเขยแต่งเข้าบ้านเหมือนที่วางแผนไว้ แต่ชายหนุ่มประเมินผิดไปไกล ญาติพี่น้องของพยอมไม่ใช่พวกหน้าบางแถมยังดุร้ายยิ่งกว่าสามีและพี่ชายของแม่ค้าที่เคยทำให้เขาหนีหัวซุกหัวซุนไปสุพรรณบุรีมาก

ดังนั้นยังไม่ทันตั้งตัวพนมก็ ‘บังเอิญ’ ไปเหยียบเท้านักเลงต่างถิ่นเข้า ชายหนุ่มยังไม่ทันอ้าปากพูด

ก็โดนซ้อมเสียน่วม ก่อนผละไปนักเลงรายหนึ่งเดินเข้ามาเหยียบหน้าเขาพร้อมกระซิบว่า

“ถ้ายังอยากมีปากไว้กินข้าวก็หัดหุบปากซะบ้างนะไอ้หนู”

พนมฟังแล้วเข้าใจทันทีว่าเขาโดนเล่นงานเพราะอะไร ชั่ววูบนึกโกรธจัดจนเกิดกำลังฮึดคว้าไม้หน้าสามที่อีกฝ่ายติดมือมาแต่โยนทิ้งไว้ข้างๆ ขึ้นมาก่อนพุ่งเข้าตีนักเลงที่เดินปิดท้ายกลุ่มเต็มแรง ฝ่ายนั้นร้องเฮ้ยก่อนหันกลับมา แถมยังหันกลับมาทั้งกลุ่ม พนมเห็นท่าไม่ดีจึงทิ้งไม้แล้วออกวิ่ง แต่พวกนักเลงไวกว่าวิ่งตามมาทันก่อนใช้ไม้อันเดิมที่ใช้ตีกันไปตีกันมาฟาดลงกลางหลังชายหนุ่มเต็มแรง

พนมหน้ามืดเจ็บปวดจนสลบเหมือดไปทันที เมื่อชายหนุ่มฟื้นขึ้นอีกครั้งเขาก็เปลี่ยนจากหนุ่มหล่อเจ้าคารมเป็นผู้ป่วยอัมพาตช่วงล่างไปเสียแล้ว สันไม้หน้าสามที่ฟาดลงมาเต็มแรงทำให้กระดูกสันหลัง

ของเขาหัก ท่อนล่างหมดความรู้สึกขยับขาไม่ได้

พิกุลรับเรื่องที่ลูกชายสุดรักสุดหวงกลายเป็นคนพิการแทบไม่ได้ หล่อนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและแล่นจะไปหาเรื่องกับครอบครัวของพยอม

ครอบครัวของพยอมแม้จะตกใจที่เรื่องเกินเลยไปกว่าที่คิดมากแต่กลับไม่แสดงท่าทีอะไร บอกปัดเสียงแข็งว่าไม่ได้ข้องเกี่ยวอะไรด้วย

พิกุลไปแจ้งความเพื่อหาความยุติธรรมให้ลูกชาย แต่ตำรวจตามจับตัวคนร้ายไม่ได้คดีจึงไม่คืบหน้าอะไร พิกุลจึงได้แต่ตีอกชกหัวด้วยความโกรธแค้น

พี่ชายของพยอมแวะไปที่บ้านพิกุลเพื่อโยนเงินให้ก้อนหนึ่ง เขาแดกดันว่า

“อยากจะสบายนั่งกินนอนกินบนกองเงิน ตอนนี้ก็คงสมใจแล้วสินะ”

