เวียงวนาลัย บทที่ ๔ เอื้องป่าเวียงละกอน “Blue Vanda คือ ฟ้ามุ่ย”

โดย : เนียรปาตี

Loading

เวียงวนาลัย เรื่องราวของวิลเลียม หนุ่มอังกฤษที่เดินทางมาทำงานในบริษัทสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือของสยาม เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าต้องเผชิญกับอะไรมากมายในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ทั้งมิตรแท้ สงครามและความรัก มาเอาใจช่วยหนุ่มอังกฤษคนนี้กับชีวิตอันแสนจะโลดโผนในเวียงวนาลัย นวนิยายออนไลน์ โดย เนียรปาตี ที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

“มุ่ย! ไปซนที่ไหนมา คนอื่นตามหากันวุ่นไปหมด”

น้ำเสียงกึ่งเอ็ดของนายห้างวิลเลียมทำให้ทุกคนหันไปมอง ‘เด็กชาย’ ในชุดเสื้อผ้าตัวเดิมทว่าหมาดชื้น ซ้ำดวงหน้ายังผ่องนวลเหมือนเพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ ห่างไกลจากความมอมแมมที่ควรจะเป็นเมื่อใครต่อใครต่างก็คิดว่ามุ่ยหลบไปเล่นซนในป่า

‘เด็กชาย’ ส่งสายตาค้อน พ่ออยู่แถวนั้นด้วยเลยรายงานพ่อแทนที่จะตอบนายห้างตรงๆ ว่า

“ข้างในมีดงผักหวาน กำลังโปร่ง…แตกยอดงาม ลูกเลยเก็บมานี่” เล่าพลางยื่นหลักฐานเป็นยอดผักหวานป่าเขียวอ่อนในกระทงใบตองตึง “จะเอามาแกงใส่ปลาแห้ง ไผว่าเฮาสร้างปัญหา ก็บ่ต้องกิ๋น” มุ่ยส่งค้อนไปที่นายห้างอีกครา

วิลเลียมส่ายหน้าพลางคิด…เด็กหนอเด็ก เอ็ดแค่นี้ทำค้อน เด็กชายอะไรจริตแง่งอนไปทางสตรี หากเขาก็รู้ว่า ‘ไอ้เด็กซน’ โกรธเขาจริงๆ จึงพยายามเอาใจ ถามช่วยเป็นลูกมือตอนมุ่ยแกงผักหวานป่า แต่มันไม่ยอมเจรจาด้วย โหวกเหวกเรียกหาปลาแห้ง ไข่มดแดง และเครื่องเคราอื่นๆ จากทุกคนในที่นั้น…ยกเว้นเขา

“นายห้างคงบ่เคยกินแกงผักหวานกับเต้งมดส้ม…ไข่มดแดง”

มุ่ยลอยหน้าถามลีรอย ทำให้วิลเลียมยิ่งรู้ชัดว่ากำลังถูกเอาคืน ขำก็ขำ แต่ก็ยอมไหลไปตามเพลง กลั้นหัวเราะเต็มที่…กลัวจะทำให้มุ่ยยิ่งโมโห

“พวกเราไม่เคยกินหรอก นี่เป็นครั้งแรก” วิลเลียมตอบ หากมุ่ยยังแสร้งทำหูทวนลมขณะมือโขลกเครื่องแกงอย่างคล่องแคล่ว กะสัดส่วนตามความเคยชิน หันไปก็เห็นนายห้างลีรอยกลั้นไว้ยิ้มไว้อย่างสามารถ ครั้นน้ำเดือดก็ตักพริกแกงลงไป ตามด้วยผักหวาน และไข่มดแดงเป็นลำดับสุดท้าย

“เฮาเก็บมาหน้อย…นิดเดียว ปันหื้อนายห้างได้ถ้วยน้อยๆ นางห้างลองชิมดู ถ้าชอบใจเฮาแบ่งหื้อได้แหม”

“ยินดีเน่อ” ลีรอยตอบสนุกสนาน เขารู้จักคำนี้แล้ว…เป็นการบอกขอบคุณ เป็นคำแรกๆ ที่เขาคิดว่าจำเป็นต้องรู้

วิลเลียมคิดว่า ‘ไอ้ตัวเล็ก’ จะเล่นเลยเถิดไปทุกที จึงเย้าไปหวังจะปราม

“ถ้าไม่มีใครแบ่งให้เรา ถึงละกอนแล้ว เราให้แม่ครัวทำให้ก็ได้ จะกินทั้งปีจนเบื่อเลย”

“ง่าว!” มุ่ยโต้กลับมาซึ่งหน้าจึงรู้ว่าเผลอตัวโต้ตอบนายห้างวิลเลียมเสียแล้ว “ผักหวานมันมีแค่หน้านี้…ฤดูนี้ จะรอกิ๋นหน้าอื่นก็รอไปเต๊อะ”

