แก่นไม้หอม บทที่ 18 : เห็นขี้ดีกว่าไส้

แก่นไม้หอม บทที่ 18 : เห็นขี้ดีกว่าไส้

โดย : กิ่งฉัตร

แก่นไม้หอม นวนิยายออนไลน์ โดย กิ่งฉัตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ กับเรื่องราวที่จะทำให้คุณได้รู้ว่าผู้หญิงเป็นเมียและแม่ไม่ต่างจากแก่นไม้ที่แข็งแกร่ง มั่นคงและทรหดที่ยึดให้ใบได้แผ่กว้าง และหากโลกนี้เชื่อว่าผู้ชายเป็นใหญ่ แต่จริงๆ แล้วทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นหยินที่โอบหยางทั้งสิ้น

เน้ยออกจากลานมะเกลือไปแล้วไม่ได้ย้อนกลับมาอีก  บรรดาเพื่อนฝูงที่เคยล้อมหน้าล้อมหลังก็ก้มหน้าก้มตาทำงานง่วนเหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้น  จะมีก็เพียงเต็กที่รู้ข่าวแล้วแอบมาส่องหน้าห้องเย็บปักด้วยความกังวล  เหง็กลั้งเห็นเข้าก็หัวเสียไม่น้อยต้องตามมาไล่ลูกชายให้กลับลงไปทำงาน  ปากบ่นว่าชายหนุ่มนั้นตาแชแหมคงจะทำให้หล่อนกระอักเลือดตายสักวัน

ซิ่วเฮียงรอถึงเย็นก็ไม่มีใครมาตามไปบ้านลานมะเกลือ  ตอนเช้าหญิงสาวจึงหิ้วตะกร้าของสดไปรอตามเวลานัด  คนงานในบ้านเปิดประตูรับเป็นปกติเพียงแต่คนงานที่ไม่ใช่อาจือรายนี้มองซิ่วเฮียงด้วยความสนใจอย่างเห็นได้ชัดเท่านั้น

หญิงสาวไม่สนใจอะไร  เข้าครัวหุงข้าวต้มหม้อใหญ่  กับข้าวหล่อนเตรียมทำไข่เจียวหมูสับปลาหมึกแห้ง  ผัดหอยกะพงใบโหระพากับผัดผักง่าย ๆ อีกอย่าง  ส่วนยำเกี้ยมฉ่ายนั้น…ฝันไปเถอะ  ไม่ทำมันแล้ว

คนงานในบ้านถามซิ่วเฮียงว่าจะให้ช่วยอะไรไหม  หญิงสาวตอบว่าทำเองคนเดียวได้เพราะเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว  ฝ่ายนั้นจึงออกจากครัวไป  เมื่ออยู่ตามลำพังหล่อนก็ตั้งหน้าตั้งตาทำอาหารมือไม้เป็นระวิง  ตอนที่กำลังตักไข่เจียวหนานุ่มใส่จาน  หันกลับไปวางจานบนโต๊ะถึงได้เห็นเงาร่างสูงตรงช่องประตู

ซิ่วเฮียงสะดุ้งตกใจ  แต่ยังดีรีบวางจานลง  ไข่เจียวร้อน ๆ เลยรอดไปไม่ต้องร่วงลงกองกับพื้น

“ขอโทษที่ทำให้ตกใจ”

“ไม่เป็นไรจ้ะ…เถ้าแก่”

ส่วงพยักหน้านิดหนึ่ง  ท่าทางเขาสุภาพเหมือนเคย  แต่สีหน้าเหมือนขัดเขินเล็กน้อย

“อั๊วรู้เรื่องที่ลานมะเกลือแล้ว  ขอโทษที่ทำให้อาหมวยเดือดร้อน  อั๊วไม่คิดว่าเน้ยจะเลื่อนเปื้อนได้ถึงขนาดนี้”

ซิ่วเฮียงคิดถึงเรื่องเมื่อวานแล้วหน้าแดงร้อนขึ้นด้วยความอาย  ใช่แค่เน้ยเลื่อนเปื้อนคนเดียว  หล่อนก็ด่ากลับไปอย่างไม่ไว้หน้าเหมือนกัน  ตอนนี้คนทั้งลานมะเกลือคงพูดกันทั่วแล้วว่าซิ่วเฮียงเป็นหญิงปากร้าย

