
ซ่อนรักในรอยกาล “นครลำพูน หริภุญไชย” บทที่ 33 : นครใหม่
โดย : พิมพ์อักษรา
ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co
รุ่งอรุณนั้นลมเหมันต์ย่างกราย ตะวันทอแสงอุ่นอ่อน ท้องฟ้าโปร่งแจ่มใสเห็นริ้วเมฆบางเบา ถือเป็นศุภฤกษ์มงคลแห่งนครหริภุญไชย เมื่อเจ้าวรใหญ่ได้ราชาภิเษกขึ้นเสวยราชสมบัติเป็นกษัตริย์เจ้ามหันตยศ หลังจากที่พระราชมารดาแลขุนนางทั้งหลายได้เห็นพ้องต้องกันว่า แม้เจ้าชายทั้งสองจักมีปรีชาสามารถเสมอกัน หากพระเชษฐาใจเย็นแลสุขุมรอบคอบกว่าพระอนุชา จึงสมควรได้สืบราชสมบัติลำพูนสืบไป โดยยังมีพระนางจามเทวีคอยช่วยเหลือการบริหารราชการนครจนกว่าสถานะของกษัตริย์พระองค์ใหม่จักมั่นคงขึ้น ทั้งนี้เพราะราษฎรต่างยังหวงแหนและอุ่นใจที่มีพระนางบริหารราชอาณาจักรมากกว่าราชันอายุน้อย
หากกระนั้นพระเจ้ามหันตยศก็ยังปกครองเวียงวังได้อย่างราบรื่นสันติสุข ทั้งทรงมีพระดำริในแง่ดีว่าอันความไว้เนื้อเชื่อใจนั้นต้องอาศัยเวลา จึงต้องเริ่มอย่างค่อยเป็นค่อยไป หลังจากเสวยราชย์แล้วทรงดำเนินตามรอยเบื้องพระยุคลบาทแห่งพระมารดาทุกประการ นครหริภุญไชยจึงรุ่งเรือง พสกนิกรดำรงอยู่อย่างผาสุก ในเมืองไม่มีโจรผู้ร้าย มีแต่ความสงบร่มเย็นในพระศาสนา พระราชมารดาจึงค่อยคลายพระทัยว่าอาณาจักรที่ทรงสร้างขึ้นมาด้วยความอุตสาหะถูกส่งต่อให้ผู้ที่เหมาะสมคู่ควร
เช้าวันหนึ่งพระนางเจ้าตื่นบรรทมขึ้นมา เป็นเวลาที่อากาศแจ่มใสน่าสบายอย่างยิ่ง พระนางยังประทับอยู่ ณ ที่ไสยาสน์ ระลึกถึงห้วงเวลาทั้งหลายที่ผ่านมาแล้วจึงบังเกิดความปีติในพระหฤทัยว่าได้ทรงฟันฝ่าความทุกข์ยากทั้งปวงมาได้อย่างสมพระเกียรติ สิ่งใดที่ทรงปรารถนาให้สำเร็จลุล่วง ขณะนี้ก็ถึงพร้อมด้วยสิ่งนั้นแล้วทั้งหมด จึงมีพระดำริว่าด้วยกุศลกรรมที่ทรงเคยกระทำมาในกาลก่อนจึงหนุนนำให้ประกอบกรรมดีในชาตินี้สืบต่อไปได้ จึงสมควรที่จะสร้างบุญสร้างกุศลให้เป็นมงคลต่อตนเองและบ้านเมืองสืบต่อไป
ดำริดังนั้นก็ทรงนำข้าราชบริพารออกสำรวจรอบพระนคร จากนั้นก็มีรับสั่งเรียกชมออนกับขุนเจ้ารัญชน์มาหารือเรื่องสถานที่ต่างๆ ที่เห็นว่าเหมาะสมให้สร้างพระอารามใหม่
“เราจักสร้างวัดขึ้นสี่มุมเมืองเป็นพุทธปราการ…ดีหรือไม่”
“พุทธปราการคือสิ่งใดเจ้าข้า”
“ชมออนไขความให้ขุนเจ้าที” พระนางพยักพเยิด ขณะที่นางกำนัลมีสีหน้าราบเรียบไม่บอกอารมณ์
“เป็นการอาศัยกำลังแห่งพระพุทธคุณช่วยปกปักรักษาเมืองอีกทางหนึ่งเจ้า”
“ตอนสำรวจรอบเวียงขุนเจ้ามิได้ไปกับพวกเราด้วย เจ้าก็ช่วยพาขุนเจ้าไปชมด้วยตาอีกทีเถิด จะได้ช่วยกันวางแผนให้ลุล่วง”