“มุ่ย!” หนานทิพย์ติงเตือนเสียงเข้ม ผู้เป็นลูกจึงยุติ

 

เวลามื้ออาหารเป็นช่วงเวลาที่สร้างความลำบากยากใจให้แก่สตรีชาวอังกฤษ เบ็ตตี้ไม่อาจกินอาหารของคนที่นี่ได้เพราะกลิ่นสาบสางช่างร้ายกาจ

“คนที่นี่กินแต่ของเน่า” หล่อนบ่นกับวิลเลียมและลีรอยเมื่อเห็นชาวบ้านปั้นข้าวเหนียวเป็นก้อนจิ้มควักอาหารสีน้ำตาลคล้ำกลิ่นเหม็นบูดที่พวกเขาเรียกว่า ‘ถั่วเน่า’ ทั้งกินเปล่าๆ กับข้าวเหนียวและยังเป็นวัตถุดิบในการปรุงอาหารอีกหลายชนิด

ตลอดหลายวันที่ผ่านมา เบ็ตตี้รักษาขนมปังที่มีอยู่ราวทรัพย์สินล้ำค่าไม่ต่างจากทองคำ เพราะเป็นสิ่งเดียวที่หล่อนกลืนลงเพื่อช่วยประทังชีวิตต่อไปได้ ในขณะวิลเลียมและลีรอยสนุกกับการค้นพบประสบการณ์ใหม่ทุกด้านรวมถึงการกินอาหารด้วยมือ ไม่เห็นแปลกประหลาดเพราะที่อินเดียเขาเห็นคนเปิบข้าวด้วยมือเป็นปกติ และมัลลิกายังเคยสอนวิธีคลุกข้าวกับแกงด้วยปลายนิ้ว หย่งเป็นคำแล้วส่งเข้าปาก ทั้งข้าวบาสมาตีหุงกับผักชี หรือข้าวบิรยานีหุงกับเครื่องเทศ จำได้ว่าข้าวเม็ดยาวร่วงพรูตกพื้น ซ้ำยังเปื้อนไปทั้งมือ หากก็เป็นบทเรียนใหม่ในชีวิตที่สนุกสนาน

วิลเลียมตั้งข้อสังเกตกับลีรอยว่า

“ทางอุษาคเนย์นี้กินข้าวเป็นหลักกันจริงๆ พืชชนิดนี้คงมีหลายพันธุ์ ข้าวบาสมาติของอินเดียเม็ดยาวและแข็งร่วน ข้าวเหนียวของที่นี่นุ่มเนียน ปั้นเป็นก้อนได้ แต่ก็ติดมือ” ยิ่งนึกไปถึงครั้งแรก เม็ดข้าวติดไปทั่วฝ่ามือเพราะยังไม่รู้วิธีการปั้น

ข้าวเหนียวที่อร่อยคือข้าวนึ่งใหม่ไอร้อนยังกรุ่น ส่วนใหญ่จะเป็นมื้อเช้าที่กินข้าวอุ่น วิลเลียมสังเกตวิธีปั้นข้าวเหนียวร้อนๆ เป็นก้อนกลมพอดีคำจิ้มน้ำพริกหรือน้ำแกงแล้วส่งเข้าปากเคี้ยวแล้วลองทำตาม กับอาหารอื่นๆ ก็ใช้นิ้วมือทั้งสิ้น

วิลเลียมและลีรอยรู้ว่าเบ็ตตี้มีปัญหาในเรื่องนี้ จึงยกขนมปังทั้งหมดให้หล่อน ทว่าโชคร้ายเสียเหลือเกินที่ขนมปังก้อนสุดท้ายหมดไปเมื่อมื้อเที่ยงของวันนี้

เบ็ตตี้มองอาหารที่วางเรียงบนใบไม้อย่างไม่รู้ว่าสิ่งใดจะเป็นมิตรกับท้องของหล่อนบ้าง หล่อนไม่มีวันแตะถั่วเน่า น้ำพริกข่า แกงผักหวานป่าใส่ไข่มดแดง หรือแอ็บเต้งมดส้ม…งบไข่มดแดง (1) แต่หล่อนก็ไม่อาจต้านทานความหิวที่ประกาศออกมาเป็นเสียงท้องร้องโครกจนน่าอายได้ จึงปั้นข้าวเหนียวเป็นก้อนเล็กๆ ส่งเข้าปาก ฉีกเนื้อเค็มกินตามไป ทำใจคิดว่ามันคล้ายกับเบค่อน และผักที่หลามในกระบอกไม้ไผ่ หญิงสาวกินได้ไม่กี่คำก็กลืนไม่ลง โชคดีที่ตลอดเส้นทางหากมีกล้วย หนานทิพย์จะให้ตัดมาทั้งเครือเพื่อเป็นเสบียง เบ็ตตี้จึงอาศัยกล้วยเป็นอาหารประจำสำหรับตนเอง

