
แก่นไม้หอม บทที่ 18 : เห็นขี้ดีกว่าไส้
โดย : กิ่งฉัตร
แก่นไม้หอม นวนิยายออนไลน์ โดย กิ่งฉัตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ กับเรื่องราวที่จะทำให้คุณได้รู้ว่าผู้หญิงเป็นเมียและแม่ไม่ต่างจากแก่นไม้ที่แข็งแกร่ง มั่นคงและทรหดที่ยึดให้ใบได้แผ่กว้าง และหากโลกนี้เชื่อว่าผู้ชายเป็นใหญ่ แต่จริงๆ แล้วทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นหยินที่โอบหยางทั้งสิ้น
เน้ยออกจากลานมะเกลือไปแล้วไม่ได้ย้อนกลับมาอีก บรรดาเพื่อนฝูงที่เคยล้อมหน้าล้อมหลังก็ก้มหน้าก้มตาทำงานง่วนเหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้น จะมีก็เพียงเต็กที่รู้ข่าวแล้วแอบมาส่องหน้าห้องเย็บปักด้วยความกังวล เหง็กลั้งเห็นเข้าก็หัวเสียไม่น้อยต้องตามมาไล่ลูกชายให้กลับลงไปทำงาน ปากบ่นว่าชายหนุ่มนั้นตาแชแหมคงจะทำให้หล่อนกระอักเลือดตายสักวัน
ซิ่วเฮียงรอถึงเย็นก็ไม่มีใครมาตามไปบ้านลานมะเกลือ ตอนเช้าหญิงสาวจึงหิ้วตะกร้าของสดไปรอตามเวลานัด คนงานในบ้านเปิดประตูรับเป็นปกติเพียงแต่คนงานที่ไม่ใช่อาจือรายนี้มองซิ่วเฮียงด้วยความสนใจอย่างเห็นได้ชัดเท่านั้น
หญิงสาวไม่สนใจอะไร เข้าครัวหุงข้าวต้มหม้อใหญ่ กับข้าวหล่อนเตรียมทำไข่เจียวหมูสับปลาหมึกแห้ง ผัดหอยกะพงใบโหระพากับผัดผักง่าย ๆ อีกอย่าง ส่วนยำเกี้ยมฉ่ายนั้น…ฝันไปเถอะ ไม่ทำมันแล้ว
คนงานในบ้านถามซิ่วเฮียงว่าจะให้ช่วยอะไรไหม หญิงสาวตอบว่าทำเองคนเดียวได้เพราะเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว ฝ่ายนั้นจึงออกจากครัวไป เมื่ออยู่ตามลำพังหล่อนก็ตั้งหน้าตั้งตาทำอาหารมือไม้เป็นระวิง ตอนที่กำลังตักไข่เจียวหนานุ่มใส่จาน หันกลับไปวางจานบนโต๊ะถึงได้เห็นเงาร่างสูงตรงช่องประตู
ซิ่วเฮียงสะดุ้งตกใจ แต่ยังดีรีบวางจานลง ไข่เจียวร้อน ๆ เลยรอดไปไม่ต้องร่วงลงกองกับพื้น
“ขอโทษที่ทำให้ตกใจ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ…เถ้าแก่”
ส่วงพยักหน้านิดหนึ่ง ท่าทางเขาสุภาพเหมือนเคย แต่สีหน้าเหมือนขัดเขินเล็กน้อย
“อั๊วรู้เรื่องที่ลานมะเกลือแล้ว ขอโทษที่ทำให้อาหมวยเดือดร้อน อั๊วไม่คิดว่าเน้ยจะเลื่อนเปื้อนได้ถึงขนาดนี้”
ซิ่วเฮียงคิดถึงเรื่องเมื่อวานแล้วหน้าแดงร้อนขึ้นด้วยความอาย ใช่แค่เน้ยเลื่อนเปื้อนคนเดียว หล่อนก็ด่ากลับไปอย่างไม่ไว้หน้าเหมือนกัน ตอนนี้คนทั้งลานมะเกลือคงพูดกันทั่วแล้วว่าซิ่วเฮียงเป็นหญิงปากร้าย
แต่ช่างเถอะ จะปากร้ายหรือปากดีก็เป็นเรื่องของหล่อน ไม่เกี่ยวกับใครสักหน่อย
