หน้ากากมยุเรศ บทที่ 10 : ข้อเสนอ (1)

หน้ากากมยุเรศ บทที่ 10 : ข้อเสนอ (1)

โดย : สิตา

Loading

หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co

วิมลินเคยคิด หลังบอกเรื่องที่เธอจะเลื่อนการประชุมคณะกรรมการให้เร็วขึ้น เจคคงตามมาฟาดงวงฟาดงาอีกหลายยก แต่เขากลับเงียบเชียบเหลือเชื่อ ไม่ข้องแวะเธอเกินความจำเป็นแม้สักครั้งจนล่วงเข้าสู่วันหยุด หญิงสาวเองก็ชักเหนื่อยกับการพยายามหลบหน้าเขา ในเมื่อเจคยอมทำตัวสงบเสงี่ยมโดยดีจึงถือโอกาสพักผ่อนอยู่บ้านสักวัน

คำว่าพักผ่อนของวิมลินอาจหมายถึงแค่ย้ายที่ทำงาน เพราะหลังตื่นนอนเธอยังคงขนแฟ้มมาจัดการที่ห้องนั่งเล่นเช่นเคย จนร่างกายเริ่มเมื่อยจึงมองนาฬิกา เพิ่งรู้สึกตัวว่าใกล้เที่ยง ลุกไปเปิดม่านตรงประตูที่ทะลุสู่สวนหวังชมทิวทัศน์เปลี่ยนบรรยากาศ แต่เพิ่งแง้มม่านได้สักฟุตกลับชะงักค้าง

เจคกำลังเดินเล่นในสวน

เผอิญชายหนุ่มหันหลังให้จึงไม่เห็นเธอ วันนี้เขาสวมเสื้อยืดตัวโคร่งกางเกงขาสั้น เท้าเปลือยเปล่าย่ำบนหญ้าทั้งที่มีรองเท้าสำหรับเดินในสวนไว้ให้แท้ๆ ดูเหมือนคนนิวซีแลนด์ก็ชอบเดินเท้าเปล่ากันแบบนี้ สมัยไปที่นั่นเธอเคยเจอคนไม่ใส่รองเท้ายืนซื้อของในร้านสะดวกซื้อกับตา และไม่ใช่คนเดียวเสียด้วย ท่าทางเจคคงติดนิสัยทำนองนั้นมาเช่นกัน

กำลังคิดเพลินๆ ชายหนุ่มกลับหันหน้ามาพอดี ประสานสายตากันชั่ววาบวิมลินก็รวบปิดม่านทันควัน วินาทีนั้นค่อยรู้สึกตัวจนแก้มขึ้นสี ทำไมเธอต้องทำเหมือนหลบหน้าเขาด้วย

แต่…เธอก็กำลังพยายามหลบหน้าเขาจริงๆ

หญิงสาวหลับตาเอนซบม่าน ความเคว้งคว้างอึมครึมในอกผสมปนเปจนตัวเองก็แยกแยะความรู้สึกไม่กระจ่าง ที่พอบอกได้คงมีแค่เธออยากผลักไสเขาไปเสียให้ไกลๆ แต่อีกใจก็ไม่อยากถูกเขาเกลียด

ถ้าหัวใจตอนนี้เป็นเข็มทิศ มันคงหมุนติ้วสะเปะสะปะใช้บอกทิศทางไม่ได้เลย

วิมลินยังคงยืนอยู่เช่นนั้นจนเสียงสักอย่างดังขึ้น เธอหันขวับไปทันเห็นแผ่นหลังของเจคไหวๆ ก่อนหลบหายจากช่องประตูเปิดกว้าง เขาเคาะกรอบประตูราวจะใช้แทนคำทักทายแต่กลับไม่ยอมเข้ามา หญิงสาวนิ่งรอจนทนไม่ไหวต้องเดินออกไปเอง

บริเวณครัวเล็กหน้าห้องนั่งเล่นว่างเปล่าไม่เหลือแม้แต่เงาชายหนุ่ม แต่ตรงเคาน์เตอร์บาร์ของครัวกลับมีกาแฟเต็มแก้ววางอยู่ วิมลินแตะนิ้วยังผิวแก้ว สัมผัสไออุ่นที่ซึมผ่านขึ้นมาอย่างโหยหา