มุ่ยหยิบอาหารอย่างละเล็กละน้อยใส่กระทงใบตองตึงแล้ววางที่โคนไม้ใหญ่ ยกมือไหว้งึมงำแล้วจึงกลับมาร่วมวง วิลเลียมสังเกตหลายหนว่าหลายคนทำเช่นนี้ ความที่ยังอยากง้อเจ้าตัวเล็ก…ทั้งที่ไม่รู้ว่ามันโกรธเขาจริงๆ เรื่องอะไร จึงถามถึงสิ่งที่สงสัยเป็นการกรุยทางสู่การคืนมิตรภาพ

“ในป่าในเขามีเจ้าที่เจ้าทาง เฮาจะทำอะไรก็ต้องบอกกล่าวแลขอขมา” มุ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่ดีขึ้นกว่าตอนทำกับข้าว

วิลเลียมพยักหน้ารับรู้ สิ่งหนึ่งที่เขาสังเกตได้ก็คือ คนที่นี่มีความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติอยู่มาก ทุกอย่างมีเทวาอารักษ์หรือผีคุ้มครอง ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ โขดหิน ลำธาร หรือจอมปลวก เมื่อจะทำกิจอันใดที่เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้น จะต้องมีพิธีกรรมพิธีการกำกับเพื่อมิให้ ‘ผี’ หรือผู้คุ้มครองดูแลขัดเคือง อันจะนำมาซึ่งภัยร้าย เช่นว่าน้ำแล้งหรือฝนไม่ตกตามฤดูกาล พืชพันธุ์ธัญญาหารเสียหาย

อย่างการเดินทางครั้งนี้ การไม่ลบหลู่เจ้าป่าเจ้าเขาก็เป็นการช่วยให้เดินทางปลอดภัย ไม่ต้องเจอเสือสางหรือผีโพงผีไพรมาหลอกหลอน

“เป็นจะใดพ่อง ลำก่?…อร่อยไหม” มุ่ยถามนายห้างลีรอยเมื่อเห็นเขากินแกงผักหวานไข่มดแดงแล้ว

“ลำแต๊…อร่อยจริงๆ หวานทั้งผักและน้ำซุป ส่วนไข่มดแดงนี่ก็มันดีจริงๆ”

“สักวันคงมีบุญได้ลองบ้าง” นายห้างวิลเลียมเปรยขึ้นมาอย่างตัดพ้อ

“นายห้างว่าถึงละกอนแล้ว จะหื้อแม่ครัวยะให้กินทุกวันบ่ใช่กา ก็ถ้าไปแล่…คอยไปสิ” มุ่ยยังย้อนแง่งอน

“แต่ไม่ใช่แกงฝีมือเจ้านี่ มุ่ย” วิลเลียมตอบยิ้มๆ หยิบอาหารตรงหน้าอย่างละคำใส่ใบไม้แล้วนำไปวางที่โคนต้น เหลือบแลมาทางวงข้าวเห็นมุ่ยจับตามองมา วิลเลียมจึงแกล้งเอ่ยดังๆ เป็นภาษาถิ่นช้าๆ และพยายามให้ชัดว่า “จ้าว…ป่า…เจ้า…เขา…ขอให้เราได้ลองกินไข่มดส้มสักคำเต๊อะ”

ลีรอยหัวเราะคิกคักเช่นเดียวคนในคณะเดินทางที่ทั้งขำทั้งเอ็นดูนายห้าง มีแต่เบ็ตตี้เท่านั้นที่ส่ายหน้าพ่นลมอย่างระอาว่าวิลเลียมทำอะไรไร้สาระต่อหน้าผู้คนมากมาย ทำให้ตัวเองกลายเป็นตัวตลก

คำอธิษฐานได้ผล มุ่ยส่งแกงมาให้ หากยังไม่วายบอกว่า

“มันเหลือก้นหม้อ จะขว้างก็เสียดาย ถ้านายห้างบ่กึ๊ดว่าเป็นขี้ซาก…ของเหลือ ก็กินเต๊อะ”

วิลเลียมรับถ้วยแกงมาแล้วยิ้มในหน้า พอใจที่ไอ้ตัวร้ายมันหายเคืองเขาเสียที

 

ความสัมพันธ์ที่ปริร้าวไปเล็กน้อยกลับมาผสานกันดังเดิม วิลเลียมสอนให้มุ่ยใช้กล้องส่องทางไกลและเข็มทิศ ซ้ำยังซื้อใจ ‘ไอ้ตัวร้าย’ ด้วยการให้สิทธิ์เป็นผู้ครอบครองไว้ตลอดการเดินทาง ด้วยเหตุนี้ นอกจากหน้าไม้ที่สะพายติดตัวแล้วมุ่ยจึงมีกล้องส่องทางไกลคล้องคอและเข็มทิศอยู่ในย่ามใบน้อยตลอดเวลา

