เจาะเวลาหานายฮ้อย บทที่ 20 : จองหัวใจไว้ก่อน

เจาะเวลาหานายฮ้อย บทที่ 20 : จองหัวใจไว้ก่อน

โดย : นาคเหรา

เจาะเวลาหานายฮ้อย นวนิยายโรแมนติกคอมเมดี้ อารมณ์ดีเรื่องล่าสุดจากปลายปากกาของ นาคเหรา นักเขียนรางวัลชนะเลิศจากโครงการช่องวันอ่านเอา เรื่องราวของพลอยจำปาที่ย้อนเวลากลับมาตามหานายฮ้อยคนเก่ง ผู้คุมฝูงควายจำนวนมหาศาลเดินทางไปสู่เมืองใหญ่ เมื่อเขาหายตัวไป เรื่องอลวนวุ่นวายจะเกิดขึ้น เธอจะทำให้สำเร็จไหม ไปลุ้นกันเลยตอนนี้

บ้านนายฮ้อยสุบิน

เจิดนอนฝันร้ายหลายคืนแล้ว ความหวาดกลัวของเขาลามไปหลอนถึงตอนกลางวันด้วย อาการหวาดผวาของลูกชายทำให้เดือดร้อนนายฮ้อยสุบินผู้เป็นพ่อต้องพาไปรดน้ำมนต์ที่วัดถึงสองครั้งแล้ว พอครั้งที่สามหลวงปู่ทองก็ได้ส่ายหน้าไปมา

“ยังบ่เซารึ…เจิด”พระชราถามแล้วมองท่าทางชายหนุ่มอย่างกังวล ในขณะผู้ถูกถามก็พูดออกไปด้วยน้ำเสียงอันดังลั่น

“อีจำปามันเป็นผี มันถีบข้อย เตะข้อย ตีนหนักคือตีนช้างนี่ มันต้องเป็นผีนักมวยโคราชแท้ๆ”ได้ฟังเช่นนั้นหลวงปู่ทองก็ส่ายหน้าไปมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“มันสิเป็นผีได้จั๋งใด อีจำปาใส่บาตรให้หลวงปู่อยู่ซูมื้อ เขาว่าผีมันที่เก่งปานใด มันกะย้านหลีกทางให้ผ้าเหลือง ถ้าเว้าว่ามันเป็นผี หลวงปู่คือสิบ่เชื่อดอก”

หลวงปู่ทองพูดพลางบริกรรมคาถาใส่หม้อน้ำมนต์ ด้านนายฮ้อยสุบินก็ยกมือมองตามสลับกับมองลูกชายตัวอย่างเป็นห่วง เพราะตั้งแต่มาจากกลับบ้านป่าแดง ลูกชายของเขาก็มีสภาพอย่างที่เห็น ครั้นถามบรรดาลูกสมุนของเจิด พวกมันก็ไม่กล้าพูดเรื่องที่พากันไปทำมาได้แต่อ้ำอึ้ง เขาจึงตัดสินใจเอาลูกชายมารักษาตัวก่อน รอให้เจิดอาการดีขึ้นแล้วถึงจะถามเอาจากปากลูกอีกที แต่อาการดูท่าจะหนัก เพราะขนาดรดน้ำมนต์สามครั้งแล้วสติยังไม่กลับมาเลย

“ลูกผม มันสิเซ่าบ่ หลวงปู่” นายฮ้อยสุบินถามภิกษุชราด้วยความเป็นห่วง

“มันกะบ่ได้เป็นหยังนะ แต่บ่ฮู้ว่าบักเจิด มันย้านอีหยังคักแท้”

“ตั้งแต่งานบุญบ้านป่าแดง มันกะเป็นจังซี้ไปแล้ว หรือมันถืกผีบ้านนี้เข้าสิงจนเป็นบ้า”

“ผีอยู่ส่วนผี คนก็อยู่ส่วนคน มันบ่มาก้าวก่ายให้เป็นเวรกรรมกันดอกโยมสุบิน ให้ถามบักเจิดมันดีๆ คักๆ ว่ามันไปเฮ็ดอีหยังมา หรือมันไปเฮ็ดหยังบ่ดีกับอีจำปามาล่ะ คือเว้าแต่แนวเดียวแท้” หลวงปู่ทองพูดราวให้คิด แต่ด้วยกังวลของนายฮ้อยสุบิน ท่านจึงได้ทำพิธีให้แต่เจิดก็ยังอาการไม่ดีขึ้น เขาตะโกนออกมาสุดเสียงเมื่อร่างกายถูกน้ำมนต์

