นิราศรักสองนครา บทที่ 5 : ความกังวล

นิราศรักสองนครา บทที่ 5 : ความกังวล

โดย : ปรียนันทนา

Loading

นิราศรักสองนครา โดย ปรียนันทนา เรื่องราวของโชติ หญิงสาวชาวสยาม กับทางเลือกสองทาง ความรักของชายหญิงกับความรักหวงแหนแผ่นดินเกิด เธอจะเลือกทางใด และหากไม่สามารถเลือกได้  จะมีหนทางใดที่ใจสองดวงจะมาบรรจบพบกัน ณ จุดที่ลงตัวได้หรือไม่ นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านพร้อมกันที่นี่ anowl.co

ว่าแต่วันนี้ไปบ้านเจ้าคุณปู่มาได้ทำสิ่งใดบ้างพ่อชาย” คำถามของหญิงสาวอาจฟังแปลกหูสำหรับคนนอกหรือครอบครัวอื่นที่ไม่ได้นิยมให้บุตรสาวหรือหญิงสาวในบ้านสนทนาด้วยเรื่องการงานของฝ่ายชาย หากแต่มิใช่บ้านนี้ที่มีแนวคิดตรงข้าม

“ฉันก็ตามๆ เจ้าคุณพ่อไปนั่งฟังเขาคุยกันแหละจ้ะพี่โชติ มิได้ทำอันใดนักดอก” เขาชวนโชติไปนั่งตรงริมน้ำหลังจากรับประทานข้าวแช่เสร็จแล้ว

“กระนั้นหรือ มิได้ยินเรื่องเกี่ยวกับฝรั่งเศสหรือกงสุลบ้างดอกหรือ” โชติถามอย่างสงสัย

“เรื่องนั้นฉันได้ยิน พี่โชติอยากรู้เรื่องใดเล่าจ๊ะ” ชายละความสนใจจากเรือที่วิ่งผ่านไปมาในคลองหน้าบ้านมาที่ใบหน้างดงามของญาติผู้พี่

“มีเรื่องใดน่าสนใจบ้าง”

“ขอฉันนึกก่อนนะพี่” ชายยกมือขวาขึ้นมาเอานิ้วชี้วนตรงขมัยอย่างใช้ความคิด “ได้ยินว่ากงสุลฝรั่งเศสเข้าเฝ้าในหลวงแล้ว เรื่องเจรจาเขตแดนเขมรจ้ะพี่โชติ”

“แล้วตกลงว่าในหลวงทรงยอมหรือไม่”

“เรื่องนี้มิรู้ดอกจ้ะ เพราะว่าพระองค์ยังมิได้ตัดสินใจ ส่วนกงสุลนั้นเห็นว่าคงจะขอเข้าเฝ้าอีกเพื่อให้ทางสยามยอมตกลงให้จงได้”

“รู้ไหมว่าพี่ได้เจอกับคนที่มากับกงสุลด้วย” หญิงสาวเขยิบเข้าไปใกล้ราวกับกำลังพูดคุยเรื่องลับทั้งที่เรื่องนี้เธอได้เคยเล่าให้พระนรินทรราชเสนาผู้เป็นบิดาฟังแล้ว

“ใครกันพี่โชติ คนฝรั่งเศสฤๅ”

“ใช่สิ เขาบอกว่าเป็นนักเขียน ติดตามท่านมาแต่เมืองไซ่ง่อน” โชติมองหน้าญาติผู้น้องแล้วนึกขึ้นได้

“จริงสิ พ่อชายเคยไปเมืองฝรั่งเศส ย่อมพูดจาเข้าใจภาษาได้บ้างหรือมิใช่”

“ฉันฟังออกบ้างนิดหน่อยจ้ะ ว่าแต่พี่โชติมีเรื่องใดกัน จะว่าไปพี่ก็พอฟังบางคำออกอยู่บ้างเพราะชอบไปคลุกคลีด้วยภรรยาคุณหลวงใช่ไหมจ๊ะ” ชายหมายถึงแม่จันภรรยาหลวงภูบดินทร์พิทักษ์

“พี่พอรู้ว่าเป็นภาษาฝรั่งเศสแต่ก็มิได้เข้าใจมากเท่าเจ้าดอกพ่อชาย ได้ยินว่าเจ้าคุณลุงเคยให้เรียนกับบาทหลวงก่อนไปเมืองฝรั่งเศส”

