บุพเพข้ามฟ้า บทที่ 15 : มนตราแห่งสายฝน

บุพเพข้ามฟ้า บทที่ 15 : มนตราแห่งสายฝน

โดย : รตี

บุพเพข้ามฟ้า โดย รตี เรื่องราวของการเดินทางเพื่อตามหาหัวใจของคนอื่น แต่สุดท้ายกลับเป็นเส้นทางที่ทำให้เขาได้ค้นพบกับหัวใจของตนเอง ณ ที่แห่งนี้ เมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา ดินแดนเพื่อนบ้านที่ไม่ได้โด่งดั่งแต่สายลมแห่งโชคชะตาพัดพาให้สองหัวใจข้ามฟ้ามาเจอกัน นวนิยายโรแมนติกที่อ่านเอานำมาให้นักอ่านทุกท่านได้เพลิดเพลิน

โครม!

อนลเด้งผึงขึ้นมาจากโซฟา แวบแรกนึกว่าตัวเองหูฝาด นิ่งอยู่สักพักเพื่อฟังเสียงให้แน่ใจว่ามันคือเสียงอะไร แม้ไม่ได้ยินเสียงอะไรต่อ แต่ก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างที่ด้านบนชั้นสอง จึงตัดสินใจลุกขึ้นและลองขึ้นบันไดไปดู

ชั้นสองซึ่งเป็นห้องนอนของเขามืด แต่ก็ไม่ได้มืดสนิทเพราะยังพอมีแสงสว่างจากด้านล่างส่องขึ้นมาบ้าง ตอนแรกที่สายตายังปรับไม่ชินกับความมืดก็ยังมองอะไรไม่ชัดนัก แต่แค่ก้างขึ้นมาถึงก้าวแรกก็รับรู้ได้ว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นในห้องนอนของตนแน่ๆ เพราะวูบหนึ่งของลมที่พัดเข้ามาสัมผัสผิวกายนั้นเป็นไอลมฝนจากด้านนอก กวาดตามองทีเดียวก็ทราบถึงสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะประตูกระจกตรงระเบียงถูกเลื่อนเปิดไว้ครึ่งบาน ในใจนึกขุ่นขึ้นมาทันทีเพราะก็มีอยู่คนเดียวที่เพิ่งออกจากประตูบานนี้ไปและไม่ปิดให้เรียบร้อยจนลมหอบฝนสาดเข้ามาแบบนี้

แต่เมื่อก้าวเข้าไปเพื่อจะเลื่อนประตูปิด ภาพที่เห็นก็ทำให้ใจที่เคยหงุดหงิดต้องหล่นวาบไปอยู่ที่ตาตุ่ม!

ที่พื้นระเบียงด้านนอกหลังบานประตู ท่ามกลางสายฝนที่กำลังตกอย่างไม่ลืมหูลืมตา มีร่างหนึ่งนอนนิ่งกองอยู่ที่พื้น

ได้ยินเสียงที่ดังยิ่งกว่าเม็ดฝนตกกระทบพื้น ก็คือเสียงของหัวใจตนเองที่หล่นกระทบซ้ำลงไปบนพื้นที่ชุ่มน้ำ อนลลืมทุกสิ่งทุกอย่างหมดสิ้น ทั้งฝน ทั้งเปียก กระโดดออกไปท่ามกลางสายฝนเพื่อช้อนร่างนั้นขึ้นมา เสียงลมฝนพัดโหมหนักเท่าไร เสียงตะโกนเรียกชื่อก็ดังออกไปหมดเท่านั้น ภาพใบหน้าซีดไร้สีและดวงตาปิดสนิททำให้รู้สึกเหมือนเม็ดฝนแต่ละเม็ดที่มันปะทะหน้านั้นมันคมกริบยิ่งกว่าเข็มนับพันรัวทิ่มลงไปที่หัวใจ

ลืมความเจ็บที่แขนของตัวเองไปจนหมดสิ้นเช่นกัน ไม่รู้ว่ามีเรี่ยวแรงจากไหนที่ช้อนร่างนั้นไว้ในอ้อมแขน ก่อนยกอุ้มและลุกขึ้น พาร่างนั้นหลบจากเม็ดฝนที่ไร้ความปรานีเข้ามาในห้องเสียก่อน

“นันดา! นันดา!”

อนลไม่เคยรู้จักคำนี้ เขาไม่รู้จะเรียกความกลัวจับใจที่มันเกิดขึ้นในใจตนเองตอนนี้ว่าอะไร มือไม้แข็งทื่อ คิดอะไรไม่ออกทำอะไรไม่ถูก มันชาไปหมดตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ใช่ชาเพราะความหนาวเย็นของเม็ดฝนที่ทำให้เสื้อผ้าเปียกชื้นไปทั้งตัว แต่มันชาเพราะความวิตกโดยเฉพาะเมื่อยกมือสัมผัสที่พวงแก้มนั้นแล้วมันร้อนยิ่งกว่าไฟ ทั้งที่ทั้งตัวและเสื้อผ้านั้นเปียกชื้นด้วยความเย็น

“นันดา!”

เสียงเรียกนั้นร้อนรนอย่างเสียอาการ ตะโกนเรียกซ้ำๆ อยู่หลายครั้ง ก่อนความฟูจะกลับมาในหัวใจอีกครั้ง ค่อยถอนหายใจได้อย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าเปลือกตานั้นเริ่มขยับ และดวงตากลมโตก็ค่อยๆ ลืมขึ้นคล้ายคนงัวเงีย

ไม่สนว่าเธอจะเปียกปอน ไม่สนความถูกผิดเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม สิ่งเดียวที่คิดได้หลังจากที่เห็นความมีชีวิตชีวากลับมาในดวงตานั้นอีกครั้ง คือกระชับร่างในอ้อมแขนเข้ามากอดแน่น ซบหน้าลงไปกับเรือนผมเปียกชื้น โดยไม่สนใจว่าตัวเองจะต้องเปียกปอนตามไปด้วยหรือไม่แต่อย่างใด

“ฉันตกใจแทบแย่”

ไม่ใช่แค่คนกอดที่ตกใจแทบแย่ คนถูกกอดก็ตกใจแทบแย่ไม่แพ้กัน ดูได้จากดวงตาที่เบิกกว้าง ไม่ทันตั้งตัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าไม่ได้สัมผัสอ้อมแขนที่แข็งแรงหรือแรงสัมผัสที่แนบแน่น เธอคงจะคิดว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้เป็นความฝันแน่ๆ เพราะสภาพเขาตรงหน้าเปียกโชก ผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่ห่วงมาดผู้บริหารเหมือนที่เคยเห็น ความใกล้ทำให้เห็นใบหน้าอันร้อนรน สายตาและเสียงเรียกที่ห่วงใย ทั้งภาพและเสียงของสิ่งที่เธอได้ยินนี้มีความเป็นไปได้ที่จะอยู่ในโลกแห่งความฝันมากกว่าความเป็นจริง

“คะ…คุณ เป็นอะ…อะไร ทำไมทำหน้าแบบนั้น”

นันดาไม่รู้จะเลือกคำถามไหนมาถามก่อน คนปากเก่งกลายเป็นพูดไม่ออกเมื่อหลังจากถูกละจากการกอด ก็ยังคงถูกตรึงด้วยสายตาคู่นั้น ยิ่งมึนงงเมื่อมือนั้นยกขึ้นมาลูบแก้ม แทบจะห้ามความร้อนผ่าวและเลือดที่ฉีดออกมาจากหัวใจและวิ่งผ่านขึ้นมาที่สองแก้มไม่ทัน คิดว่าสีหน้าตัวเองตอนนี้คงดูแย่มากและจะแย่ไปกว่านี้ถ้าปล่อยให้ถูกจ้องในระยะใกล้แบบนี้ต่อไปอีกนิด จึงรีบขยับตัวลุกขึ้น