“อีจำปา มันเป็นผี มันเป็นผี”

“เอ้า อาบบ่พอ ต้องเอาน้ำมนต์ให้มันกินนำ” หลวงปู่ทองพูดอย่างอ่อนใจ ท่าทางของลูกทำให้นายฮ้อยสุบินมองอย่างเป็นห่วง และคิดว่าหมดหวังที่จะเพิ่งทางพระเสียแล้ว ด้วยอาการดังกล่าวทำให้เขาตัดสินใจพาลูกชายไปที่บ้านของหมอฝั้นในตอนเย็นของวันนั้นเอง พร้อมกันนั้นก็พาพวกลูกสมุนของเจิดไปด้วย

ร่างของเจิดสั่นราวจับไข้ ดวงตามองรอบๆ บ้านของหมอฝั้นด้วยความหวาดกลัวยิ่งเห็นหัวกะโหลกผี ยิ่งทำให้เจิดขวัญกระเจิงยิ่งขึ้น หมอผีจอมขมังเวทแห่งบ้านผู้แสนคำเคี้ยวหมากหยับๆ พิจารณาดูอาการของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า

“หมอฝั้นช่วยลูกข้อยแน้ มันเป็นจั๋งซี้มาหลายมื้อแล้ว เสียวัวเสียควายจักตัวข้อยก็บ่ว่า ขออย่างเดียว ขอให้บักเจิดมันเซา”

คำพูดนั้นทำให้หมอฝั้นมองเจิดอย่างละโมบ เพราะเจิดไม่ใช่เจิดแต่เป็นไหเงินไหทองเคลื่อนที่ในสายตาของเขานั่นเอง วันนี้โชคดีแท้ๆที่นายฮ้อยสุบินมาเสนอหมูแลกควาย เฒ่าหมอผีกระทืบเท้าใส่จนพื้นเรือนไหว ทำให้เมียของนายฮ้อยสุบินสะดุ้งเพราะควมกลัวจังหวะเดียวกันนั้น เจิดก็ตะโกนออกมาสุดเสียง

“อีจำปา มันเป็นผี ผีนักมวยเมืองล่าง มันเตะข้อย ถีบข้อย”

“กูว่าแล้ว คิดไว้บ่ผิด อีจำปามันบ่แม่นอีจำปา ผีตัวนั้นบ่ทันได้ออกแท้ๆ กูบอกหมู่สูตั้งแต่เทื่อพู้นแล้วเด้ แต่บ่มีไผเชื่อกูจักคน”

“พ่อใหญ่คือเว้าจังสั้น ผีอีหยัง สิมาเข้าสิงคนนานแท้”

“เข้าเป็นปีสองปีกูกะเคยเห็นมาแล้ว อีนี่มันเป็นผี เป็นหยังกูสิเว้าบ่ได้ ตั้งแต่มื้อที่กูไล่ผีบ้านยายลุน หมู่บ้านเฮากะเกิดอาเพศ ผีตัวนี้มันบ่ยอมออก มันสิกินลูกหลานบ้านเฮา แล้วเฮ็ดให้ภูแสนคำเป็นชุมทางผี”หมอฝั้นพูดด้วยน้ำเสียงน่ากลัว จนผู้คนที่อยู่ในบ้านต่างมีท่าทางหวาดกลัว นั่นแหละที่หมอผีเฒ่าต้องการยิ่งกลัวเขายิ่งชอบ เพราะความกลัวนี่แหละ ที่จะทำให้เขาร่ำรวยและดูดเอาเงินมาจากคนโง่พวกนี้ เมื่อได้ยินเช่นผู้คนในนั้นก็มีสีหน้าตกใจ

“ซุมทางผี แสดงว่าบักเจิดเว้ามันเป็นเรื่องอีหลีติ”

“มันกำลังสิถูกกินตับกินไต อีกบ่นานมันก็สิตาย แต่บ่ต้องห่วงดอก พ่อใหญ่สิช่วยมันเอง ดวงมันยังดีอยู่” หมอฝั้นพูดแล้วมองปราดไปยังลูกสมุนของเจิดที่ตัวสั่นงันงกด้วยความกลัว ยิ่งถูกมองมาแบบนี้พวกเขาก็หนาวไปถึงกระดูก

“พวกมึงเว้ามาให้หมด ว่าบักเจิดมันไปเฮ็ดอีหยังมาอยู่บ้านป่าแดง ถ้าพวกมึงบ่เว้า กูสิเสกหนังควายเข้าท้องพวกมึงให้หมดซูคนเลย”