เมื่อทุกอย่างจบลงเขาจะจากลา บางทีอาจเร็วจนกาแฟไม่ทันเย็นเสียด้วยซ้ำ

เหนือขึ้นไปทางระเบียงในบ้านบนชั้นสอง แถวหัวบันไดวนซึ่งเป็นทางลัดจากครัวเล็กถึงห้องนอนวิมลิน เจคยืนหลบมุมซ่อนตัวก้มมองหญิงสาวเงียบๆ พอเห็นเธอดื่มกาแฟโดยดี หัวใจพลันพองโตจนเผลอยิ้มอยู่คนเดียว

งานนี้เขาไม่ยอมแพ้หรอก จะโดนปิดม่านใส่หน้าสักกี่ที จะถูกเธอผลักไสสักกี่ครั้ง ก็จะเด้งกลับมาเป็นตุ๊กตาล้มลุกเลย ความอดทนของเขามีไม่จำกัดหรอกน่า ติดปัญหาแค่อย่างเดียว ดูเหมือนเวลาจะไม่ค่อยพอ มีวิธีไหนช่วยได้บ้างไหมนะ

ตอนชายหนุ่มกำลังแอบภาวนานั้น คงนึกไม่ถึงความช่วยเหลือจะหล่นจากฟ้ามาไวเกินคาด!

 

เช้าวันรุ่งขึ้นวิมลินหนีไปทำงานก่อนเช่นเคย เจคจึงขับรถเช่ามาบริษัทคนเดียว หย่อนตัวยังเก้าอี้ทำงานก้นยังไม่ทันร้อนก็มีโทรศัพท์เข้ามา หลังรับสายจึงรุดออกนอกห้องทำงาน แล้วเจอเข้ากับวิมลินที่เพิ่งเดินมาจากลิฟต์ ต่างคนต่างชะงักชั่ววินาทีหญิงสาวก็เมินใส่เขา เธอก้าวไปถึงห้องทำงานของประเสริฐแต่เจคกลับตัดหน้าเคาะประตู อธิบายหน้าตาเฉย

“ลุงเสริฐก็เรียกผมมาเหมือนกัน”

จากนั้นรีบเปิดประตูเมื่อได้ยินประเสริฐร้องอนุญาต เลิกคิ้วทำนองเชื้อเชิญเธอล่วงหน้าไปก่อน หญิงสาวเม้มริมฝีปาก ก้าวเข้าห้องไม่พูดไม่จา

ประเสริฐกำลังเดินงุ่นง่านหลังโต๊ะทำงาน เมื่อเห็นแขกจึงผายมือทางชุดโซฟา “มากันแล้วหรือ นั่งก่อนๆ”

ประเสริฐย้ายไปนั่งโซฟาเดี่ยวตัวหนึ่ง วิมลินกับเจคแยกกันอยู่คนละฝั่งซ้ายขวา เมื่อเรียบร้อยเจ้าของห้องก็เกริ่นนำ

“ขอบใจที่อุตส่าห์มากันทั้งยุ่งๆ ช่วงนี้อิงแทบไม่ได้อยู่ดูแลเจคเลยนี่”

ชายหนุ่มหูผึ่ง หรือประเสริฐจะช่วยพูดให้วิมลินกลับมาเหมือนเดิม แต่หญิงสาวตัดบทเสียงเรียบ “อย่างที่ลุงเสริฐรู้นั่นแหละค่ะอิงยุ่งจริงๆ อีกอย่างให้พี่ปริ้นหรือพี่วัตสอนงานเจคบ้างก็ได้ความรู้หลากหลายดีออก”

ไม่ดีเลยคร้าบ เจคแอบครวญแต่แน่นอนว่าประเสริฐไม่ได้ยิน มิหนำซ้ำยังสนับสนุน “ใช่ๆ ลุงก็ว่าเหมาะสม งั้นเรื่อง…เอ้อ แฟชั่นโชว์ไปถึงไหนแล้ว”

“อิงช่วยแค่การประสานงานกับคนภายนอก คนดูแลหลักเป็นอาสุและลูกปลาค่ะ ลุงเสริฐถามทางนั้นจะได้ความมากกว่า”