ขุนเจ้ารัญชน์กับนางกำนัลหันมามองหน้ากัน ส่งสายตาไม่เข้าใจ หากมิได้ปริปาก
“ทางทิศเหนือเราจะให้มีวิหารหลังหนึ่งสำหรับพระสงฆ์ที่มาจากลังการาม” พระนางตรัสพลางยิ้มแย้ม “อีกสามทิศก็จงพิจารณาให้เหมาะสม พวกเจ้าช่วยกันหารือเถิด”
พระนางเห็นนางกำนัลคนสนิทกลอกตามองบน ส่วนขุนเจ้ารัญชน์ก็หน้านิ่วคิ้วขมวดแต่ก็ทำตามรับสั่ง ครั้นตระเวนไปทั่วสี่มุมเมืองแล้วชมออนก็กลับมาทูลรายงานความเห็นเรื่องอารามแต่ละแห่ง ลงท้ายด้วยอาการทอดถอนใจ กล่าวว่า “เรื่องนี้มิเห็นต้องให้หม่อมฉันทำเลย”
“เรื่องใดฤๅ”
“ให้พาขุนเจ้ารัญชน์ไปทั่วเวียงน่ะเพคะ” หญิงสาวหน้างอ “มิใช่เพราะหม่อมฉันเกียจคร้าน แต่เพราะเห็นได้ชัดแจ้งว่าเรื่องนี้มิใช่หน้าที่หม่อมฉัน แต่เป็นของทหารเวียงและท่านอำมาตย์โน้น”
“ชมออนเป็นคนเกี่ยงงานตั้งแต่เมื่อไร”
“ตั้งแต่แม่เจ้าตั้งพระทัยจับหม่อมฉันใส่พานให้ขุนเจ้ารัญชน์เพคะ” เมื่อรับใช้ใกล้ชิด ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมายาวนาน นางกำนัลชาวเวียงโถจึงกล้าทูลตามใจคิด
“เจ้าก็กล่าวเกินไป” พระนางอ้ำอึ้ง “ข้าก็เพียงใคร่ให้พวกเจ้าได้คุ้นเคยกันเข้าไว้ อย่างไรเขาก็เคยเป็นคนที่เจ้านึกมีใจเสน่หามาก่อน”
“เนิ่นนานเหลือเกินแล้วเพคะ ยามนั้นหม่อมฉันเป็นเพียงเด็กสาวไม่ประสา”
“แลบัดนี้เจ้าก็ทราบแล้วว่าเขามิใช่ขัณฑบุรุษ แต่เป็นชายหนุ่มผู้ถึงพร้อมอย่างยิ่ง”
“ต่อให้มิใช่ชายถูกตอน หม่อมฉันก็มิได้มีใจให้เขาแล้วเพคะ ชาตินี้มิคิดรักผู้ใดอีกแล้ว จะขอรับใช้แม่เจ้าไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่”
“โธ่…ได้อย่างไรกัน เจ้ายังสาวยังแส้ เฮ้อ ข้าน่าจะให้เจ้าออกเรือนไปกับขุนเจ้าขันติแต่แรกก็สิ้นเรื่อง บัดนี้เขาได้ไปครองเวียงโถเป็นเจ้าเมืองแทนบิดาเจ้า เจ้าก็น่าจักได้เป็นแม่เมือง”
“แล้วเหตุใดเพลานี้ถึงยัดเยียดหม่อมฉันให้ขุนเจ้ารัญชน์เพคะ”
“ก็เพราะในลำพูนนี้ ไม่มีนางใดเหมาะสมคู่ควรกับเขาเท่าเจ้าอีกแล้วชมออน”
“แล้วต้องทรงลำบากหาคู่ให้ขุนเจ้าด้วยเหตุใดกันเพคะ” ด้วยความเป็นคนสนิทรู้ใจ นางจึงกล้าซักถามกล้าทักท้วงได้ “ตอบหม่อมฉันมาตามตรงเถิด จักได้ช่วยกันขบคิดหาทางออกได้”
“ก็ได้ๆ” ชวาลาเทวียกพัดขนนกขึ้นพัดช้าๆ ขณะเรียบเรียงถ้อยดำรัส “หลายปีมานี้ ทั้งวรใหญ่แลวรน้อยต่างทาบทามเสาะหาสตรีมาให้เป็นคู่ขุนเจ้ารัญชน์มาตลอด พวกเขามักกล่าวอยู่บ่อยครั้งว่าอยากให้รัญชน์มีเมีย มีลูกอย่างชายทั่วไป รัญชน์จะได้มีความสุข”
“แต่ขุนเจ้าก็มิได้พึงใจนางใดทั้งสิ้นนี่เพคะ”