วิลเลียมรู้ว่าวิธีเรียนรู้ที่เร็วที่สุดคือการไม่ปล่อยให้สิ่งที่สงสัยผ่านไป ในแต่ละวันเขาจึงรู้คำเรียกสิ่งต่างๆ มากมาย และจับไวยากรณ์ของประโยคง่ายๆ ได้ บางเรื่องที่เขาไม่เข้าใจ ก็ถามมุ่ยทันที คนเป็นครูก็ตอบทุกทีด้วยท่าทางข่มบ้าง ระอาบ้าง แต่ไม่เคยจนด้วยคำอธิบายแก่ลูกศิษย์

มีเรื่องเดียวที่วิลเลียมไม่ถาม และไม่เคยบอกใคร หากพยายามหาคำตอบด้วยตนเอง

เขาตามหาหญิงสาวที่พบที่น้ำตก มั่นใจว่าต้องเป็นคนในคณะเดินทางนี้แน่ เพราะบริเวณที่หนานทิพย์หยุดพักแรมห่างไกลจากหมู่บ้าน ย่อมไม่มีคนอื่นแปมปนมาแน่

จะว่าเป็นผีพรายน้ำที่คนถิ่นนี้เรียกว่า ‘เงือก’ ทำนองเดียวกับนางไซเรนหรือเซลกี (2) ยิ่งเป็นไปไม่ได้

ทุกครั้งเมื่อคณะเดินทางหยุดพัก วิลเลียมจึงค่อยๆ เดินสำรวจไปทีละหน้า ก็พบว่าทั้งสาวน้อยสาวใหญ่ผู้ร่วมมาในขบวนนี้ไม่มีสาวเจ้าที่เขาพบที่น้ำตกเลย ขณะเดียวกันชาวบ้านบางคนก็มองว่านายห้างมีอัธยาศัยดี ผูกไมตรีกับทุกคนอย่างไม่ถือตัว แต่ก็มีบางคนที่หันหลังหลบไปอย่างเห็นได้ชัด ไม่อยากวิสาสะด้วย เพราะนายห้างชักจะออกลาย…สันดานกุลาเผือก

มิสเตอร์โรเจอร์เคยบอกว่า คนถิ่นนี้กลัวชาวตะวันตกเพราะร่างสูงตัวใหญ่ เหมือนปีศาจ วิลเลียมจึงเข้าใจว่าการไม่วิสาสะด้วยของชาวบ้านเป็นด้วยเหตุนี้ จนกระทั่งมุ่ยเตือนเมื่ออยู่บนหลังช้างตอนเริ่มเดินทางต่อ

“นางห้างต้องระวังหน้อย พวกแม่ญิงอู้กันนัก…พูดกันให้อื้ออึง ว่านายห้างออกลายสันดานกุลาเผือก”

“สันดานกุลาเผือก…ยังไง พวกฉันมีอะไรที่น่ารังเกียจชิงชังหรือ”

“บ่น่าชังหรอก แต่น่ากลัว” มุ่ยค่อยๆ อธิบาย “พวกแม่ญิงกลัวนายห้างจะมาเขเอาไปเป็นเมีย…บังคับขู่เข็ญให้ไปนอนด้วย”

ชายหนุ่มตกใจอุทานขึ้นมาทันที

“บ้าจริง! ฉันไม่ได้จะไปบังคับใครมาเป็นเมีย ฉันแค่ตามหาคน”

“ไผ…ใคร นายห้างเซาะหาไผ” มุ่ยเอียงหน้าถามอย่างใคร่รู้

วิลเลียมรู้ตัวว่าเผลอไป ขืนบอกไอ้ตัวร้าย…มันคงช่วยตามหาแน่ แต่หลังจากที่มันป่าวประกาศไปทั่วจนเขาได้อายเสียก่อน วิลเลียมจึงผลักศีรษะที่โพกผ้าของไอ้ตัวร้ายเบาๆ เป็นการตัดบท

“ไม่ใช่เรื่องของเด็กน่า”

ล่วงเข้าวันที่เจ็ด คณะเดินทางจากเมืองระแหงที่อ้อมเส้นทางไปแวะดูป่าที่แม่แจ่มก่อนก็มาถึงเวียงละกอนหรือนครลำปาง หนานทิพย์หยุดปู้คำแสนเมื่อช้างพลายย่างเข้าไปถึงเขตวัดศรีชุม แทบจะทันทีทันใดที่ลงจากหลังช้าง มุ่ยก็ปราดเข้าไปกอดชายหนุ่มผู้มาคอยด้วยความดีใจจนฝ่ายนั้นเซจนเกือบล้ม ปู้คำแสนร้องแปร๋นทักทักทายพลางใช้งวงเคลียกับหน้าของเมือง…พี่ชายของมุ่ย