“ฉันคุยกับเน้ยแล้วจ้ะ” ซิ่วเฮียงตอบ หล่อนไม่ถนัดใช้อั๊วแทนตัว ติดใช้ฉันมาแต่ไหนแต่ไร ถ้าไม่เรียกตัวเองว่าเฮียงก็ใช้ฉันจนชิน พอโกรธจัดก็ขึ้นกูทันที นิสัยเสียนี้พยายามแก้หลายครั้งแต่แก้ไม่หาย ติดตัวหล่อนไปจนแก่เฒ่า โชคดีที่น้อยครั้งคนอารมณ์ดีใจเย็นอย่างหล่อนจะ ‘ของขึ้น’ สักที “ทำความเข้าใจกันแล้วว่าเน้ยคงจะเข้าใจผิด”
ส่วงกระแอมเบา ๆ เหมือนจะเอ่ยอะไร แต่แล้วกลับเปลี่ยนใจพูดขึ้นว่า
“ถึงอย่างนั้นอั๊วก็ยังเสียใจที่ทำให้อาหมวยเดือดร้อน”
“ไม่เป็นไรจ้ะ…” ซิ่วเฮียงเอ่ยคำเดิม ในใจนึกว่าต่อให้โดนด่ามากกว่านี้ก็ต้องบอกว่าไม่เป็นไร ใครใช้ให้เขาเป็นเถ้าแก่ เป็นเจ้านายของหล่อนกันล่ะ ทุกวันทำงานให้เขารับเงินค่าแรงจากโรงงานของเขา จะชี้หน้าบอกว่าเพราะลื้อแท้ ๆ ทำให้อั๊วถูกด่า…ได้ยังไงกัน
เถ้าแก่หนุ่มฟังแล้วมุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้ม เขาว่า
“ปากพูดอย่างแต่สายตาพูดอย่าง”
หญิงสาวตกใจ รีบบอกว่า
“ไม่จริงนะจ๊ะ ฉันไม่เดือดร้อนจริง ๆ สิ่งที่เน้ยพูดไม่ใช่ความจริง ฉันไม่ได้ทำ ทำไมฉันต้องเดือดร้อนด้วยล่ะจ๊ะ”
“นั่นก็จริง” ชายหนุ่มยอมรับ ผู้หญิงคนนี้เหมือนมีอะไรให้เขาทึ่งอยู่เรื่อย ๆ จากที่สะดุดตาความใสซื่อของเจ้าหล่อน ตอนนี้เขารู้แล้วว่าแม้จะดูซื่อ ๆ แต่ความคิดความอ่านของหล่อนไม่เลวเลย ซิ่วเฮียงทำให้เขาสนใจตั้งแต่แรกและสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวัน “แต่ถึงอย่างนั้น อั๊วก็ยังเสียใจที่ไม่ได้บอกอาหมวยก่อนว่าอั๊วเป็นใคร ไม่ได้อยากแก้ตัวแต่อั๊วไม่มีเจตนาหลอกลื้อเล่น หรือคิดเล่นสนุกอะไร แค่กลัวว่าถ้าบอกว่าอั๊วคือใคร ลื้อจะอึดอัด อั๊วกลัวลื้อจะอาย”
“แล้วมารู้ทีหลังฉันจะไม่อายมากขึ้นกว่าเดิมหรือจ๊ะ” ซิ่วเฮียงถามตรง ๆ ถ้าเขาบอกว่าอั๊วคือเถ้าแก่ลานมะเกลือตั้งแต่แรกหล่อนอาจจะขัดเขินเล็กน้อย แต่มารู้จากข้อกล่าวหาของเน้ยแบบนี้ คำว่าอายถือว่าน้อยไป เรียกว่าทั้งโกรธทั้งอายก็ว่าได้
แต่เพราะเขาคือเถ้าแก่และหล่อนคือคนงานในโรงงานของเขา จะเคืองจะอายเพียงใดก็ต้องกดมันลงไป จะตอบโต้อะไรก็ต้องยิ้มแย้มแจ่มใส เพียงแต่อะไรที่ถามก็ต้องถาม
ส่วงยิ้มเจื่อน พยักหน้ารับความผิดของตัวเอง
“อั๊วคิดน้อยเกินไปจริง ๆ หวังว่าอาหมวยคงไม่โกรธ”
ถ้าซิ่วเฮียงมีจริตมากกว่านี้ หล่อนคงค้อนควักแล้วถามว่าใครจะกล้าโกรธอู่ข้าวอู่น้ำของตนกัน แต่หญิงสาวตรงจนเอ่ยว่า
“อยากโกรธจ้ะ แต่โกรธไม่ได้ คุณเป็นเถ้าแก่ ฉันยังไม่อยากตกงาน”
เถ้าแก่หัวเราะเบา ๆ กับความซื่อตรงนั้น ก่อนตอบกลับไปว่า