แต่ช่างเถอะ  จะปากร้ายหรือปากดีก็เป็นเรื่องของหล่อน  ไม่เกี่ยวกับใครสักหน่อย

“ฉันคุยกับเน้ยแล้วจ้ะ”  ซิ่วเฮียงตอบ  หล่อนไม่ถนัดใช้อั๊วแทนตัว  ติดใช้ฉันมาแต่ไหนแต่ไร  ถ้าไม่เรียกตัวเองว่าเฮียงก็ใช้ฉันจนชิน  พอโกรธจัดก็ขึ้นกูทันที  นิสัยเสียนี้พยายามแก้หลายครั้งแต่แก้ไม่หาย  ติดตัวหล่อนไปจนแก่เฒ่า  โชคดีที่น้อยครั้งคนอารมณ์ดีใจเย็นอย่างหล่อนจะ ‘ของขึ้น’ สักที  “ทำความเข้าใจกันแล้วว่าเน้ยคงจะเข้าใจผิด”

ส่วงกระแอมเบา ๆ เหมือนจะเอ่ยอะไร  แต่แล้วกลับเปลี่ยนใจพูดขึ้นว่า

“ถึงอย่างนั้นอั๊วก็ยังเสียใจที่ทำให้อาหมวยเดือดร้อน”

“ไม่เป็นไรจ้ะ…”  ซิ่วเฮียงเอ่ยคำเดิม  ในใจนึกว่าต่อให้โดนด่ามากกว่านี้ก็ต้องบอกว่าไม่เป็นไร  ใครใช้ให้เขาเป็นเถ้าแก่  เป็นเจ้านายของหล่อนกันล่ะ  ทุกวันทำงานให้เขารับเงินค่าแรงจากโรงงานของเขา  จะชี้หน้าบอกว่าเพราะลื้อแท้ ๆ ทำให้อั๊วถูกด่า…ได้ยังไงกัน

เถ้าแก่หนุ่มฟังแล้วมุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้ม  เขาว่า

“ปากพูดอย่างแต่สายตาพูดอย่าง”

หญิงสาวตกใจ  รีบบอกว่า

“ไม่จริงนะจ๊ะ  ฉันไม่เดือดร้อนจริง ๆ  สิ่งที่เน้ยพูดไม่ใช่ความจริง  ฉันไม่ได้ทำ ทำไมฉันต้องเดือดร้อนด้วยล่ะจ๊ะ”

“นั่นก็จริง”  ชายหนุ่มยอมรับ  ผู้หญิงคนนี้เหมือนมีอะไรให้เขาทึ่งอยู่เรื่อย ๆ  จากที่สะดุดตาความใสซื่อของเจ้าหล่อน  ตอนนี้เขารู้แล้วว่าแม้จะดูซื่อ ๆ แต่ความคิดความอ่านของหล่อนไม่เลวเลย  ซิ่วเฮียงทำให้เขาสนใจตั้งแต่แรกและสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวัน  “แต่ถึงอย่างนั้น  อั๊วก็ยังเสียใจที่ไม่ได้บอกอาหมวยก่อนว่าอั๊วเป็นใคร ไม่ได้อยากแก้ตัวแต่อั๊วไม่มีเจตนาหลอกลื้อเล่น หรือคิดเล่นสนุกอะไร แค่กลัวว่าถ้าบอกว่าอั๊วคือใคร ลื้อจะอึดอัด อั๊วกลัวลื้อจะอาย”

“แล้วมารู้ทีหลังฉันจะไม่อายมากขึ้นกว่าเดิมหรือจ๊ะ” ซิ่วเฮียงถามตรง ๆ ถ้าเขาบอกว่าอั๊วคือเถ้าแก่ลานมะเกลือตั้งแต่แรกหล่อนอาจจะขัดเขินเล็กน้อย แต่มารู้จากข้อกล่าวหาของเน้ยแบบนี้ คำว่าอายถือว่าน้อยไป เรียกว่าทั้งโกรธทั้งอายก็ว่าได้

แต่เพราะเขาคือเถ้าแก่และหล่อนคือคนงานในโรงงานของเขา จะเคืองจะอายเพียงใดก็ต้องกดมันลงไป จะตอบโต้อะไรก็ต้องยิ้มแย้มแจ่มใส เพียงแต่อะไรที่ถามก็ต้องถาม

ส่วงยิ้มเจื่อน พยักหน้ารับความผิดของตัวเอง

“อั๊วคิดน้อยเกินไปจริง ๆ หวังว่าอาหมวยคงไม่โกรธ”