“พี่โชติอยากรู้คำใดบ้างล่ะจ๊ะ ฉันจะสอนให้” ชายเอ่ยน้ำเสียงกระตือรือร้น

“ขอบใจมากพ่อชาย พี่เกรงว่าชายผู้นั้นอาจมิใช่นักเขียนธรรมดา แต่อาจมาสืบความเป็นไปของสยามจากชุมชนเขมรแลญวณเพราะพี่พบเขาที่นั่น” หญิงสาวยังคงไม่คลายกังวล

“เหตุใดพี่สงสัยเยี่ยงนั้น ฉันว่าพี่อ่านหนังสือนิทานฝรั่งมากไปแน่แท้” เขายิ้มพลางส่ายหัวเพราะไม่เห็นด้วยกับเรื่องที่พี่สาวพูด “ฉันเห็นว่าคนฝรั่งเศสทำงานเลี้ยงชีพด้วยการเขียนหนังสือมากมาย แลยังมีความคิดนำสมัยเพราะสามารถติหรือชมใครๆ ผ่านงานเขียนได้ ส่วนการงานอื่นเช่นงานรับจ้างเขียนรูป หรืองานที่เก็บรวบรวมข้อมูลของผู้คนจากบ้านเมืองอื่นก็มีนะจ๊ะ”

“เช่นที่พ่อชายกับคนอื่นในขบวนราชทูตเคยไปเป็นแบบให้วาดเก็บไว้ใช่หรือไม่”

“ใช่จ้ะ แลยังมีขุนนางคนอื่น เช่น หมื่นจินดารักษ์ที่ท่านเป็นแบบให้มิวเซียมชักรูปเก็บไว้ว่าคนสยามมีหน้าตาเยี่ยงนี้” เขาหมายถึงพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติก่อนจะหยุดพูดครู่หนึ่งเพื่อทบทวนเหตุการณ์ “แลมีช่างเขียนรูปที่พระเจ้านโปเลียนให้เขียนรูปวันที่ราชทูตจากสยามเข้าเฝ้า ฉันได้จับมือกับเจ้าฟ้าชายแห่งฝรั่งเศสด้วยนะพี่โชติ” เขาเอ่ยอย่างภูมิใจเมื่อคราวได้เข้าเฝ้าพระเจ้านโปเลียนที่ 3 พระนางเออเชนีและเจ้าฟ้าชายมกุฎราชกุมาร

“พี่จำได้ พ่อชายเล่าให้ฟังออกบ่อยไป” หญิงสาวยิ้มให้อย่างภูมิใจไม่แพ้กัน

“ส่วนเรื่องการสนทนากับคนฝรั่งเศสเมื่อไปที่นั่นหาเข้าใจได้ง่ายเหมือนเรียนกับบาทหลวงดอกจ้ะพี่ แต่ถึงอย่างไรคณะทูตย่อมต้องมีล่าม ฉันเพิ่งเรียนไปน้อยนิดก็มิได้เข้าใจมากเท่าใด ยกเว้นเพียงแค่ยามทักทายกับเจ้าฟ้าชายเท่านั้นเพราะท่านตรัสช้าๆ แลยังทรงเล็กนัก ภาษาที่ตรัสจึงง่ายๆ ไม่ซับซ้อน”

เขาเอ่ยช้าๆ แววตาครุ่นคิดถึงคราวได้เดินทางไปไกลยังประเทศฝรั่งเศส เป็นช่วงชีวิตที่ไม่อาจลืมเลือนได้ แม้เป็นการติดตามบิดาผู้รับหน้าที่เป็นอุปทูตไปถวายพระราชสาส์นโดยมีพระยาศรีพิพัฒน์เป็นราชทูต แต่เขาถือว่าการได้ร่วมเดินทางไปนั้นเป็นโอกาสในการเรียนรู้การงานของบิดาที่เขาจะต้องสืบทอดการทำหน้าที่ถวายงานแด่ในหลวงต่อไป

“พี่เกรงว่าหากชายผู้นั้นรู้เรื่องลับบางอย่างอาจส่งผลเสียแก่สยามได้”