“เธอเป็นลมไป เจ็บตรงไหนมั้ย หัวกระแทกหรือเปล่า”

อนลไม่ตอบคำถาม เพราะก็ไม่รู้ว่าหน้าแบบนั้นคือแบบไหนชายหนุ่มก็บอกตัวเองไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้สนใจตัวเอง มัวแต่รีบกวาดตาสำรวจดูเนื้อตัว ศีรษะ แขน ขา ถอนหายใจเบาๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีส่วนไหนได้รับบาดเจ็บหรือบุบหัก

“เป็นลม?” คนป่วยย้อนถาม ทำหน้าเหมือนยังไม่เชื่อด้วยซ้ำ พยายามจะลุกขึ้นยืน แต่ด้วยอาการเวียนหัวที่ตีขึ้นมาทำให้ก็เริ่มยอมรับว่าที่ชายหนุ่มพูดอาจจะเป็นเรื่องจริง “สงสัยหิวข้าวมั้ง งานยุ่งมาก ลืมกินข้าวเย็นเลย”

คนป่วยสรุปส่งๆ ดูไม่ได้ตื่นตกใจกับอาการของตัวเอง ซึ่งต่างจากคนถามที่หน้าซีดหัวใจจะวายเลยพานทำให้โมโหท่าทางไม่เดือดร้อนนั้น

“แล้วเป็นไข้หนักขนาดนี้ ทำไมไม่บอก”

เสียงดุเพราะตอนนี้มันโมโหจริงๆ โมโหคนป่วยที่ดูจากหน้าเจื่อนแล้วก็คงรู้ตัวเองดีว่าไม่สบาย แต่ก็ยังนั่งทำงานให้เขาหน้าตาเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น โมโหที่มากกว่าคือโมโหตัวเองที่ติดนิสัยทำงานเพลินจนลืมเวล่ำเวลา ไม่ได้นึกถึงว่าตอนที่หญิงสาวกลับมานั้นฝนก็เริ่มตก เธอมานั่งทำงานในห้องแอร์เย็นๆ ทั้งที่ตัวเปียก ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงไม่ปริปากพูด และก็โกรธตัวเองที่ไม่รู้จักสังเกตถาม

“ฉันไม่เป็นอะไรหรอก”

เพราะไม่นึกชอบการโดนดุ หญิงสาวจึงพยายามดึงตัวเองให้ลุกขึ้นจากพื้นอีกครั้ง แต่ก็ดูจะเป็นไปได้ด้วยความยากเย็นเหลือเกิน เพราะทรงตัวลุกขึ้นมาได้ก็เพราะแรงพยุงที่ด้านหลัง แม้ปากจะแข็ง แต่มือที่ร้อนฉ่านั้นกำแขนของอีกคนไว้แน่นเพราะอาการโลกหมุนหวิวๆ มันโจมตีทันทีที่ลุกขึ้นยืน จนเอนซบลงไปกับร่างสูงที่เหมือนจะรู้เพราะเตรียมรอรับน้ำหนักไว้อยู่แล้ว

“เดี๋ยวฉันกลับห้องไปนอนก็คงดีขึ้น”

“ไม่ได้!” อนลต้องสวนขวับ เพราะขณะที่พูดนั่นศีรษะก็ยังซบอยู่ที่บ่าตนเอง ถ้าไม่ได้มือที่พยุงเอวนั้นไว้ก็คงทรุดลงไปกองที่พื้นเรียบร้อย แม้จะโดนตาตากลมดำขลับมองค้อนก็ไม่สนใจ “ถ้าเธอกลับห้องไปแล้วเป็นอะไรอยู่ในห้องคนเดียวจะทำยังไง”

ดุเสร็จท่านประธานผู้ถนัดเผด็จการอยู่แล้วก็จัดการรวบอำนาจ กึ่งดึงกึ่งประคองคนที่แน่นอนว่าต้องไม่มีแรงขัดขืนไปที่เตียงกลางห้อง วางลงเบาๆ แต่เสียงที่กำชับไม่เบา

“นอนที่นี่แหละ”

“ฮะ!” นันดาเผลอร้องออกไปเพราะความงง เงยหน้าขวับขึ้นไปมองเจ้าของห้อง “แต่…”

“ถ้าเธอยังเถียงฉันอีก ฉันจะไปตามป้าเมย์”

“อย่า!”

แม้ไม่อยากงัดมุกสุดท้ายมุกนี้มาใช้แต่ก็ต้องยอม เพราะรู้ว่ามารดาหรือเจ้าของโรงแรมแห่งนี้จะเป็นคนสุดท้ายที่แม่ตัวแสบนี่จะหือด้วย ไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมปีนเข้าปีนออกบ้านตัวเองจนตากฝนไม่สบายแบบนี้ การตอบสนองต่อมุกเด็ดของเขาจึงเป็นเพียงการบ่นอุบอิบ และรู้ว่าดิ้นไปไหนก็คงยากเลยจำยอม ทำท่าจะเอนซุกหัวที่หนักอึ้งลงไปบนหมอน

“เดี๋ยวก่อน”

“อะไรอีก” คราวนี้คนป่วยชักยัวะ เมื่อจะลุกก็ไม่ได้ จะนั่งก็ไม่ได้ หันกลับมามองผู้คุมที่ยืนเท้าเอวจ้องเธออยู่ อยากจะเท้าเอวกลับเหมือนกันแต่สังขารดันไม่อำนวย

“จะนอนในสภาพนี้ได้ยังไง เดี๋ยวก็เป็นปอดบวมตายหรอก” อนลว่า “ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”

แม้จะเป็นกุลสตรีที่ห่างไกลกับคำว่าเรียบร้อยอยู่มากโข แต่เมื่อได้ยินประโยคคำสั่งนั้น ดวงหน้านั้นก็เหวอไปเหมือนกัน ก่อนที่รอยแดงก่ำที่ไม่น่าจะเกิดจากพิษไข้จะแผ่ซ่านขึ้นบนผิวหน้า

“จะบ้าเหรอ จะเปลี่ยนยังไง เสื้อผ้าฉันอยู่ที่ห้อง…”

อนลแอบคิดในใจว่ายังดีที่อย่างน้อยเจ้าหล่อนก็ยังมีความเป็นสุภาพสตรีหลงเหลืออยู่บ้าง รอยยิ้มเก้อๆ นั้นทำให้เกิดสีหน้าที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนซึ่งมันก็ดูน่ารักไปอีกแบบ ถ้าไม่ติดว่ากำลังไม่สบาย อนลก็คิดว่าตัวเองคงจะอดแซวท่าทางที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าคืออาการเก้อเขินนั้นไม่ได้ แต่เพราะตอนนี้ไม่ใช่เวลาจึงทำแค่แอบยิ้มและเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าของตน ก่อนจะเลือกเสื้อตัวที่คิดว่าเล็กที่สุดยื่นส่งให้

“เอานี่ไปก่อน เปลี่ยนชุดซะ ฉันจะลงไปรอข้างล่าง ถ้าเปลี่ยนเสร็จแล้วตะโกนบอกด้วย”

 

หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกชื้นของตัวเองออก เจ้าของห้องที่ลงมารออยู่ข้างล่างก็เดินวนรอบห้องเป็นหนูติดจั่น เดินตั้งแต่จากบันไดเหล็กวนไปที่ระเบียงติดสวนที่ม่านฝนยังหนาและลมพายุก็ไม่ได้ผ่อนความแรงลงเลย ยืนมองฝ่าออกไปในความมืดได้สักพักก็เดินวนกลับมาที่บันไดเหล็ก แม้จะเงยมองจนคอตั้งแต่ก็ไม่กล้าก้าวขึ้นไป สองหูพยายามฟังเสียงเรียกที่ผ่านไปครู่ใหญ่แล้วก็ยังไม่ดังขึ้นจนเริ่มคิดว่ามันนานผิดปกติ ใจที่มันกังวลอยู่แล้วเริ่มจินตนาการถึงเหตุผลของความเงียบนั้นซึ่งล้วนไม่มีเรื่องดี ยิ่งคิดไปคิดมามากๆ ก็ยิ่งหมดความอดทน ในที่สุดก็กัดฟันตัดสินใจก้าวขึ้นบันไดฉับๆ อย่างอดทนรอต่อไปไม่ได้แม้แต่นาทีเดียว

เมื่อร่างสูงปรากฏตัวที่บันไดขั้นบนสุด สองขาก็หยุดนิ่งไปอัตโนมัติ ไม่ใช่เพราะด้วยไม่มีขั้นบันไดให้ก้าวต่อ แต่มันเป็นด้วยอาการก้าวขาไม่ออกต่างหาก

ที่บนชั้นสองของห้องที่ออกแบบมาเป็นแบบดูเพล็กซ์หรือห้องสองชั้น ภายใต้ดรีมแคชเชอร์หรือตาข่ายดักฝันอันใหญ่บนผนัง เฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ชิ้นเดียวที่มีคือเตียงไม้กลางห้อง ข้างเตียงคือโคมไฟไม้วินเทจที่แสงสีส้มสลัวเป็นแสงเดียวที่ทาบทอทุกสิ่งให้ดูนุ่มนวลคู่เคียงไปกับยามราตรี แต่สิ่งที่แสงไฟทอดไปแล้วมันสว่างเด่นต้องตาที่สุดคือร่างหนึ่งที่นอนอยู่บนเตียง เสื้อนอนแขนยาวทรงผู้ชายใหญ่โคร่งและยาวพอที่จะกลายเป็นชุดกระโปรงได้เพราะคนใส่ตัวเล็กกว่าเยอะมาก แต่มันก็ไม่ยาวพอที่จะคลุมผิวต้นขาอันขาวเนียนละเอียดที่เป็นจุดต้องตาเพราะมันสว่างราวกับมีออร่าเปล่งประกายออกมาจากเนื้อนั้น

นั่นยังไม่กระตุกใจได้เท่ากับใบหน้านวลใสไร้เครื่องสำอางราวกับเด็กน้อยที่ตะแคงซุกอยู่กับอ้อมแขนของตัวเอง ความเป็นธรรมชาติ ไร้การปรุงแต่ง ดึงคนมองให้ไม่อาจละสายตาออกไปได้เลย

ทั้งที่ฝนในเมืองย่างกุ้งคืนนี้ก็ตกราวกับพายุจะถล่ม แถมเครื่องปรับอากาศในห้องก็เปิดไว้เสียเย็นฉ่ำ แต่อนลกลับรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นที่หน้า กลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อกโดยไม่รู้ตัว รีบจัดการลมหายใจที่เผลอติดขัด ต้องเรียกสติให้กลับมาด้วยการหันหน้าหนีภาพนั้นก่อน ต่อไปคือสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็เดินดุ่มๆ เข้าไปดึงผ้าห่มสีขาวที่พับไว้ที่ปลายเตียง สะบัดกางออกทีเดียวก็คลุมร่างนั้นไว้จนมิด

เป็นอะไรของแกอนล

ที่ต้องถามตัวเองขึ้นมาเร่งด่วนแบบนี้ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกในชีวิตเกือบสามสิบกว่าปีที่ชายหนุ่มอย่างเขาอยู่กับผู้หญิงในห้องนอนสองต่อสอง คนที่โชคชะตาพัดผ่านมาแต่ละคนก่อนหน้านั้นต้องเรียกได้ว่าสวยกว่านี้ น่ารักกว่านี้ ระดับนางแบบ ดารา หรือไฮโซนั้นก็มีนับไม่ถ้วน แต่ที่เขาต้องหยุดถามตัวเอง เพราะไม่เคยมีครั้งไหนที่หัวใจมันรู้สึกบอกไม่ถูกแบบนี้

หรือว่าเขาจะตากฝนจนเพี้ยนไปกันนะ

ขณะที่อีกคนกำลังฟุ้งตามประสาคนชอบวิเคราะห์ คนที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวด้วยเลยก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาคล้ายเด็กงัวเงีย และก็ไม่ได้สนใจอะไรนอกจากดึงผ้าห่มที่ทับตัวไว้ไปกอด ซุกหน้าลงไปเพื่อหนีความหนาวเย็น แต่ก็ไม่วายที่จะเอ่ยแบบคนไม่มีแรงออกมาว่า

“มียาแก้ปวดอยู่ที่ลิ้นชักริมหน้าต่างน่ะ”

ตอนแรกนึกว่าเธอพูดเรื่อยเปื่อยเพราะไม่สบายจนเบลอ แต่เพราะมันมีลิ้นชักอยู่ที่ริมหน้าต่างจริงๆ ซึ่งเขาเองก็ไม่ค่อยได้สนใจและไม่เคยเปิดใช้งานเพราะของส่วนมากถูกเก็บไว้ที่ห้องข้างล่างหมดแล้ว ครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกที่ผู้เช่าห้องได้เฉียดกรายเข้าไปเปิดมันดู และก็ต้องเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจเมื่อพบยาแก้ปวดหัวอยู่ในนั้นจริงๆ เอะใจเพียงนิดว่าเจ้าหล่อนทราบได้อย่างไร แต่ก็ไม่ได้ถามเพราะรู้ว่าไม่ใช่เวลา เดินกลับมาเทน้ำจากเหยือกที่หัวเตียงพร้อมส่งทั้งน้ำทั้งยาให้คนป่วย

สิ่งที่ได้ตอบกลับไม่ใช่คำขอบคุณ แต่เป็นใบหน้าฉงนของเด็กน้อยที่สบตากับเขาแบบงงๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยประโยคที่ทำให้ชายหนุ่มไปไหนไม่ถูกยิ่งกว่าเดิม

“เอามาให้ฉันทำไม คุณนั่นแหละต้องกิน ปวดหัวอยู่ไม่ใช่เหรอ”

ที่ต้องอึ้งไปเพราะพบเจอผู้หญิงมามากมายหลากหลายแบบ แต่คนตรงหน้านี้เป็นคนที่ประหลาดกว่าใครจริงๆ ก็ขนาดตัวเองป่วยโงหัวไม่ขึ้น ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงยังห่วงคนอื่นอยู่อีก แม่ตัวแสบที่วันนี้ไม่เหลือฤทธิ์เดชคนนี้นี่ชอบมีวิธีคิดอะไรประหลาดๆ ที่ไม่สมเหตุสมผลจนทำให้เขาต้องมึนงงอยู่เสมอ และก็เพราะความมัวแต่มึนงงนั่นเองที่คงไม่ทันใจคนป่วยที่นอนมองอยู่นานแล้ว เลยต้องลุกขึ้นมาเอาขวดยาไปเปิดเสียเอง ก่อนหยิบยาเข้าปากตัวเองแล้วตามด้วยน้ำ จากนั้นก็เทยาแก้ปวดสองเม็ดใส่มือพร้อมยื่นให้คนดูแล