ถ้าซิ่วเฮียงมีจริตมากกว่านี้ หล่อนคงค้อนควักแล้วถามว่าใครจะกล้าโกรธอู่ข้าวอู่น้ำของตนกัน แต่หญิงสาวตรงจนเอ่ยว่า

“อยากโกรธจ้ะ แต่โกรธไม่ได้ คุณเป็นเถ้าแก่ ฉันยังไม่อยากตกงาน”

เถ้าแก่หัวเราะเบา ๆ กับความซื่อตรงนั้น ก่อนตอบกลับไปว่า

“อาหมวยไม่ได้ทำอะไรผิดจะตกงานได้ยังไง อั๊วสิที่ผิดต่อลื้อ เอาเป็นว่าไม่ต้องห่วงนะ อั๊วจะไม่ให้เน้ยหรือคนอื่นสร้างปัญหาให้ลื้ออีก”

“ฉันบอกเน้ยแล้ว ถ้าเขายังเข้าใจอะไรผิดก็เป็นเรื่องของเขา เถ้าแก่ไม่ต้องใส่ใจหรอกจ้ะ”

“คงไม่ต้องใส่ใจไม่ได้หรอก  เพราะไม่ใช่แค่ลื้อ แต่อั๊วก็กล่าวหาอย่างผิด ๆ เหมือนกัน”  ดวงตาชายหนุ่มฉายแววเย็นชาขึ้นวูบหนึ่ง  ก่อนเปลี่ยนเป็นอบอุ่นตามปกติเมื่อเอ่ยเสริมว่า  “ลื้อไม่ต้องห่วง  ยังไงอั๊วก็ต้องจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย”

ไม่รู้ทำไมวูบหนึ่งซิ่วเฮียงรู้สึกสงสารเน้ยขึ้นมา  แต่ความรู้สึกก็เหมือนสายลมพัดมาวูบหนึ่งแล้วหายไป  หล่อนกับผู้หญิงคนนั้นต่างคนต่างอยู่ไม่ข้องเกี่ยวกันเป็นดีที่สุดแล้ว

“ตามแต่เถ้าแก่เถอะจ้ะ”  หญิงสาวบอกเหมือนประกาศว่าเรื่องนี้หล่อนจะไม่ขอยุ่ง  กับเน้ยหล่อนจบแล้ว  ด่าจบก็จบกัน

ในครัวมีความเงียบเข้าปกคลุมอยู่ครู่  ซิ่วเฮียงรอนึกว่าเขามาบอกแล้วจะไป  แต่ชายหนุ่มก็ยังยืนเฉยอยู่  หญิงสาวอยากจะถอนใจแต่ไม่กล้า  ทว่าสุดท้ายตัดสินใจเอ่ยว่า

“เถ้าแก่จ๊ะ”

“หืม…”

“เดี๋ยวฉันจะผัดหอยกะพง”

“ดี  อั๊วชอบหอยกะพง”

ซิ่วเฮียงฝืนไว้ไม่ให้ถอนใจออกมาอย่างยากลำบาก

“หอยผัดน้ำมันไฟแรง  น้ำมันจะฟุ้งกลิ่นแรงเกรงว่าจะติดเสื้อผ้าเถ้าแก่จ้ะ”

“อ้อ”  เขาเพิ่งรู้ตัวว่าถูกไล่  ทำได้เพียงพยักหน้าแล้วบอกว่า  “เดี๋ยวฉันจะรอกินแล้วกัน”

ส่วงเดินกลับไปที่ห้องอาหาร  กุ้ยเตียงที่นั่งคุยกับลูกสองคนอยู่เงียบหน้าขึ้นมองแล้วยิ้ม ๆ อย่างรู้เท่าทัน   ชายหนุ่มยิ้มขัดเขินเล็กน้อยแต่นั่งลงร่วมโต๊ะกับภรรยาและลูก ๆ โดยไม่เอ่ยอะไร  ครู่หนึ่งคนงานสองคนก็ช่วยกันยกอาหารขึ้นตั้งโต๊ะ  ซื้อไท่กินข้าวเองได้แล้วแต่ซื้อย้งยังต้องมีคนคอยดูแลอยู่  ทว่าเด็กน้อยก็กินข้าวต้มกับไข่เจียวได้อย่างเอร็ดอร่อย

