นิราศรักสองนครา บทที่ 21 : อุปสรรคและทางออก

นิราศรักสองนครา บทที่ 21 : อุปสรรคและทางออก

โดย : ปรียนันทนา

นิราศรักสองนครา โดย ปรียนันทนา เรื่องราวของโชติ หญิงสาวชาวสยาม กับทางเลือกสองทาง ความรักของชายหญิงกับความรักหวงแหนแผ่นดินเกิด เธอจะเลือกทางใด และหากไม่สามารถเลือกได้  จะมีหนทางใดที่ใจสองดวงจะมาบรรจบพบกัน ณ จุดที่ลงตัวได้หรือไม่ นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านพร้อมกันที่นี่ anowl.co

ขณะที่หญิงสาวเจ้าของร่างสูงโปร่งก้าวขึ้นบันไดเรือนเสียงพูดคุยที่ดังอยู่เมื่อคนก็เบาลง  เมื่อโชติเข้าเรือนก็พบว่าบิดามารดากำลังสนทนากันอยู่  แม้ปราศจากการทุ่มเถียงทะเลาะเบาะแว้งแต่น้ำเสียงและสีหน้าที่ปรากฏกลับบ่งบอกความรู้สึกอันหลากหลายได้

“แม่โชติมาพอดีเวลาตั้งสำรับเลย  แล้วนั่นไปทำอันใดมาเนื้อตัวมอมแมม  ถึงกับช้ำด้วยรึนี่”  นางแสงสังเกตความผิดปกติของบุตรสาวเป็นคนแรก  เมื่อครู่เธอกำลังฟังสามีเล่าเรื่องการตามเสด็จซึ่งหนึ่งในเรื่องที่น่าสนใจก็คือการที่เจ้าเมืองกาญจนบุรีได้รับการลงโทษจากการร้องเรียนเรื่องการขูดรีดประชาชน

“คุณพ่อกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ  เหนื่อยหรือไม่เจ้าคะ”  หญิงสาวไม่ตอบมารดาด้วยไม่อยากเล่าเรื่องที่ตนเองพบเจอมาก่อนหน้า

“เสเปลี่ยนเรื่องด้วยเหตุใด  ตอบแม่เขาไปสิว่าโดนอันใดมา”  พระนรินทรราชเสนาคาดคั้นเอาความกับบุตรสาว

“โดนผู้ร้ายมันกระชากจนถุงอัฐหล่นแลมันแย่งไปได้เจ้าค่ะ” หญิงสาวบอกเสียงอ่อย  เมื่อหันไปมองกลอยก็พบว่าเด็กหญิงนั่งตัวเกร็งอยู่ข้างหลังด้วยคงเกรงจะถูกหาว่าดูแลโชติไม่ดี  แต่นางแสงกลับไม่ได้ซักไซ้เด็กหญิงอย่างที่กลอยนึกหวั่น

“กระไรนะ  เจ็บมากหรือไม่แม่โชติ”  นางแสงลงจากตั่งมาจับแขนบุตรสาวที่แม้ร่องรอยฟกช้ำจางลงไปมากหากมิอาจรอดพ้นสายตาของผู้เป็นมารดาไปได้  หนำซ้ำผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงและใบหน้าหมองยิ่งทำให้นางมั่นใจว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับแม่โชติแน่นอน

“มิเป็นอันใดแล้วจ้ะแม่  ลูกกำลังจะไปบ้านคุณลุงคุณป้าแต่เกิดเรื่องก่อนถึงบ้านนั้นพอดี”  หญิงสาวชั่งใจว่าจะเล่าเรื่องมิเชลมาช่วยดีหรือไม่

“คนร้ายล่ะ  จับมันได้หรือไม่”  พระนรินทรราชเสนาถาม

“ได้เจ้าค่ะ  ดีว่าคุณหลวงภูบดินทร์พิทักษ์ช่วยจับส่งโปลิศ”

“นับว่ายังเป็นโชคดีของลูกที่คุณหลวงมาช่วยไว้ได้”  นางแสงลูบไหล่โชติพลางเอ่ยออกมาอย่างโล่งใจ