“ตอนนี้การเจรจาเรื่องเขตแดนยังไม่ยุติ พี่โชติคิดว่ามีเรื่องใดกัน”

“มิรู้ดอก พี่เพียงพูดเผื่อไว้เท่านั้น พ่อชายกำลังจะต้องช่วยงานเจ้าคุณลุงก็ควรติดตามข่าวเรื่องนี้ไว้บ้าง รู้หรือไม่”

“เจ้าคุณปู่บอกว่าเราต้องช่วยมิให้บ้านเมืองเพลี่ยงพล้ำเสียเปรียบมิเช่นนั้นอาจเป็นช่องทางที่ฝ่ายต่างชาติถือโอกาสเข้ามารังแกได้ แลสมเด็จวังหน้าก็ทรงมีความเห็นเรื่องต่างชาติอยู่บ้างกระมัง” ประโยคสุดท้ายเขาเอ่ยเชิงหารือด้วยรู้ว่าตระกูลของพี่สาวสนิทสนมกับบ้านขุนนางวังหน้าพอควร

“พระองค์เพิ่งทรงหายประชวร แลพระพลานามัยมิใคร่แข็งแรงดังเก่าแล้ว”

“จริงหรือจ๊ะ ฉันมิรู้ข่าวเลย” เขามีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด

“จริงสิ พี่เพิ่งได้เจอคุณหลวงตอนกลับไปบ้านนี่เอง” โชติหมายถึงหลวงภูบดินทร์พิทักษ์หรือคุณพร้อมผู้ที่เธอคุ้นเคยมาแต่วัยเยาว์ เขาเป็นข้าราชการวังหน้าผู้รับใช้ใกล้ชิดพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวนั่นเอง

บรรยากาศที่กระตือรือร้นเมื่อครู่ดูสลดลงทันใดเมื่อได้รับข่าวอาการพระประชวรของเจ้านาย แม้ว่าปู่และพ่อรวมถึงต้นตระกูลของชายจะเป็นข้าเก่าในวังหน้ามาแต่เดิมหากแต่เขาได้รับการปลูกฝังให้รักและภักดีกับเจ้านายทุกพระองค์บนแผ่นดินเสมอมา

แดดใสเจิดจ้าเมื่อครู่ดูหม่นลงทันใด ราวกับจะสะท้อนความรู้สึกทุกอย่างที่อยู่ในใจของสองพี่น้องได้เป็นอย่างดี

 

ของว่างบนโต๊ะพร่องไปแล้วทั้งช่อม่วง ข้าวแช่และซาโมซาอันเป็นตำรับสูตรลับประจำบ้านซึ่งคุณหญิงของเจ้าบ้านลงมือปรุงเองแทบทุกครั้งโดยได้รับการถ่ายทอดจากแม่สามีเพื่อให้แน่ใจว่าได้รสชาติที่ถูกปากคนในครอบครัว หญิงสาววัยสิบแปดและเด็กชายวัยสิบสองย่างสิบสามกำลังสนทนากันหน้าเคร่งเครียดจากมุมหนึ่งไม่ไกลสายตาผู้ใหญ่นัก

“นั่นแม่โชติชวนพ่อชายสนทนาเรื่องใดกัน หน้าตาเคร่งเครียดไปหมดแล้วนะขอรับเจ้าคุณ” พระนรินทรราชเสนาเอ่ยเสียงขรึมหากแววตาเอ็นดู

“ปล่อยพวกเขาเถิดคุณพระ อีกไม่นานพ่อชายคงไม่มีเวลาเพลิดเพลินเยี่ยงนี้”

“อย่างไรเสียคงพอมีเวลาว่างได้ให้ลูกกลับมาเห็นหน้าแม่นะเจ้าคะ” คุณหญิงส่งเสียงเรียบหากมือก็รินน้ำชาให้สามีอย่างคล่องแคล่วรู้ใจ

“พ่อชายอาจต้องเข้าเฝ้าเพื่อจะได้ให้ติดตามรับใช้เจ้าฟ้าชาย” เจ้าคุณเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง

“ทำไมเร็วนักเล่าเจ้าคะ ลูกยังเล็กนัก อิฉันคิดว่าเพียงแค่ติดตามเจ้าคุณเพื่อเรียนรู้งานไปก่อน”

