แก่นไม้หอม บทที่ 20 : สู่ขอ

แก่นไม้หอม บทที่ 20 : สู่ขอ

โดย : กิ่งฉัตร

แก่นไม้หอม นวนิยายออนไลน์ โดย กิ่งฉัตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ กับเรื่องราวที่จะทำให้คุณได้รู้ว่าผู้หญิงเป็นเมียและแม่ไม่ต่างจากแก่นไม้ที่แข็งแกร่ง มั่นคงและทรหดที่ยึดให้ใบได้แผ่กว้าง และหากโลกนี้เชื่อว่าผู้ชายเป็นใหญ่ แต่จริงๆ แล้วทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นหยินที่โอบหยางทั้งสิ้น

ซิ่วเฮียงใช้เวลาสองวันก่อนลานมะเกลือจะเปิดทำการอีกครั้งทำดอกไม้ผ้าหลายดอก  ทุกดอกตั้งใจทำอย่างสุดฝีมือก่อนนำไปให้กุ้ยเตียง  ฝ่ายหลังพลิกๆ ดูพยักหน้าอย่างพอใจแล้วบอกว่า

“พรุ่งนี้ลางานสักครึ่งวันเถอะ  อั๊วจะพาไปร้านที่สะพานหัน  จะขายของก็ต้องดูทำเล  ไปดูให้เห็นกับตาตัวเองจะได้รู้ว่าทำเลแบบนี้สินค้าแบบไหนถึงจะขายได้”

หญิงสาวรับคำอย่างตื่นเต้น  กลับมาก็ยอมอดนอนทำดอกไม้อีกสองดอกก่อนเข้านอน  แต่ก็นอนไม่หลับพลิกตัวกระสับกระส่ายจนเง็กซิมนึกขำ  กระเซ้าว่า

“เป็นอะไร  ทำไมทำเหมือนกับไม่เคยขายดอกไม้ผ้ามาก่อนงั้นแหละ”

“เคยจ้ะ  แต่ทำไมไม่รู้ครั้งนี้มันตื่นเต้นนักก็ไม่รู้  อาจจะเพราะผู้หญิงกรุงเทพฯ แต่งตัวสวย ๆ ทั้งนั้น  อาจจะไม่มีใครชอบดอกไม้ของซิ่วเฮียงก็ได้”

“ดอกไม้ของเฮียงสวยไหม”

“สวยสิจ๊ะ  เฮียงตั้งใจทำเต็มที่”

“ถ้าตั้งใจทำเต็มที่แล้วจะไปห่วงทำไม  ถ้าของดีอยู่แล้วก็ให้ของมันขายด้วยตัวมันเองเถอะ  กังวลไปก็ไม่ได้ทำให้ของมันขายได้มากขึ้นหรือน้อยลง  นอนพักเอาแรงไว้ดีกว่า”

“จ้ะ เง็กซิ่ม”  ซิ่วเฮียงเห็นด้วยกับคำพูดของแม่บุญธรรม  ดังนั้นพอหลับตาลงอีกครั้งหญิงสาวก็หลับไปโดยง่าย

 

สายวันรุ่งขึ้นกุ้ยเตียงพาซิ่วเฮียงไปร้านอึ้งซุ้ยหลีที่สะพานหัน  อึ้งซุ้ยหลีเป็นร้านขนาดสองคูหา  ตกแต่งเรียบง่ายแต่ดูน่าเข้าไปจับจ่าย  นอกจากจะขายเสื้อและกางเกงผ้าแพรปังลิ้นจากลานมะเกลือแล้วยังมีผ้าที่ย้อมแล้วขายเป็นพับ  รวมถึงผ้าจากเมืองจีนสีสันสดใส  ของใช้ที่ไม่ใช่เสื้อผ้าก็มีกระเป๋าเงิน รองเท้าปักผ้าหรือปักลูกปัดเม็ดเล็กเป็นลายดอกไม้ ลายหงส์ ผ้าเช็ดหน้าและสินค้าอื่นๆ จากผ้าประปราย

กุ้ยเตียงบอกว่า  ชื่ออึ้งซุ้ยหลีเป็นชื่อมารดาของเถ้าแก่ส่วง  พอเห็นซิ่วเฮียงทำหน้าแปลกใจเพราะคนจีนนั้นส่วนใหญ่ยึดผู้ชายเป็นหลัก  น้อยมากที่จะใช้ชื่อผู้หญิงเป็นชื่อร้าน  ฝ่ายแรกจึงเล่าเสริมว่า