“อันที่จริงหาเป็นเช่นนั้นดอกเจ้าค่ะ”  กลอยผู้ซึ่งนั่งเงียบด้วยเกรงความผิดคลายความกลัวลงแล้วจึงกล้าเล่าเรื่องราวระทึกที่ตนเองและโชติได้เผชิญมา

“หากมิได้เป็นเช่นนั้น  แลความจริงเป็นเยี่ยงไรเล่า”  พระนรินทรราชเสนามองอย่างคาดคั้นคำตอบ

“ความจริงก็คือระหว่างที่พวกเรา…”  เด็กหญิงเว้นจังหวะเพียงครู่เดียวเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ระทึกในความรู้สึกของเธอ  “…ฉัน  พี่โชติ  ครู  แลแม่พุดตาน  กำลังเดินออกจากวัดเพื่อไปบ้านเจ้าคุณนั้นมีโจรวิ่งมาชนจนพี่โชติเสียหลักล้มจ้ะ  เอ้อ  เจ้าค่ะ”  ด้วยความที่ไม่ค่อยได้สนทนากับท่านเจ้าของบ้านฝ่ายชายบ่อยนักเด็กหญิงจึงประหม่าเล็กน้อย  “แต่มีคนวิ่งตามโจรไปเอาถุงอัฐของพี่โชติมาคืนได้เจ้าค่ะ”

“ผู้ใดกัน”  นางแสงถามอย่างสนใจ

“ฝรั่งที่ชื่อมิเชลเจ้าค่ะ”  กลอยรีบตอบพลางมองหน้าของบิดาพี่โชติด้วยความระทึกว่าอีกฝ่ายจะมีทีท่าอย่างไร

“มิเชล  คนที่ติดตามท่านกงสุลฝรั่งเศสมาใช่หรือไม่แม่โชติ”  เขาหันไปถามบุตรสาว

“ใช่เจ้าค่ะ”  โชติตอบรับพลางมองหน้ากลอยอย่างคาดโทษ

“เขาไปด้วยกันกับพวกลูกฤา”

“หามิได้เจ้าค่ะ  เขาแค่ผ่านไปละแวกนั้น”  หญิงสาวถอนหายใจพลางตั้งใจอธิบายเรื่องราวต่อไป “ลูกมิรู้ด้วยซ้ำว่าเขาไปที่นั่นด้วยมิได้เจอหลายวันแล้ว  ก่อนหน้านี้ที่ลูกช่วยสอนภาษาแก่เขาก็มีเหตุให้ต้องแคลงใจด้วยเรื่องกงสุลของเขานั่นแหละเจ้าค่ะ”

พระนรินทรราชเสนารับฟังอย่างสงบขณะเดียวกันก็คิดตริตรองถึงเหตุและผลของบุตรี  เขาเข้าใจและปล่อยให้อีกฝ่ายได้พูดความรู้สึกของตน

“เรื่องกงสุลดูเหมือนจะทำใครต่อใครเดือดร้อนกันเหลือเกิน”  คุณพระบ่นพลางใช้มือจุ่มลงในขันเพื่อทำความสะอาดก่อนจะรับประทานอาหารในสำรับบ่าวกำลังทยอยมาวางลงตรงหน้า

ไม่มีเสียงตอบรับหรือปฏิเสธจากโชติหรือคนอื่นนอกจากเสียงถอนหายใจของผู้เป็นเจ้าของบ้าน  จากนั้นก็ดูเหมือนเรื่องชายหนุ่มจะเลือนไปจากวงสนทนาเนื่องจากเจ้าของบ้านฝ่ายหญิงพยายามเปลี่ยนบรรยากาศอึมครึมให้สดใสด้วยการชี้ชวนรายการอาหารที่สามีและลูกสาวชื่นชอบ  หลังจากที่โชติขอไปผลัดเปลี่ยนผ้านุ่งเพียงไม่นานการสนทนาจึงเปลี่ยนไปเป็นการเล่าเรื่องการเดินทางและเหตุการณ์ที่ในหลวงทรงลงอาญาพระยากาญจนบุรีผู้เป็นเจ้าเมืองในโทษฐานขูดรีดราษฎรจนเดือดร้อน  พระองค์ได้รับเรื่องร้องเรียนจึงรีบจัดการจนเรียบร้อย  และตอนนี้ได้ทรงแต่งตั้งเจ้าเมืองคนใหม่แล้ว