ว่ากันตามจริงแล้ว ครอบครัวพยอมก็ใช่จะสบายใจ คนค้าคนขายไม่ใช่นักเลงหัวไม้ เจอเรื่องเกินคาดจากที่แค่ตั้งใจสั่งสอนกลายเป็นพิกลพิการก็รู้สึกผิดไม่น้อย ทั้งหมดปรึกษากันแล้วจึงคิดจะมอบเงินก้อนหนึ่งให้พนมไปรักษาตัว แต่พอพี่ชายคนโตของพยอมมาหาที่บ้าน พิกุลก็ด่ากราดเสียๆ หายๆ ด่าพยอมอย่างเสื่อมเสียเสียงดังจากท้ายซอยไปถึงหน้าปากซอย พี่ชายพยอมทนไม่ไหว หมดความเวทนาเลยโยนเงินให้ พร้อมด่าพนมว่าเป็นแมงดาและบอกว่าการที่พนมเป็นแบบนี้ถือว่าเป็นบุญของผู้หญิงอีกหลายคนที่ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของเขา ก่อนจะสะบัดหน้าจากไป

พิกุลขว้างข้าวของไล่หลังเขา อะไรที่ใกล้มือขว้างใส่หมดยกเว้นเงินปึกใหญ่ที่ถูกโยนไว้บนเตียง

ขว้างเสร็จหญิงกลางคนก็นั่งร้องไห้น้ำตาไหล ตีอกชกหัวบ่นว่าเวรกรรมอะไรของกูก็ไม่รู้ จากนั้น

ก็จับบทด่าพยอม และเลยด่าไปถึงซิ่วเฮียงด้วย ด่าว่าถ้านังเจ๊กมันเก่งจริงมันเอาผัวอยู่ พนมก็คงไม่ต้องแล่นไปหาพยอมจนเกิดเรื่องเกิดราวขึ้นมา

พิกุลเคยไปด่าพยอมถึงที่ร้านทองด้วย แต่พยอมตัดสินใจเข้ากรุงเทพฯ ไปอยู่กับพี่ชายคนรองและพี่สะใภ้แล้ว และยังไม่มีแผนจะกลับมหาชัยเร็วๆ นี้ หญิงร่างใหญ่จึงด่าเหนื่อยเปล่า แถมคนในร้านยังเอาน้ำมาสาดไล่และขู่ว่าจะไปแจ้งความข้อหาตามรังควาน

พิกุลท้าให้เรียกตำรวจมา จะได้จับคนร้านทองที่ทำร้ายลูกหล่อนจนพิการ

คนในร้านหัวเราะเยาะไม่เกรงกลัวเพราะตำรวจเกรงใจอากงเจ้าของร้านจึงแทงเรื่องไปนานแล้วว่าเหตุที่เกิดขึ้นกับพนมเป็นการวิวาทส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับหลานสาวร้านทองเพชรมหาชัยอย่างที่พิกุลป่าวร้อง

พิกุลทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินด่าไปปาดน้ำตาไปกลับบ้าน

การดูแลคนป่วยติดเตียงไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะคนป่วยที่หมดอาลัยตายอยากเอาแต่นอนไม่ยอมช่วยเหลือตัวเองอย่างพนม จะให้มาลัยมาดูแลพี่ชาย ลูกสาวคนนี้ของพิกุลก็มือเท้าห่าง จับพี่ชายหมุนไปหมุนมาเช็ดตัวก็แทบทำพนมตกเตียง บางเรื่องก็อายไม่กล้าทำ สั่งอย่างไรก็ส่ายหน้าท่าเดียว พิกุลกับสันต์จึงต้องเป็นคนดูแลลูกชาย แต่สันต์มีงานประจำที่แพปลา ดังนั้นหน้าที่เช็ดตัวเปลี่ยนผ้าสกปรกจากการขับถ่ายยังต้องให้พิกุลทำเป็นหลัก

แรกๆ พิกุลทำโดยไม่ว่าอะไรด้วยความรักและสงสารลูกชายคนเดียว แต่นานวันหล่อนก็เหนื่อยกายเหนื่อยใจจนอดคร่ำครวญไม่ได้ว่า

“กูเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้มึงตอนเด็ก ไม่นึกเลยว่าโตขนาดนี้ก็ยังต้องทำให้มึงอีก บวชเรียนก็ยังไม่ได้บวชให้กูเลย เวรกรรมอะไรไม่รู้”