ด้วยคำนั้นทำให้ลูกสมุนทั้งสองของเจิดจำเป็นต้องเล่าเรื่องทุกอย่างให้ทุกคนฟัง แล้วรอยยิ้มของเฒ่าหมอผีก็เผยออกคิดในใจว่า คราวนี้จะแก้มือให้คนในภูแสนคำมานับถือตนแบบเดิมได้อย่างไร เพราะเกิดเรื่องครั้งก่อนทำให้ชาวบ้านเสื่อมศรัทธาเขา แต่เรื่องของเจิดจะทำให้เขาสามารถกลับมาอยู่จุดเดิมที่เคยเป็นได้

ว่าแต่ว่าผีในร่างของอีจำปา มันเป็นไผกันแน่

หมอฝั้นได้แต่พูดคนเดียวโดยที่ไม่มีใครได้ยิน ในหัวของเขาคิดแผนการบางอย่างในใจ

 

ณ บ้านของยายลุน

เช้าวันนี้พลอยจำปาตื่นพร้อมเพ็งและยายเหมือนดังเช่นทุกวัน ตอนเช้ายายลุนจะลุกมาไหว้พระตอนเช้า ส่วนเธอกับเพ็งก็จะแบ่งหน้าที่ในการทำกับข้าวในตอนเช้า ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่พลอยจำปาทำกับข้าวเก่งขึ้นมาก รู้จักหาของที่มาจากธรรมชาติได้มาทำกับข้าว อาหารแปลกๆบางอย่างเมื่อได้ลองทำก็กลับชอบไปโดยปริยาย แม้จ้อัตคัดไปมากแต่เธอก็ปรับตัวให้คุ้นชินกับคนที่นี่ได้

บางทีครูไหวถ้าได้เข้าในตัวอำเภอก็จะเอาของหายาก อย่างปลาแห้ง เนื้อแห้ง ปลากระป๋องซึ่งในยุคนี้ถือเป็นของที่มีราคาแพงมาให้ในสมัยนี้ พลอยจำปาก็ได้ลองทำเมนูเด็กหออย่างต้มยำปลากระป๋องให้พี่สาวและยายชิมด้วย ซึ่งทั้งสองก็ชอบมากเหมือนกัน ในขณะเดียวกันเธอก็เปิดใจกินกับข้าวที่เพ็งทำให้ไม่มีท่าทีรังเกียจเหมือนช่วงแรกๆ

เช้าวันนี้เพ็งบอกว่าจะนึ่งข้าว ย่างปลาแห้งห่อใบตองใส่บาตรพระ พลอยจำปาก็อาสาย่างปลาให้  เธอสวมเสื้อแขนกุดนุ่งผ้าถุงนั่งย่างปลาอยู่ใต้ถุนเรือนที่กั้นใหม่เป็นครัวไฟ ในขณะที่เพ็งก็ไปเตรียมข้าวของเพื่อใส่บาตร เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งเดินใกล้เข้ามา เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมอง เธอเห็นบุญสิงห์สะพายก่องข้าวและถือตะกร้าของใส่บาตรมาด้วย  เขาแต่งตัวดีกว่าทุกวันเล็กน้อย พอเห็นบุญสิงห์ใส่ชุดเหมือนไปงานบุญ พลอยจำปาก็ยิ้มและทักทายเขาทันที

“ พี่ไปไหนเนี่ยพี่บุญ แต่งตัวหล่อเชียว”

“ว่าสิมาใส่บาตรกับผู้สาวอ้ายสักหน่อย”

“หือ…ไผหนอ ผู้สาวอ้าย”

“พลอย”

คำพูดนั้นทำให้คนฟังยิ้มอยางเก้อเขิน สายตาก็มองไปยังผิวแก้มที่แดงเรื่อหากแต่เจ้าตัวยังแกล้งส่งสายตาดุๆ มายังเขาแทน แต่บุญสิงห์พอจะรู้ว่าที่เธอทำแบบนั้นเพราะยังรู้สึกยังไง พลอยจำปาได้แต่เอามือปิดปากเขาไว้พลางเอ่ย

“อย่าพูดดังไป เดี๋ยวยายกับพี่เพ็งก็มาได้ยินหรอก”