“เยี่ยงนี้นายเทิดคงมิต้องกังวลว่าจะมีภัยแล้วใช่ไหมเจ้าคะ”

“เป็นเช่นนั้นแหละ”

“เราควรส่งข่าวให้นายเทิดรู้หรือไม่เจ้าคะ”

“พ่อให้คนไปส่งข่าวแล้ว”  คุณพระเดาใจบุตรสาวได้จึงเอ่ยประโยคต่อมาอย่างรู้ใจ  “แต่หากลูกอยากไปที่เรือนนั้นเพื่อไปไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบแลสอบถามความกับนายเทิดอีกก็มิได้เสียหายอันใด”

“เช่นนั้นวันพรุ่งลูกจะไปที่เรือนคุณหลวงนะเจ้าคะ  ขอบพระคุณคุณพ่อเจ้าค่ะ”  หญิงสาวพนมมือไหว้บิดาด้วยกิริยาเรียบร้อยซ่อนแววตาตื่นเต้นไว้อย่างแนบเนียน  แม้เมื่อครู่มีเรื่องให้ต้องขุ่นใจแต่เมื่อไตร่ตรองดูก็คิดว่าควรแล้วที่บิดาจะต้องซักไซ้เช่นนั้น  ด้วยตัวเธอเป็นถึงลูกสาวและหลานสาวข้าราชการผู้ใหญ่  หนทางระหว่างเธอและมิเชลมิอาจพานพบบรรจบกันได้ด้วยมีเรื่องความเหมาะสมเป็นเสมือนภูเขาลูกใหญ่ที่ต้องข้ามผ่าน

เรื่องของนายเทิดและลูกสาวเจ้าเมืองนั้นเป็นตัวอย่างให้โชติเห็นชัดในเรื่องความเหมาะสมอันเป็นอุปสรรคใหญ่หลวง  แต่ครั้นกาลเวลาผ่านทุกอย่างอาจเปลี่ยนให้ผู้กำลังก้าวไปพบว่าอาจมีหนทางอื่นนำพาสู่จุดหมาย   และอุปสรรคอาจมิได้มีอยู่จริงเพียงแค่ต้องรอคอยเวลาอันเหมาะสมเท่านั้น

 

“ได้ยินจากคุณพี่ว่าเพลานี้มีเจ้าชายจากเมืองฝรั่งเศสมาเข้าเฝ้าที่วังหลวงฤาแม่โชติ”  แม่จันผู้ยังคงดูซูบผอมแต่แววตามีประกายเจิดจ้าเอ่ยถามหญิงสาวผู้มาเยือน  ความสดใสทั้งใบหน้าและนัยน์ตากอปรกับเสื้อผ้าอาภรณ์ที่มองแล้วชื่นตาชื่นใจทำให้ผู้พบเห็นพลอยรู้สึกเบิกบานไปด้วย

ดวงตาดำขลับฉายแววฉงนด้วยวานนี้มิได้สนทนาด้วยเรื่องเจ้าชายฝรั่งเศสสักนิด  แต่หากเป็นข่าวจากคุณหลวงภูบดินทร์พิทักษ์คงจะเป็นเรื่องจริง  แม้ว่าฝ่ายนั้นจะทำงานในวังหน้าแต่เรื่องการข่าวต่าง ๆ ระหว่างสองวังนั้นเป็นเรื่องที่ติดต่อกันเป็นประจำสม่ำเสมอ  ช่วงเวลานี้สมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ทรงประชวรแต่ข้าราชบริพารในพระองค์ก็ยังต้องถวายงานต่าง ๆ เป็นนิจ

“ฉันมิทราบดอกค่ะคุณน้า  แต่หากออกจากปากคุณหลวงแล้วคงจะมิเป็นอื่นไปได้แน่ค่ะ”