“เตี่ยของอาส่วงเป็นทหาร  ส่วนม้าเป็นสาวน้อยในหมู่บ้านฐานะไม่โดดเด่นแต่สวยมาก  ครอบครัวเตี่ยเขาไม่เห็นด้วยกับการแต่งงาน  แต่ขัดใจเตี่ยอาส่วงไม่ได้เลยต้องยอมให้ทั้งคู่แต่งงานกัน  ตอนอาส่วงอายุได้สิบขวบ  เตี่ยเขาเดินทางไปราชการแต่รถพลิกคว่ำ  คนในรถตายหมด  ม้าเขาร่างกายไม่แข็งแรงเจอข่าวร้ายก็ทรุดหนัก  ญาติพี่น้องข่มเหงรังแกแม่ม่ายและลูกกำพร้า  ทรัพย์สมบัติที่เตี่ยทิ้งไว้ให้ก็ถูกบ้านใหญ่ยึดไปหมด  แค่สองสามปีม้าเขาก็ป่วยหนักและจากไปแบบสิ้นเนื้อประดาตัวเลยนะ  โชคดีที่อาส่วงมีน้าเขยอยู่คน  ถึงน้าสาวจะเสียไปหลายปีแต่อาเตี๋ยจั้กคุ้งยังไปมาหาสู่อยู่  ตอนมางานศพม้า  อาเตี๋ยคงเห็นแล้วว่าถ้าทิ้งหลานเล็กไว้อาส่วงต้องตายตามม้าเขาแน่  เลยตัดสินใจพาอาส่วงมาเมืองไทย  มาแบบเสื่อผืนหมอนใบแท้ๆ”

ซิ่วเฮียงฟังตาใส   แม้เรื่องของเถ้าแก่เง็กซิมจะเล่าให้ฟังอย่างชื่นชมไปแล้ว  แต่รายละเอียดไม่เท่ากับที่ออกจากปากเถ้าแก่เนี้ย

“มาถึงเมืองไทยอาส่วงรับทำงานทุกอย่าง  อาเตี๋ยไปทำงานโรงงาน  ส่วนอาส่วงรับไอติมมาเดินขายหาเงิน  พอเริ่มตั้งตัวอยู่คนเดียวได้  อาเตี๋ยก็แยกตัวไปทำงานโรงงานที่ระยอง  เขามีญาติอยู่ที่นั่น  ไปแล้วก็มีเมียใหม่ที่นั่นตั้งรกรากอยู่ทางนั้นเลย  อาส่วงไม่อยากไปอยู่กับญาติของอาเตี๋ย  เลยทำงานอยู่กรุงเทพฯ แต่เขายังระลึกถึงบุญคุณของอาเตี๋ยเสมอ  ไม่ว่าอาเตี๋ยจะแนะนำอะไรเขาก็เชื่อฟัง…”  กุ้ยเตียงบอกยิ้มๆ แต่รอยยิ้มนั้นเหมือนเลือนหายไปเมื่อขึ้นถึงดวงตา  “ส่วนชื่อร้านนี้…คงเพราะอาส่วงรักม้าของเขามาก  สองแม่ลูกทนกับพวกบ้านใหญ่มาด้วยกัน  ผูกพันกันมากกว่าใคร  อีกอย่างอาส่วงเคยเล่าว่าม้าเขาสวยมาก  เตี่ยของเขามักซื้อเสื้อผ้าสวยๆ ให้ม้า  พออาส่วงเปิดร้านนี้เขานึกถึงม้า เลยตั้งชื่อร้านนี้ว่าอึ้งซุ้ยหลี”

“จ้ะ” ซิ่วเฮียงพยักหน้าอย่างสนใจ  นึกว่าจะได้ฟังอะไรต่อแต่กุ้ยเตียงเหมือนเล่าพอใจแล้วจึงชี้ไปที่โต๊ะด้านหนึ่ง

“วางดอกไม้ลื้อไว้ตรงนั้นแหละ  เดี๋ยวอั๊วให้เด็กทำฉลากติดราคาให้  ราคาอย่างที่ตกลงไว้  ลื้อเห็นด้วยหรือเปล่า  ถ้าไม่ชอบใจเห็นว่าตั้งต่ำไปจะปรับราคาขึ้นมาหน่อยก็ได้”

“ไม่เป็นไรจ้ะ  ถ้าเถ้าแก่เนี้ยคิดว่าราคานี้ดีก็เหมาะสมแล้วจ้ะ”  หญิงสาวบอกอย่างจริงจัง

กุ้ยเตียงยิ้มอย่างเอ็นดูในความเชื่อมั่นของแม่สาวตรงหน้า  และอาจจะเพราะท่าทางเชื่อมั่นอย่างซื่อตรงของอีกฝ่ายทำให้หล่อนอดสอนไม่ได้ว่า