“ร่างกายคุณไม่ใช่โรบอต กินเถอะนะ”

ตอนนี้ไม่รู้แล้วว่าใครเป็นคุณหมอหรือคนไข้ อนลจำยอมเพราะปฏิเสธเสียงคล้ายอ้อนขอและลูกตาวาวนั้นไม่ออก และสภาพตัวเองก็ไม่ได้ดีอย่างที่ถูกว่าจริงๆ จึงรับยาจากมือนุ่มนั้นขึ้นมาโยนเข้าปากและตามด้วยน้ำ รางวัลของการเป็นคนว่าง่ายของเขาคือรอยยิ้มน้อยๆ ที่แม้จะซีดเซียวเพราะอาการตัวเองยังไม่ค่อยดี แต่ก็ส่งยิ้มให้ด้วยความเต็มใจ เอ่ยสั้นๆ ก่อนจะล้มตัวลงนอน

“นอนเถอะ ดึกมากแล้ว”

ฟังยังไงประโยคนั้นมันก็ควรจะเป็นประโยคที่เจ้าของห้องพูดกับแขก แต่นี่แขกจอมประหลาดคนนี้กลับเอ่ยเองเสียดื้อๆ อนลไม่อยากจะถือสาอะไรเพราะรู้ถึงความไม่เหมือนใครตรงนี้อยู่แล้ว ประกอบกับเมื่อมองนาฬิกาที่ปาเข้าไปเกือบตีสาม ร่างกายอันอ่อนล้าก็นึกโหยหาที่นอนขึ้นมาทันที และที่เดียวที่ว่างอยู่ในห้องนี้ก็คืออีกฝั่งของเตียง…

ในตอนแรกลังเลกับตำแหน่งที่ดูน่าคิด แต่หลังจากวิเคราะห์ดูแล้ว ก็ไม่มีเหตุอันใดที่เขาจะต้องยอมลงไปนอนหลังขดหลังแข็งที่โซฟา อีกทั้งที่นี่ก็เป็นเตียงที่เขาเช่าอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เขาคือเจ้าของที่ถูกต้อง และสำคัญอย่างสุดท้ายที่ทำให้อนลล้มตัวลงไปนอนก็คือความคิดที่ว่า…เขาไม่ใช่สุภาพบุรุษหรือคนดีขนาดจะนึกเสียสละความสบายให้แม่ตัวแสบนี่แน่ๆ

ดังนั้นเสียงผ่อนลมหายใจจึงดังยาวเมื่อแผ่นหลังที่เคยยืดตรงด้วยภาระและศักดิ์ศรีหลายอย่างได้เอนสัมผัสลงกับความนิ่มของเตียง

ไฟที่หัวเตียงถูกหรี่จนเบาที่สุด ในความสลัวนั้นชายหนุ่มจากต่างแดนพิงหลังกับหมอนและหัวเตียงในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน ทอดมองความมืดมิดของราตรีกาลเบื้องหน้า ในใจครุ่นคิดถึงเรื่องหลายเรื่องที่เกิดขึ้น ค่ำคืนนี้นับเป็นเรื่องแปลกสำหรับชายหนุ่มผู้ควบตำแหน่งท่านประธานตั้งแต่วัยหนุ่ม เพราะสิ่งสุดท้ายที่เขาเห็นก่อนหลับตาไม่ใช่หน้าจอคอมพิวเตอร์หรือเอกสาร แต่เป็นความเป็นไปของธรรมชาติอย่างเม็ดฝน เขาได้นอนสดับฟังเสียงของมันยามที่หยดน้ำกระทบหน้าต่าง ฟังเสียงลมครางอื้ออึง บรรยากาศทำให้อดหวนคิดไปถึงวันหนึ่งในอดีตที่ฝนตกหนักแบบนี้ไม่ได้

การเดินทางมาต่างบ้านต่างเมืองในดินแดนที่ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มีโอกาสมาเยือน วันแรกที่เขาเดินทางมาถึง ย่างกุ้งก็ต้อนรับเขาด้วยยามค่ำคืนที่ฝนตกไม่ลืมหูลืมตาเช่นเดียวกับคืนนี้ อีกทั้งไฟยังดับมืดสนิท และก็มีการปรากฏตัวของคนคนหนึ่ง

ไม่มีใครรู้มาก่อนว่านั่นไม่ใช่แค่การปรากฏตัวที่ประตูระเบียง แต่มันคือการปรากฏตัวเข้ามาในชีวิตของเขาด้วย

จน ณ บัดนี้ มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่สุด แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ไม่อยากเชื่อตัวเอง จากคนที่เกือบตีกันตายเพราะแอบลักลอบเข้าห้องเขามาในวันนั้น วันนี้เธอกลับได้ตำแหน่งเป็นแขกที่เขาเชื้อเชิญให้มานิทราลงบนเตียงข้างๆ กัน ในระยะที่ห่างกันไม่ถึงเอื้อมแขน บนหมอนใบข้างๆ และภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน แถมยังนอนพริ้มได้สนิทโดยไม่ได้มีท่าทีกังวลใจราวกับคุ้นเคยเสียจนน่าแปลกใจ

กลับเป็นเขาเอง ที่รู้สึกสับสนแปลกๆ หลายๆ อย่างในคืนนี้

ไม่รู้ทำไมถึงข่มตาหลับลงไม่ได้ แถมยังหยุดมองดวงหน้าซีดข้างตัวไม่ได้อีกด้วย จับสังเกตได้ถึงการห่อขดตัวคุดคู้จนเหลือเพียงนิดเดียวภายใต้ผ้าห่มผืนหนา ริมฝีปากซีดเผือดและแห้งผากเพราะพิษไข้ เห็นความทรมานนั้นแล้วยิ่งทำให้ชายหนุ่มอดวุ่นวายใจไม่ได้

ใจประหวัดหวนคิดไปถึงโพสต์โพสต์หนึ่งของเฌออร ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ถึงจำมันได้ขึ้นมา หรือจะเป็นเพราะเขาเข้าใจ อย่างที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน

เป็นอีกหนึ่งวัน ที่ฉันยืนมองเขาจากไป

ความรู้สึกในใจที่มีมันอึดอัดเหลือเกิน

ที่ริมทะเลสาบมีผู้คนมากมาย แต่ฉันกลับรู้สึกโดดเดี่ยว ไม่รู้ว่าเป็นเวลาเท่าไหร่แล้วที่ความไม่กล้าของฉันทำให้ฉันต้องยืนมองเขาจากไปในทุกๆ วันแบบนี้

สิ่งที่ฉันมีอยู่ข้างในหัวใจตอนนี้มันล้นออกมาจนไม่มีอะไรเก็บไว้ได้หมด

ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันจะบอกเขาว่าฉันรู้สึกอย่างไร

ฉันขอทำตามหัวใจตัวเองสักครั้งในชีวิต ไม่สนว่ามันถูกหรือผิด ฉันแค่อยากทำ

…พรุ่งนี้ฉันจะบอกเขา

ตอนนี้เขารู้สึกว่าเขาเข้าใจเฌออรดีอย่างสุดซึ้ง ซึมซับได้ถึงทุกความอึดอัดในตัวอักษรที่มันถึงจุดที่สุด ที่หัวใจไม่ต้องการฟังอะไรแล้ว มันจับจิตและดังก้องอยู่ในหัวจนทำให้เขาอดหวนนึกถึงประโยคขึ้นมาประโยคหนึ่งที่ว่า