“บางทีอาจเพราะเขาเกรงใจข้าก็เป็นได้” พระนางสบตาข้าหลวง แววเนตรสับสน “อาจเกรงว่าจักเป็นการทอดทิ้งข้าไปหาความสุขส่วนตน ข้าก็มิควรเห็นแก่ตัวเหนี่ยวรั้งเขาไว้กับตนเองมิใช่หรือ เขาควรได้ตบแต่งสตรีดีพร้อมสักนาง ทั่วนครนี้ก็เห็นจักมีแต่เจ้านั่นแลชมออน”
“โธ่ แม่เจ้า…” ชมออนร้อง “ไม่ทรงสังเกตบ้างหรือเพคะว่าใบหน้าหม่อมฉัน ขุนเจ้ารัญชน์ก็แทบไม่อยากจะมองด้วยซ้ำ ทำราวกับหม่อมฉันรู้เห็นเป็นใจต่อการจับคู่ครั้งนี้ เขาน่ะ…ไม่มีตาเหลือบแลนารีนางใดอีกแล้ว…นอกจาก…”
“นอกจากผู้ใดหรือ”
“ช่างเถิดเพคะ มิใช่กงการของหม่อมฉันที่จักเป็นผู้เอ่ยเรื่องนี้” นางกำนัลทูลเหมือนดุ “สิ่งที่หม่อมฉันพอทูลได้ คือขุนเจ้าขุ่นเคืองใจแม่เจ้ายิ่งนักที่เอาแต่ยัดเยียดตัวเขาให้หม่อมฉัน…พวกเราต่างรู้สึกเช่นเดียวกันว่าถูกบังคับ อันหมายถึงพวกเรามิได้รักใคร่สิเน่หากันสักน้อย หากเราจักตบแต่งครองคู่กันได้ก็คงด้วยแม่เจ้ามีบัญชาประกาศิตสถานเดียว”
“อ้อ…ถ้าจะตบแต่งก็เพราะข้าบังคับหรือ” พระนางค้อนนางกำนัล “ข้าหวังดีแท้ๆ”
“หม่อมฉันรับใช้แม่เจ้ามานาน จงรักภักดีต่อแม่เจ้ายิ่งชีวิต หม่อมฉันก็ใคร่เห็นแม่เจ้าประสบสุขในรัก เช่นเดียวกับที่ทรงปรารถนาดีต่อหม่อมฉัน” ชมออนสบเนตรเจ้าเหนือหัวแน่วแน่ “เพลานี้ไม่มีผู้ใดใต้หล้าหริภุญไชยจักครหานินทานางพญาเมืองได้เพคะ”
“เรื่องมิง่ายเช่นนั้นหรอก ชมออน” ชวาลาเทวีแย้มสรวลเศร้าสร้อย “ถึงคนไม่พูด แต่ข้าก็ยังระลึกถึงสวามีของข้าอยู่เสมอ”
บุรุษผู้ถูกยัดเยียดให้นางกำนัลเห็นจอมนารีที่กำลังสาวพระบาทร้อนรนตรงมาที่เขา เมื่อแรกก็ตั้งใจจะเมินหน้าหนีไปเสีย ค่าที่เอาแต่ผลักไสเขาให้หญิงอื่น ไม่น่าน้อยใจหรอกหรือ ทรงนึกอยากยกเขาให้ใครก็ยกให้ง่ายๆ เหมือนเป็นสิ่งของไม่มีชีวิตจิตใจกระนั้น ทว่าครั้นได้เห็นสีพระพักตร์ว้าวุ่น หัวใจรัญชน์ก็พลันอ่อนยวบลงง่ายดาย…
“เกิดเรื่องใดหรือเจ้าข้า”
“วรน้อยน่ะสิขุนเจ้า…ดูเหมือนจะ…” พระนางกระสับกระส่ายผิดวิสัย “ตรอมใจ ไม่ยอมกินยอมนอน บัดนี้ซูบผอมหม่นหมอง ถึงมิเอ่ยออกมา เราก็พอรู้ว่าด้วยเหตุใด”
“เรื่องครองบัลลังก์” ชายหนุ่มพอเดาได้เช่นกัน “ถึงเจ้าวรน้อยจะยอมรับผลโดยดุษณี แต่ข้างในคงเสียใจมาก เขาเติบโตมากับเจ้าวรใหญ่ คงไม่เคยรู้สึกแตกต่างจนกระทั่งเส้นทางแยกห่างจากกันเช่นนี้”
“เราก็เห็นใจลูก แต่ก็จนใจ และหากเอ่ยจากใจแล้วก็ยังกังวลอยู่มิน้อย เพราะแม้ยามนี้พี่น้องยังรักใคร่ปรองดองกันดี แต่วันหน้ามิอาจรู้ได้ ด้วยอำนาจนั้นมิเข้าใครออกใคร วันนี้รักกันมากมาย วันหน้าเกลียดกันถึงตายก็มีให้เห็นมิน้อย เราควรทำอย่างไรดีขุนเจ้า…อนาคตข้างหน้าว่าไว้เช่นไรฤๅ”