เป็นตามที่วิมลินแจกแจง เจคเคยแอบสืบข่าวจนพบว่าวิมลินงานยุ่งมากไม่ใช่แค่หาข้ออ้างหลบหน้าเขา จึงยกหน้าที่หลักในการจัดการแฟชั่นโชว์ให้แม่ลูกคู่นั้นบริหาร ส่วนตัวเธอเท่าที่ฟังจากปวินท์กับภวัต เหมือนกำลังหัวหมุนกับการติดต่อคนภายนอกอยู่แต่ไม่มีใครทราบว่างานอะไร เรื่องพวกนี้กระทั่งเจคยังรู้แล้วประเสริฐจะไม่รู้ได้อย่างไร ชายหนุ่มจึงถามอย่างสงสัย

“ลุงเสริฐคิดว่างานแฟชั่นโชว์ยังดำเนินการไม่ดีหรือครับ จะให้พวกผมปรับปรุงตรงไหน”

“ไม่ใช่ๆ ตรงข้ามเลยต่างหาก…”

รองประธานโบกมือประกอบคำแต่ไม่ยอมอธิบายต่อ สีหน้าเหมือนอมดีขมไว้ทั้งก้อน เจคชักสังหรณ์ไม่ดีแต่เมื่อมองตรงไป วิมลินกลับทำท่าเฉยติดจะเฉื่อยเสียด้วยซ้ำ ใจที่กระวนกระวายจึงสงบลง ใช่แล้ว…จะร้อนรนทำไมเล่า ประเสริฐอุตส่าห์เรียกพวกเขามาคงไม่อมพะนำไว้หรอก เพียงอดทนรอเท่านั้น

และแค่ชั่วอึดใจประเสริฐก็โพล่งขึ้นอย่างอดไม่อยู่

“ที่ลุงจะพูดมันลำบากใจหน่อย ขอพวกเราฟังอย่างเป็นกลางด้วยนะ คุณวิแกติดต่อมาอยากให้แบรนด์ลูกปลากลับไปจัดแฟชั่นโชว์กับเธอเหมือนเดิม”

เจคอ้าปากค้าง แม้แต่วิมลินยังคุมสีหน้าไม่อยู่ เธอเลิกคิ้วสูง “อะไรนะคะ!”

“คือเมื่อวานวันหยุดใช่ไหม เหมยเขาชวนกินข้าวบอกมีแขก” ประเสริฐเอ่ยชื่อภรรยาซึ่งทำหน้าที่แม่บ้านเต็มตัว ไม่ยุ่งเกี่ยวกับบริษัท “ลุงเพิ่งรู้ตอนถึงเวลาว่าแขกคือคุณวิ ก็นะ เหมยกับวิเคยสนิทกันตั้งแต่ตอนเป็นสะใภ้ที่นี่ ลุงจะไล่แขกก็ดูเสียมารยาทเลยนั่งกินพอเป็นพิธี แล้วคุณวิดันเกริ่นเรื่องนี้ขึ้นมา”

“เธอว่ายังไงบ้างคะ” หญิงสาวเคาะนิ้วกับที่วางมือ แววตาพินิจพิเคราะห์

“คุณวิบอกว่าเธอลองทบทวนดูแล้ว รู้สึกตัวเองทำเกินไปถึงจะไม่ได้ตั้งใจก็เถอะ จึงอยากไถ่โทษด้วยการรับแบรนด์ลูกปลากลับเข้าร่วมแฟชั่นโชว์ของเธอตามเดิม จะโปรโมตเต็มที่และให้เดินฟินาเลปิดท้ายด้วย แค่ให้โอกาสเธอสักครั้ง”

เจคเพิ่งหาเสียงตัวเองที่ทำหล่นไปเจอ “ผมไม่อยากมองโลกแง่ร้ายหรอกนะ แต่เชื่อเธอได้หรือครับ”