ขอทำตามหัวใจตัวเองสักครั้งในชีวิต

หมายความว่า ทำในสิ่งที่อยากทำหรือ…

ชายหนุ่มผู้ที่การตัดสินใจเลือกกระทำสิ่งใดตามความถูกต้องและเหมาะสมมาตลอดย้อนถามตัวเอง และเสียงที่ตอบกลับมากลับเป็นเสียงของหัวใจ ที่มันพังหลักการความนึกคิดในใจทั้งหมด

เสียงจากหัวใจดังออกมาเป็นการกระทำ มือค่อยๆ ขยับเหมือนไม่รู้ตัวเข้าไปหาคนข้างๆ แตะลงไปบนเรือนผมเรียบลื่น สัมผัสอย่างแผ่วเบา แรงดึงดูดที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มือนั้นเลื่อนแตะเบาๆ ที่แก้ม สัมผัสได้ถึงความนุ่มเนียนละเอียดของผิว แต่ก็ร้อนด้วยพิษไข้ ราวกับว่าอุณหภูมิของร่างนั้นวิ่งปราดถ่ายทอดมาที่อีกคนผ่านทางสัมผัส ทำให้ใจอีกคนร้อนรุ่มด้วยความกังวลและห่วงใย จึงไม่ลังเลอีกต่อไปที่จะขยับเข้าใกล้ร่างนั้น ดึงตัวเธอให้เข้ามาหา ประคองศีรษะให้หนุนบนท่อนแขนต่างหมอน กระชับร่างนั้นให้แนบเข้ามาในอ้อมกอด

ตลอดเวลาที่เห็นท่าทางคล่องแคล่ว ดูเก่งเจ้าเล่ห์แสนกล เอาตัวรอดรอบรู้เป็นลิง แต่ในวินาทีนี้เขารู้แล้วว่าจริงๆ มันมีแต่ความบอบบางที่ควรทะนุถนอม ปลายคางสัมผัสกับหน้าผากอุ่น อ้อมแขนข้างหนึ่งประคองไหล่เล็กไว้

“จะได้อุ่น” นั่นเป็นเหตุผลที่ไร้สาระที่สุดที่เขาให้แก่ดวงตากลมที่เงยขึ้นมามอง เพราะไม่รู้จริงๆ ว่าจะให้คำตอบที่ตัวเองเลือกกระทำแบบนี้ว่าอะไร

อาจจะเป็นมนตร์ของสายฝนที่ร่ายให้ความบาดหมางขุ่นหมองมลายหาย สองสายตาสบกันในระยะไม่ต้องเอื้อมถึง กายแนบกายทำให้สัมผัสถึงความรู้สึกได้ดีกว่าดวงตาที่มองเห็น และก็รู้ได้ว่ามันมีแต่ความห่วง ปรารถนาดี และที่สำคัญคือความอบอุ่นปลอดภัย มันจึงทำให้คนตัวเล็กที่ร่างกายเหนื่อยล้าเต็มทนค่อยๆ ยอมผ่อนลง และกลายเป็นว่านิ่งไปกับแผ่นอกนั้น

“นอนไม่หลับเหรอ” เสียงเล็กที่นิ่งอยู่กับอกเอ่ยเอื้อนถาม ราวกับรับรู้ว่าตัวเองกำลังถูกหมอนใบนี้นึกถึงอยู่ในใจ “ยังปวดหัวอยู่มั้ย”

คำถามนั้นช่างน่าเอ็นดู จริงใจ ซื่อใส ซึ่งเจ้าตัวไม่รู้เลยว่านี่แหละเป็นจุดที่จับใจคนฟังได้อยู่หมัด

“ไม่แล้ว…”

เธอขยับตัวพลิกจนเข้าที่ ตาโตที่ไม่ใสเพราะอาการไม่ค่อยดีช้อนขึ้นมองหน้าคู่สนทนา และก็เหมือนจะเป็นครั้งแรกที่อนลเองก็ก้มลงไปมองกลับ สองสายตาจึงได้มีโอกาสประสานกัน นิ่ง ใกล้ และเปิดเผย โดยมีราตรีและสายฝนเป็นตัวประสานงานเชื่อมรอยร้าวรอยเล็กรอยน้อยให้ค่อยๆ ประสานกัน

ท่ามกลางสายฝนที่คงจะอยู่คู่กับราตรีแห่งนี้ไปอีกนาน เมื่อรอบตัวคือความเงียบ ใจทั้งสองดวงจึงได้นิ่งคิด แม้จะคิดกันในคนละเรื่อง แต่เหมือนลึกๆ ของหัวใจแต่ละดวงก็สัมผัสถึงบางสิ่งที่จะสื่อถึงกันได้ก็ต่อเมื่อเปิดใจเท่านั้น เริ่มรู้ว่าก่อนหน้านี้ที่มีแต่เรื่องราวกระทบโต้เถียง จริงๆ แล้วสิ่งเดียวที่ทำให้เกิดความขัดแย้งนั้นก็คือทิฐิ ซึ่งพอละมันออกไปแล้ว ก็ทำให้มองเห็นความเป็นตัวของตัวเองที่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้มีเรื่องราวอะไรต่อกันนอกจากความห่วงใยที่ค่อยๆ ก่อโดยไม่รู้ตัว

ผ่านไปหลายวันเหมือนกันตั้งแต่ที่ลงมาจากพระธาตุอินทร์แขวน จึงทำให้ไฟโกรธและความเสียหายจากเพลิงอารมณ์นั้นก็ๆ ค่อยจางหายไป

“คิดถึงจัง”

ชายหนุ่มถึงกับหันขวับไปมองเมื่อได้ยินประโยคนั้น ตอนแรกยังนึกว่าตัวเองหูฝาด ห้ามใจไม่ให้เต้นระรัวแทบไม่ทันเมื่อเห็นรอยยิ้มน้อยๆ ที่ซุกหน้าลงกับอกเขา

“เธอ…ว่ายังไงนะ…”

ไม่ตอบคำถาม แต่เป็นการย้อนกลับด้วยเสียงหวานแผ่ว

“เหมือนไม่ได้กลับมาที่นี่นานมาก คิดถึงบรรยากาศ คิดถึงเตียงนุ่มๆ คิดถึงแสงไฟ”

“หมายความว่ายังไง” การอธิบายไม่ทำให้ความสงสัยแจ่มชัดขึ้นเลยแม้แต่น้อย

“ฉันมีความลับจะบอกคุณ” เมื่อเธอลืมตาขึ้นมา ดวงตาหวานกลมดำขลับอย่างที่มักเปรียบกันว่าเป็นเสน่ห์ของสาวเมืองนี้เช่นคำว่า ผิวพม่านัยน์ตาแขก แต่มันตราตรึงเขาได้มากกว่าดวงตาของคนไหนเพราะมันช่างใสซื่อเหมือนเด็กที่อยากจะอวดเรื่องสำคัญที่จะเปิดเผยให้คนพิเศษฟังเท่านั้น

และเขาก็คือคนพิเศษคนนั้น

“วะ…ว่ามาสิ” กลัวเหลือเกินว่าเธอจะรู้ว่าเขาเผลอกลั้นหายใจเมื่อรอคำตอบ

“ห้องนอนนี่ เคยเป็นห้องนอนฉันมาก่อน”

อนลเลิกคิ้ว เพราะมันเป็นเรื่องเล่าเกินคาดที่ไม่คิดว่าจะได้ยิน

“…เคยเป็น?”