“อาหมวยไม่ได้ทำอะไรผิดจะตกงานได้ยังไง อั๊วสิที่ผิดต่อลื้อ เอาเป็นว่าไม่ต้องห่วงนะ อั๊วจะไม่ให้เน้ยหรือคนอื่นสร้างปัญหาให้ลื้ออีก”
“ฉันบอกเน้ยแล้ว ถ้าเขายังเข้าใจอะไรผิดก็เป็นเรื่องของเขา เถ้าแก่ไม่ต้องใส่ใจหรอกจ้ะ”
“คงไม่ต้องใส่ใจไม่ได้หรอก เพราะไม่ใช่แค่ลื้อ แต่อั๊วก็กล่าวหาอย่างผิด ๆ เหมือนกัน” ดวงตาชายหนุ่มฉายแววเย็นชาขึ้นวูบหนึ่ง ก่อนเปลี่ยนเป็นอบอุ่นตามปกติเมื่อเอ่ยเสริมว่า “ลื้อไม่ต้องห่วง ยังไงอั๊วก็ต้องจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย”
ไม่รู้ทำไมวูบหนึ่งซิ่วเฮียงรู้สึกสงสารเน้ยขึ้นมา แต่ความรู้สึกก็เหมือนสายลมพัดมาวูบหนึ่งแล้วหายไป หล่อนกับผู้หญิงคนนั้นต่างคนต่างอยู่ไม่ข้องเกี่ยวกันเป็นดีที่สุดแล้ว
“ตามแต่เถ้าแก่เถอะจ้ะ” หญิงสาวบอกเหมือนประกาศว่าเรื่องนี้หล่อนจะไม่ขอยุ่ง กับเน้ยหล่อนจบแล้ว ด่าจบก็จบกัน
ในครัวมีความเงียบเข้าปกคลุมอยู่ครู่ ซิ่วเฮียงรอนึกว่าเขามาบอกแล้วจะไป แต่ชายหนุ่มก็ยังยืนเฉยอยู่ หญิงสาวอยากจะถอนใจแต่ไม่กล้า ทว่าสุดท้ายตัดสินใจเอ่ยว่า
“เถ้าแก่จ๊ะ”
“หืม…”
“เดี๋ยวฉันจะผัดหอยกะพง”
“ดี อั๊วชอบหอยกะพง”
ซิ่วเฮียงฝืนไว้ไม่ให้ถอนใจออกมาอย่างยากลำบาก
“หอยผัดน้ำมันไฟแรง น้ำมันจะฟุ้งกลิ่นแรงเกรงว่าจะติดเสื้อผ้าเถ้าแก่จ้ะ”
“อ้อ” เขาเพิ่งรู้ตัวว่าถูกไล่ ทำได้เพียงพยักหน้าแล้วบอกว่า “เดี๋ยวฉันจะรอกินแล้วกัน”
ส่วงเดินกลับไปที่ห้องอาหาร กุ้ยเตียงที่นั่งคุยกับลูกสองคนอยู่เงียบหน้าขึ้นมองแล้วยิ้ม ๆ อย่างรู้เท่าทัน ชายหนุ่มยิ้มขัดเขินเล็กน้อยแต่นั่งลงร่วมโต๊ะกับภรรยาและลูก ๆ โดยไม่เอ่ยอะไร ครู่หนึ่งคนงานสองคนก็ช่วยกันยกอาหารขึ้นตั้งโต๊ะ ซื้อไท่กินข้าวเองได้แล้วแต่ซื้อย้งยังต้องมีคนคอยดูแลอยู่ ทว่าเด็กน้อยก็กินข้าวต้มกับไข่เจียวได้อย่างเอร็ดอร่อย
อิ่มหนำล้างปากเรียบร้อย อาจือก็พาเด็กน้อยทั้งสองไปส่งโรงเรียน ส่วงเองก็ต้องไปตลาดเพื่อพบปะเพื่อนฝูงก่อนเริ่มทำงาน มีเพียงกุ้ยเตียงที่นั่งรออยู่ เมื่อคนงานที่เหลือพาซิ่วเฮียงมาพบหล่อนก็ส่งซองแดงให้
“ขอบใจมาก ฝีมือทำกับข้าวลื้อดีจริง ๆ เถ้าแก่กับเด็ก ๆ ชอบมาก”
น้ำเสียงที่เอ่ยเรียบ ๆ ไม่ได้แฝงนัยใด ๆ ซิ่วเฮียงจึงยิ้มรับตามธรรมชาติของหล่อน ตอบเพียงง่าย ๆ ว่า
“ขอบใจจ้ะเถ้าแก่เนี้ย”
หญิงสาวไม่ใช่คนช่างเซ้าซี้มากความ เรื่องที่เกิดขึ้นถ้ากุ้ยเตียงไม่ถามไม่ซักหล่อนก็ไม่เอ่ยถึง รับซองแดงมายิ้มแย้มแจ่มใสแล้วก็กลับห้องเช่า อาบน้ำพอให้ไม่มีกลิ่นน้ำมันกับผัดหอยติดตัวก็พร้อมไปทำงานต่อ