“ไหนว่ามิใคร่รู้อนาคต” ชายหนุ่มอดเย้ามิได้ “พูดตามตรงข้าพระองค์มิทราบ ตำนานแทบมิกล่าวถึงเรื่องนี้เลย”
“ถ้าเรามีสองเมืองก็คงดี จะได้ไม่มีใครได้เปรียบใคร ที่จริงวรน้อยก็มิได้ด้อยกว่าวรใหญ่นักหรอก”
รัญชน์จึงนึกขึ้นได้ “ถ้าอย่างนั้นเราไปเยี่ยมวาสุเทพฤๅษีดีไหมเจ้าข้า พาเจ้าวรน้อยไปด้วย”
“ดีจริง วรน้อยเชื่อฟังพระอาจารย์มาก อาจได้คำสอนลึกซึ้งคมคายกลับมาก็เป็นได้ บัดนี้พระอาจารย์พำนึกอยู่ ณ ดอยโชติบรรพต เดินทางมิถึงราตรีก็ถึงแล้ว”
พระนางจามเทวี พร้อมด้วยเจ้าอนันตยศและขุนนางหนุ่มจึงออกเดินทางไปพบวาสุเทพฤๅษียังโชติบรรพต ขณะนั้นวาสุเทพชราลงมากจนเริ่มลุกนั่งไม่ค่อยได้ หากประกายตายังแจ่มใส เต็มไปด้วยความเมตตาปรานีบุคคลทั้งสาม เมื่อรับทราบความแล้วจึงมองไปทางเจ้าอนันตยศที่กำลังกุมมือพระอาจารย์ของตนด้วยความรักและคิดถึง กล่าวด้วยน้ำเสียงเอื้อเอ็นดู “ราวกับอาจารย์ลำเอียงรักเจ้าวรน้อยกระนั้นแล เพราะเหตุใดรู้ไหม…เพราะอาจารย์คิดจักเนรมิตเมืองใหม่ให้เจ้าวรน้อยปกครองอยู่พอดี”
“พระอาจารย์ล้อเฮาเล่นกระมัง” เจ้าอนันตยศตกตะลึง “เนรมิตได้จะใด”
“นั่นสิหนอ อาจารย์ก็แก่เฒ่าปูนนี้ เรี่ยวแรงไม่มีอีกแล้ว คงอยู่ได้อีกไม่นาน” วาสุเทพลูบศีรษะเจ้าวรน้อยอย่างรักใคร่ “จำชฎิลฤๅษีและสุพรหมฤๅษีสหายของอาจารย์ได้หรือไม่”
“จำได้เจ้าข้า เป็นฤๅษีใจดีเหมือนพระอาจารย์”
“ทั้งสองพำนักอยู่บนดอยนี้เช่นกัน พวกเขาจาริกท่องไพรไปหลายม่อนหลายดอย แลได้พบที่ราบกว้างกลางหุบเขาแห่งหนึ่ง มิไกลจากหริภุญไชย อยู่ในทำเลชัยภูมิเหมาะสมต่อการสร้างบ้านแปงเมืองอย่างยิ่ง อาจารย์สำรวจดูแล้วยังนึกเห็นชอบ ด้วยอยู่มิไกลจากหริภุญไชยนัก”
“ดีจริง หริภุญไชยเจริญรุ่งเรืองขยายอาณาเขตอาณาเขตออกไปกว้างไกล ไพร่พลเพิ่มมากขึ้นจนมิอาจขยายได้อีก หากมีเมืองใหม่ขึ้นมาก็จักขยายอำนาจราชธานีเราให้มั่นคงแข็งแกร่งขึ้น”
ปิ่นธานีหริภุญไชยตรัสด้วยพระทัยปราโมทย์ยินดี จากนั้นจึงเสด็จออกสำรวจภูมิประเทศดังกล่าว แลได้ใช้วิชาวาดแผนที่ที่ทรงชำนาญออกมาเพื่อประกอบการวางโครงสร้างเวียงใหม่ของหริภุญไชย พระนางได้ทรงเกณฑ์ไพร่พลจากหริภุญไชยจำนวนมากเข้ามาร่วมก่อสร้าง ทั้งยังได้ชาวป่าชาวดอยที่ชื่นชมพระบารมีพระนางอาสาเป็นแรงงานให้การสร้างบ้านสร้างเมืองครั้งนี้สำเร็จในระยะเวลาอันสั้น จากนั้นทรงแนะให้พระโอรสตั้งนามนครขึ้นเอง เจ้าวรน้อยจึงแอบปรึกษาขุนเจ้าผู้เปรียบเสมือนบิดาและพี่เลี้ยง
“รันรันช่วยเฮาคิดที เฮาจะตั้งด้วยนามตนเองก็เห็นจะมิควร”