“คุณหญิงอย่าเพิ่งตีโพยตีพายไป คงอีกสักปีสองปี ฉันเพียงแค่เกริ่นไว้ก่อนเท่านั้น แลการที่ให้มาติดตามฉันเพราะจะได้รู้อะไรๆ ไว้เสียเนิ่นๆ เมื่อถึงคราวต้องเข้าเฝ้าจะได้รู้เรื่องงานบ้านเมือง”

“เรื่องบ้านเมืองเพลานี้ออกจะเคร่งเครียดนัก ได้ข่าวว่ากงสุลฝรั่งเศสเข้าเฝ้าแล้วหรือเจ้าคะ” คุณหญิงผู้เป็นสนใจการงานของสามีเสมอแม้จะช่วยอะไรไม่ได้แต่เธอรู้ดีว่าบางครั้งการเป็นผู้รับฟังที่ดีอาจมีค่ามากกว่าสิ่งใด

“ใช่ เมื่อวานนี้ แต่เพียงแค่เสนอสิ่งที่ฝรั่งเศสต้องการคือการครองเมืองเขมรที่สมเด็จพระนโรมดมเพิ่งทรงกลับไปครองราชย์ แลทางนั้นก็ยังส่งบรรณาการมาให้สยามจนทุกวันนี้”

“การนี้ทางฝรั่งเศสจะทำเยี่ยงไรเจ้าคะ”

“ทางนั้นต้องการดินแดนทั้งหมดที่อ้างมา แต่ความจริงทางเรามีสัญญาที่เขมรทำลับๆ นะขอรับ”

พระนรินทรราชเสนาเอ่ยเบาๆ แต่หนักแน่น

“สัญญาลับฤๅ อย่างไรกัน”

“ก็สมเด็จพระนโรดมทรงมีหนังสือถวายในหลวง อธิบายเรื่องที่ทางนั้นจำเป็นต้องทำสัญญากับฝรั่งเศสเหตุเพราะมีเรือรบมาจอดเทียบที่น่านน้ำ ทางเขาเกรงจะเป็นอันตรายจึงตกลงทำสัญญา แต่ด้วยแต่เดิมเข้ากับสยามมานานฝรั่งเศสจึงมิได้ห้ามปรามส่งบรรณาการ” ผู้เป็นน้องชายอธิบายถึงเรื่องราวชัดแจ้งด้วยสมเด็จพระนโรดมพรหมบริรักษ์หรือนักองราชาวดีที่ได้รับสถาปนาเป็นกษัตริย์โดยในหลวงที่กรุงเทพฯไปแล้ว ครั้นกลับไปครองราชย์ก็ได้ประสบพบเหตุการณ์ที่ฝรั่งเศสแสดงความต้องการให้เป็นรัฐในอารักขาเนื่องจากทางฝรั่งเศสถือสิทธิ์ที่เข้าครองญวนได้สำเร็จ แม้เมื่อเมื่อกัมพูชาได้ทำสัญญาก็ยังคงแสดงความจริงใจมายังพระราชสำนักสยามด้วยการบอกกล่าวรวมทั้งส่งหนังสือยืนยันเจตนารมณ์ว่ายังภักดีเช่นเดิม

“เป็นเช่นนี้เอง”​ คุณหญิงถึงกับนิ่งไปอย่างใช้ความคิด

“เรื่องมันซับซ้อนเช่นนี้แหละแม่อ่วม แต่ไม่ว่าอย่างไรวันหนึ่งทางสยามคงต้องยอมเขาจนได้”

เจ้าคุณผู้เป็นสามีถอนหายใจราวกับคาดเดาเหตุการณ์ภายหน้าได้ สุดแท้แต่ว่าจะเป็นเมื่อใดเท่านั้น ด้วยเพราะเขาคิดว่าประเทศผู้เข้ามาแสดงสิทธิเหนือแดนเขมรนั้นเป็นประเทศมหาอำนาจซึ่งกำลัง

ไล่รุกเอาประเทศเล็กน้อยในดินแดนตะวันออกเพื่อแสดงแสนยานุภาพในหมู่ชนว่าตนยิ่งใหญ่ สยามเป็นดินแดนเล็กๆ ที่มีกำลังทั้งคนและอาวุธน้อยกว่าเป็นแน่แท้ และการจะอยู่รอดปลอดภัยในคราวนี้มิใช่ด้วยกำลังที่กล่าวมาเสียแล้ว