ซิ่วเฮียงไปทำงานตามปกติแต่เน้ยไม่ได้กลับมาลานมะเกลือ หลงจู๊ฮุ้งเรียกไต้จงไปคัดชื่อเน้ยออกจากการเป็นช่างปัก เช่นเคยที่บรรดาเพื่อนช่างที่เคยล้อมหน้าล้อมหลังหญิงสาวรายนั้นพากันปิดปากเงียบตั้งหน้าตั้งตาทำงาน เต็กอยากจะโวยวายว่าเน้ยไม่ได้ทำอะไรผิดแต่ถูกเหง็กลั้งหยิกจนเอวเขียวไปหมด
อีกคนที่โวยวายคือหลีมุ่ย เน้ยไปร้องห่มร้องไห้อาละวาดใส่หล่อน หลีมุ่ยก็แล่นมาหาน้องสาวสามีกล่าวหาว่ากุ้ยเตียงนั้น ‘เห็นขี้ดีกว่าไส้’ ทั้งตัดพ้อต่อว่าทั้งข่มขู่ว่าหญิงสาวจะต้องเสียใจที่เลือกนังแม่ม่ายแทนญาติพี่น้อง
กุ้ยเตียงที่เยือกเย็นมาตลอดหน้าแดงเรื่อขึ้นด้วยความไม่พอใจ หล่อนไม่รอให้อีกฝ่ายโวยวายจนจบเหมือนทุกครั้ง แต่เอ่ยขัดอย่างเย็นชาว่า
“ซ้อคิดว่าตอนนี้อั๊วไม่เสียใจหรือ คิดว่าอั๊วมีความสุขหรือที่ใครต่อใครพยายามยัดเยียดผู้หญิงอีกคนให้ผัวอั๊ว ถ้าซ้อว่าเน้ยดีอย่างนั้นอย่างนี้จะมาช่วยงานอั๊วช่วยงานอาส่วง ซ้อก็รับเน้ยให้เฮียสิฉันจะช่วยสนับสนุนเอง ซ้อจะได้มีญาติสนิทที่ไว้ใจได้ช่วยดูแลผัวดูแลลูกซ้อไง”
หลีมุ่ยที่ถือตัวว่าเป็นพี่สะใภ้คนโตแม้จะไม่ถึงกับวางอำนาจใส่น้องสามีแต่ก็มักแสดงท่าทีว่าเหนือกว่าในฐานะพี่สะใภ้อยู่ในทีถึงกับอ้าปากพะงาบ ๆ
“ลองไหมซ้อ ถ้าไม่ชอบเน้ยเดี๋ยวอั๊วหาคนอื่นให้”
“ไม่ ไม่ต้อง ร้านผ้าที่บ้านไม่ได้ใหญ่โตเหมือนโรงงานพวกลื้อ เอาคนมาทำไม…”
“ถ้าบ้านตัวเองไม่ต้องการ ซ้อก็ไม่ต้องช่วยหาคนให้อั๊ว”
“ซ้อหวังดีกับลื้อนะ” หลีมุ่ยเสียงอ่อน “ยังไงก็คนในครอบครัวเดียวกัน”
“อั๊วรู้” กุ้ยเตียงยังคงต้องไว้หน้าอีกฝ่ายบ้าง จึงไม่ตัดขาดเสียทีเดียว “แต่เรื่องนี้มันไม่ขึ้นกับอั๊ว อาส่วงเขาชอบเด็กนั่น เห็นว่าทำงานเก่ง ดูซื่อ ๆ จริงใจ”
“ไอ้หยา อย่างนี้ไม่ดีแล้ว ถ้าผัวลื้อออกปากว่าชอบ ต่อไปมิยกแม่นี่ขึ้นมาเท่าเทียมกับลื้อหรือ แล้วที่ว่าซื่อ ๆ มันแสดงละครหรือเปล่า คนเคยมีผัวแถมเป็นม่าย มีหรือจะยังใสซื่ออยู่อีก เสแสร้งล่ะไม่ว่า ลื้อห้ามอาส่วงเถอะ คนนี้อย่าเอา”
“เขาชอบของเขาอั๊วจะไปห้ามได้ยังไง อีกอย่างอาส่วงดูคนเก่ง ดูออกว่าผู้หญิงคนไหนเสแสร้งคนไหนดีจริง อาส่วงรักลูก คงไม่หาผู้หญิงที่จะสร้างปัญหาให้อั๊วให้ลูกเขาแน่ เขาเลือกคนนี้ก็คงมั่นใจแล้วว่าดีจริง อั๊วเองก็เห็นด้วยกับอาส่วง ซิ่วเฮียงคนนี้ตรงไปตรงมา ไม่เหลี่ยมจัดเหมือนรายอื่นที่คนนั้นคนนี้พากันเสนอเข้ามา”
หลีมุ่ยฟังแล้วร้อนตัวเพราะน้องสามีพูดพร้อมกับมองหล่อนด้วยสีหน้ายิ้มเหมือนไม่ได้ยิ้ม แต่ทำได้แค่ไม่รู้ไม่ชี้ บ่นว่า