“ฉันเลือกของทุกชิ้นในห้องนี้เอง เตียง โต๊ะทำงาน เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้น ตาข่ายดักฝันนั่นก็ด้วย” นันดาเหลือบตามองเส้นไหมพรมสีขาวด้านบนที่ถักทอโยงใยกันเป็นสาย “ฉันชอบมันมาก มันทำให้ฉันไม่ฝันร้าย แต่พอโตขึ้น ฉันก็รู้ว่าสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าฝันร้ายก็คือเรื่องจริง”

ตาข่ายดักฝันสีละมุน ทำหน้าที่ของมันได้ดีในความฝัน แต่อย่างไรก็ตามคนต้องใช้ชีวิตอยู่กับความจริง ไม่ใช่ความฝัน

“ที่ฉันเคยเล่าให้คุณฟัง ตอนที่ธุรกิจโรงแรมของพ่อโดนโกง เราสามคนเหลือแค่บ้านหลังนี้ ก่อนพ่อเสีย พ่อเปลี่ยนที่นี่ให้เป็นโรงแรมซึ่งเป็นกิจการที่พ่อถนัดที่สุดและทำมาตลอดชีวิต ฉันต้องหยุดเรียนเอ็มบีเอแล้วก็กลับจากเมืองไทยมาช่วยแม่ เรารื้อห้องบางห้องออก ตกแต่งใหม่เพื่อเปลี่ยนบ้านเราให้เป็นที่นอนของแขก ฉันเองก็ต้องย้ายห้องไปอยู่ที่ห้องเก็บของบนดาดฟ้าเพราะห้องนี้จะเป็นห้องใหญ่ที่ทำเงินให้เราได้ ฉันเลยขอไม่ให้แม่รื้อห้องฉัน เราคงเฟอร์นิเจอร์และการตกแต่งทุกอย่างไว้เหมือนเดิม และก็ปรับให้มันเป็นห้องพักแขกที่ส่วนมากจะเช่าเป็นระยะยาว”

น้ำเสียงที่เล่านั้นเต็มไปด้วยความโหยหาและคิดถึงอดีตที่ผ่านไป แต่ก็ต้องปล่อยมือออกจากมันเพราะจำเป็น

“ไม่คิดเหมือนกัน ว่าจะได้กลับมานอนที่ห้องนี้อีกครั้ง”

เมื่อวันเวลาผ่านไป เรื่องจริงในอดีตที่แสนเจ็บปวดก็อาจจะกลายเป็นแค่เหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของคนคนหนึ่ง และนั่นก็คือสิ่งที่หญิงสาวสื่อสารออกมาได้อย่างเรียบง่ายอย่างคนที่ยอมรับในความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งสำหรับอนลเขายิ่งรู้สึกนับถือในความแข็งแกร่งนั้น

สองตาของผู้เช่ากวาดตามองไปรอบๆ ปะติดปะต่อเรื่องราวได้อย่างลงตัวระหว่างตาข่ายดักฝันในห้องนอนเล็กๆ บนดาดฟ้า กับตาข่ายดักฝันเหนือหัวเตียงในห้องนอนแสนหรูหรานี่ เข้าใจแล้วว่าทำไมตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาในห้องนี้เขาถึงได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่พิเศษที่ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมหรูระดับหกดาวที่ประเทศไหนก็ไม่สามารถให้เขาได้ มันไม่ใช่การตกแต่งที่ดูดีหรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน แต่มันคือความมีชีวิตของห้องห้องนี้ เพราะมันคือห้องที่ตกแต่งมาเพื่อคนในครอบครัว ไม่ใช่ทำเพื่อแขกที่มานอนพักเพียงข้ามคืนเท่านั้น

“ฉันเลยพยายามทำงานทุกอย่างเพื่อที่จะหาเงินมาใช้หนี้ แต่ไม่รู้ทำยิ่งทำมันถึงยิ่งเหมือนฉันก่อเรื่อง ล่าสุดยิ่งแย่ที่ฉันพาคุณไปมีเรื่องจนแขนเจ็บแบบนี้ ถ้าแขนคุณไม่เจ็บ ที่อินทร์แขวนคุณก็คงไม่ทำโทรศัพท์ร่วง แล้วงานก็คงไม่พังจนต้องมานั่งปวดหัวไมเกรนขึ้นแบบนี้ ที่คุณด่าฉันวันนั้นก็ถูกแล้ว ฉันมันไร้สาระ วันๆ ทำแต่เรื่องยุ่ง”

อนลลืมคำว่าให้อภัยไปแล้ว ลืมเพราะตอนนี้เขาจำความรู้สึกโกรธที่เคยมีไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่เข้าใจเลยว่าเขาจะโกรธเสียงอ่อยและใบหน้าเศร้านี้ลงได้อย่างไรในเมื่อมันน่าสงสารเพียงนี้

“งานที่ฉันทำอยู่ตอนนี้เงินมันก็ดีพอที่จะทยอยใช้หนี้คุณได้ แต่แค่มันต้องดึกหน่อยเพราะ…”

ไม่ใช่แค่นันดา อนลเองเมื่อได้ลองเปิดใจ ไม่ได้ใช้เพียงตรรกะเหตุผลอย่างเดียวเหมือนที่เคย แต่เป็นการผสมเอาความรู้สึกเข้าไปวิเคราะห์ด้วย คิดแล้วมันก็เหมือนเรื่องตลกที่สวรรค์จัดสรรเรื่องราวมากลั่นแกล้งมนุษย์ตัวเล็ก ในตอนที่เกิดเรื่องก็มัวแต่วุ่นวายกับอารมณ์ตรงหน้า เลยไม่ได้รับรู้หรือคิดถึงเหตุผลของแต่ละการกระทำที่แต่ละคนตัดสินใจ แต่เมื่อพอทุกอย่างมันผ่านไปก็เพิ่งเริ่มจะเรียนรู้ว่าการตัดสินใจแต่ละอย่างนั้นมีอยู่เหตุผลเดียว ก็คือการทำเพื่อกันและกัน

“ฉันไม่อยากให้เธอไปทำงานพวกนั้นอีกแล้ว!” รู้ตัวว่าเสียงตัวเองไม่พอใจอย่างแรงก็ตอนหลุดออกไปจนจบประโยคแล้ว มันยิ่งปิดไม่ได้เพราะอ้อมแขนนั้นก็กระชับแน่นด้วยความห่วงและที่สำคัญคือหวง แต่ต้องกัดฟันพูดอีกเรื่องหนึ่งออกไปว่า “เธอไปทำงานกลับมาดึกๆ ดื่นๆ เดี๋ยวก็ไม่สบายแบบนี้อีก”

หน้านั่นม่อยลงกว่าเดิมเมื่อโดนดุ แต่คนที่ม่อยกว่าไม่ใช่คนโดนดุ แต่เป็นคนดุเสียเอง เสียงต่อไปที่เอ่ยจึงเป็นเสียงที่ห่วงใยอย่างไม่ปิดบัง

“ต่อไป ถ้าไม่สบายต้องบอกรู้มั้ย”

สิ่งที่โอบกอดจนความหนาวเย็นใดๆ ก็ก้าวข้ามมาในห้องนี้ไม่ได้ คือความห่วงใยและปรารถนาดีที่ปิดไม่มิด นัยน์ตากลมของสาวพม่าเป็นประกายอย่างซึ้งใจ มองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างที่ไม่เคยมองมาก่อน เช่นเดียวกับความรู้สึกในใจที่มีต่อเขาก็ไม่เหมือนเดิม ในความเงียบงันนี้ไม่มีการโต้เถียงอีกต่อไป อยากจะให้เหลือเพียงแต่ช่วงเวลาดีๆ เพื่อกักเก็บความอบอุ่นของทั้งความทรงจำที่โหยหาและความอบอุ่นที่ได้รับ ซุกแก้มลงไปกับหมอนพร้อมอดอมยิ้มออกมาอย่างมีความสุขไม่ได้