แต่คงต้องดำเนินการด้วยกำลังสติปัญญาทั้งขุนนางเช่นพวกเขา ที่ปรึกษาต่างชาติผู้เปรียบดังมิตรของสยาม และสำคัญที่สุดคือพระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์ที่ทรงเปี่ยมด้วยความรู้ความสามารถในการนำพาชาติให้รอดปลอดภัยอีกคราหนึ่ง

 

แสงตะเกียงวับแวมริมทางเดินขึ้นเรือนริมน้ำวูบไหวไปมาด้วยแรงลม ชายหนุ่มผู้เพิ่งก้าวขึ้นจากเรือมองเห็นใครบางคนวิ่งออกไปทางด้านถนน เขาตะโกนร้องเรียกหากชายที่สวมเสื้อและกางเกงขายาวคล้ายคนจีนแต่ชายผู้นั้นไม่หันกลับมาตามเสียง มิเชลคิดว่ามีพิรุธจึงบอกให้ต่วนเรียกบรรดาคนรับใช้ชายให้ออกมา เสียงโหวกเหวกของเขาพาให้คนบนเรือนผู้กำลังพักผ่อนอย่างสำราญเดินลงมาดูด้วยความแปลกใจหากไร้อาการตระหนกเช่นที่ควรเป็น

“หลานร้องเสียงดังด้วยเหตุใด มิเชล”

“กระผมเห็นชายท่าทางมีพิรุธลงมาจากเรือนขอรับ เมื่อร้องเรียกกลับไม่หันมา กระผมจึงเรียกบ่าวมาตามไปดูว่าเป็นโจรหรือไม่” เขาเอ่ยรวดเดียวอย่างตื่นเต้นตกใจ วงหน้าคมสันที่ขาวอมชมพูระเรื่อมีเหงื่อซึมเล็กน้อย ผมหยักศกสีน้ำตาลปรกลงมาตรงหางคิ้วข้างขวา

“คงเป็นคนของอาเอง มิควรตระหนกตกใจกัน” เขาเอ่ยนิ่งๆ พลางหันไปสั่งให้บ่าวไพร่กลับไปพักยังห้องของตนเอง

“คนของคุณอา ใครฤๅขอรับ” มิเชลสงสัยว่ากงสุลมีคนของเขานอกเหนือจากคนในบ้านนี้อีกหรือ

“ก็คนในเมืองนี่แหละ แต่มาเข้าเป็นคนในร่มธงฝรั่งเศสแล้ว” เขาเฉลยง่ายๆ ราวกับไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอันใด

“เช่นนั้นเหตุใดต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ ราวกับทำผิดมาด้วย” มิเชลเอ่ยถามขณะเดินตามหลังอีกฝ่ายขึ้นเรือน

“อาก็มิรู้ดอก แต่ที่มิได้หยุดรอหลานเขาคงรีบเสียมากกว่า หรือไม่ก็อาจไม่เข้าใจว่าหลานเรียกเขาก็เป็นได้”

น้ำเสียงเรียบเรื่อยที่ตอบกลับมายุติความสงสัยในใจผู้อ่อนวัยได้ทันที แม้ว่าลึกลงไปภายในใจมิเชลจะรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้น แต่เขาก็บอกตนเองว่าไม่ใช่เรื่องที่จะต้องใส่ใจเพราะมิใช่งานในหน้าที่ของเขา การที่มีคนในสยามมาขอเข้าเป็นคนในบังคับฝรั่งเศสเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เพราะสนธิสัญญาที่สยามได้ทำกับฝรั่งเศสข้อหนึ่งระบุไว้ว่าเมื่อคนในบังคับของฝรั่งเศสทำความผิดการลงโทษย่อมมิใช่อำนาจของสยามหากแต่เป็นฝรั่งเศส กฎข้อนี้เป็นหนึ่งในสัญญาที่สยามทำกับต่างชาติที่เข้ามาเมื่อหลายปีก่อนเหมือนๆ กันซึ่งหนึ่งในนั้นคือฝรั่งเศสด้วยนั่นเอง

 



Don`t copy text!