“ร้านค้าแถวนี้ไม่ใช่ห้างหรู  ลูกค้าไม่ใช่พวกคนรวยอะไรส่วนใหญ่เป็นพวกกินเงินเดือนหรือไม่ก็พวกหาเช้ากินค่ำ  ลูกค้าน่ะ…ถ้ารวยมากมักชอบต่อรอง  หนึ่งสลึงสองสลึงได้ลดก็เอา  ภูมิใจว่าได้ซื้อของถูก  แต่พวกคนจนๆ หรือพวกฐานะกลางๆ จะไม่ค่อยกล้าต่อรองอะไร  ถ้าต้องการซื้อก็ซื้อเลย  ดอกไม้ลื้อถึงจะสวยแต่คนมีเงินเขาไม่ซื้อหรอก  เขาซื้อของตามห้างหรือไม่ก็สั่งทำเอาให้ตรงใจ  หรือถ้าซื้อก็ต่อแล้วต่ออีก  ฉะนั้นลื้อมองลูกค้าแบบคนฐานะกลางๆ ดีกว่า  ลูกค้าแบบนี้ต้องตั้งราคาไม่สูงมาก  เพราะถ้าแพงไปคนเขาก็ถอยห่างกันหมด  ไม่กล้าต่อ”

“จ้ะ”  ซิ่วเฮียงพยักหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจฟัง  ฟังแล้วก็เห็นด้วย  ดอกไม้ที่หล่อนวางขายร้านตัดเสื้อโสภาส่วนใหญ่ลูกค้าเป็นคนธรรมดาทั่วไปที่พอมีฐานะหน่อย  ส่วนคนมีเงิน…อย่างพยอมก็สั่งตัดเสื้ออย่างดีสุด  ดอกไม้ก็เลือกสั่งทำตามที่ต้องการ  ไม่ซื้อที่ทำสำเร็จไว้แล้ว

“ดูเรื่องเขาแปะป้ายราคาเสร็จลื้อก็ลองไปเดินๆ ดูร้านอื่นเขา  ไปดูว่าเขาวางขายอะไรบ้าง  เหมือนหรือแตกต่างจากของที่ลื้อทำขายแค่ไหน  ฝีมือเขาดีกว่าหรือด้อยกว่า  ขายดีหรือไม่ดี  ของพวกนี้ต้องศึกษา”  เถ้าแก่เนี้ยสาวพูดแล้วหยุดนิดหนึ่งก่อนเล่าว่า  “อาส่วงน่ะ  เห็นเขาชอบไปตลาดเช้า ไม่ใช่ว่าไปนั่งจิบชาเรื่อยเปื่อยกับพวกอาแปะหรอกนะ  เขาไปดูด้วยว่าคนส่วนใหญ่แต่งตัวแบบไหน  มีอะไรแปลกใหม่เข้ามาหรือเปล่า  บางวันถ้าไม่ได้ไปโรงงานเขาก็ไปเดินห้าง  ดูชุดใหม่ๆ ผ้าใหม่ๆ ของพวกญี่ปุ่นหรือทางอังกฤษ  ดูลู่ทางใหม่ๆ  อาส่วงบอกว่าอีกไม่นานเสื้อผ้าของจีนจะขายยากขายไม่ดีแล้ว”

คนฟังตาโต  ส่ายหน้า

“เป็นไปไม่ได้หรอกจ๊ะ  เสื้อแพรขายดีออก”

“ขายดีวันนี้  วันหน้าใครจะไปรู้  อีกอย่าง…”  สีหน้าของเถ้าแก่เนี้ยภาคภูมิใจไม่น้อย  “อาส่วงไม่เคยพลาด”

เมื่อเห็นสีหน้าเหมือนเชื่อไม่ลงของอีกฝ่ายหล่อนก็หัวเราะ  โบกมือไล่

“ไปเถอะ  ดูป้ายราคาแล้วลองเดินดูร้านอื่นบ้าง  เผื่อเขาขายดอกไม้แบบของลื้อจะได้ดูเทียบกันได้ว่ามีดีมีเสียต่างกันตรงไหน  ดูเสร็จแล้วเดี๋ยวอั๊วส่งลื้อกลับลานมะเกลือเผื่อจะเข้างานช่วงบ่ายทัน”

“จ้ะ”  ซิ่วเฮียงรับคำอย่างไม่มีปากเสียงตามเคย

หล่อนดูเรื่องป้ายราคา  มองผลงานตัวเองอย่างภาคภูมิใจนิดหน่อยก่อนออกจากร้านเดินเล่นไปเรื่อยๆ  มองซ้ายชะโงกขวาตื่นตาตื่นใจกับร้านรวงมากมาย  สักพักใหญ่หลังเดินเข้าออกสองสามร้านซิ่วเฮียงถึงได้เข้าใจ  หญิงสาวเชื่อมั่นในฝีมือตัวเอง  เชื่อในวิชาความรู้ที่ม้าถ่ายทอดให้  ดอกไม้หล่อนสวยจริง…แต่ไม่มีอะไรแปลกใหม่  เป็นแค่ดอกไม้เดี่ยวดอกไม้ช่อ  ไม่มีการนำผ้าลูกไม้หรือโบว์สีสดใสมาแต่งให้ดูแปลกตา  รูปแบบดอกไม้ก็หลากหลายสำหรับใช้ในหลายๆ สถานการณ์ไม่ใช่แค่ดอกไม้กลัดเสื้อไปงานเลี้ยงหรือดอกไม้แต่งผมเจ้าสาวเท่านั้น