“ถึงงั้นก็เถอะ เตียงก็ไม่น่าไล่เน้ยจากโรงงานแบบนั้น ให้เสมียนไปบอกว่าห้ามเหยียบเข้าลานมะเกลืออีก เด็กมันทั้งอายทั้งเสียใจ จู่ ๆ ก็ถูกไล่ออกโดยไม่รู้เหนือรู้ใต้ เน้ยมันอุตส่าห์ไม่รับงานที่อื่นเพื่อมาทำงานที่นี่มาให้ออกแบบนี้ก็คว้างเหมือนกัน”
กุ้ยเตียงฟังเจตนาพี่สะใภ้ออก แต่หล่อนฟังนิ่ง ๆ ปล่อยให้หลีมุ่ยตะล่อมอยู่พักหนึ่งจนท้อใจ หล่อนจึงหยิบซองแดงส่งให้
“ค่าตกใจ จะได้ไม่ไปพูดที่ไหนว่าคนลานมะเกลือแล้งน้ำใจ”
หลีมุ่ยบีบซองดูเห็นว่าหนาไม่น้อยก็ยิ้มพอใจ เงินนี่หล่อนจะส่งต่ออีกฝ่ายเท่าไหร่ก็ได้ นอกจากกุ้ยเตียงแล้วใครมันจะรู้ อันที่จริงเป็นเพราะหล่อนเรียกร้องให้ หักเงินขึ้นมาหลายส่วนหน่อยจะเป็นไร เน้ยมันได้เงินน้อยลงก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลยจริงไหม
คิดแล้วหญิงสาวรับซองเงินใส่กระเป๋า ปากยังเตือนว่า
“ยังไงลื้อก็ต้องระวังนะอาเตียง ไม่มีผู้หญิงที่ไหนใสซื่อจริง ๆ หรอก ตอนแรกมันก็หงิม ๆ พอรับเข้าบ้านลายมันออก ลื้อจะเดือดร้อน”
“อั๊วก็เห็นอยู่” กุ้ยเตียงตอบยิ้ม ๆ
พี่สะใภ้ร้อนตัวแต่ไม่กล้าซักไซ้ให้เข้าเนื้อ รีบเอ่ยปากลา
ออกจากลานมะเกลือ หลีมุ่ยแอบไปส่องซิ่วเฮียงที่โรงงาน หล่อนมีคนรู้จักเคยเป็นคนขายเสื้อที่ร้านในโบ๊เบ๊ แต่พอดีมีฝีมือปักและพูดติดอ่างไม่ชอบรับแขกค้าขายหญิงสาวเลยฝากเข้ามาทำงานที่นี่ ดังนั้นจึงมีคนช่วยชี้ตัวซิ่วเฮียงได้ง่าย
และแม้จะมีอคติเพราะไม่ได้ผลดังใจหวัง แต่หลีมุ่ยต้องยอมรับว่าหน้าตาท่าทางแม่ม่ายวัยเยาว์รายนี้ดูซื่อ ๆ ไม่มีจริต ทว่าผู้หญิงมีผัวแล้วแถมยังเลิกรากับผัวมีหรือจะยังคงความใสซื่อเหมือนสาวแรกรุ่นทั่วไปได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งเชื่อว่าแม่สาวน้อยคนนี้กำลังแสร้งทำเป็นใสซื่อบริสุทธิ์แน่ แต่ที่หล่อนแปลกใจคือแม่ม่ายคนนี้หน้าตาแค่นับว่าเกลี้ยงเกลาหมดจด อย่าว่าแต่เทียบกับกุ้ยเตียงเลย กับเน้ยก็สวยสู้ไม่ได้ ไม่รู้เถ้าแก่ส่วงถูกใจอะไรตรงไหน
ดังนั้นเมื่อกลับบ้านหล่อนก็พูดกับสามีว่า
“น้องเขยลื้อประหลาดคนแท้ ผู้หญิงหน้าตาดี ๆ อย่างเน้ยไม่ชอบ ดันไปถูกใจแม่ม่ายหน้าตาธรรมดา เอ…หรือว่านังเด็กแม่ม่ายคนนี้มันทำของ ทั้งผัวทั้งเมียถึงได้เห็นดีงามตามกันไปหมด ยังไงลื้อเตือน ๆ อาเตียงหน่อยนะ อย่าประมาทเดี๋ยวจะเจ็บหนักเพราะแม่ม่ายหน้าซื่อแบบนี้”
บุ่งทงไม่ใช่คนคิดอะไรมาก แต่มีข้อเสียคือเชื่อเมียมาก หลีมุ่ยบอกอะไรเขาก็คล้อยตามโดยง่าย
ดังนั้นซิ่วเฮียงที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรจึงถูกหมายหัวว่าเป็นแม่ม่ายเจ้าเล่ห์ไม่น่าไว้ใจไปโดยปริยาย แถมพ่อแม่พี่น้องกุ้ยเตียงยังเชื่อฝังหัวแบบนี้ไปอีกหลายปีทีเดียว