อิ่มหนำล้างปากเรียบร้อย  อาจือก็พาเด็กน้อยทั้งสองไปส่งโรงเรียน  ส่วงเองก็ต้องไปตลาดเพื่อพบปะเพื่อนฝูงก่อนเริ่มทำงาน  มีเพียงกุ้ยเตียงที่นั่งรออยู่  เมื่อคนงานที่เหลือพาซิ่วเฮียงมาพบหล่อนก็ส่งซองแดงให้

“ขอบใจมาก  ฝีมือทำกับข้าวลื้อดีจริง ๆ เถ้าแก่กับเด็ก ๆ ชอบมาก”

น้ำเสียงที่เอ่ยเรียบ ๆ ไม่ได้แฝงนัยใด ๆ  ซิ่วเฮียงจึงยิ้มรับตามธรรมชาติของหล่อน  ตอบเพียงง่าย ๆ ว่า

“ขอบใจจ้ะเถ้าแก่เนี้ย”

หญิงสาวไม่ใช่คนช่างเซ้าซี้มากความ  เรื่องที่เกิดขึ้นถ้ากุ้ยเตียงไม่ถามไม่ซักหล่อนก็ไม่เอ่ยถึง  รับซองแดงมายิ้มแย้มแจ่มใสแล้วก็กลับห้องเช่า  อาบน้ำพอให้ไม่มีกลิ่นน้ำมันกับผัดหอยติดตัวก็พร้อมไปทำงานต่อ

ซิ่วเฮียงไปทำงานตามปกติแต่เน้ยไม่ได้กลับมาลานมะเกลือ  หลงจู๊ฮุ้งเรียกไต้จงไปคัดชื่อเน้ยออกจากการเป็นช่างปัก  เช่นเคยที่บรรดาเพื่อนช่างที่เคยล้อมหน้าล้อมหลังหญิงสาวรายนั้นพากันปิดปากเงียบตั้งหน้าตั้งตาทำงาน  เต็กอยากจะโวยวายว่าเน้ยไม่ได้ทำอะไรผิดแต่ถูกเหง็กลั้งหยิกจนเอวเขียวไปหมด

อีกคนที่โวยวายคือหลีมุ่ย  เน้ยไปร้องห่มร้องไห้อาละวาดใส่หล่อน  หลีมุ่ยก็แล่นมาหาน้องสาวสามีกล่าวหาว่ากุ้ยเตียงนั้น ‘เห็นขี้ดีกว่าไส้’ ทั้งตัดพ้อต่อว่าทั้งข่มขู่ว่าหญิงสาวจะต้องเสียใจที่เลือกนังแม่ม่ายแทนญาติพี่น้อง

กุ้ยเตียงที่เยือกเย็นมาตลอดหน้าแดงเรื่อขึ้นด้วยความไม่พอใจ  หล่อนไม่รอให้อีกฝ่ายโวยวายจนจบเหมือนทุกครั้ง  แต่เอ่ยขัดอย่างเย็นชาว่า

“ซ้อคิดว่าตอนนี้อั๊วไม่เสียใจหรือ  คิดว่าอั๊วมีความสุขหรือที่ใครต่อใครพยายามยัดเยียดผู้หญิงอีกคนให้ผัวอั๊ว  ถ้าซ้อว่าเน้ยดีอย่างนั้นอย่างนี้จะมาช่วยงานอั๊วช่วยงานอาส่วง  ซ้อก็รับเน้ยให้เฮียสิฉันจะช่วยสนับสนุนเอง  ซ้อจะได้มีญาติสนิทที่ไว้ใจได้ช่วยดูแลผัวดูแลลูกซ้อไง”

หลีมุ่ยที่ถือตัวว่าเป็นพี่สะใภ้คนโตแม้จะไม่ถึงกับวางอำนาจใส่น้องสามีแต่ก็มักแสดงท่าทีว่าเหนือกว่าในฐานะพี่สะใภ้อยู่ในทีถึงกับอ้าปากพะงาบ ๆ

“ลองไหมซ้อ  ถ้าไม่ชอบเน้ยเดี๋ยวอั๊วหาคนอื่นให้”

“ไม่  ไม่ต้อง  ร้านผ้าที่บ้านไม่ได้ใหญ่โตเหมือนโรงงานพวกลื้อ  เอาคนมาทำไม…”

“ถ้าบ้านตัวเองไม่ต้องการ  ซ้อก็ไม่ต้องช่วยหาคนให้อั๊ว”