“สิ่งใดมีความหมายต่อเจ้าวรน้อยเจ้า” ชายหนุ่มชวนคิด “หรือเป็นสิ่งที่เจ้าวรน้อยอยากรำลึกถึง”
เจ้าอนันตยศเก็บไปใคร่ครวญอีกหลายวัน จึงตัดสินใจได้ว่า
“เฮาอยากรำลึกถึงอีกเสี้ยวตัวตนหนึ่งของเฮา…พระองค์เป็นผู้มีพระคุณที่ให้กำเนิด หากบ่มีพระองค์ก็จักบ่มีเฮา…เฮาอยากตั้งนามราชธานีตามเจ้าป้อ”
ผู้ที่กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูเจ้าแฝดมาอย่างเขาได้ยินเช่นนั้นก็พลันรู้สึกซาบซึ้งแทนพระเจ้าจันทรโชติจนน้ำตาคลอคลอง ตื้นตันราวกับเป็นบิดาแท้จริงของเจ้าวรน้อย
“แต่จักให้เรียกกัษษกรนครก็ฟังดูกระไร” เจ้าอนันตยศขมวดคิ้วครุ่นคิด “จักมีนามใดเรียกแทนเจ้าป้อได้อีกบ้างหนอ”
“เขนหลวงเจ้าข้า” เขาแทบจะลุกขึ้นกระโดดดีใจที่คิดได้ “พระบิดามีนามเรียกกันภายในว่าเจ้าเขนหลวง เหมือนกับที่พวกเราเรียกเจ้าอนันตยศว่าเจ้าวรน้อย ส่วนเขนนั้นหมายถึงดวงจันทร์เจ้าข้า”
“เขนหลวง…” เจ้าชายพยายามออกเสียง “เขนหลวงนคร”
บ้านเมืองใหม่บนที่ราบกลางม่อนดอยจึงสถาปนาขึ้นเป็นเขนหลวงนครนับแต่นั้น พระนางจามเทวีได้เป็นผู้ราชาภิเษกพระเจ้าอนันตยศขึ้นเสวยราชสมบัติในนครเขนหลวง ซึ่งในภายหลังชาวพื้นถิ่นได้ออกเสียงเพี้ยนต่อกันมาจนกลายเป็นเขลางค์ แลเรียกสืบต่อกันมาว่าเขลางค์นครนั้นแล
ถึงกระนั้น ในเวลาต่อมา เมื่อพระเจ้าอนันตยศได้ครองราชย์ไประยะหนึ่งก็ทรงระลึกถึงพระมารดา จึงส่งขุนนางผู้หนึ่งอัญเชิญพระราชสาส์นและเครื่องราชบรรณาการไปถวายพระนางจามเทวีเพื่อกราบบังคมทูลเชิญเสด็จมาประทับยังนครเขนหลวงแห่งนี้อีก พระนางที่ทรงคิดถึงพระโอรสเช่นกันจึงเสด็จจากหริภุญไชยมาถึงนครใหม่อีกครั้ง
เมื่อเสด็จเข้าสู่ตัวเมือง ได้ทอดพระเนตรเห็นบ้านเมืองบริบูรณ์ด้วยโภคสมบัติก็พอพระทัยมาก จึงทรงพำนักอยู่ราวเดือนเศษอย่างเกษมสำราญ หากครั้นจะเสด็จกลับลำพูน พระเจ้าอนันตยศกลับทูลขอให้พระมารดาประทับอยู่เป็นสิริมงคลในเมืองใหม่ของพระองค์ตลอดไป พระนางจามเทวีได้สดับดังนั้นก็ทรงมีพระดำริว่าทรงรักพระโอรสทั้งสองอย่างเท่าเทียมกัน แต่อนันตยศเพิ่งจะครองราชย์ได้ไม่นาน ยังมิอาจทราบได้แน่ชัดว่าจักปรีชาสามารถบริหารปกครองบ้านเมืองให้มั่นคงเรียบร้อยได้ดีเพียงไร ดังนั้น พระนางจึงควรประทับต่อในเขนหลวงนครเพื่อทรงช่วยเหลือพระเจ้าอนันตยศบริหารราชการไปสักระยะ ดังที่เคยได้ช่วยเหลือพระเจ้ามหันตยศมาก่อน
“หากวรน้อยปรารถนาเช่นนี้ แม่จะอยู่ในเขนหลวงนครนี้กับเจ้าสามปี จากนั้นแม่จึงจะกลับไปอยู่กับวรใหญ่ที่หริภุญไชย”
“รันรันจักมาอยู่กับเจ้าแม่ด้วยก่อ?”