หลังจากเกิดเรื่องเน้ยไม่ได้ติดต่อกับใครในลานมะเกลือ คนในลานมะเกลือก็แทบจะไม่มีใครเอ่ยถึงหญิงสาวรายนั้นอีก ส่วนเถ้าแก่ที่ยุ่งกับการเปิดโรงงานใหม่จนไม่เห็นหน้าค่าตาอยู่หลายเดือนก็กลับมาเข้าออกลานมะเกลือเหมือนดังเคย แถมยังแวะเวียนมาสอดส่องดูงานที่ห้องเย็บปักบ่อย ๆ
บรรดาคนงานแอบซุบซิบกันคิกคัก แต่ซิ่วเฮียงยังตั้งหน้าตั้งตาทำงานโดยไม่สนใจใครที่โผล่หน้ามาดูทุกบ่อยหรือเสียงนกเสียงการอบตัว กระทั่งเง็กซิมเองก็ยังไม่เย็นเท่าลูกสาวบุญธรรม หลังจากดูทีท่ามาหลายวันก็อดถามไม่ได้ว่า
“เฮียงเอ๊ย…เรื่องเถ้าแก่เฮียง…อีแสดงชัดแบบนี้เทียวไล้เทียวขื่อหน้าห้องเย็บปักจนคนเขารู้กันทั่ว ลื้อคิดยังไง เถ้าแก่อีเป็นคนดี เฮียงสนใจอีหรือเปล่า”
ถ้าไม่สนใจคงแปลก เถ้าแก่ส่วงหน้าตาดี อาจจะไม่ได้หล่อคมคายเหมือนพนม แต่ชายหนุ่มมีความภูมิฐาน ความสุขุมหนักแน่นอย่างที่พนมไม่มี ส่วงมีฐานะมั่นคง มีอำนาจเหนือทุกคนในโรงงาน ที่สำคัญเขาสุภาพอ่อนโยน ซิ่วเฮียงมีหัวใจมีเลือดเนื้อมีหรือจะไม่หวั่นไหว เพียงแค่หล่อนรู้จักประมาณตน
“เถ้าแก่ดีจ้ะ แต่เฮียงเป็นแค่ม่ายลูกติด หน้าตาธรรมดาแถมยังไม่มีความรู้ ไม่เหมาะหรอกจ้ะ”
เง็กซิมฟังแล้วส่ายหน้า
“เฮียงเอ๊ย ใครจะดูถูกลื้อก็ช่าง แต่ห้าม…ห้ามดูถูกตัวเองเด็ดขาด คนทุกคนมีดีในตัวเองทั้งนั้น บางเรื่องด้อยบางเรื่องก็ต้องเด่น สวรรค์ไม่ลำเอียงหรอก มันอยู่ที่ตัวเราเองที่จะรู้จักใช้ข้อเด่นข่มข้อด้อยตัวเองยังไง ลื้อเป็นอย่างนี้มีดีของลื้อ เป็นเด็กดีมีน้ำใจ ขยันขันแข็ง แถมยังสดชื่น ใครอยู่ใกล้ลื้อเหมือนอยู่ใกล้ลมฤดูใบไม้ผลิ อุ่นสบาย ใคร ๆ ก็ชอบ”
ซิ่วเฮียงหัวเราะกอดแม่บุญธรรมของหล่อนไว้ ออดอ้อนว่า
“คงมีแต่เง็กซิ่มเท่านั้นแหละจ้ะที่คิดแบบนี้ ถ้าเฮียงดีจริงจะต้องกลายเป็นผู้หญิงผัวทิ้งแบบวันนี้หรือ”
“ผัวเก่าลื้อโง่ บ้านนั้นก็โง่ ฮวนนั้งโง่ ๆ ไม่รู้ว่าได้ไข่มุกไป คิดว่าเป็นตาปลา เง็กซิมเชื่อว่าบ้านนั้นไม่มีทางเจริญ”
“ก็ไม่แน่นะจ๊ะ เมียใหม่เขาเป็นเจ้าของร้านทอง เขาอาจจะเจริญก้าวหน้าก็ได้”
“คนจะเป็นเถ้าแก่ร้านทองคงไม่โง่ อาจจะตาบอดไปชั่วครั้งชั่วคราวแบบลื้อ แต่ไม่โง่แน่ เง็กซิมว่าไม่ได้แต่งแน่ แต่จะแต่งหรือไม่แต่งเฮียงไม่ต้องไปสนใจ คนเราไม่มองลงต่ำ ก้าวออกมาแล้วไม่หันกลับไป”
“จ้ะ เฮียงไม่กลับ มองก็ไม่มอง”
“ไม่มองก็ดี แต่อย่าเฉไฉ เรื่องเถ้าแก่ลื้อคิดยังไง”
ซิ่วเฮียงส่ายหน้า บอกตามตรงว่า