“ซ้อหวังดีกับลื้อนะ”  หลีมุ่ยเสียงอ่อน  “ยังไงก็คนในครอบครัวเดียวกัน”

“อั๊วรู้”  กุ้ยเตียงยังคงต้องไว้หน้าอีกฝ่ายบ้าง  จึงไม่ตัดขาดเสียทีเดียว  “แต่เรื่องนี้มันไม่ขึ้นกับอั๊ว  อาส่วงเขาชอบเด็กนั่น  เห็นว่าทำงานเก่ง  ดูซื่อ ๆ จริงใจ”

“ไอ้หยา  อย่างนี้ไม่ดีแล้ว  ถ้าผัวลื้อออกปากว่าชอบ  ต่อไปมิยกแม่นี่ขึ้นมาเท่าเทียมกับลื้อหรือ  แล้วที่ว่าซื่อ ๆ มันแสดงละครหรือเปล่า  คนเคยมีผัวแถมเป็นม่าย  มีหรือจะยังใสซื่ออยู่อีก  เสแสร้งล่ะไม่ว่า  ลื้อห้ามอาส่วงเถอะ  คนนี้อย่าเอา”

“เขาชอบของเขาอั๊วจะไปห้ามได้ยังไง  อีกอย่างอาส่วงดูคนเก่ง  ดูออกว่าผู้หญิงคนไหนเสแสร้งคนไหนดีจริง  อาส่วงรักลูก  คงไม่หาผู้หญิงที่จะสร้างปัญหาให้อั๊วให้ลูกเขาแน่  เขาเลือกคนนี้ก็คงมั่นใจแล้วว่าดีจริง  อั๊วเองก็เห็นด้วยกับอาส่วง  ซิ่วเฮียงคนนี้ตรงไปตรงมา  ไม่เหลี่ยมจัดเหมือนรายอื่นที่คนนั้นคนนี้พากันเสนอเข้ามา”

หลีมุ่ยฟังแล้วร้อนตัวเพราะน้องสามีพูดพร้อมกับมองหล่อนด้วยสีหน้ายิ้มเหมือนไม่ได้ยิ้ม  แต่ทำได้แค่ไม่รู้ไม่ชี้  บ่นว่า

“ถึงงั้นก็เถอะ เตียงก็ไม่น่าไล่เน้ยจากโรงงานแบบนั้น ให้เสมียนไปบอกว่าห้ามเหยียบเข้าลานมะเกลืออีก เด็กมันทั้งอายทั้งเสียใจ จู่ ๆ ก็ถูกไล่ออกโดยไม่รู้เหนือรู้ใต้ เน้ยมันอุตส่าห์ไม่รับงานที่อื่นเพื่อมาทำงานที่นี่มาให้ออกแบบนี้ก็คว้างเหมือนกัน”

กุ้ยเตียงฟังเจตนาพี่สะใภ้ออก แต่หล่อนฟังนิ่ง ๆ ปล่อยให้หลีมุ่ยตะล่อมอยู่พักหนึ่งจนท้อใจ หล่อนจึงหยิบซองแดงส่งให้

“ค่าตกใจ  จะได้ไม่ไปพูดที่ไหนว่าคนลานมะเกลือแล้งน้ำใจ”

หลีมุ่ยบีบซองดูเห็นว่าหนาไม่น้อยก็ยิ้มพอใจ เงินนี่หล่อนจะส่งต่ออีกฝ่ายเท่าไหร่ก็ได้  นอกจากกุ้ยเตียงแล้วใครมันจะรู้ อันที่จริงเป็นเพราะหล่อนเรียกร้องให้  หักเงินขึ้นมาหลายส่วนหน่อยจะเป็นไร เน้ยมันได้เงินน้อยลงก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลยจริงไหม

คิดแล้วหญิงสาวรับซองเงินใส่กระเป๋า  ปากยังเตือนว่า

“ยังไงลื้อก็ต้องระวังนะอาเตียง  ไม่มีผู้หญิงที่ไหนใสซื่อจริง ๆ หรอก  ตอนแรกมันก็หงิม ๆ พอรับเข้าบ้านลายมันออก  ลื้อจะเดือดร้อน”