“แม่เจ้าอยู่ที่ใด รันรันก็จักตามไปรับใช้ด้วย” ชายหนุ่มหันไปมองพระนางพลางยิ้มเมื่อเห็นพระพักตร์เป็นสีระเรื่อ “เจ้าแม่ของเจ้าวรน้อยจักได้ทรงพักผ่อนให้สมกับที่เหน็ดเหนื่อยวรกายมาเนิ่นนาน”
เท่านั้นพระเจ้าอนันตยศก็พอพระทัย และรู้สึกมั่นคงปลอดภัยที่มีพระราชมารดาผู้เก่งกาจสามารถคอยช่วยเหลือ จึงทำให้ทรงเริ่มปล่อยปละละเลย ออกหาความสำราญพระราชหฤทัยทั้งในเวียงแลนอกเวียงอยู่บ่อยครั้ง พระราชมารดาจึงเท่ากับทรงบริหารราชกิจในการสร้างเขนหลวงนครให้เจริญรุ่งเรืองด้วยพระองค์เองเช่นเดียวกับที่ทรงสร้างหริภุญไชยมาก่อน
“เราหาได้พักผ่อนให้หายเหนื่อยอย่างที่ขุนเจ้าว่าไม่ ราวกับต้องสร้างเมืองใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง”
“อีกไม่นานก็จะได้กลับลำพูนแล้วเจ้าข้า ถึงครานั้นข้าจะไม่ให้แม่เจ้าทรงงานอีก”
ทว่าเมื่อครบกำหนดสามปี พระเจ้าอนันตยศก็กลับทูลขอผัดผ่อนให้พระนางประทับอยู่ต่อไปอีก จามเทวีจึงเริ่มไม่สบายพระทัย
“ขุนเจ้า เราอาจคิดผิดว่าวรน้อยสามารถบริหารปกครองบ้านเมืองได้มิแพ้วรใหญ่”
“พระวินิจฉัยเฉียบแหลมเสมอต่างหาก ทรงคิดถูกแล้วที่เลือกเจ้าวรใหญ่ขึ้นสืบบัลลังก์หริภุญไชย”
รัญชน์ก็เริ่มประจักษ์ความจริงข้อนี้หลังจากได้มาอยู่เขนหลวงนครเป็นเวลานานพอจะได้เห็นอุปนิสัยใจคอแท้จริงของพระเจ้าอนันตยศ “ราวกับว่าทรงปรารถนาจักมีนครของตนเองให้ปกครองให้เหมือนเจ้าวรใหญ่มากกว่าต้องการทำหน้าที่กษัตริย์จริงๆ อย่างนั้น”
“เราก็อดคิดเช่นนั้นมิได้…ตลอดสามปีนี้ เราได้เห็นแล้วว่าวรน้อยยังไม่พร้อมที่จะปกครองและขยายบ้านเมืองเอง” จามเทวีส่ายพระพักตร์ “หากเรายังอยู่ในเขนหลวงต่อไป วรน้อยก็จะเหมือนเด็กไม่รู้จักโต ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ก็จักมิเห็นปรีชาสามารถการเป็นกษัตริย์ของเขา”
“เจ้าวรน้อยอาจทรงคิดคำนวณมาแล้วก็เป็นได้ ว่าหากแม่เจ้ายังอยู่ในเขลางค์จักเป็นผลดีต่อพระองค์ ด้วยทวยราษฎร์ยังนิยมนับถือเชื่อฟังพระนางจามเทวีมากกว่าพระเจ้าอนันตยศ การที่นางพญาเมืองประทับอยู่ในเขลางค์ ย่อมหมายถึงอำนาจบารมีที่เขลางค์มีเหนือกว่าหริภุญไชย”
“วรน้อยเห็นมารดาของเขาเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจเท่านั้นน่ะเอง” พระนางทอดถอนพระทัย
“เหตุใดเราถึงเพิ่งมองออกหนอขุนเจ้า ว่าแท้จริงวรน้อยเพียงประสงค์จะให้รับรู้ทั่วกันไปว่า เขนหลวงเป็นแคว้นอิสระ มิใช่เวียงส่วนหนึ่งของหริภุญไชย ต้องการให้ประจักษ์ว่าวรน้อยมีฐานะทัดเทียมหรือเหนือกว่าวรใหญ่ด้วยซ้ำ เพราะเรา…จามเทวีเลือกประทับอยู่ที่เขนหลวง มิใช่หริภุญไชย”
“แม้รู้เช่นนี้ก็ใช่จะตัดสินใจหักหาญได้” รัญชน์อยู่ในโลกโบราณมานานพอจนเข้าใจสถานการณ์
“ถ้าเสด็จกลับหริภุญไชย พี่น้องสองวรก็จักผิดใจกันมิจบสิ้น…”
“พระอาจารย์วาสุเทพก็ละสังขารไปเสียแล้ว มิเช่นนั้นคงพอมีหนทางให้เราบ้าง…มิน่าเล่า ท่านถึงสั่งเสียหลายเรื่องเกี่ยวกับการวางระบบปกครองเมือง หรือเราต้องสร้างเมืองใหม่ขึ้นมาอีกกระมัง หากเราไปอยู่เมืองใหม่เสีย จักได้ไม่เกิดคำติฉินนินทาว่าเลือกฝักฝ่ายเข้าข้างลูกคนใดคนหนึ่ง”
“ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ทรงจำเมื่อครั้งเราขึ้นไปบนยอดดอยโชติบรรพตแล้วมองลงมาข้างล่างเพื่อดูบริเวณที่เป็นเขนหลวงนครได้ไหมเจ้าข้า”
“จำได้…เราเป็นผู้วาดแผนที่ขึ้นมาด้วยซ้ำ” ดวงเนตรพระนางเป็นประกาย “นึกออกแล้ว ขุนเจ้าหมายถึงที่ราบบนเนินม่อนน้อยที่เหมือนย้อยมาจากหุบในนครเขนหลวงใช่หรือไม่”
ทั้งคู่ต่างยิ้มให้กันอย่างผู้ที่เข้าใจกันและกันเป็นอย่างดี
และแล้วนครแห่งใหม่ในบริวารหริภุญไชยอันมีนามว่าอาลัมพางค์นคร จึงถูกสถาปนาขึ้น
แม้เวียงใหม่บนม่อนดอยจักถือกำเนิดขึ้นแล้ว หากก็ยังมิได้ก่อร่างสร้างเมืองได้สมบูรณ์นัก ด้วยภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นเนินเขากับป่าลึก บ้านเรือนชุมชนจึงอยู่กระจายห่างกันออกไป ชาวเมืองใหม่ที่ลงมาอยู่ในเวียงก็ยังมีจำนวนน้อยนิด เพราะส่วนมากยังคงพอใจจะอาศัยในป่าในดอย ขุนนางจากในเวียงจึงต้องคอยออกสำรวจชุมชนในป่าและพบปะผู้นำกลุ่มเหล่านั้นเพื่อให้วางรากฐานนครได้กว้างขวางและมั่นคงยิ่งขึ้น