พนมขยับตัวได้ แต่เขาไร้กำลังใจจะขยับ วันๆ นอนซึมไม่พูดไม่จา ไม่นานตามตัวก็มีแผลกดทับ พิกุลทำแผลให้ลูกชายไปน้ำตาไหลไป สงสารทั้งลูกและตัวเอง

สุดท้ายหล่อนก็นึกอะไรได้ บอกกับสันต์อย่างมุ่งมั่นว่า

“แกไปตามนังเฮียงมันกลับมา ให้มันมาดูแลผัวมัน”

สันต์ถอนใจ

“ไปเอามันกลับมาทำไม เฮียงมันหลุดพ้นไปแล้วเป็นบุญของมันแล้ว อย่าดึงมันกลับมาลงนรกอีกเลย”

“ลงนรกอะไร นี่ผัวมันนะพ่อของลูกมัน มันก็ต้องกลับมาดูแลสิ จะทิ้งให้กูเหนื่อยดูแลผัวมันคนเดียวได้ยังไง อีกอย่างมันมาอยู่บ้านนี้เป็นปี กินข้าวกูใช้น้ำใช้ไฟเป็นปีเป็นชาติ ตอนนี้ผัวมันเดือดร้อนกูเดือดร้อนมันก็ควรกลับมาช่วย ไม่ใช่สะบัดตูดหนีไปเลยแบบนี้ แล้วนี่ถ้าไม่ใช่เพราะมันพนมจะเป็นแบบนี้หรือ ถ้ามันไม่งกเอาแต่เย็บดอกไม้บ้าบอของมันจนลืมดูแลผัว พนมมันก็คงไม่ไปวอแวกับนังมะพร้าวทึนทึกตัวดีนั่นหรอก ถ้ามันระวังผัวให้ดีพนมคงไม่เป็นแบบนี้หรอก”

สันต์มองหน้าเมียอย่างประหลาดใจ ตอนสาวๆ แม้จะหน้าตาไม่สะสวยแต่พิกุลก็ยังอ่อนหวานยิ้มแย้มแจ่มใส หล่อนขยันทำงาน เก่งและแกร่งพอจะดูแลบ้านดูแลครอบครัวได้ในช่วงที่เขาออกเรือไปจับปลา

ผู้หญิงคนนั้น…คนที่เคยยิ้มเอียงอายให้เขาหายไปไหนกัน หล่อนตายไปจากชีวิตเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมถึงได้เหลือทิ้งไว้แต่หญิงปากร้ายและเต็มไปด้วยอกุศลจิตคนนี้…

“พ่อ แกไปตามนังเฮียงกลับมาเลยนะ ถามมันว่ามีน้ำใจบ้างไหม ผัวนอนแบ็บอย่างนี้ให้มันมาดูแลบ้าง”

“ไม่ไป”

“อะไรนะ”

“ไม่ไป ถ้าแกอยากตามเฮียงกลับมาแกก็ไปเองเถอะ บอกตรงๆ ฉันอายมัน ไม่มีหน้าไปขอร้องมันให้กลับมาหรอก”

“จะไปอายมันทำไม ถ้าไม่ใช่เพราะมันเป็นตัวซวย ไอ้พนมมันจะเคราะห์ร้ายขนาดนี้หรือ…”

“เฮ้อ พิกุลเอ๊ย อะไรๆ แกก็โทษเฮียงมัน เคยดูไหมว่าเวลาที่แกชี้นิ้วด่ามัน อีกสามนิ้วของแกก็กำลังงอเข้าหาตัวเองอยู่ เคยคิดสักนิดก่อนจะด่ามันไหมว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดความผิดเฮียงมันหรือ ถ้าพนมไม่พามันหนี มันจะมาได้ยังไง ถ้าแกไม่กดขี่ด่ามันทุกวัน เฮียงมันจะย้ายบ้านหนีไปหรือ ตอนเฮียงมันท้องถ้าพนมมันเป็นลูกผู้ชายอยู่ดูแลไม่ห่าง ไม่คิดนอกใจไปหาผู้หญิงรวยๆ ที่ประเคนเงินประเคนของให้มันได้ เรื่องมันจะเกิดไหม”