หนานทิพย์พานายห้างคนใหม่ทั้งสองและแหม่มผู้ติดตามมาแนะนำให้รู้จัก

“นี่ลูกจายคนเก๊า…ลูกชายคนโต…ของเฮาเอง” แนะนำพลางบอกหน้าที่ของเขา “เมืองเป็นเสมียนอยู่ปางไม้ รู้ภาษาอังกฤษ นายห้างคงบ่ลำบากแล้ว”

ชายหนุ่มที่ชื่อเมืองยิ้มให้ทุกหน้าที่เพิ่งพบเป็นครั้งแรก ทักทายเป็นภาษาอังกฤษอย่างไม่ประหม่า เพราะคุ้นเคยกับคนหลายชาติหลายภาษาในปางไม้

“เวลคัมทูลำปาง นายห้าง แหม่ม”

ทุกคนยิ้มรับด้วยความยินดี เบ็ตตี้เอ่ยถามหลังจากสำรวจอย่างรวดเร็วว่าที่แห่งนี้เป็นวัดหน้าตาคล้ายกับวัดที่พม่า หล่อนหวาดกลัวว่าจะต้องค้างแรมอยู่ที่นี่

“คืนนี้ เราต้องพักกันที่นี่หรือจ๊ะ”

“หามิได้แหม่ม” เมืองตอบทันที แล้วสีหน้ายุ่งใจนิดหน่อยก็ตามมา บอกทั้งบิดาและเจ้านายใหม่ไปพร้อมกัน “หมอสจ๊วตรอเลี้ยงต้อนรับอยู่ทุกวัน กำชับว่ามาถึงวันไหน ถ้าบ่อิด…เหนื่อยเกินไป ก็ให้ไปดินเนอร์ที่บ้านได้เลย แต่ถ้าอิดนัก ก็พักเสียคืนหนึ่งก่อน แลงวันถัดมาค่อยเลี้ยงก็ได้”

ตลอดเวลานั้น มุ่ยก็ยังคลอเคลียพะเน้าพะนอพี่ชายอยู่ไม่ห่าง จนวิลเลียมอดคิดไม่ได้ว่ามุ่ยคงติดพี่ชายมาก

สีหน้าคิดไม่ตกของเมืองทำให้บิดาเค้นถามว่ามีเรื่องลำบากอันใด เมืองจึงค่อยๆ แจ้งออกมาอย่างเกรงใจคนเพิ่งเดินทางมาถึง

“หมอสจ๊วตจะต้องไปเชียงใหม่วันพรุ่ง รอบนี้เมิน…นาน…กว่าจะได้ปิ๊กมา ถ้าบ่ไปดินเนอร์แลงนี้ กว่าจะได้ปะกั๋นก็คงเกือบสองติ๊ด…สองอาทิตย์”

ชาวอังกฤษทั้งสามไม่รู้ว่าการไปพบหมอสจ๊วตช้าหรือเร็วจะส่งผลอันใด แต่หนานทิพย์รู้ดีว่าสำคัญ เพราะในเมืองลำปางนี้มีบริษัททำไม้ของอังกฤษ ฝรั่งเศส และสยาม แม้ทุกบริษัทจะมีชาวตะวันตกทำงานอยู่ แต่การทำธุรกิจก็เป็นบ่อเกิดแห่งการขัดแข้งขัดขากันบ่อยครั้ง ตั้งแต่เรื่องเล็กน้อยหาสาระสำคัญไม่ได้ไปจนถึงเรื่องใหญ่ที่มีผลประโยชน์ของบริษัทเป็นเดิมพัน

ในบรรดาชาวตะวันตกที่เข้ามาแข่งขันกันนี้ มีเพียงหมอสจ๊วตที่เหมือนจะเป็นกลาง…คือเข้ากันได้กับทุกคนไม่มีปัญหากับใคร และในบางครั้งเมื่อเค้าลางของปัญหาเริ่มก่อตัว หมอสจ๊วตก็เข้ามาเป็นผู้ไกล่เกลี่ยก่อนมันจะกลายเป็นปัญหาจริงๆ ด้วยซ้ำ

หนานทิพย์มองฟ้าและมองเงาสั้นๆ ที่ทอดบนพื้นก็ว่า

“ยามนี้เพิ่งเลยคาบตอน…มื้อเที่ยง…มีเวลาเพียงพอจะพักแล้วไปกินข้าวแลงที่บ้านหมอสจ๊วต”