“อั๊วก็เห็นอยู่”  กุ้ยเตียงตอบยิ้ม ๆ

พี่สะใภ้ร้อนตัวแต่ไม่กล้าซักไซ้ให้เข้าเนื้อ  รีบเอ่ยปากลา

ออกจากลานมะเกลือ  หลีมุ่ยแอบไปส่องซิ่วเฮียงที่โรงงาน  หล่อนมีคนรู้จักเคยเป็นคนขายเสื้อที่ร้านในโบ๊เบ๊  แต่พอดีมีฝีมือปักและพูดติดอ่างไม่ชอบรับแขกค้าขายหญิงสาวเลยฝากเข้ามาทำงานที่นี่  ดังนั้นจึงมีคนช่วยชี้ตัวซิ่วเฮียงได้ง่าย

และแม้จะมีอคติเพราะไม่ได้ผลดังใจหวัง  แต่หลีมุ่ยต้องยอมรับว่าหน้าตาท่าทางแม่ม่ายวัยเยาว์รายนี้ดูซื่อ ๆ ไม่มีจริต  ทว่าผู้หญิงมีผัวแล้วแถมยังเลิกรากับผัวมีหรือจะยังคงความใสซื่อเหมือนสาวแรกรุ่นทั่วไปได้  ยิ่งคิดก็ยิ่งเชื่อว่าแม่สาวน้อยคนนี้กำลังแสร้งทำเป็นใสซื่อบริสุทธิ์แน่  แต่ที่หล่อนแปลกใจคือแม่ม่ายคนนี้หน้าตาแค่นับว่าเกลี้ยงเกลาหมดจด  อย่าว่าแต่เทียบกับกุ้ยเตียงเลย  กับเน้ยก็สวยสู้ไม่ได้  ไม่รู้เถ้าแก่ส่วงถูกใจอะไรตรงไหน

ดังนั้นเมื่อกลับบ้านหล่อนก็พูดกับสามีว่า

“น้องเขยลื้อประหลาดคนแท้ ผู้หญิงหน้าตาดี ๆ อย่างเน้ยไม่ชอบ ดันไปถูกใจแม่ม่ายหน้าตาธรรมดา  เอ…หรือว่านังเด็กแม่ม่ายคนนี้มันทำของ ทั้งผัวทั้งเมียถึงได้เห็นดีงามตามกันไปหมด ยังไงลื้อเตือน ๆ อาเตียงหน่อยนะ อย่าประมาทเดี๋ยวจะเจ็บหนักเพราะแม่ม่ายหน้าซื่อแบบนี้”

บุ่งทงไม่ใช่คนคิดอะไรมาก แต่มีข้อเสียคือเชื่อเมียมาก หลีมุ่ยบอกอะไรเขาก็คล้อยตามโดยง่าย

ดังนั้นซิ่วเฮียงที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรจึงถูกหมายหัวว่าเป็นแม่ม่ายเจ้าเล่ห์ไม่น่าไว้ใจไปโดยปริยาย  แถมพ่อแม่พี่น้องกุ้ยเตียงยังเชื่อฝังหัวแบบนี้ไปอีกหลายปีทีเดียว

หลังจากเกิดเรื่องเน้ยไม่ได้ติดต่อกับใครในลานมะเกลือ  คนในลานมะเกลือก็แทบจะไม่มีใครเอ่ยถึงหญิงสาวรายนั้นอีก  ส่วนเถ้าแก่ที่ยุ่งกับการเปิดโรงงานใหม่จนไม่เห็นหน้าค่าตาอยู่หลายเดือนก็กลับมาเข้าออกลานมะเกลือเหมือนดังเคย  แถมยังแวะเวียนมาสอดส่องดูงานที่ห้องเย็บปักบ่อย ๆ

บรรดาคนงานแอบซุบซิบกันคิกคัก  แต่ซิ่วเฮียงยังตั้งหน้าตั้งตาทำงานโดยไม่สนใจใครที่โผล่หน้ามาดูทุกบ่อยหรือเสียงนกเสียงการอบตัว  กระทั่งเง็กซิมเองก็ยังไม่เย็นเท่าลูกสาวบุญธรรม  หลังจากดูทีท่ามาหลายวันก็อดถามไม่ได้ว่า

“เฮียงเอ๊ย…เรื่องเถ้าแก่เฮียง…อีแสดงชัดแบบนี้เทียวไล้เทียวขื่อหน้าห้องเย็บปักจนคนเขารู้กันทั่ว  ลื้อคิดยังไง  เถ้าแก่อีเป็นคนดี  เฮียงสนใจอีหรือเปล่า”