ซิ่วเฮียงดูแล้วยอมควักเงินบาทสุดท้ายในกระเป๋าซื้อผ้าตาข่ายกับเกสรดอกไม้สีต่างๆ ไปถุงใหญ่

กลับไปที่อึ้งซุ้ยหลี  หญิงสาวยกมือกำเสี่ยกุ้ยเตียงอย่างจริงใจ  หล่อนว่า

“ถ้าเถ้าแก่เนี้ยไม่แนะนำ  เฮียงคงเป็นกบก้นบ่อจริงๆ”

อีกฝ่ายยิ้มน้อยๆ ไม่ว่าอะไร  แค่ให้คนขับรถขับไปส่งซิ่วเฮียงกลับลานมะเกลือ

หญิงสาวกลับไปทำงาน  คนงานส่วนใหญ่ยังกลับมาไม่ครบทำให้งานเร่งจนกระทั่งเย็น  พอเลิกงานซิ่วเฮียงกลับเข้าห้องพักก็ลงมือร่างแบบบนผ้าเตรียมตัดลายดอกไม้ใหม่ๆ ระหว่างนั้นข้างห้องมีเสียงเหง็กลั้งด่าว่าลูกชายอยู่แว่วๆ เง็กซิมที่รับหน้าที่หาอาหารให้ตัวเองและลูกสาวบุญธรรมได้แต่ส่ายหน้า  กระซิบเล่าว่า

“อี้ลั้งของเฮียงเพิ่งจับได้ว่าอาเต็กแอบไปหาอาเน้ย  แถมไม่ได้ไปมือเปล่า  เอาเงินเก็บไปซื้อสร้อยทองให้สาวด้วย  เฮ้อ…เด็กดีๆ จะมาเสียคนเพราะผู้หญิงไม่ดีนี่แหละ”

ซิ่วเฮียงฟังเสียงจากห้องข้างๆ ได้ยินแต่เสียงของเหง็กลั้ง  ไม่ได้ยินเสียงตอบของอาเต็ก  หญิงสาวจึงคิดว่าไม่ว่าอย่างไรลูกชายก็ยังอยู่ในโอวาทของแม่  หล่อนไม่เคยคิดว่าคนบางคนไม่เคยยอมรับความพ่ายแพ้   แถมยังอาฆาตฝังลึกในใจ  ไม่ยอมปล่อยไปอย่างง่ายๆ

“อี้ลั้งดุขนาดนั้น  อาเต็กคงไม่กล้าแล้วล่ะจ้ะ”  ซิ่วเฮียงพูดอย่างไม่ใส่ใจเรื่องคนข้างห้องมากนัก  สำหรับหญิงสาวแล้วดอกไม้ผ้าตรงหน้าสำคัญกว่า  เพราะมันคือค่าใช้จ่ายของบ้านที่สุพรรณ  ค่านมและขนมของหาญ  ค่ายาของเตี่ยรวมถึงค่าเล่าเรียนของน้องสองคน  หล่อนไม่มีเวลามาสนใจเรื่องของคนอื่นตอนนี้หรอก

“อืม  ถ้าเป็นอย่างเฮียงว่าก็คงจะดี”  เง็กซิมกังวลเล็กน้อย  แต่สุดท้ายก็คิดเหมือนลูกสาวบุญธรรม  เหง็กลั้งน่าจะคุมลูกชายได้อยู่เหมือนเช่นทุกครั้ง  ดังนั้นเรื่องของคนข้างห้องก็เป็นเรื่องของคนข้างห้อง  ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือวุ่นวายด้วยจะดีที่สุด

 

ธุรกิจขายดอกไม้ผ้าของซิ่วเฮียงก็คล้ายๆ กับช่วงแรกๆ ที่เร่ฝากขายไว้กับร้านขายผ้าในตลาดมหาชัย  นั่นคือ…ขายไม่ออก

ซิ่วเฮียงที่ผ่านประสบการณ์นี้มาแล้วไม่ได้ร้อนใจนัก  ยังพอมีหวังว่าจะขายของได้บ้าง  แต่กลับมีเถ้าแก่บางคนสงสารแม่สาวที่นั่งหลังขดหลังแข็งทำงานอยู่ครึ่งคืนค่อนคืน  เลยอยากจะช่วยซื้อขึ้นมาสักหลายดอก  ทว่ากุ้ยเตียงขัดขึ้นเสียก่อนว่า