เช่นเดียวกับหมู่บ้านม่อนเงาะซึ่งอยู่ต้นน้ำลึกในพงไพร ที่คนจากในเวียงเริ่มเข้ามาสำรวจลำน้ำเพื่อจะดึงไปใช้ทำคูเมืองป้องกันเวียง และขุนนางรูปงามที่นำคณะสำรวจมานั้นก็เป็นที่กล่าวขวัญไปทั่วม่อนเงาะว่ามาติดพันลูกสาวพ่อหลวงบ้าน เพราะเมื่อเขาได้พบบัวตอง ก็ถึงกับตกตะลึงตาค้าง ข้าวของในมือหล่นกระจาย พอได้สติก็แนะนำตัวตะกุกตะกักราวหนุ่มน้อยริรักเป็นครั้งแรกกระนั้น บัวตองเองก็ไม่เคยเจอบุรุษรูปงามราวแถนฟ้าปั้นเช่นนี้มาก่อนจึงหน้าแดงขวยเขินไม่แพ้กัน จากนั้นขุนนางหนุ่มก็แวะเวียนมาที่บ้านม่อนเงาะอีกเรื่อยมา เป็นที่โจษจันกันทั่วดอย
มารดาของนางจึงปรารภว่า “บ่นานเขาคงมาสู่ขออี่บัวตองไปตบแต่งเป็นเมีย ครานี้เจ้าจักได้เข้าเวียงวังไปรับใช้เจ้านาย บ่ต้องขลุกอยู่ในป่าในดอยอย่างนี้”
“ข้าเจ้าบ่อยากเข้าเวียง อยากให้อ้ายเขามาอยู่ม่อนเงาะกับเฮาดีกว่า”
“อย่าเพิ่งฝันหวานนักเลย” บิดาปราม “ให้เขามาขอเสียก่อนเถิด ป้อจายจักพูดคำหวานเกี้ยวพาจะใดก็ได้ เขาอาจมีเมียเป็นโขยงแล้วจะเอาสูเป็นเมียรองก็ได้”
“เขายังบ่มีเมีย เพราะอุทิศตนรับใช้แม่เจ้าจามเทวี เรื่องนี้คนรู้กันทั่วเวียงทั่วดอย” มารดาแย้ง “คงยังบ่เจอแม่ญิงที่เปิงใจมาก่อนเป็นแน่ถึงอยู่มาจนป่านนี้”
“อ้ายเขาอาจจะอยู่รอถึงป่านนี้เพื่อได้พบข้าเจ้านั้นแล” บัวตองยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ไม่อย่างนั้นบุรุษรูปงามปานแถนฟ้าอย่างเขาจะมองนางด้วยสายตาของผู้ที่ตกอยู่ในห้วงรักกระนั้นหรือ
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "นครลำพูน หริภุญไชย" บทที่ 33 : นครใหม่
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "นครลำพูน หริภุญไชย" บทที่ 32 : ผลัดแผ่นดิน
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "นครลำพูน หริภุญไชย" บทที่ 31 : ตำนานขุนวิลังคะ
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "นครลำพูน หริภุญไชย" บทที่ 30 : เสน้าดอกแรก
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "นครลำพูน หริภุญไชย" บทที่ 29 : แผนลับซ่อนเร้น
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "นครลำพูน หริภุญไชย" บทที่ 28 : เกี่ยวดองสองแผ่นดิน
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "นครลำพูน หริภุญไชย" บทที่ 27 : ศึกวิลังคะ
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "นครลำพูน หริภุญไชย" บทที่ 26 : ราชทูตจากระมิงค์นคร
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "นครลำพูน หริภุญไชย" บทที่ 25 : ราตรีทวิเพ็ญ
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "นครลำพูน หริภุญไชย" บทที่ 24 : ขุนหลวงวิลังคะ
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "นครลำพูน หริภุญไชย" บทที่ 23 : ระมิงค์นคร
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "นครลำพูน หริภุญไชย" บทที่ 22 : ฝาแฝด
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "นครลำพูน หริภุญไชย" บทที่ 21 : ปิ่นธานีหริภุญไชย
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 20 : พระเจ้าจันทรโชติวิชัย (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 20 : พระเจ้าจันทรโชติวิชัย (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 20 : พระเจ้าจันทรโชติวิชัย (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 19 : ขันทีชาวลัวะ (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 19 : ขันทีชาวลัวะ (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 19 : ขันทีชาวลัวะ (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 18 : ผู้ชายจากสายธาร (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 18 : ผู้ชายจากสายธาร (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 18 : ผู้ชายจากสายธาร (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 17 : ตะวันลับฟ้า ดาราพร่างพราย (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 