ถ้าไม่สนใจคงแปลก  เถ้าแก่ส่วงหน้าตาดี  อาจจะไม่ได้หล่อคมคายเหมือนพนม  แต่ชายหนุ่มมีความภูมิฐาน  ความสุขุมหนักแน่นอย่างที่พนมไม่มี  ส่วงมีฐานะมั่นคง  มีอำนาจเหนือทุกคนในโรงงาน  ที่สำคัญเขาสุภาพอ่อนโยน  ซิ่วเฮียงมีหัวใจมีเลือดเนื้อมีหรือจะไม่หวั่นไหว  เพียงแค่หล่อนรู้จักประมาณตน

“เถ้าแก่ดีจ้ะ  แต่เฮียงเป็นแค่ม่ายลูกติด  หน้าตาธรรมดาแถมยังไม่มีความรู้  ไม่เหมาะหรอกจ้ะ”

เง็กซิมฟังแล้วส่ายหน้า

“เฮียงเอ๊ย  ใครจะดูถูกลื้อก็ช่าง  แต่ห้าม…ห้ามดูถูกตัวเองเด็ดขาด  คนทุกคนมีดีในตัวเองทั้งนั้น  บางเรื่องด้อยบางเรื่องก็ต้องเด่น  สวรรค์ไม่ลำเอียงหรอก  มันอยู่ที่ตัวเราเองที่จะรู้จักใช้ข้อเด่นข่มข้อด้อยตัวเองยังไง  ลื้อเป็นอย่างนี้มีดีของลื้อ  เป็นเด็กดีมีน้ำใจ  ขยันขันแข็ง  แถมยังสดชื่น  ใครอยู่ใกล้ลื้อเหมือนอยู่ใกล้ลมฤดูใบไม้ผลิ  อุ่นสบาย  ใคร ๆ ก็ชอบ”

ซิ่วเฮียงหัวเราะกอดแม่บุญธรรมของหล่อนไว้  ออดอ้อนว่า

“คงมีแต่เง็กซิ่มเท่านั้นแหละจ้ะที่คิดแบบนี้  ถ้าเฮียงดีจริงจะต้องกลายเป็นผู้หญิงผัวทิ้งแบบวันนี้หรือ”

“ผัวเก่าลื้อโง่  บ้านนั้นก็โง่  ฮวนนั้งโง่ ๆ ไม่รู้ว่าได้ไข่มุกไป  คิดว่าเป็นตาปลา  เง็กซิมเชื่อว่าบ้านนั้นไม่มีทางเจริญ”

“ก็ไม่แน่นะจ๊ะ  เมียใหม่เขาเป็นเจ้าของร้านทอง  เขาอาจจะเจริญก้าวหน้าก็ได้”

“คนจะเป็นเถ้าแก่ร้านทองคงไม่โง่  อาจจะตาบอดไปชั่วครั้งชั่วคราวแบบลื้อ  แต่ไม่โง่แน่  เง็กซิมว่าไม่ได้แต่งแน่  แต่จะแต่งหรือไม่แต่งเฮียงไม่ต้องไปสนใจ  คนเราไม่มองลงต่ำ  ก้าวออกมาแล้วไม่หันกลับไป”

“จ้ะ  เฮียงไม่กลับ  มองก็ไม่มอง”

“ไม่มองก็ดี  แต่อย่าเฉไฉ  เรื่องเถ้าแก่ลื้อคิดยังไง”

ซิ่วเฮียงส่ายหน้า  บอกตามตรงว่า

“เฮียงยังไม่อยากคิดอะไรตอนนี้  หาญอายุยังไม่ครบขวบเลย  เฮียงยังไม่คิดจะหาเตี่ยใหม่ให้หาญตอนนี้  ส่วนเรื่องเถ้าแก่…เฮียงตั้งใจว่าตอนหยุดปีใหม่…”  หล่อนหมายถึงช่วงตรุษจีนที่โรงงานปิดหลายวัน  “เฮียงจะกลับไปดูว่าพอมีงานอะไรทำแถวนั้นได้บ้างหรือเปล่า  เงินอาจจะน้อยกว่าที่นี่แต่ก็ได้อยู่ใกล้เตี่ยกับม้าและหาญ”