“วันนี้ซื้อได้  พรุ่งนี้ซื้อได้  แต่ลื้อจะช่วยซื้อได้ตลอดไปหรือ  อีกอย่างถ้าเป็นคนตั้งใจทำขายหาเงินจริงๆ เขาจะยินดีหรือที่มีพ่อบุญทุ่มมาซื้อของเขาด้วยความเวทนา  ถ้าเขายินดีบอกเลยว่าเด็กนั่นคงไม่ได้ดีจริงอย่างที่ลื้อคิด”

ส่วงฟังแล้วเห็นด้วย  ดังนั้นกิจการส่งดอกไม้ประดิษฐ์ของซิ่วเฮียงจึงค่อยเป็นค่อยไป  แต่เถ้าแก่หนุ่มไม่ยอมแพ้ในเรื่องที่อยากช่วยอาหมวยน้อย  ดังนั้นตอนเย็นวันหนึ่งเขาจึงดักรอเพื่อมอบผ้าพับหลายผืนให้หล่อน

“ผ้าปลายไม้น่ะ  ขายไปก็ไม่ได้ราคา  เอามาให้เผื่อลื้อจะใช้ทำอะไรได้”

ซิ่วเฮียงดูแล้วเป็นผ้าปลายไม้จริง ๆ  ผ้าพวกนี้บางทีมีตำหนิเล็กน้อย  บางทีความยาวเหลือน้อยไม่พอตัดเสื้อ  เลยมักเป็นเศษผ้าที่เหมาขายในราคาถูก  ถือเป็นของไม่มีค่างวดอะไร  คนอื่นอาจจะไม่แม้แต่ชายตาแล  แต่กับคนเย็บดอกไม้อย่างหญิงสาวนั้นผ้าปลายไม้ชิ้นหนึ่งเปลี่ยนเป็นดอกไม้ได้หลายดอก  อีกอย่างบรรดาคนงานที่เพิ่งเลิกกะก็เริ่มมองมาด้วยความสนใจ  เง็กซิมที่เดินออกไปรออยู่ห่างๆ ก็มองมาอย่างกังวล   ซิ่วเฮียงจึงรับของมาแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า

“ขอบใจเถ้าแก่มากนะจ๊ะ  แต่ต่อไปเถ้าแก่ไม่ต้องเอามาก็ได้นะจ๊ะ”

“ไม่เป็นไร   ของเล็กน้อยแค่นี้เอง”

“แต่ว่าฉันเกรงใจเถ้าแก่…”

“จะเกรงใจอะไรกัน  ของเล็กน้อยแค่นี้  ผู้ใหญ่ให้ก็รับไว้  อย่าดื้อ”

ซิ่วเฮียงอยากจะเถียง…เขาว่าเขาเป็นผู้ใหญ่แต่หล่อนใช่เด็กน้อยเสียที่ไหน จะให้หล่อนรับของเขาโดยใช้ข้ออ้างนี้ได้อย่างไรกัน

ส่วงมองท่าทางไม่เต็มใจของแม่สาวน้อยแล้วนึกขำ  เจ้าตัวคงไม่รู้ว่าเวลาคิดอะไรทุกอย่างมันออกมาทางสีหน้าหมด

“รับไว้เถอะ  ผ้าพวกนี้ถ้าอั๊วขายก็ได้เงินไม่กี่สตางค์  แต่ถ้าผ่านมือลื้อมันกลายเป็นค่าขนมให้ลูกลื้อ  คือค่าใช้จ่ายนิดๆ หน่อยๆ ในบ้านลื้อ  ถ้าลื้อคิดว่าตัวเองไม่ใช่เด็กก็ควรจะรู้ว่าอะไรที่ให้ผลประโยชน์กับตัวเองต้องคว้าไว้  ในเมื่ออั๊วเต็มใจลื้อจะเกรงใจทำไมกัน”

ชายหนุ่มไม่ให้ซิ่วเฮียงได้ปฏิเสธจริงๆ เขายังคอยเอาผ้าบ้างอุปกรณ์ทำดอกไม้เล็กๆ น้อยๆ มาฝากหญิงสาวเสมอ  แถมยังมอบให้อย่างเปิดเผยโดยไม่สนใจสายตาของคนงานอื่น  ให้แล้วชวนคุยถามไถ่เรื่องทั่วๆ ไปอยู่สองสามประโยคก่อนส่วงจะกลับเข้าไปทำงานต่อ  ซิ่วเฮียงก็ได้แต่หอบของกลับไปเย็บดอกไม้ผ้าอย่างจนใจ

และเพราะเถ้าแก่หนุ่มทำทุกอย่างเปิดเผยไม่มีหลบซ่อน  บรรดาคนที่ชอบจับผิดนินทาคนอื่นก็ไม่รู้จะซุบซิบนินทาเรื่องอะไร  ได้แต่พูดคุยพนันขันต่อกันว่าเมื่อไหร่ซิ่วเฮียงจะใจอ่อน  มีเหมือนกันพวกจับผิดที่แอบว่าร้ายว่าซิ่วเฮียงเล่นตัวเพื่อให้ดูดีมีราคา  พยายามลบคำว่าแม่ม่ายออกจากตัว