และรอยยิ้มนั้นก็คือของขวัญตอบแทนที่แสนชื่นใจ เหมือนทุกพื้นที่ของห้องนี้จะกลับมามีชีวิตชีวาเมื่อเจ้าของห้องตัวจริงได้มาเยือน

ถ้าหากสายฝนในค่ำคืนนี้มีเวทมนตร์ หนุ่มต่างแดนก็คิดว่ามันก็คงร่ายคาถาบทที่ประหลาดที่สุดใส่เขา มันเป็นบทที่ทำให้สมองสูญเสียการควบคุม ตรรกะหลายๆ อย่างมลายหายสิ้น คล้ายว่าจะสูญเสียความทรงจำไปเสียด้วย เขาลืมอดีต ไม่นึกถึงอนาคต ไม่มีตำแหน่ง หน้าที่ สังคม มีแต่ปัจจุบันที่ค่อยๆ เลื่อนมือยกขึ้นเอื้อมไปแตะสัมผัสพวงแก้มกลม สัมผัสไอร้อนจากร่างนั้น ไอร้อนที่แผ่มาถึงความร้อนอกร้อนใจในความเป็นห่วง และความรู้สึกที่ไม่อยากให้คนคนนี้รู้สึกต้องทุกข์ร้อนไม่ว่าเรื่องใด

“วันนี้พักเถอะ”

เขาเพียงอยากมีเธออยู่ข้างๆ แบบนี้ อยากทำให้รอยยิ้มนี้อยู่ไปนานๆ และขอให้เธอเข้าสู่นิทราอย่างมีความสุขที่สุด

“ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น ที่นี่คือห้องนอนของเธอ”

ซุกหน้าลงไปกับเรือนผม สัมผัสลมหายใจกรุ่นด้วยพิษไข้ ก่อนจะบรรจงกระซิบอย่างแผ่วเบาราวกับจะให้คำพูดนั้นลอยเข้าไปในภวังค์ของอีกคน

“ฝันดี”

ตาข่ายดักฝันคงไม่ต้องทำหน้าที่ของมันในค่ำคืนนี้ เพราะไม่มีใครโดดเดี่ยว ไม่มีความเหงา ไม่มีความเศร้า มีแต่ความอบอุ่นใจที่ส่งให้ทั้งคู่เข้าสู่นิทราไปพร้อมกัน

 

เขาบอกกันว่าฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ มันก็คงเช่นเดียวกับอากาศในเช้าวันนี้ อนลขยับตัวตื่นไม่ใช่เพราะนาฬิกาปลุก แต่เป็นเพราะรู้สึกว่ามีการขยับตัวอยู่ข้างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคยสำหรับคนที่นอนคนเดียวมาตลอดชีวิตเกือบทุกคืน เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก็เห็นว่ามีหน้าผากของเด็กน้อยคนหนึ่งมาแปะซุกไว้ที่หัวไหล่  สองตาหลับพริ้มด้วยนิทรารมณ์ที่ดูจะมีความสุขที่สุด

ไม่ได้สวยยั่วยวนเซ็กซี่ เป็นภาพแรกในยามเช้าที่แปลกตาดีเสียเหลือเกิน จนทำให้ต้องหยุดมองตั้งแต่เรือนผมตรงที่คลอเคลียแก้ม แพขนตาอันเรียงเส้น สันจมูกน้อยๆ ที่รับกับปากที่ยามเงียบนั้นมันช่างดูดีจนทำให้ไม่อยากหยุดมอง เพราะภาพทั้งหมดมันทำให้เช้านี้เป็นเช้าที่ปลอดโปร่งพิลึก

กริ๊งงงง

เสียงแหวกอากาศที่กรีดร้องลั่นห้องขึ้นมาคือเสียงโทรศัพท์มือถือที่หัวเตียง อนลสะดุ้งเบาๆ ก่อนจะรีบหันไปตะครุบหมับด้วยมือข้างเดียว อีกข้างพยายามบังคับให้นิ่งที่สุดเพื่อระวังไม่ให้ไปกระทบกับนิทรารมณ์ของเพื่อนร่วมเตียง ทันทีที่ตะครุบได้ก็กดปิดเสียง ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจเบาๆ เมื่อทุกอย่างกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง

ลืมตาโพลงหันไปดูคนที่ซุกหน้าอยู่กับแขนตนอีกครั้ง เมื่อยังไม่เห็นว่าจะมีท่าทีจะขยับ ก็ค่อยรู้สึกอุ่นใจ เลยหันมาเลื่อนหน้าจอเพื่อรับสายที่รออยู่

“ฮัลโหล” ส่งเสียงเบาที่สุดเท่าที่ทำได้ลงไป

“ยังไม่ตื่นหรือครับคุณอนล” แต่เสียงของเจ้านาฬิกาปลุกที่ช่างปลุกได้ผิดที่ผิดเวลาดังมาตามสายแบบเสียงดังฟังชัด จนทำให้อนลต้องรีบกดเบาเสียงลงไปอีก ก่อนจะกระซิบกระซาบด้วยระดับเสียงที่ไม่ต่างจากเดิม

“ตื่นแล้ว”

“ทำไมเสียงเบาจังครับ ประชุมอยู่เหรอ แต่เอ๊ะ! เช้านี้คุณอนลไม่มีประชุมนี่ครับ”

อนลอยากจะเอามือกุมขมับเพราะเหตุผลแรกที่คิดจะใช้ตอบดันถูกดักคอโดยเจ้าเพื่อนช่างรู้ที่รู้ตารางงานเขาดียิ่งกว่าเลขาฯ และปกติภากรไม่ใช่คนถามเยอะ แต่ไม่รู้นึกอย่างไรวันนี้ถึงเป็นอีลูกช่างถามเสียจริงๆ

“มีอะไรรึเปล่า” อนลตั้งใจเป็นฝ่ายถามกลับก่อนที่จะโดนซักไซ้มากกว่านี้ ระหว่างคุยสองตาก็มองไปที่ตุ๊กตาตัวน้อยที่เกาะแขนเขาอยู่ คอยสังเกตแทบทุกกระเบียดว่าเธอมีปฏิกิริยาเหมือนจะตื่นหรือเปล่า เพราะมองนาฬิกาที่ก็ยังเช้าเกินไปสำหรับคนป่วยที่นอนดึกขนาดนั้นจะตื่น เขาต้องการให้เธอพักผ่อนให้เต็มที่ที่สุด

“ที่วันนี้คุณอนลบอกคุณเฌอไว้ว่าจะพาคุณเฌออรไปเที่ยวรอบเมือง ผมกำลังจะเข้าไปรับคุณอนลนะครับ เลยโทรมาบอกไว้ก่อนจะได้เตรียมตัว”

ถ้าเสียงโทรศัพท์จากภากรมันคือนาฬิกาปลุกที่ทำให้ร่างกายของเขาตื่นจากนิทรา ชื่อของเฌออรก็เหมือนเสียงระฆังที่หอนาฬิกาที่ปลุกให้เขากลับเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริงเต็มตัว

เขาลืมเสียสนิทว่าวันนี้เขามีนัดกับเฌออร!