“เฮียงยังไม่อยากคิดอะไรตอนนี้ หาญอายุยังไม่ครบขวบเลย เฮียงยังไม่คิดจะหาเตี่ยใหม่ให้หาญตอนนี้ ส่วนเรื่องเถ้าแก่…เฮียงตั้งใจว่าตอนหยุดปีใหม่…” หล่อนหมายถึงช่วงตรุษจีนที่โรงงานปิดหลายวัน “เฮียงจะกลับไปดูว่าพอมีงานอะไรทำแถวนั้นได้บ้างหรือเปล่า เงินอาจจะน้อยกว่าที่นี่แต่ก็ได้อยู่ใกล้เตี่ยกับม้าและหาญ”
แม้จะไม่เห็นด้วย แต่เง็กซิมก็ไม่ขัด เพียงแค่เตือนว่า
“เฮียงอย่าเพิ่งแจ้งเลิกทำงานกับไต้จงนะ ของแบบนี้อะไร ๆ มันก็ไม่แน่ อย่าได้ตัดหนทางตัวเองล่วงหน้า”
“จ้ะ เง็กซิ่ม” ซิ่วเฮียงรับคำ
เมื่อโรงงานปิดช่วงปีใหม่ ซิ่วเฮียงก็หอบข้าวของมากมายกลับบ้าน มีคนงานในลานมะเกลือรู้จักกับคนที่ท่าเรือ พอมีเรือที่ขึ้นล่องจากสิงคโปร์เทียบท่าก็จะมีผลไม้กระป๋องกับของแห้งมาขายในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาดเล็กน้อย หญิงสาวเลยซื้อลิ้นจี่กระป๋องสองกระป๋อง แปะก๊วย และเห็ดหอมแห้งกลับบ้าน
ของเหล่านี้รวมถึงผลไม้สดอย่างแอปเปิ้ลหรือสาลี่ถือว่าเป็นของมีราคา ซิ่วเฮียงเสียเงินไปไม่น้อยแต่ไม่นึกเสียดาย ภูมิใจเสียด้วยซ้ำที่มีของดี ๆ ไปฝากเตี่ยกับม้า
นอกจากนี้ยังมีกางเกงผ้าแพรปังลิ้นสองตัวกับเสื้อแบบป้ายข้างของเซียมลั้ง
ส่วนของหาญหญิงสาวซื้อกระปุกออมสินหมูสีแดงสดใสให้
ซิ่วเฮียงหิ้วของฝากกลับสุพรรณจนตัวเอียง แต่หน้าตาสดใสเป็นอันมาก หญิงสาวเสียดายอยู่อย่างที่เง็กซิมไม่ได้ตามหล่อนไปสุพรรณด้วย แม่บุญธรรมของหล่อนบอกว่าอยากไปเยี่ยมเพื่อนที่มาจากหมู่บ้านเดียวกัน และขอพักสบาย ๆ ไม่อยากเดินทาง
หญิงสาวไม่เซ้าซี้ หล่อนไม่กลัวหลง ไปขึ้นรถไฟที่สถานีหัวลำโพงแล้วต่อเรือกลับบ้านได้
ซิ่วเฮียงมาถึงบ้านช่วงเย็น แม้จะเหนื่อยกับการเดินทางแต่ใบหน้ามีแต่รอยยิ้ม เมื่อคิดว่าจะได้กอดลูกชายรอยยิ้มก็ยิ่งเปิดกว้างมากขึ้น
“ม้า เฮียงกลับมาแล้วจ้า” หล่อนร้องบอกเสียงดังเมื่อเปิดประตูบ้านเข้าไป
เซียมลั้งได้ยินเสียงลูกสาวคนโตก็รีบลงมาจากชั้บน ซิ่วเฮียงยังยิ้มกว้างจนตายิบหยีอยู่ แต่พอเห็นหน้ามารดาถนัดตาหล่อนก็ตกใจ
ไม่ได้เจอหน้ากันไม่กี่เดือนม้าของหล่อนผอมลงไปถนัดตา ผมเหมือนหงอกขาวมากขึ้นโดยเฉพาะบริเวณสองข้างขมับ ตาแดงเรื่อน้ำตาคลอด้วยความยินดี
“กลับมาแล้วหรือเฮียง…”
“ม้า เกิดอะไรขึ้น ทำไมม้าผอมลงขนาดนี้”
“ขึ้นบ้านก่อนเถอะ แล้วค่อยคุยกัน” เซียมลั้งช่วยลูกสาวหิ้วถุงผ้าและกระเป๋าเข้าไปในบ้าน ซิ่วเฮียงลังเลถามว่า
“ม้า เตี่ยหายโกรธเฮียงหรือยัง”
เซียมลั้งก้มหน้าเดินพลางพึมพำว่า
“ตอนนี้จะมีปัญญาโกรธอะไรได้ ขึ้นมาเถอะ ตอนนี้อยู่ในบ้านกันทุกคนแหละ เฮียงมาก็ดีแล้ว”
ซิ่วเฮียงไม่ถามอะไรมาก รีบสาวเท้าตามมารดาไปอย่างกังวล