“ฉันว่าอาจจะเกี่ยวกับเรื่องกงสุล  แม่โชติคิดเห็นเป็นอย่างไร”  ท่าทางสนใจเรื่องความเป็นไปต่าง ๆ ทำให้โชติสนุกที่จะได้แสดงความเห็นกับอีกฝ่าย  ก่อนหน้านี้โชติคิดว่าจันไม่สนใจเรื่องราวเหล่านี้แต่เมื่อคราวที่หมอบลัดเลย์มาตรวจอาการอีกฝ่ายโชติสังเกตุว่าภรรยาหลวงภูบดินทร์พิทักษ์ค่อนข้างสนใจเรื่องที่หมอเล่ามาก  และนั่นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้จันไถ่ถามเธอตอนนี้

“ฉันมิรู้ดอกค่ะว่าเกี่ยวกับใครหรือไม่  แต่หากคุณน้าถามนะคะ  ฉันก็เห็นด้วยว่าอาจมีมูลไม่มากก็น้อยเชียวแหละ  อย่างไรเสียความเห็นของเจ้าชายย่อมต้องมีผลต่อพระเจ้านโปเลียนมากกว่าท่านกงสุลเป็นแน่”

โชติและจันเห็นตรงกันในเรื่องนี้ว่าหากทางสยามบอกเรื่องราวพฤติกรรมของกงสุลไปทางเจ้าชายฝรั่งเศสก็อาจมีความเป็นไปได้ที่เรื่องจะไปถึงพระเนตรพระกรรณพระเจ้านโปเลียน

“หากเป็นเยี่ยงนั้นก็เป็นไปได้หรือไม่ที่ทางฝรั่งเศสจะเปลี่ยนตัวกงสุลเพื่อเจรจาความบ้านความเมืองในตอนนี้”

“ฉันก็คิดเยี่ยงคุณน้าค่ะ  แต่ติดตรงที่ว่าเจ้าชายที่เสด็จมาประพาสจะเดินทางกลับถึงเมืองของพระองค์เมื่อใดกันเล่าคะ  หากเรื่องยังไปไม่ถึงทางฝรั่งเศสก็เท่ากับว่าทางสยามยังต้องเผชิญกับพฤติกรรมของกงสุลคนนี้อยู่เยี่ยงนี้นะคะ”  หญิงสองคนเข้าใจถึงนัยยะที่เอ่ยออกมาว่าสยามแต่แท้จริงแล้วหมายถึงผู้เป็นประมุขของบ้านเมืองนั่นเอง

“นั่นสินะ”  จันนิ่งงันไปทันทีก่อนจะยุติเรื่องที่ค้างคาใจแล้วเปลี่ยนเรื่อง  “แล้วนี่แม่โชติมาเยี่ยมน้าแลมาพบแม่เพ็ญเท่านั้นเองรึ”

“หามิได้ค่ะ  ฉันอยากมาพบนายเทิด”  โชติกระซิบกระซาบราวกับมีความลับทั้งที่จันรู้ข่าวเรื่องในหลวงทรงปลดพระยากาญจนบุรีแล้วและคิดว่าคงเกี่ยวกับการที่นายโชติต้องมาตามหาญาติที่นี่เป็นแน่

“นายเทิดหรือ  เดี๋ยวน้าให้คนไปตามนะจ๊ะ”

ครู่ใหญ่นายเทิดก็เดินขึ้นเรือนมาพบกับโชติ  ชายหนุ่มมีสีหน้าสดชื่นกว่าที่เคยพบกันแม้แววตายังคงมีร่องรอยกังวลพาดผ่านก็ตาม

“คุณโชติต้องการพบกระผมฤาขอรับ”  มาอยู่ที่นี่นายเทิดเรียนรู้วิธีการพูดจาและกิริยาเรียบร้อยมากขึ้น

“ฉันรู้ข่าวแล้วเลยมาถามว่านายโชติมีอะไรให้ช่วยหรือไม่จ๊ะ”

“กระผมกำลังเตรียมตัวกลับบ้านขอรับ  ขอบพระคุณคุณพระคุณพ่อของคุณโชติเหลือเกินที่ทำให้กระผมได้มีโอกาสกลับบ้านเสียที”  เขาทำท่าก้มลงกราบโชติแต่หญิงสาวห้ามไว้