พวกหลังนี่พอเง็กซิมได้ยินถึงกับหลุดปากว่า

“พวกเฉาฉุ่ย  อิจฉาจนตัวสั่นถึงได้เห่าได้หอนออกมา  ลื้อก็อย่าไปสนใจเลยนะอาเฮียง”

ซิ่วเฮียงรู้สึกผิด  หล่อนรู้ว่าแม่บุญธรรมเป็นคนใจเย็น  ไม่ใช่พวกปากเบาที่เอะอะอะไรก็ลุกขึ้นชี้หน้าด่า  ตอนนี้คงเพราะกังวลเรื่องของหล่อนถึงได้หลุดปากออกมาแบบนี้

“เฮียงไม่สนหรอกจ้ะ  ใครจะพูดก็พูดไป  เง็กซิ่มเคยบอกไม่ใช่หรือว่าปากเขา  ถ้ามีไว้แต่พูดจาไม่ดี  ความไม่ดีก็กองอยู่ตรงหน้าเขา  ส่วนใจเป็นของเราถ้าไม่สนใจเสียอย่างอะไรก็เข้ามากระทบไม่ได้”

เง็กซิมฟังแล้วอดหัวเราะไม่ได้  รับว่า

“แก่แล้ว  เลอะเลือนแล้ว  ต้องให้เฮียงเตือนสติ”

ซิ่วเฮียงกอดแม่บุญธรรมไว้  ปลอบว่า

“เง็กซิ่มไม่ได้เลอะเลือน  แค่เป็นห่วงเฮียง  กังวลเรื่องของเฮียงใช่ไหมจ๊ะ  เง็กซิ่มไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ  เฮียงรู้ว่าจะต้องทำยังไง”

“เฮ้อ…”  เง็กซิมขยับปากจะบอกว่าให้ซิ่วเฮียงตัดสินใจเสีย  ถ้ายังจะทำงานที่ลานมะเกลือต่อจะปล่อยให้เถ้าแก่เทียวไล้เทียวขื่อแบบนี้คงจะไม่ดีเท่าไหร่  แต่หล่อนพูดไม่ออก  เรื่องแบบนี้ไม่อยากเร่งรัด  ต้องให้เจ้าตัวเขาตัดสินใจเอง  หล่อนทำได้เพียงแค่ดูอยู่ห่างๆ เท่านั้น

ซิ่วเฮียงเองก็รู้ว่าแม่บุญธรรมห่วงเรื่องอะไร  ถ้าถามใจหล่อนดู…มีหรือจะไม่หวั่นไหวเอนเอียง

เถ้าแก่ส่วงทั้งรูปร่างหน้าตาดี  ท่าทางภูมิฐาน  พูดจาสุภาพ  ฐานะดี  ที่สำคัญนิสัยใจของเขาดีไม่แพ้รูปลักษณ์ภายนอก…

กว่าครึ่งปีที่พักในห้องเช่าห้องริมสุดนี้  บ่อยครั้งที่ซิ่วเฮียงมองลงไปยังบ้านลานมะเกลือด้านล่าง  ผ่านรอยแยกกิ่งก้านที่ดกหนาของต้นมะม่วง  หญิงสาวรู้เรื่องราวคนในบ้านหลังนั้นทีละเล็กละน้อย  หล่อนรู้ว่ากุ้ยเตียงนั้นไม่ค่อยออกจากตัวบ้านเท่าไหร่  ส่วนใหญ่เถ้าแก่เนี้ยจะทำงานในห้องทำงานของหล่อนหรือไม่ก็พักดูโทรทัศน์หรือฟังวิทยุเสียงตามสายในห้องโถง

แม้ลักษณะท่าทางจะเป็นผู้หญิงเงียบๆ ไว้ตัว  แต่จริงๆ แล้วกุ้ยเตียงเป็นคนที่ชอบออกนอกบ้าน  หญิงสาวชอบไปตัดเสื้อผ้าใหม่ๆ  ทำผมในร้านทำผม  ชอบไปดูงิ้ว  ชอบไปดูหนังโรงโดยเลือกดูภาพยนตร์จีน…และต้องเป็นรอบพิเศษที่โรงภาพยนตร์โอเดี่ยน  และที่ชอบที่สุดคือการไปเล่นไพ่นกกระจอกกับญาติๆ หรือเพื่อนฝูง

ส่วนส่วงนั้นถ้ากลับเข้าบ้านแล้วจะไม่ออกไปไหนอีก  เขามักนั่งทำงานอยู่ในห้องทำงานชั้นสองของเขาจนดึกดื่น  แต่กระนั้นเวลาที่ลูกสองคนกลับจากโรงเรียนและมาเล่นกันที่ลานในบ้าน  เถ้าแก่หนุ่มมักจะออกมาดูลูกๆ เล่นกันด้วย