“คุณวิดูสำนึกผิดจริงๆ เธอยืนยันว่าพอจะเริ่มทำใจเรื่องศลได้เพราะคนก็ตายไปแล้ว” เขาขยับตัวอย่างกระตือรือร้น “และเหยียบไว้เลยนะลุงรู้ข่าววงในมา บริษัททางบ้านคุณวิเพิ่งเสียดีลงานใหญ่ไปจนระส่ำระสาย เริ่มมีความคิดกันว่าอยากหวนกลับมาหาพวกเรา ทางนั้นคงกดดันคุณวิน่าดู ตอนเธอเอ่ยชวนแบรนด์ลูกปลาก็เกริ่นอ้อมๆ ทำนองนี้เหมือนกัน แต่คงไม่กล้าพูดเต็มปากเพราะเสียหน้า ก็ตัวเองเป็นต้นเหตุเรื่องทั้งหมดแท้ๆ”

เจคกอดอก เขาไม่ใช่พวกไก่อ่อนไม่รู้ความแบบสมัยที่เพิ่งเดินเข้าตึกนี้อีกแล้ว จึงพอทราบความสำคัญของบริษัทคู่ค้าเก่าที่เคยมีต่อบุหรงกาญจน์ ถ้าเปรียบการแข่งขันในวงการเสมือนสนามม้าแข่ง บุหรงกาญจน์ยามนี้ก็เป็นแค่ม้าสามขา หากได้บริษัทคู่ค้าเก่ากลับคืนมาจึงจะครบสี่ขาดังเดิม ไม่สิ ในสถานการณ์ที่หลายฝ่ายกำลังมองว่าบุหรงกาญจน์ที่ไร้ซึ่งโกศลจะเดินหน้าอย่างไร การจับมือครั้งนี้ยิ่งราวกับติดปีกเสริมให้ม้าแข่ง จะพุ่งทะยานเข้าเส้นชัยเป็นอันดับหนึ่งย่อมไม่ใช่เรื่องไกลเกินฝัน อาจกลายเป็นผลงานยิ่งใหญ่เกินกว่ายุคของโกศลเสียอีก ประเสริฐจึงกระเหี้ยนกระหือนัก

“แต่ผมไม่เชื่อใจคุณวิเลยครับ” ชายหนุ่มโพล่งไปตรงๆ

“ใช่ เราต้องระวังตัวลุงเลยแบ่งรับแบ่งสู้ไป แต่คุณวิเขากระตือรือร้นมาก เสนอตามมาเลยถ้าเราตกลง เธอจะประกาศความร่วมมือของทั้งสองฝ่ายในงานสังสรรค์สมาคมธุรกิจสิ่งทอที่กำลังจะจัดขึ้น”

สมาคมธุรกิจสิ่งทอดังกล่าวรับสมาชิกเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่เท่านั้น จะจัดงานสังสรรค์แค่ปีละครั้ง งานไม่ใหญ่แต่มีความสำคัญมาก เพราะผู้ที่ได้รับเชิญหมายถึงความทรงอิทธิพลในวงการอย่างกว้างขวาง ถ้าเทวิกากล้าออกตัวประกาศเรื่องความร่วมมือในงานย่อมเป็นการการันตีแบบหนึ่ง ด้วยหากเธอบิดพลิ้วขึ้นมาจะเสียหน้าในวงการอย่างมาก และยังเป็นการแสดงออกต่อหน้าทุกคนว่าเธออ่อนข้อให้บุหรงกาญจน์แล้ว พูดง่ายๆ เทวิกายอมถอยจนเกือบสุดทางทีเดียว

เจคหรี่ตาครุ่นคิด หรือคำขู่ของวิมลินในวันนั้นจะได้ผลเข้าจังเบอร์ สยบม้าพยศอย่างเทวิกาลงราบคาบ

“ว่าไงอิง” ประเสริฐเลียบเคียงถามหลานสาวผู้สงบคำมาพักใหญ่ “ข้อเสนอของคุณวิฟังไม่เลวนะ”

“ถ้าจะถามความเห็นอิง ไม่ลองถามอาสุดูก่อนล่ะคะ”

ประเสริฐชะงักเหมือนโดนชกใส่ เจคก็พยักหน้าหงึกๆ “นั่นสินะ จากที่กำลังจะได้จัดแฟชั่นโชว์ของตัวเองกลับต้องไปอยู่ใต้ชายคาคนอื่นอีกรอบ ปล่อยงานที่ทำหลังขดหลังแข็งสลายเป็นอากาศธาตุ อาสุกับลูกปลาจะยอมง่ายๆ หรือครับ”