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 30 : ฟ้าถล่ม
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 29 : ลูกชายลูกชาย
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 28 : ไม่มีอะไรแน่นอน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 27 : เด็กน้อยของซิ่วเฮียง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 26 : สันดานคนยากจะเปลี่ยน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 25: รถจี๊ปสีเขียว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 24 : หวังดีเกินไป รักเกินไป
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 23 : เรื่องที่เข้ากันได้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 22 : หยี่แจ้ โอ่ยแจ้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 21 : แต่งงาน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 20 : สู่ขอ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 19 : ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 18 : เห็นขี้ดีกว่าไส้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 17 : กระต่ายก็กัดเป็น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 16 : เลิกกับผัวแล้ว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 15 : ปุ๋ยดีไม่ควรปล่อยให้ไหลลงนาผู้อื่น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 14 : ลานมะเกลือ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 13 : ศาลองค์แป๊ะกง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 12 : เข้ากรุง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 11 : ส้วมที่แตกแล้ว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 10 : บ้าน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 9 : หันหลังกลับ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 8 : พยอม
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 7 : หมดสิ้น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 6 : หาญ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 5 : วาสนา
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 4 : ดอกไม้ผ้า
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 3 : ตุ้มหูทอง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 2 : แม่ผัว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 1 : ซิ่วเฮียง