สันต์ส่ายหน้า เวลาเพียงไม่กี่เดือนชายกลางคนกลับดูแก่เฒ่าราวชายชราอายุเจ็ดสิบ

“ตลอดเวลาแกเห็นแต่ความผิดของคนอื่น ไม่เห็นความผิดของลูกตัวเอง ไม่เห็นความผิดของตัวเองที่เลี้ยงตามใจมันตะพึดตะพือจนมันเสียคน ไอ้พนมก็คน นังหนาก็อีกคน ทั้งโกหกทั้งขโมยเงินทองคนอื่น แทนที่แกจะบอกว่าเราเลี้ยงลูกไม่ดีกลับไปโทษเฮียงมัน เฮียงมันไม่ได้จับมือนังหนาให้ขโมยไม่ได้เปิดปากนังหนาให้โกหก มีแต่เราสองคนแหละทำ เราทำเพราะเลี้ยงลูกไม่เป็น ไม่รู้จักสอนลูกให้ดี

นี่ถ้าแกอยากรู้นักว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับไอ้พนมน่ะความผิดใคร แกก็ไปส่องกระจกดูเอาแล้วกันนะแม่พิกุล”

“นี่…แก…ไอ้สันต์…แก…” พิกุลเนื้อตัวสั่นกระเพื่อมพูดไม่ออกด้วยความโกรธ แต่สันต์ไม่สนใจ เขาเดินหลังโก่งงอด้วยความทุกข์ใจหลบหายเข้าไปในห้องแล้ว

เมื่อสามีไม่ยอมช่วยตามซิ่วเฮียงที่สุพรรณ จะไปตามเองก็รู้ว่าซิ่วเฮียงไม่มีวันกลับมาด้วยแน่ พิกุลจึงให้มาลัยไปแทน มาลัยที่ถูกมารดาใช้เป็นที่ระบายอารมณ์หงุดหงิดถูกด่าถูกหยิกถูกขว้างปาข้าวของใส่จนเนื้อตัวเป็นจ้ำๆ ไปหมดโก่งตัวงอด้วยความหวาดกลัวเมื่อผู้เป็นแม่สั่งว่า

“แกไปตามนังเฮียงมา โกหกอะไรก็ได้บอกว่าพี่แกป่วยหนัก พ่อแกก็ไม่สบาย อยากให้มันมา

เยี่ยมมาดูใจหน่อย ทำได้ไหมนังลัย”

“ฉัน…ฉันไม่รู้จ้ะแม่”

“ไม่รู้ก็รู้เสียสิยะ มึงน่ะมันโง่หมาไม่แดกจริงๆ ไปเลยนะ ไปตามนังเฮียงที่สุพรรณให้มันมาช่วยดูแลพี่แกให้ได้ ถ้าไม่ได้ตัวมันกลับมาด้วยมึงก็ไม่ต้องกลับมาให้กูเห็นหน้าอีก”

มาลัยทำคอย่นรับปากมารดาเสียงเบา

และเด็กสาวก็ไม่ทำให้พิกุลผิดหวัง เมื่อตามหาซิ่วเฮียงไม่เจอหล่อนก็กลัวจนไม่ยอมกลับมหาชัยอีกเลย สันต์ออกไปตามหาลูกสาวคนโตอยู่หลายวัน ก่อนกลับมามือเปล่า หลังจากนั้นเขาก็แทบจะไปกินอยู่ที่วัด ถ้าอยู่บ้านก็นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา

สุดท้ายมีเพียงพิกุลกับบ้านที่ไร้ลูกสาวช่วยงาน เงินที่พี่ชายของพยอมทิ้งไว้ให้ก็หมดไปแล้วเพราะพิกุลเอาไปทำบุญขอพระให้ลูกชายหายดีบ้าง เสียเงินให้หมอพื้นบ้านที่ลือกันว่าเก่งนักเก่งหนาหรือแม้แต่หมอดูที่บอกให้เผานั่นเผานี่แล้วเอามาป้อนพนมบ้าง แต่พนมไม่เคยดีขึ้น พิกุลถึงได้รู้ว่าถูกหลอกเสียเงินเปล่าๆ ไปมากมาย

เพราะบ้านไม่มีเงิน ไม่มีแรงงานลูกสาว พิกุลเองก็ต้องดูแลลูกชายและทำงานบ้านการเงินในบ้านจึงอัตคัดหนัก สันต์ต้องรับงานสองกะที่แพ วันๆ แทบจะไม่ได้กลับมานอนบ้านเลย และถึงจะกลับเขาก็มีท่าทางเฉยชาราวคนแปลกหน้ากับเมีย พิกุลน้ำตาไหลร้องถามว่า

“โทษกูละสิ  อะไรๆ ก็โทษกูหมด ทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของกูเลย”

สันต์ไม่ตอบอะไรสักคำ แค่เดินเข้าห้องแล้วล้มตัวนอนเงียบๆ พิกุลมองตามก่อนหันไปดูลูกชาย

ผอมแห้งนอนมองเพดานด้วยสายตาว่างเปล่าแล้ว หญิงกลางคนที่แก่ชราลงมากมายในช่วงเวลาไม่กี่เดือน

ทำได้เพียงสะอึกสะอื้น คร่ำครวญเหมือนจะขาดใจว่า

“พวกมึงกะจะฆ่ากูให้ตายจริงๆ ใช่ไหม กูเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว กูทำทุกอย่างเพื่อพวกมึงมาทั้งชีวิต แต่ไม่มีใครรักกูเลยสักคน ไม่มีเลย ฮือๆ ไม่มีใครรักกูเลย…”

 

ตอนที่ซิ่วเฮียงรู้เรื่องของพนมและพิกุลจากคนที่หล่อนไม่อยากเสวนาด้วยมากที่สุดนั้น หญิงสาวแค่ถอนใจเล็กน้อย ความรู้สึกเคยรักเคยชังเคยโกรธแค้นสลายไปหมดแล้ว เหลือเพียงความรู้สึกที่เลวร้ายที่สุดในความสัมพันธ์ของคนคือความเฉยชา เฉยๆ ไม่รู้สึกอะไร อาจจะมีก็เพียงความเวทนาเล็กน้อยเท่านั้นที่ติดปลายหัวใจอยู่

“พี่เฮียงจะไม่ไปดูพี่พนมหน่อยหรือ” คนส่งข่าวถามเหมือนคาดคั้น

“ไปทำไม เลิกกันนานแล้ว”

“แต่…แต่พี่พนมก็เป็นพ่อลูกชายพี่เฮียงนะ”

“หาญยังเด็ก ไว้โตกว่านี้จะบอกให้ ถ้าเขาอยากจะไปเยี่ยมก็จะให้ไป ไม่ห้าม ไม่กีดกันแน่นอน”

ฝ่ายนั้นฟังแล้วกระฟัดกระเฟียดเพราะไม่ได้ในสิ่งที่ตั้งใจ

“คนเคยอยู่กินด้วยกัน ตอนนี้พี่เฮียงสบายแล้วนี่ ได้ดีแล้วก็น่าจะมีน้ำใจไปเยี่ยมหน่อย หรืออย่างน้อยก็ช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี พี่พนมลำบากมากเลยนะ”

ซิ่วเฮียงยิ้มหยัน เดาได้ทันทีว่าจุดใหญ่ใจความสำคัญอยู่ตรงนี้นี่เอง มาขอเงิน คนเรานี่…สันดานเปลี่ยนกันยากจริงๆ