เพียงเท่านี้เมืองก็สบายใจ ด้วยว่าตนเองก็นับถือหมอสจ๊วตมาก ไม่อยากให้หมอต้องผิดหวังจากการคอยต้อนรับสมาชิกใหม่ของเวียงละกอน จึงเรียกชายหนุ่มที่ติดตามมาจากปางไม้ด้วยกัน สั่งการให้ไปแจ้งแก่ครอบครัวสจ๊วตว่าคณะของนายห้างบริษัทบอมเบย์เบอร์ม่าคนใหม่มาถึงแล้ว และจะไปร่วมโต๊ะมื้อค่ำวันนี้

“เราจะไปกันหมดนี่เลยใช่ไหม” วิลเลียมถามขึ้นมา “ฉันหมายถึงหนานทิพย์และมุ่ยด้วย”

“แน่นอนสินายห้าง เฮาก็จะถือโอกาสนี้ไปพบหมอสจ๊วตด้วย”

“เชิญนายห้างทางนี้”

เมืองผายมือไปยังร่มไม้ใหญ่ เบ็ตตี้ดีใจที่เห็นว่าตรงนั้นมีรถม้าจอดอยู่ การเดินป่าหลายวันมานี้ทำให้หล่อนไม่คิดว่าจะมีพาหนะที่คุ้นเคยและสะดวกสบายอย่างรถม้าให้พบเห็นที่นี่ เบ็ตตี้และลีรอยขึ้นนั่งแล้ว แต่วิลเลียมยังไม่ตามขึ้นไป มองหา ‘ไอ้ตัวร้าย’ เพราะคิดว่าต้องไปด้วยกัน

“มาเร็วๆ สิมุ่ย จะได้รีบไป”

“หมดหน้าที่ของมุ่ยแล้ว นายห้างไปพักผ่อนเต๊อะ” หนานทิพย์บอกแก่วิลเลียม “แลงนี้ปะกันที่บ้านหมอสจ๊วต”

“แล้วมุ่ยล่ะ มุ่ยจะไปด้วยหรือเปล่า” น้ำเสียงเขาเข้มขึ้น คำถามคล้ายจะเป็นคำสั่งว่าต้องให้มุ่ยไปร่วมโต๊ะด้วย

“นายห้างไปพักผ่อนเอาแรงก่อนเต๊อะ ปะกันแลงนี้” หนานทิพย์ตัดบทโดยไม่รับรองอันใด เมืองก็กระตุ้นม้าให้ออกเดิน

เสียงฝีเท้าม้าย่ำกุบกับไปตามทางเลียบแม่น้ำวัง เมืองเล่าให้ฟังว่าแม่น้ำวังเป็นเหมือนสายโลหิตของคนที่นี่ ชุมชนส่วนใหญ่ก็ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ

“ออฟฟิศของบริษัททำไม้ต่างๆ ก็ตั้งริมน้ำวัง อยู่บ่ห่างกันเท่าไรนัก ฝั่งโน้นเป็นบริษัทบริทิชบอร์เนียว ส่วนฝั่งนี้มีบริษัทสยามฟอเรสต์ และนี่…ถึงแล้ว ออฟฟิศของนายห้าง บริษัทบอมเบย์เบอร์ม่า”

วิลเลียมมารู้ตัวเอาเมื่อลีรอยและเบ็ตตี้ลงจากรถม้าไปแล้ว ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา แม้ทัศนียภาพแปลกตาจะชวนมอง ทว่ามันเป็นเพียงภาพไหลผ่านไปไม่ติดอยู่ในความทรงจำ เช่นเดียวกับคำบอกเล่าของเมืองก็ปนเปไปกับเสียงฝีเท้าม้า ไม่มีอะไรติดอยู่ในหูแม้คำเดียว ด้วยในความคิดของเขากังวลถึงแต่เรื่องเจ้ามุ่ย วิลเลียมมั่นใจว่าเขามิได้รู้สึกไปเอง

ท่าทีของหนานทิพย์ยามพูดถึงลูกชายคนเล็กทำให้วิลเลียมรู้สึกว่า เขาจะไม่ได้เจอ ‘ไอ้ตัวร้าย’ อีก

 

มื้อค่ำต้อนรับนายห้างคนใหม่ของปางไม้มิได้จัดที่บ้านหรือออฟฟิศสำหรับนายห้าง แต่มิสเตอร์สจ๊วต หมอชาวอังกฤษที่อยู่เวียงละกอนนี้อาสาเป็นเจ้าภาพ มิสซิสสจ๊วตวุ่นวายอยู่ในครัวหลายชั่วโมงเพื่อต้อนรับสมาชิกใหม่เมื่อได้รับแจ้งว่าเดินทางมาถึงกันแล้วเมื่อเที่ยง