รองประธานกำหมัดกระแอมให้คอโล่ง อึกอักก่อนจะยอมเอ่ย “ลุงเองก็ลำบากใจ แต่งานนี้มันส่งผลดีต่อบริษัทอย่างมากเราไม่ควรละทิ้งโอกาส ลุงถึงต้องเรียกพวกเรามาคุยกันก่อนไง ถ้าอิงจะช่วยลุงกล่อมอาสุเขาอีกแรง…”

ประเสริฐแจกแจงยังไม่ทันจบ เสียงเคาะประตูพลันดังตัดบทพร้อมกับที่สุขุมาลเปิดประตูผลัวะเข้ามาทันที ผู้เป็นพี่ชายสะดุ้งโหยง

“สุ! มาทำอะไร”

สุขุมาลหันไปพูดกับพนักงานที่ยืนตัวลีบหน้าห้อง “บอกแล้วไงฉันมาพบพี่เสริฐ ยังจะต้องรอเธอรายงานก่อนทำไมล่ะ กลับไปทำงานซะ”

พนักงานค้อมศีรษะให้ประเสริฐแทนการขออภัยที่รั้งสุขุมาลไว้ไม่ทันแล้วลนลานปิดประตู สุขุมาลกวาดตารอบห้องเที่ยวหนึ่ง “อ้าว อิงกับเจคอยู่ด้วยหรือ ก็ดีจะได้คุยทีเดียว”

เบือนหน้าไปทางพี่ชาย “ได้ข่าวว่าคุณวิติดต่อมาเรื่องจะเอาแบรนด์ลูกปลากลับเข้าแฟชั่นโชว์ และจะเปลี่ยนใจยอมร่วมมือกับบุหรงกาญจน์อีกครั้งใช่ไหม”

ประเสริฐอ้าปากเหวอ “เธอรู้ได้ยังไง!”

“ฉันเพิ่งโทรคุยกับเหมยเมียพี่ เรานัดกันจะไปตัดเสื้อใหม่ แล้วเธอดันหลุดปากที่คุณวิไปกินข้าวเย็นกับพี่เมื่อวาน”

รองประธานกุมขมับ เจคนึกขำ ไม่คิดเลยภรรยาของประเสริฐจะซื่อขนาดนี้

“บอกไว้เลยนะ” สุขุมาลยื่นคำขาดระหว่างกระแทกตัวนั่ง “แบรนด์ลูกปลาจะไม่เข้าร่วมแฟชั่นโชว์ของคนอื่น ถึงต่อรองด้วยบริษัทของคุณวิก็ไม่เอา!”

ประเสริฐอ้าปากพะงาบๆ เหมือนปลาขาดน้ำ แล้วจู่ๆ ก็หันขวับมองวิมลิน “อิง! เรามีอะไรจะอธิบายให้อาสุฟังไหม”

เจคพลันขมวดคิ้ว นี่มันไม่ใช่ขอความช่วยเหลือสักหน่อย ประเสริฐเอาวิมลินมาเป็นหนังหน้าไฟชัดๆ คิดจะให้หลานสาวถูกต่อว่าแทนส่วนตัวเองรับแต่ผลประโยชน์งั้นสิ และจากประสบการณ์ที่ผ่านมา เขาแน่ใจวิมลินคงยอมให้แม้จะรู้ทั้งรู้เสียด้วยซ้ำ ชายหนุ่มปวดหัวตุบ รีบโพล่งตัดบทหญิงสาวที่กำลังจะเอ่ยปากพูด

“เป็นผมครับ ผมเองที่กำลังพิจารณาข้อเสนอของคุณวิอยู่”

วิมลินชะงัก แต่ปกติเธอไม่ใช่คนแสดงอารมณ์โจ่งแจ้ง จึงแค่เผลอย่นหัวคิ้วนิดหน่อยตอนชำเลืองมองเขา ตรงข้ามกับสุขุมาลที่กำลังเม้มริมฝีปากแน่น

“เจค! เธอจะทำโดยไม่ปรึกษากันสักคำเลยรึ”