ครั้งหนึ่งซื้อไท่ซุกซนวิ่งชนน้องสาวจนล้มหัวเข่าถลอกร้องไห้จ้า  ซิ่วเฮียงเห็นส่วงเดินเข้าไปหาลูกทั้งสองคน  ในใจคิดว่าซื้อย้งคงต้องถูกดุที่ขวางทางวิ่งของพี่ชายแน่นอน  แต่ชายหนุ่มกลับดุลูกชายไม่ตำหนิลูกสาว  แถมยังอุ้มลูกคนเล็กที่ร้องไห้งอแงขึ้นมาปลอบอย่างอ่อนโยน  ก่อนพาเดินเข้าไปทำแผลในบ้าน

หญิงสาวมองแล้วอดนึกถึงพนมไม่ได้  รายนั้นแค่ลูกร้องก็รำคาญรีบส่งลูกคืนให้หล่อนแล้วออกจากบ้านไปอย่างไว

ผู้ชายเหมือนกันแต่ความเป็นพ่อนั้นแตกต่าง

และเมื่อมีตัวเทียบ  หัวใจของซิ่วเฮียงยิ่งหวั่นไหว

ดังนั้นเย็นวันหนึ่งเมื่อเถ้าแก่ดัก ‘ส่งของ’ ตามปกติ  หญิงสาวก็ถามขึ้นว่า

“ฉันขอคุยกับเถ้าแก่ได้ไหมจ๊ะ”

ส่วงเลิกคิ้วสูงเล็กน้อย  ใบหน้ายังมีรอยยิ้มเมื่อตอบ

“ได้สิ”

ชายหนุ่มเดินนำเข้าไปในห้องทำงานของเขา

ห้องทำงานเถ้าแก่ไม่ได้ใหญ่โตโอ่อ่าอย่างที่ซิ่วเฮียงคิด  ห้องค่อนข้างแน่นแต่ไม่รก  ในห้องมีโต๊ะทำงานสองตัว  โต๊ะรับแขกไม้ขัดมันชุดหนึ่ง  ด้านหนึ่งของห้องเรียงรางด้วยตู้เอกสาร  บนผนังห้องติดภาพเขียนพู่กันจีนรูปฝูงม้าที่กำลังวิ่งข้ามลำธารน้ำ  ส่วนบนโต๊ะใหญ่มีกองแฟ้มกระดาษหนา  ลูกคิด  เครื่องพิมพ์ดีด  ส่วนโต๊ะเล็กวางโทรศัพท์  และอะไรจุกจิกที่หญิงสาวไม่รู้จักหลายอย่าง

ส่วนโต๊ะรับแขกนั้นมีชุดน้ำชาวางอยู่  กาเคลือบวางอยู่ในถังเงินลายทิวทัศน์มีหูหิ้ว  ตัวถังบุด้วยเบาะเก็บความร้อนที่ใช้ผ้าแพรเอามาเย็บแล้วยัดด้วยนุ่นหรือกากมะพร้าวให้เป็นรูปของกา  พอวางกาน้ำชาร้อนๆ ลงไปปิดฝาที่ทำจากผ้ายัดนุ่น  น้ำชาในกาก็จะคงความร้อนไว้ได้นานไม่ต้องเปลี่ยนชาใหม่บ่อยๆ

ส่วงทำท่าทางให้ซิ่วเฮียงนั่งลงที่โต๊ะรับแขก  ถามอย่างนุ่มนวลว่า

“ดื่มชาไหม”

“ไม่ดีกว่าจ้ะ”  หญิงสาวส่ายหน้า  วางของที่เพิ่งได้รับมาไว้ข้างตัว

เถ้าแก่หนุ่มนั่งลงก่อนถามต่ออย่างเอาใจใส่ว่า

“มีอะไรให้อั๊วช่วยหรือเปล่า”

ซิ่วเฮียงส่ายหน้าอีกครั้ง  ตอบว่า

“ไม่มีจ้ะ  ฉันแค่อยากถามอะไรเถ้าแก่หน่อย”

“ถามมาสิ”

“ที่เถ้าแก่เอาของมาให้  มาชวนฉันคุยอยู่บ่อยๆ นี่เพราะพอใจฉันอยู่ใช่ไหมจ๊ะ…เถ้าแก่ชอบฉันเพราะอะไรจ๊ะ”  หญิงสาวถามตรงๆ แม้อายุหล่อนจะยังไม่ถึงยี่สิบดีถือว่ายังเป็นสาวน้อย  แต่ซิ่วเฮียงผ่านชีวิตคู่มาแล้ว  ลูกก็มีแล้ว  หล่อนจึงสามารถออกปากได้โดยไม่มีอาการเขินอาย