วิลเลียมไปถึงบ้านหมอสจ๊วตด้วยอารมณ์เบิกบานไม่เต็มที่ แม้ว่าครอบครัวสจ๊วตจะต้อนรับเป็นอย่างดี แต่วิลเลียมก็มองไปทางหน้าบ้านบ่อยครั้งสลับกับมองหน้าเมือง ส่งแววตาเป็นคำถามว่าเมื่อไรพ่อและน้องชายของเมืองจะมาถึงเสียที เพราะนี่ก็จวนถึงเวลานัดหมายแล้ว

แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่เสียงนาฬิกาลูกตุ้มดังขึ้น หลังจากมิสซิสสจ๊วตบอกว่าอาหารพร้อมแล้ว หนานทิพย์และสาวน้อยผู้หนึ่งก็ขี่ม้าตรงมาที่ตึก วิลเลียมหันไปมองแล้วคิ้วลู่แทบจะชนกันอย่างขัดใจ ด้วยไม่มีเงาของ ‘ไอ้ตัวร้าย’ ตามมาด้วย หากแล้วนาทีต่อมาก็กลับมองอย่างทึ่ง ไม่คิดว่าสาวน้อยร่างบางนุ่งซิ่นยาวกรอมเท้าอย่างสตรีถิ่นนี้จะบังคับม้าในท่านั่งแบบอานไขว้ อันแสดงถึงความเชี่ยวชาญเป็นอย่างดี

เมืองวิ่งออกไปจูงม้าของสาวน้อยไปผูกไว้กับโคนต้นลมแล้ง รอจะช่วยเหลือ หากหล่อนก็สามารถลงมายืนบนพื้นอย่างมั่นคงได้ด้วยตนเอง เดินไปอยู่ด้านหลังบิดา ส่งยิ้มทักทายเจ้าของบ้าน โดยเฉพาะมิสซิสสจ๊วต

“แวนด้า!” มิสซิสสจ๊วตทักร่าเริง “You grow beautiful. So beautiful.”

หญิงสาวเพียงยิ้มน้อยๆ ปรายตาไปยังผู้ที่ยืนถัดจากหมอสจ๊วต ผู้เป็นเจ้าของบ้านก็แนะนำให้รู้จักเป็นเบื้องต้นก่อนพากันไปที่โต๊ะอาหาร

วิลเลียมยังมองสาวน้อยหน้าใหม่ไม่วางตา ลืมเจ้ามุ่ยเด็กซนไปชั่วขณะ

สตรีตรงหน้า…จะว่าไม่เคยพบมาก่อนก็พูดได้ไม่เต็มปากนัก เพราะคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นมาก่อนแน่ รู้สึกคุ้นเคยเสียด้วยซ้ำ แต่ก็นึกไม่ออกว่าคุ้นจากไหน

พลันก็นึกขึ้นได้…ใช่แล้ว! เขาเห็นหล่อนในภวังค์และที่น้ำตก

ในช่วงป่วยไข้มีสติรับรู้ครึ่งๆ กลางๆ นางหนึ่งปรนนิบัติป้อนยารสปร่าชามใหญ่ให้เขา หน้าตาประพิมพ์ประพายคล้ายอย่างนี้

เขาลอบมองอย่างระวังไม่ให้จ้องจนเสียมารยาท ก็เห็นฝ่ายนั้นส่งสายตามาเช่นกัน เป็นสายตาที่ซ่อนความขบขันในท่าทางของเขา ขณะที่หล่อนใช้ส้อมและมีดจิ้มสตูเนื้อส่งเข้าปากอย่างคล่องแคล่ว วิลเลียมก็ยิ่งว้าวุ่นหนักขึ้น ครั้นจะถามตรงๆ ก็กลัวเสียมารยาท จึงเลี่ยงถามถึง ‘เด็กซน’ ที่ยังไม่มาสักที

“หนานทิพย์ไม่พามุ่ยมาด้วยกันหรือ ไหนรับปากว่าจะพามาแน่ๆ”

“ก็พามาตวยนี่ นายห้างบ่เห็นกา” หนานทิพย์กลั้วหัวเราะ

วิลเลียมยังทำหน้าฉงน แต่ด้วยความช่างพูดและคล่องในการเจรจาของมิสซิสสจ๊วต หล่อนก็เข้าใจได้รวดเร็ว หัวเราะอย่างสบอารมณ์

“ซอร์รี มายเดียร์วิลเลียม…แวนด้า น่าจะเป็น ‘มุ่ย’ ที่เธอถามถึงใช่ไหมจ๊ะ”

วิลเลียมหันกลับไปยังดวงหน้าผ่องนวลนั้นอีกครั้ง คราวนี้มีหน้าของเจ้าเด็กซนซ้อนเข้ามาจนเขาเผลอร้องออกไป

“มุ่ย!”