“ถ้าลำบากมากเธอก็กลับไปช่วยไปดูแลสิ จะเอาอะไรกับคนที่เลิกรากันไปแล้วอย่างฉันล่ะ”

คนส่งข่าวแค้นใจจนปากสั่น แต่ทำอะไรซิ่วเฮียงไม่ได้ สุดท้ายก็ทำเพียงแค่โพนทะนาหาว่าซิ่วเฮียงเป็นพวกตกทอง ทิ้งผัวเก่าพิการเพื่อผัวใหม่ที่ดีกว่า ไม่เคยดูดำดูดีผู้ชายที่เคยอยู่ด้วยกันมาหลายปี ซึ่งคำของหล่อนนั้นก็มีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ

แต่ซิ่วเฮียงไม่สนใจเมื่อก้าวเท้าขึ้นเรือเมล์แดงออกจากมหาชัยในวันนั้น ชื่อของพนมก็ไม่เคยหลุดออกจากปากของหล่อนอีกเลย

วันรุ่งขึ้น…เมื่อเรือเมล์แดงเทียบท่าตลาดสุพรรณฝนแรกแห่งปีก็เริ่มโปรยเม็ดลงมา ซิ่วเฮียงที่อุ้มลูกมือถือข้าวของมือมองบ้านเรือนที่คุ้นตา กลิ่นอายที่คุ้นเคยผ่านม่านน้ำฝนแล้วยิ้มออกมาราวกับคนบ้า เสียดายที่มีลูกเล็กกระหม่อมบาง…หญิงสาวจึงไม่อาจตากฝนเย็นฉ่ำได้ ได้แต่รอกระทั่งฟ้าใสอีกครั้งจึงออกเดินทางกลับบ้าน

เวลาผ่านไปสองปี…บ้านหลังเล็กของหลีกังแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลง ยกเว้นกระถินริมรั้วถูกตัดออกบางส่วนแล้วเปลี่ยนเป็นต้นถั่วฝักยาวและถั่วพูเลี้อยพันแทน มะม่วงอกร่องต้นใหญ่ตรงทางเข้าออกลูกดกห้อยเต็มต้นเหมือนช่วงนี้ในทุกปี ตัวบ้านเองก็ยังเหมือนเดิม สวนครัวด้านหลังก็เช่นกัน มีเพียงเพิงเก็บของที่มีการซ่อมแซมและเพิ่มผนังเพื่อกันลมฝน

ซิ่วเฮียงยืนมองบ้านที่จากไปนานด้วยสายตากังวลและโหยหา เมื่อก่อนทุกครั้งที่หญิงสาวกลับบ้าน หล่อนแค่ผลักรั้วไม้เตี้ยๆ แล้วก้าวเข้าไปอย่างกระฉับกระเฉง พร้อมตะโกนบอกว่า ม้า เฮียงกลับมาแล้ว

แต่วันนี้หญิงสาวกลับยืนตัวแข็งอยู่หน้าบ้าน ได้แต่มองเข้าไปไม่กล้าขยับตัว หล่อนยืนนิ่งจนหาญเริ่มร้องไห้ด้วยความหงุดหงิด ซิ่วเฮียงปลดกระเป๋าผ้าหนักอึ้งออกจากบ่าเพื่อขยับปลอบลูกชาย แต่พ่อหนูน้อยร้องไห้ไม่หยุดง่ายๆ และเสียงร้องไห้นี่เองที่ทำให้คนในบ้านโผล่หน้าออกมามองอย่างแปลกใจ ตามด้วยเสียงถามเป็นภาษาไทยแปร่งๆ ว่า

“นั่นคราย มาหาคราย”

น้ำตาร้อนๆ ของซิ่วเฮียงร่วงพอๆ กับน้ำตาของลูกชาย หล่อนตอบกลับไปเป็นภาษาจีนที่ไม่ได้ใช้มาสองปีว่า

“ม้า เฮียงเองม้า เฮียงกลับมาแล้วม้า”

 

 

 



Don`t copy text!