“อย่า  อย่านายโชติ  หากจะขอบคุณคุณพ่อก็ไปที่เรือนเถิดจ้ะ  ฉันมิได้เกี่ยวข้องด้วยจะอายุสั้นเอา”  หญิงสาวบอกอย่างอารมณ์ดี  “แล้วเช่นนี้จะคิดการอย่างไรต่อไปเล่าจ๊ะ  เอ้อ  ฉันหมายถึงเรื่องนายเทิดกับคนรักน่ะจ้ะ”

“คุณวาดน่ะหรือขอรับ  เธอคงออกมาอยู่กับญาติทางแม่ที่บ้านตรงตลาดใกล้ ๆ กับบ้านกระผม  กลับไปครานี้คงได้เจรจาเรื่องสู่ขอกันเสียที”  เขามีสีหน้าหมายมั่น

“ฉันยินดีด้วยนะ”  จันเอ่ยออกมาอย่างจริงใจ

“แต่ทางญาติ ๆ แลคุณแม่ของคุณวาดจะมิมีปัญหาหรือจ๊ะ”  โชติถาม

“ไม่ขอรับ  พวกญาติ ๆ กับคุณนาย”  เขาหยุดเมื่อเห็นโชติมีสีหน้าสงสัยก่อนอธิบาย  “กระผมหมายถึงแม่ของคุณวาดน่ะขอรับ  พวกท่านใจดีแลเมตตากระผมมาแต่ต้นมิได้รังเกียจว่าเป็นคนค้าขาย  มีเพียงท่านเจ้าเมืองเท่านั้นที่มิเห็นด้วยกับเรื่องนี้  ยิ่งกระผมดันไปรู้เห็นเรื่องการขูดรีดแลทำร้ายคนของท่านยิ่งพาลห้ามมิให้กระผมพบคุณวาดจนถึงกับอาฆาตจะเอาชีวิตกระผมขอรับ”

“เรื่องจบลงเช่นนี้ก็ดีหนักหนาแล้วนายเทิด  ฉันยินดีด้วยจริง ๆ”  โชติชื่นชมในความอดทนรอของอีกฝ่าย  แม้ในเวลาที่มืดมนจนอาจไม่เห็นว่าปลายทางอยู่ที่ใดแต่นายเทิดคงมีหมุดหมายอยู่ในใจของเขาที่ทำให้สุดท้ายแล้วเรื่องราวคลี่คลายไปในทางที่ดีเช่นนี้

 

บุรุษหนุ่มต่างวัยที่นั่งเผชิญหน้ากันโดยแวดล้อมไปด้วยเครื่องเรือนอันตระการตาในทัศนะของผู้ที่รับใช้ซึ่งเป็นคนพื้นถิ่น  ทว่าความคุ้นชินในวิถีชีวิตของเจ้านายที่เกิดขึ้นก็ทำให้ผู้ดูแลสามารถปฏิบัติตัวได้อย่างกลมกลืน  เช่นยามนี้ที่บุรุษวัยหนุ่มผู้ติดตามท่านกงสุลมาแต่แรกได้มาเยือนที่เรือนริมน้ำอีกครา  ชุดน้ำชาและอาหารว่างจัดวางอย่างวิจิตรบรรจง  ผู้เป็นเจ้านายโบกมือไล่เมื่อเขาจัดการรินน้ำชาและแบ่งขนมให้เรียบร้อยแล้ว

“อามีเรื่องร้อนใจ” เขาเอ่ยอย่างเคร่งเครียดก่อนจะเอ่ยถามมิเชล   “ว่าแต่คราวก่อนมีจดหมายถึงหลานได้รับแล้วใช่หรือไม่”  โอบาเรต์รู้ดีว่าอดีตคนรักของมิเชลที่ชื่อเฟลอร์เพิ่งตกพุ่มม่ายแต่ยังสาวเนื่องด้วยสามีของเจ้าหล่อนนั้นเป็นสหายรุ่นพี่ของเขานั่นเอง