“ผมแค่ขอพิจารณาครับไม่ใช่จะตอบตกลงซะหน่อย” เขาแบ่งรับแบ่งสู้ ลองทบทวนข้อมูลที่รู้มาตอนเข้าประชุมหรือช่วยทำงานช่วงนี้ แล้วเสริมว่า “เราควรเอาผลประโยชน์บริษัทเป็นหลัก ที่เราริจัดงานแฟชั่นโชว์ครั้งแรกมันเจออุปสรรคหลายอย่างจริงๆ ฉะนั้นการย้อนกลับไปร่วมงานกับผู้จัดที่มีประสบการณ์แล้วอาจส่งผลดีกว่า”

สุขุมาลคอแข็ง “เจคยังไม่เคยลองงานใหญ่เลยขี้กลัวไปหน่อยมั้ง แค่ข้อติดขัดเล็กน้อยไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อาจัดการได้แน่”

เจคเริ่มอ้ำอึ้งเพราะไม่เชี่ยวชาญพอจะโต้แย้งอีกฝ่าย วิมลินจึงช่วยพูดแทน “ข้อติดขัดเล็กน้อยถ้ามันเกิดหลายครั้งติดต่อกันก็อาจล้มช้างได้นะคะ”

“หา!?” ประเสริฐหลุดเสียงร้อง “ทำไมล่ะ แฟชั่นโชว์มีปัญหาอะไรหรือ”

เนื่องจากภาระงานหลายอย่าง พวกเขาจึงแยกเรื่องการจัดแฟชั่นโชว์ให้สุขุมาล โปรดปราน วิมลินและเจคเป็นผู้ดูแลจัดการ ส่วนคนที่เหลือคือตัวประเสริฐเอง ปวินท์และภวัตบริหารบริษัทแทนคนอื่นที่กำลังยุ่ง พวกหลังนี้จึงไม่ค่อยทราบข้อมูลภายในของการเตรียมงานแฟชั่นโชว์นัก

วิมลินแจกแจงรายละเอียด “งานแฟชั่นโชว์ครั้งแรกของบุหรงกาญจน์มันต้องโดดเด่นและสร้างความประทับใจเพื่อสร้างกระแส รูปแบบการจัดแสดงจึงควรหาเอกลักษณ์แปลกใหม่ แต่เรายังทำถึงขั้นนั้นไม่ได้เพราะบุคลากรของเราไม่ชำนาญสิ่งเหล่านี้ ถึงจ้างคนภายนอกมาช่วยแต่ด้วยเวลาจำกัดเลยยังไม่ค่อยเข้าขากัน จนต้องสรุปว่ารูปแบบการจัดแสดงจะใช้เหมือนทั่วๆ ไปก่อน อันนี้อาสุก็ยอมรับใช่ไหมคะ”

สุขุมาลพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ ส่วนหลานสาวก็อธิบายต่อ

“ในเมื่อไม่สามารถเน้นเอกลักษณ์ความโดดเด่น เปลี่ยนไปเล่นกับกระแสตลาดก็พอช่วยแทนได้ กระแสตลาดตอนนี้ที่มาแรงคงพวกอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพราะธุรกิจสิ่งทอมีปัญหาเรื่องนี้มาตลอด หรือไม่ก็ต้องอิงกระแสแฟชั่นยูนิเซ็กซ์ (Unisex)” ถอนใจเบาๆ “แต่คอลเล็กชันเสื้อผ้าที่ลูกปลาออกแบบไว้เล่นกับกระแสสองอย่างนี้ไม่ได้เลย”

“บอกให้ลูกปลาแก้ไขไม่ได้รึ” ประเสริฐสงสัย “ไอ้เรื่องอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมคงยากเพราะการเปลี่ยนไปใช้ผ้าประเภทนั้นมีผลกับการตัดเย็บ แต่ถ้าออกแบบเพิ่มพวกแฟชั่นยูนิเซ็กซ์เข้าไปน่าจะพอได้นี่”

“เรายังกล่อมลูกปลาเปลี่ยนใจแก้ไขหรือออกแบบเพิ่มไม่ได้ครับ” เจคแถลง “เพราะอิงกับเธอดันทะเลาะกันซะก่อน”