“บ่เห็นเป็นหยังเลย อ้ายกลับมาจากเมืองล่างแล้ว เฮากะสิแต่งงานกัน” แม้จะสะดุดกับคำว่าแต่งงาน แต่พลอยจำปาก็อดคิดถึงความเป็นจริงไม่ได้ ว่าเธอย้อนเวลามาที่นี่ มาโดยที่ไม่รู้ตัว แล้วแต่ถ้ากลับไปโดยที่ยังไม่รู้ตัวอีกล่ะ ทุกคนที่อยู่ที่นี่จะเป็นยังไง ความผูกพันเมื่อได้เกิดขึ้นแล้ว มันเป็นความรู้สึกที่ดีและไม่อาจจะลืมเลือนไปได้ง่ายๆ แล้วถ้าเธอกลับไปยังโลกที่เธอจากมาล่ะ ทุกคนที่นี่จะเป็นยังไง ในขณะที่เธอครุ่นคิดอยู่นั้นะมือแกร่งของบุญสิงห์แตะที่มือของสาวคนรักเบาๆ พลางเอ่ย

“ปลาสุกแล้ว อ้ายสิห่อใบตองให้ พลอยไปแต่งตัวโลด”

“หนูแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว หรือหนูดูแย่จนพี่ไม่เห็นความแตกต่าง” บุญสิงห์ยิ้มก่อนจะเอื้อมมือมาจับติ่งหูของเธอเล่นิเห็นว่าพลอยเอาไม้กลัดเล็กเสียบหูไว้แทนต่างหู

“พลอย เจาะหูอยู่ติ”

“หนูไม่ได้เจาะ แต่พี่เพ็งบอกว่าจำปาเจาะมาตั้งแต่เล็กแล้ว”

“ถ้าจังสั้นดีเลย”

บุญสิงห์พูดอย่างมีเลศนัยเขามองหน้าสาวน้อย สายตาของเขามองเห็นใบหน้าที่แท้จริงของพลอยจำปาที่ต่างจากรูปลักษณ์ภายนอกที่เคยเห็น นานวันเข้าก็คุ้นเคยและรับเธอมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต พลอยจำปาจับมือเขาไว้พลางยิ้ม

“วันนี้พี่บุญแปลกๆ ถามถึงเรื่องเจาะหูทำไมเหรอ”

“ก็อ้ายคิดว่าลงไปเมืองล่างขายวัวควายแล้ว จะแวะไปซื้อตุ้มหูทองสักคู่มาให้พลอยใส่เล่น”

“อืม…ป๋ามากเลย จะซื้อต่างหูทองให้ทำไมนะ ถึงราคาทองสมัยนี้ไม่แพงเท่าสมัยเจ็ดสิบปีข้างหน้าแต่คงแพงสำหรับพี่อยู่ดี ไม่ต้องซื้ออะไรมาฝากหนูหรอกค่ะ แค่พี่ไปและกลับมาอย่างปลอดภัยหนูก็ดีใจแล้ว” เธอบอกเช่นนั้น นั่นยิ่งทำให้บุญสิงห์ยิ่งรู้สึกมีความสุขมากขึ้นไปอีก

“บ่เป็นหยัง อ้ายอยากให้”เขาพูดพลางหลบสายตาของเด็กสาวที่อมยิ้ม บุญสิงห์เก้อเขินทำที่เอาใบตองมาห่อปลาแห้งแต่พลอยจำปากลับไปนั่งใกล้ๆ พลางเค้นถามเพื่อจะเอาคำตอบ ทั้งที่ในใจก็รู้มานานแล้วว่าเขารู้สึกยังไงกับเธอ

“แล้วทำไมถึงอยากให้หนูล่ะ”

“กะอ้ายอยากให้ อย่าซ่อ (1) ดู๊หลาย ซื้อมาให้ก็ใส่ไว้โลดน่า”

“อ้าว แล้วถ้าใส่ตุ้มหูทอง ยายกับพี่เพ็งจะไม่สังเกตเห็นเหรอ ไหนจะพ่ออีก หนูจะตอบได้ยังไง พี่ต้องบอกให้หมดสิ”

“บ่เป็นหยังดอกน่า คนเขาสิได้รู้ว่าจองไว้แล้ว”

“อ้อ…เหมือนกระดิ่งแขวนคอควายนี่เอง ถามจริงพี่ไม่กลัวหนูเหรอ หนูเป็นผีเมืองล่างนะ”

“เป็นผีกะสิแต่ง ขออย่างเดียวเป็นผีที่ชื่อว่าพลอยจำปากะพอ” เขาเอ่ยพลางเอาเชือกกล้วยมามัดใบตองให้แน่นขึ้น ช่วงพลอยจำปาก็ยื่นไปจูบแก้มเขาเบาๆ