มันเลยกลายเป็นเช้าที่สมองและหัวใจต้องทำงานหนักที่สุดในชีวิตชายหนุ่ม แน่นอนว่าถ้าเป็นปกติสมองต้องสั่งให้เขาลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวเพื่อพาคู่หมั้นออกไปเที่ยวตามที่สัญญา แต่ก่อนที่จะข้ามไปมองนาฬิกา มันดันต้องมองผ่านตุ๊กตาตัวเล็กข้างๆ ที่ราวกับมีมนตร์ดึงดูดอะไรสักอย่างจากดวงหน้าใสนั่น ทั้งที่เธอก็ไม่ได้เอ่ยห้ามอะไรเขา แต่แค่ไออุ่นจากตัวที่ยังมีความร้อนผะผ่าว ขอบตาที่มีความช้ำนิดๆ จากที่นอนดึก ทำให้ปากที่กำลังจะอ้าตอบรับภากรจึงค้างอยู่แค่นั้น

“เอ่อ…”

“โอเคนะครับคุณอนล งั้นเดี๋ยวผมออกไปรับเลย” ภากรว่าง่ายๆ

“เดี๋ยวภากร…”

เกิดสุญญากาศเมื่อปลายสายนิ่งเพื่อรอฟัง

“วันนี้ฉันติดประชุมด่วน คงพาเฌออรไปไม่ได้แล้ว”

อนลรู้สึกอยากจะเอาหัวโขกกับขอบเตียงสักสิบที ไม่รู้ว่าทำไมปากถึงบอกภากรไปอย่างนั้น แม้จะรู้สึกผิด แต่ปากมันไม่ฟังสมองเสียแล้ว

“ยังไงวันนี้ฉันฝากน้องเฌอกับแกก่อนละกันนะ แกก็ลองพาเธอไปที่ที่เธออยากไป ถ้าขาดเหลืออยากได้อะไรก็บอกฉันแล้วกัน”

กดตัดสายทิ้งไปดื้อๆ ทั้งที่ความไม่เข้าใจตัวเองยังเต็มไปหมด อาจจะมีสิ่งเดียวที่เขาเข้าใจตัวเอง คือ…

แกต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ อนล

ก่นด่าตัวเองวนไปแค่นั้น แต่เมื่อคนข้างตัวขยับและขมวดคิ้ว ไอเล็กๆ เหมือนหายใจไม่สะดวก ก็วางมือถือนั้นทิ้ง หันมาจ้องพร้อมดูอาการ มือใหญ่ที่ทิ้งโทรศัพท์อย่างไม่ไยดีเอื้อมไปแตะหน้าผากนั้นเบาๆ และก็สัมผัสได้ถึงไออุ่นที่ยังสูงกว่าอุณหภูมิคนปกติ ดวงตาที่ค่อยๆ ลืมขึ้นมาเพราะรู้สึกสัมผัสนั้นงัวเงียมองเขาแบบแดงก่ำ

“วันนี้เธอควรไปหาหมอ”

“นอนแป๊บเดียวเดี๋ยวก็หาย”

คนดื้อเจอคนดื้อมันเลยไม่มีใครยอมใครเสียเลย

“ฉันไม่เป็นไรหรอก วันนี้คุณมีนัดกับคุณเฌอไม่ใช่เหรอ คุณต้องไปรับเธอนี่ รีบไปเถอะ เดี๋ยวฉันก็ต้องออกไปทำงานเหมือนกัน”

ไม่รู้ว่าฟังเพี้ยนหูไปหรือเปล่า ที่เสียงถามนั้นดูจะเศร้าๆ พิลึก แต่ก็ไม่สามารถพิสูจน์ข้อสงสัยอะไรได้เพราะเธอหันหน้าหนีกลับไปอีกด้าน ค่อยๆ โงหันลุกขึ้นจากเตียง พยายามลุกจากเตียงแต่สุดท้ายก็ได้แค่โงหันมานั่งโงนเงนเพราะสภาพนั้นดูไม่จืดเลยทีเดียว

“ไม่ต้องห่วงหรอก ภากรจะดูแลน้องเฌอเอง เธอห่วงตัวเองก่อนเถอะตอนนี้ ไม่สบายขนาดนี้จะไปทำงานอะไรได้”

“ฉันไม่อยากติดหนี้คุณนาน มีงานอะไรทำได้ฉันก็ทำก่อนแหละ”

อยากให้ตะวันตกดินให้เป็นตอนกลางคืน อยากให้ฝนตกหนักๆ เพราะอยากได้นันดาคนเมื่อคืน ไม่ใช่ตัวแสบจอมหัวดื้อคนนี้ คนที่เขาจะใช้วิธีการธรรมดาจัดการไม่ได้เลย

“รู้อะไรมั้ย อย่างน้อยที่เราขึ้นอินทร์แขวนไปด้วยกัน มันก็ไม่ได้สูญเปล่านักหรอก”

และก็ได้ผลเมื่อแผนหลอกล่อนั้นดึงความสนใจเหยื่อให้หันกลับมามองแบบงงๆ ได้

“น้องเฌอมีอาการดีขึ้นหลังจากได้เห็นรูปที่เธอส่งกลับมาให้ ฉันกับภากรก็เลยตกลงกันว่าจะลองพาเธอไปดูตามที่ต่างๆ ที่เธออยากไป เผื่อจะช่วยทำให้เธอจำอะไรได้ดีขึ้นบ้าง”

คำพูดนั้นไม่ทำให้หน้าซีดเข้าใจอะไรดีขึ้นแม้แต่น้อย

“ฉันก็เลยคิดว่าฉันจะจ้างเธอ เป็นเลขาทำงานระหว่างที่แขนฉันเจ็บ และก็ช่วยพาเฌออรไปทุกที่ที่เธออยากไป ถ้าเฌออรกลับมาจำได้เมื่อไหร่ ฉันจะยกหนี้ให้เธอทั้งหมดเลย โอเคมั้ย”

แม้เหตุผลทั้งหมดทั้งมวลที่ให้ไปมันจะไม่ได้ตรงกับความรู้สึกในใจที่มีเลย แต่อนลรู้ว่านี่มันอาจจะเป็นวิธีเดียวที่ทำให้คนหัวดื้อต้องยอมหยุดฟัง ไม่มีใครรู้ว่าวิธีที่เลือกใช้มันถูกหรือผิด แต่เขาคิดว่าเขาควรทำ คือการปิดประเด็นด้วยคำพูดอันเต็มไปด้วยเหตุผลตามแบบฉบับท่านประธานอนลผู้ฉลาด หลักแหลม และเต็มไปด้วยผลประโยชน์

“ยกหนี้ให้…หมดเลยเหรอ” ลูกหนี้ตาโตย้อนถามเหมือนไม่เชื่อหู

“ใช่”

“คุณแน่ใจเหรอ เงินนั่นมันมากอยู่…”

“ไม่ต้องคิดเยอะ ฉันทำแบบนี้ก็เพื่อเฌออร ยิ่งน้องเฌอหายป่วยกลับมาจำเรื่องราวทุกอย่างได้เร็วเท่าไหร่ ภาระของฉันที่นี่ก็จะได้จบสักที มันคุ้มมากสำหรับเงินแค่นี้”

ไม่มีคำตอบจากหญิงสาว ไม่แน่ใจว่าการที่เธอเงียบไปนั้นเป็นเพราะหมดฤทธิ์ดื้อ หรืออาการป่วยมันเปลี่ยนจากทางกายไปที่ทางใจกันแน่

 



Don`t copy text!