ประเสริฐเบิกตาโต หันมองน้องสาวราวจะขอคำอธิบาย สุขุมาลจำใจตอบ

“ลูกปลาอยากเอาเพื่อนชื่อแชมเปญมาเดินแบบบนเวทีแฟชั่นโชว์ แต่อิงคัดค้านเพราะแครักเตอร์ของแชมเปญไม่เหมาะกับเสื้อผ้าสไตล์แบรนด์ลูกปลา ลูกปลาเลยจะออกแบบใหม่ให้เข้ากับเพื่อน อิงไม่เห็นด้วยจนทะเลาะกัน ดูเหมือนก่อนสุจะเข้าไปคุมงานทั้งสองคนก็เคยขัดแย้งเรื่องนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง มันเลยลุกลามบานปลาย”

ประเสริฐเพิ่งเข้าใจ เคยได้ยินมาบ้างว่าวิมลินกับโปรดปรานไม่ลงรอยกัน จนวิมลินยอมถอยไปทำงานเบื้องหลังคอยดูแลประสานงานคนภายนอก ปล่อยหน้าที่จัดการเบื้องหน้าต่างๆ ให้สุขุมาลกับบุตรสาว

“แล้วไง” ประเสริฐซักต่อ “สุเอาเด็กชื่อแชมเปญอะไรนั่นมาเดินแบบไหม”

สุขุมาลเอ่ยอ้อมแอ้ม “ไม่ค่ะ เพราะมันก็จริงอย่างอิงว่า อีกอย่างเราหานางแบบไว้ครบแล้ว จะให้ลูกปลาเสียเวลาออกแบบใหม่แถมต้องไล่นางแบบคนอื่นออกมันเกินไปหน่อย”

เจคก้มหน้าลง เพื่อนโปรดปรานที่ชื่อแชมเปญนั่นเขาก็รู้จัก เป็นหนึ่งในกลุ่มหญิงสาวซึ่งโปรดปรานพาไปเที่ยวผับกับเขาและปวินท์นั่นเอง ทว่าที่ชายหนุ่มสนใจหาใช่ผู้หญิงคนนั้นไม่ แต่เป็นเรื่องที่สุขุมาลอ้างชื่อวิมลินมาใช้ปฏิเสธบุตรสาวแทนตัวเองต่างหาก เขาทราบแก่ใจเพราะเคยเข้าประชุมคราวนั้นด้วย คิดแล้วพานหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง

ประเสริฐเกยหลังศีรษะกับพนักพิง เอ่ยเสียงเหนื่อย “ปัญหาเยอะจริงๆ นั่นแหละน้า”

“เราก็พยายามแก้ไขกันอยู่” สุขุมาลค้าน “อย่างการหาเอกลักษณ์ให้รูปแบบจัดแสดง มีคนเสนอวิธีถ่ายทอดสดแฟชั่นโชว์ผ่านอินเทอร์เน็ตไปเลย เราจะได้ผู้ชมในวงกว้างและยังแปลกใหม่เพราะเมืองไทยไม่ค่อยมีใครทำ”

วิมลินกลับส่ายหัว “ที่ไม่ค่อยทำกันเพราะมันไม่เข้ากับบริบทสังคมไทยมากกว่าค่ะ คนไทยยังมองแฟชั่นโชว์เป็นงานสังคมรูปแบบหนึ่ง ต้องมาชมงานเพื่อพบปะเพื่อนฝูงหรือเซเล็บ โชว์ตัวออกสื่อ การถ่ายทอดทางอินเทอร์เน็ตไม่ตอบโจทย์พวกนี้”

สุขุมาลจนคำโต้แย้ง “อาแค่อยากอธิบายพี่เสริฐว่าพวกเราพยายามกันแค่ไหนเท่านั้น และเผอิญมาเจออิงพอดีอาเลยขอพูดหน่อย วิธีที่อิงเพิ่งเสนอเมื่อสัปดาห์ก่อนก็เข้าท่านะ อาเห็นด้วยเต็มที่”

“วิธีอะไร” ประเสริฐซักอยู่คนเดียว

“อิงเสนอให้ใช้กลยุทธ์ See Now, Buy Now”

คนถามลองทบทวนข้อมูลที่มีในหัว สักพักค่อยนึกออก



Don`t copy text!