แม้จะไม่เห็นด้วย  แต่เง็กซิมก็ไม่ขัด  เพียงแค่เตือนว่า

“เฮียงอย่าเพิ่งแจ้งเลิกทำงานกับไต้จงนะ  ของแบบนี้อะไร ๆ มันก็ไม่แน่  อย่าได้ตัดหนทางตัวเองล่วงหน้า”

“จ้ะ  เง็กซิ่ม”  ซิ่วเฮียงรับคำ

เมื่อโรงงานปิดช่วงปีใหม่  ซิ่วเฮียงก็หอบข้าวของมากมายกลับบ้าน  มีคนงานในลานมะเกลือรู้จักกับคนที่ท่าเรือ  พอมีเรือที่ขึ้นล่องจากสิงคโปร์เทียบท่าก็จะมีผลไม้กระป๋องกับของแห้งมาขายในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาดเล็กน้อย  หญิงสาวเลยซื้อลิ้นจี่กระป๋องสองกระป๋อง  แปะก๊วย  และเห็ดหอมแห้งกลับบ้าน

ของเหล่านี้รวมถึงผลไม้สดอย่างแอปเปิ้ลหรือสาลี่ถือว่าเป็นของมีราคา  ซิ่วเฮียงเสียเงินไปไม่น้อยแต่ไม่นึกเสียดาย  ภูมิใจเสียด้วยซ้ำที่มีของดี ๆ ไปฝากเตี่ยกับม้า

นอกจากนี้ยังมีกางเกงผ้าแพรปังลิ้นสองตัวกับเสื้อแบบป้ายข้างของเซียมลั้ง

ส่วนของหาญหญิงสาวซื้อกระปุกออมสินหมูสีแดงสดใสให้

ซิ่วเฮียงหิ้วของฝากกลับสุพรรณจนตัวเอียง  แต่หน้าตาสดใสเป็นอันมาก  หญิงสาวเสียดายอยู่อย่างที่เง็กซิมไม่ได้ตามหล่อนไปสุพรรณด้วย  แม่บุญธรรมของหล่อนบอกว่าอยากไปเยี่ยมเพื่อนที่มาจากหมู่บ้านเดียวกัน  และขอพักสบาย ๆ ไม่อยากเดินทาง

หญิงสาวไม่เซ้าซี้  หล่อนไม่กลัวหลง  ไปขึ้นรถไฟที่สถานีหัวลำโพงแล้วต่อเรือกลับบ้านได้

ซิ่วเฮียงมาถึงบ้านช่วงเย็น  แม้จะเหนื่อยกับการเดินทางแต่ใบหน้ามีแต่รอยยิ้ม  เมื่อคิดว่าจะได้กอดลูกชายรอยยิ้มก็ยิ่งเปิดกว้างมากขึ้น

“ม้า เฮียงกลับมาแล้วจ้า”  หล่อนร้องบอกเสียงดังเมื่อเปิดประตูบ้านเข้าไป

เซียมลั้งได้ยินเสียงลูกสาวคนโตก็รีบลงมาจากชั้บน  ซิ่วเฮียงยังยิ้มกว้างจนตายิบหยีอยู่  แต่พอเห็นหน้ามารดาถนัดตาหล่อนก็ตกใจ

ไม่ได้เจอหน้ากันไม่กี่เดือนม้าของหล่อนผอมลงไปถนัดตา  ผมเหมือนหงอกขาวมากขึ้นโดยเฉพาะบริเวณสองข้างขมับ  ตาแดงเรื่อน้ำตาคลอด้วยความยินดี

“กลับมาแล้วหรือเฮียง…”

“ม้า  เกิดอะไรขึ้น  ทำไมม้าผอมลงขนาดนี้”

“ขึ้นบ้านก่อนเถอะ  แล้วค่อยคุยกัน”  เซียมลั้งช่วยลูกสาวหิ้วถุงผ้าและกระเป๋าเข้าไปในบ้าน  ซิ่วเฮียงลังเลถามว่า

“ม้า เตี่ยหายโกรธเฮียงหรือยัง”

เซียมลั้งก้มหน้าเดินพลางพึมพำว่า

“ตอนนี้จะมีปัญญาโกรธอะไรได้  ขึ้นมาเถอะ  ตอนนี้อยู่ในบ้านกันทุกคนแหละ  เฮียงมาก็ดีแล้ว”

ซิ่วเฮียงไม่ถามอะไรมาก  รีบสาวเท้าตามมารดาไปอย่างกังวล

 



Don`t copy text!