ส่วงเองกลับเป็นฝ่ายที่ชะงักไป  กระแอมกระไอเล็กน้อย  ชายหนุ่มพยายามยั้งตัวเองไม่ให้ยกมือขึ้นถูสันจมูกอย่างขัดเขินตามความเคยชิน

“จำเป็นต้องรู้ด้วยหรือ”

“จ้ะ”

“อืม…”  เขานึกถึงครั้งแรกที่ได้พบ  แม่สาวตัวเล็กยืนหลับหูหลับตาไหว้องค์แป๊ะกงอยู่หน้าศาลไม้สีแดง  ท่าทางของหล่อนมุ่งมั่นเหลือเกิน  “ลื้อน่าเอ็นดู  ท่าทางเป็นคนดีตรงไปตรงมา…”  ดูเอาเถอะขนาดถามเรื่องแบบนี้  อาหมวยน้อยก็ยังเอ่ยออกมาได้โดยไม่เหนียมอายแบบสาวๆ ทั่วไป

“ลื้อขยันขันแข็งเอาการเอางาน  อ่อนน้อมถ่อมตน  ทุกอย่างที่ลื้อเป็นอั๊วชอบทั้งสิ้น”

ส่วงไม่เอ่ยต่อว่าเขาไม่รู้ตัวหรอกว่าชอบหล่อนตั้งแต่เมื่อไหร่  บางทีอาจจะตั้งแต่แรกพบ  ไม่งั้นเขาคงไม่รู้สึกเสียดายเมื่อซิ่วเฮียงบอกว่าในกระเป๋าเงินมีรูปของคนที่หล่อนรักที่สุดอยู่  แต่พอรู้ข่าวว่าหล่อนเป็นม่าย  และในกระเป๋ามีเพียงภาพของลูกชายตัวน้อย  เขาก็เริ่มกลับมารุกทันที

แก้มขาวๆ ของซิ่วเฮียงแดงเรื่อขึ้นเล็กน้อย  แม้จะเป็นคนตรงๆ ซื่อๆ แต่ก็ใช่ว่าจะเขินอายไม่เป็น  หญิงสาวหลุบตามองมือไม้ที่หยาบกระด้างเพราะทำงานหนักตลอดแล้วถามเสียงเบาว่า

“เถ้าแก่ไม่รังเกียจหรือจ๊ะว่าฉันเป็นแม่ม่ายลูกติด”

“ถามแปลกจริง  ถ้ารังเกียจลื้อจะได้มานั่งถามอั๊วตรงนี้หรือ  อาเฮียง…ทุกสิ่งที่ลื้อเป็นอั๊วถูกใจทั้งหมด  ลื้อเองต่างหากที่ต้องคิดให้มากเพราะอั๊วเองก็มีลูกมีเมีย  แต่อั๊วจริงใจกับลื้อ   ถ้าลื้อยอมแต่งให้อั๊ว  อั๊วสัญญาว่าจะไม่ทำให้ลื้อเสียใจ”  ส่วงให้คำมั่นอย่างหนักแน่น  ก่อนเสริม  “ส่วนเรื่องลูกชายลื้อ  ลื้อไม่ต้องห่วง  อั๊วจะดูแลให้เหมือนเป็นลูกอีกคน  อั๊วคิดไว้แล้วว่าจะยกบ้านหลังเล็กข้างๆ บ้านลานมะเกลือให้ลื้อ  บ้านนั้นมีหลายห้องนอนอยู่  ลื้อจะได้รับลูกมาอยู่ด้วยได้”

ซิ่วเฮียงเงยหน้ามองชายหนุ่มตรงหน้าทันที  ตลอดเวลากว่าครึ่งปีที่ได้รู้จักเถ้าแก่ส่วงมา  นอกจากเรื่องที่เขาไม่ยอมบอกในตอนแรกว่าเป็นใครแล้ว  เรื่องอื่นนอกจากนั้นเขาไม่เคยโกหก  เขาเป็นคนพูดจริงทำจริง  และดูแลคนงานของเขาอย่างใจกว้างและมีเมตตา

แม้ประสบการณ์จะทำให้หญิงสาวไม่ค่อยเชื่อใจผู้ชายเท่าไหร่  แต่หล่อนกลับเชื่อว่าผู้ชายตรงหน้านี้ไม่หลอกลวง

ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่ติดค้างในใจ  ซิ่วเฮียงไม่อาจลบภาพสีหน้าเจ็บปวดของพยอมออกจากใจ  แม้จะรู้ว่าทุกอย่างไม่เหมือนกัน  แต่หญิงสาวไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งในความสัมพันธ์ที่หลอกลวงและไม่ยอมรับ  ดังนั้นหล่อนจึงเอ่ยขึ้นว่า

“ถ้าเถ้าแก่อยากแต่งฉันเข้าบ้านจริง ๆ ก็ให้เถ้าแก่เนี้ยมาสู่ขอเถอะจ้ะ” 

 



Don`t copy text!