“งั้นหนูขอจุ๊บจองพี่ไว้ก่อน รอตุ้มหูทองของพี่ไง”

คนถูกจูบเอามือลูบแก้ม ตอนนี้เขามองเห็นท้องฟ้ายามเช้าเป็นสีชมพู เห็นรอยยิ้มสดใสของใครคนหนึ่งที่มาจากแดนไกลทั้งในห้วงเวลาและระยะทาง เขาผูกใจไว้กับเธอผู้นี้และคิดเข้าข้างตัวเองว่าเธอจะอยู่ที่นี่…ที่ภูแสนคำตลอดไป เขาคิดเข้าข้างตัวเองอย่างมีความสุขอย่างน้อยตอนนี้เขาก็ได้รักใครสักคนและเธอคนนั้นก็มีใจให้เขาด้วย

เช้านั้นบุญสิงห์ตั้งใจใส่บาตรและอธิษฐานขอพรพระด้วยความหวัง แต่เมื่อหลวงปู่ทองและพระลูกวัดมาบิณบาตรตอนเช้า ภิกษุชรามองเห็นร่างเงาทับซ้อน ท่านพยายามเพ่งพิศดวงจิตรที่อยู่ในร่างหลานสาวคนเล็กของยายลุนพลางส่ายหน้าไปมา

“วาสนาพามาไกล มาให้พ้อและให้ลาจาก มันเป็นกรรมนะ”

“กรรมอีหยังน้อ หลวงปู่”

“กรรมของคนทุกคน หลีกหนีบ่ได้ สิ่งที่แก้ไขคือมีสติ”

คำนั้นของผู้ทรงศีลทำให้พลอยจำปามองหน้าบุญสิงห์ เขามีทั้งแววห่วงระคนสงสาร แต่สายตานั้นก็บอกให้เธอเชื่อใจ ว่าทุกเรื่องที่เกิดขึ้นมันจะมีทางออก บุญสิงห์เงยหน้าขึ้นกะว่าจะพูดถามหลวงปู่ต่อ แต่ทว่าท่านก็เดินจากไปแล้ว ด้านเพ็งก็มองหน้ายายอย่างสงสัย แต่ทว่ากลับไม่ได้คำตอบอะไรนอกจากความเงียบ

“กินข้าวกันก่อนเด้อ หมอบุญ วันนี้เพ็งกับจำปาทำกับข้าวหลายอย่าง มีแกงปลากระป๋องนำเด้อ แซ่บหลาย”ยายลุนเอ่ยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นทำให้พลอยจำปาต้องพูดออกไปเช่นกัน

“แม่นจำปาเฮ็ด รับรองแซ่บจนแสบ…แท้”พลอยจำปาเว้นคำพูดไม่สุภาพแต่บุญสิงห์ก็เดาได้ว่าเธอจะพูดอะไร ก็ได้แต่ยิ้ม แต่เพ็งกลับพูดออกมาว่า

“จำปาน่ะมักกินเผ็ด ตำบักหุ่งก็ใส่พริกหลายจนพี่กินนำบ่ได้”

“เผ็ดก็แซ่บดีนะเอื้อยเพ็ง กินได้ดีกว่ากินบ่ได้เลย” พลอยจำปาเอ่ยคนเป็นพี่ส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนใจ

“มันก็แซ่บอยู่ดอก แต่ก่อนจำปากินเผ็ดบ่ได้ จำได้บ่ตอนกินลาบเนื้อลาบปลา ยายต้องแยกให้ต่างหาก ตอนนี้กินพริกเก่งจนพริกขึ้นไม่ทัน” พอได้ยินอย่างนั้นสาวน้อยก็แสร้งหัวเราะกลบเกลื่อน

“แต่ตำบักหุ่งบ่เผ็ดก็บ่แซ่บเด้อเอื้อย”พูดได้เช่นนั้นเสียงหัวเราะแห่งความสุขก็ดังขึ้น ยายลุนชวนบุญสิงห์ให้ไปกินข้าวในบ้านก่อนแล้วค่อยกลับ แต่ยังไม่ทันที่ทั้งสี่คนก็เข้าไปในบ้าน เสียงของหมอฝั้นก็ดังขึ้นมาก่อน

มึงสิไปไส อีผีปอบ”

 

เชิงอรรถ : 

(1) ซักไซ้



Don`t copy text!