“ได้รับแล้วขอรับ”  เขาตอบสั้นที่สุดเพราะไม่อยากอธิบายความรู้สึกของตนให้อีกฝ่ายได้รับรู้  “ว่าแต่เรื่องของคุณอาเล่าขอรับ  มีเรื่องอันใด”  แม้เขาจะสนิทสนมและให้ความเคารพอีกฝ่ายสักเพียงใดแต่เรื่องของอดีตคนรักเป็นเรื่องที่มิเชลไม่อยากแสดงความรู้สึกให้โอบาเรต์รู้สักนิดเนื่องจากความทรงจำครั้งที่หญิงสาวผละจากเขาไปสมรสกับขุนนางวัยกลางคนผู้เป็นสหายของท่านกงสุลยังฝังลึกในใจ  ครานั้นโอบาเรต์ปลอบเขาว่าดีแล้วที่เฟลอร์ไปจากเขาเช่นนี้เพราะทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายเห็นแก่ลาภยศชื่อเสียงมากกว่าความรัก  แต่เขากลับรู้มาว่าในงานมงคลสมรสระหว่างขุนนางผู้นั้นกับอดีตคนรักของเขา  โอบาเรต์กล่าวเยินยอทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงว่าสมกันยิ่งและยังยกย่องว่าเฟลอร์เป็นหญิงผู้มีจิตใจงดงามไร้ที่ติ  คู่ควรแล้วกับขุนนางใหญ่เยี่ยงสหายของเขา

มิเชลถอนตัวจากภวังค์แล้วกลับมาจดจ่อกับคำตอบของท่านกงสุลซึ่งไม่ได้สร้างความแปลกใจแก่เขานัก

“อาคิดว่าจะฟ้องร้องหมอบลัดเลย์เรื่องที่เขียนข่าวเรื่องของอาลงในบางกอกรีคอร์ดเดอร์”

“คุณอาแน่ใจหรือขอรับ”  เขาถามย้ำทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายจะไม่เปลี่ยนใจ

“อาคิดทบทวนมาหลายเพลาแล้ว  เรื่องนี้สร้างความเสื่อมเสียแก่อาในแง่ของชื่อเสียงเป็นอย่างยิ่ง  ผู้คนที่ไม่รู้จะคิดว่าอาเป็นตามที่เขาเขียน”

“แล้วเป็นเช่นนั้นหรือไม่เล่าขอรับ”  มิเชลถามตรง ๆ อย่างแคลงใจ  ไม่แพ้คนอื่นทั้งที่เขาคิดแก้ต่างให้อีกฝ่ายว่าทำตามหน้าที่แต่หากเรื่องไม่มีมูลมีหรือที่คนอื่นจะนำเอาไปปั้นแต่งขึ้นมาได้

“อาขอยืนยันว่ามิได้ทำสิ่งใดเกินเลยหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย  ส่วนเรื่องพฤติกรรมที่แสดงออกเป็นเรื่องเฉพาะหน้าในตอนนั้นมิได้สะท้อนถึงความคิดในใจของอา  แต่การที่หมอบลัดเลย์ผู้ซึ่งมิได้อยู่หน้าพระที่นั่งฟังความจากผู้อื่นแล้วไปเขียนข่าวนั้นสร้างความเสียหายแก่อาเป็นอย่างยิ่ง”  โอบาเรต์เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์  แววตาแสดงความฉุนเฉียวชัดเจนเมื่อนึกถึงข้อความที่ได้อ่านในหนังสือพิมพ์

“กระผมมิได้จะห้ามปรามแต่อยากให้คุณอาคิดอีกนิดว่าแม้คุณอาได้รับการตัดสินให้เป็นผู้ชนะจะมีสิ่งใดดีขึ้น  เพราะในตอนนี้ก็มิได้มีผู้ใดจะนึกนิยมชมชอบมากขึ้นหรือน้อยลงเลยนี่ขอรับ”

มิเชลเอ่ยเสียงเรียบอย่างคนที่คิดเรียบเรียงคำพูดมาเป็นอย่างดีมิให้กระทบใจอีกฝ่ายได้  อย่างไรเสียท่านกงสุลก็เป็นบุคคลที่เขาเคารพนับถือเสมอมา  แม้ท่านจะมีพฤติกรรมอย่างไรในสายตาคนอื่นแต่สำหรับเขาโอบาเรต์นั้นเป็นตัวแทนขององค์จักรพรรดิผู้ที่ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่เพื่อแผ่นดินฝรั่งเศสโดยประจักษ์ชัดเจนอย่างไม่มีข้อสงสัย

 



Don`t copy text!