17 : ตะวันลับฟ้า ดาราพร่างพราย (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 17 : ตะวันลับฟ้า ดาราพร่างพราย (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 16 : สาส์นจากวาสุเทพฤาฤๅษี (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 16 : สาส์นจากวาสุเทพฤาษี (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 16 : สาส์นจากวาสุเทพฤาฤๅษี (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 15 : เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 15 : เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 14 : ดับแสงตะวัน (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 14 : ดับแสงตะวัน (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 14 : ดับแสงตะวัน (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 13 : ผู้ชนะศึกกลับบ้าน (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 13 : ผู้ชนะศึกกลับบ้าน (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 13 : ผู้ชนะศึกกลับบ้าน (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 12 : เขนน้อย (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 12 : เขนน้อย (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 11 : นิรนาม (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 11 : นิรนาม (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 11 : นิรนาม (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 10 : จันทราสีเลือด (6)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 10 : จันทราสีเลือด (5)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 10 : จันทราสีเลือด (4)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 9 : จันทราสีเลือด (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 9 : จันทราสีเลือด (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 9 : จันทราสีเลือด (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 8 : ศึกแรก (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 8 : ศึกแรก (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 8 : ศึกแรก (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 7 : จอมทัพหญิง (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 7 : จอมทัพหญิง (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 7 : จอมทัพหญิง (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 6 : ศึกนอกมิสู้ศึกใน (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 6 : ศึกนอกมิสู้ศึกใน (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 6 : ศึกนอกมิสู้ศึกใน (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 5 : คลื่นใต้น้ำ (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 5 : คลื่นใต้น้ำ (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 5 : คลื่นใต้น้ำ (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 4 : เจ้าชายแห่งไชยา (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 4 : เจ้าชายแห่งไชยา (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 4 : เจ้าชายแห่งไชยา (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 3 : เจ้าหญิงชาวทะเลใต้ (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 3 : เจ้าหญิงชาวทะเลใต้ (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 2 : เลือกคู่ (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 2 : เลือกคู่ (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 2 : เลือกคู่ (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 1 : อุปราชองค์ใหม่ (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 1 : อุปราชองค์ใหม่ (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 1 : อุปราชองค์ใหม่ (1)