เสียงหัวเราะเบาๆ ดังประสานกัน ขณะที่หนุ่มอังกฤษยังพึมพำออกมา

“เธอเป็นผู้หญิง…”

“เฮาเคยบอกกา ว่าเฮาเป็นป้อจาย…ผู้ชาย นายห้างกึ๊ดเอาเอง…ง่าวแต๊” หญิงสาวว่าปนสนุก ทว่าบิดาแตะหลังมือปรามมิให้ลามปาม

“ชื่อมุ่ยเรียกยาก” มิสซิสสจ๊วตว่า หันไปทางเด็กสาว “มุ่ย…คือดอกไม้ที่เหน็บผมอยู่นั่นใช่ไหมจ๊ะ”

“เยส แมม” มุ่ยตอบเป็นภาษาอังกฤษ เอียงให้เห็นฟ้ามุ่ยดอกงามได้ถนัดตา

“ฉันพยายามเรียกเท่าไรก็ไม่ได้ พอรู้ว่าชื่อเขาหมายถึงบลูแวนด้า ฉันเลยเรียกแม่หนูน้อยว่าแวนด้า แต่คราวนี้ไม่ใช่แม่หนูอีกต่อไป แวนด้าน้อยบานแล้ว เป็นสาว…แล้วก็สวยเสียด้วย” มิสซิสสจ๊วตหันไปทางบิดาของหญิงสาว ถือโอกาสถาม “คราวนี้จะให้แวนด้าอยู่กับฉันนานสักแค่ไหนล่ะ หนานทิพย์ หรือว่าจะพาไปอยู่ที่ไหน”

“คงต้องฝากให้อยู่เรียนกับแหม่มนี่ละครับ ถ้าให้ไปอยู่ที่ปางไม้กับเมือง ผมไม่ค่อยสบายใจ”

มิสซิสสจ๊วตหัวเราะดังอย่างถูกใจ รู้เหตุผลเบื้องหลังของฝ่ายนั้น

“หนานทิพย์กลัวใคร หลุยส์หรืออีแวนเดอร์…แต่ก็นั่นละ แวนด้าเป็นสาวสวยมาก ถ้าเป็นผู้ปกครอง ฉันก็คงกลัวเหมือนที่หนานทิพย์กลัว”

วิลเลียมพอจะรู้อยู่บ้างจากมิสเตอร์โรเจอร์ ว่าหลุยส์และอีแวนเดอร์เป็นคู่ปรับกันทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทำไม้ เรื่องการค้า และเรื่องผู้หญิง แม้จะยังไม่เคยพบตัวเป็นๆ แต่เขาก็ไม่อยากให้มุ่ยผ่านเข้าไปในสายตาของสองคนนั่น…ชายหนุ่มไม่รู้ตัวว่าเอาเผลอยึดเอาหล่อนไว้เป็นสมบัติของตัวในจิตใจ

ก็ในเมื่อไอ้มุ่ยเด็กน้อยจอมซนเป็นคนของเขา

สตรีตรงหน้า ไม่ว่าหล่อนจะเป็นแวนด้าหรือฟ้ามุ่ย…ก็ต้องเป็นของเขา

วิลเลียมจึงแสดงความเห็นเป็นข้อสรุปกลายๆ สายตามองจ้องไปในหน่วยตาเรียวงามของหล่อน

“มุ่ยอยู่กับมิสซิสสจ๊วตที่นี่ดีที่สุดแล้ว และไม่ควรเที่ยวตะลอนไปไหนต่อไหนตามอำเภอใจ”

หญิงสาวเม้มปากหากแววตาถือดี ย้อนกลับไป

“เช่นไปเล่นน้ำตกใช่ไหม เพราะถ้าโชคร้าย อาจเจอผีบ้าทะลึ่งเข้ามายืนจ้องอย่างไร้มารยาท”

วิลเลียมหน้าแดง…มิใช่ด้วยความโกรธ หากด้วยเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าหญิงสาวที่เขาต่อปากต่อคำที่น้ำตกนั้น คือมุ่ย…ไอ้เด็กจอมซน

ครั้นแล้วเขาจึงเปลี่ยนใจ จากที่เห็นด้วยว่าควรอยู่กับมิสซิสสจ๊วต ควรมาอยู่กับเขาที่ปางไม้มากกว่าเพราะเขายังต้องเรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมท้องถิ่นอีกมาก

“มุ่ยเป็นครูของฉัน ก็ควรจะอยู่ใกล้ๆ ฉัน” วิลเลียมเสียงแข็งขึ้นเมื่อพูดขึ้นมา หันไปมองสาวน้อยดุจจะพูดกับนางโดยตรง “ครูที่ดี ไม่ควรทิ้งภาระหรือลูกศิษย์ใช่ไหม”

“นายห้างพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็ดีแล้ว” สีหน้าของหนานทิพย์เคร่งขึงเอาจริง ชำเลืองไปทางบุตรชายคนโต “เมืองเองก็ทำงานกับบริษัทฝาหรั่งมาเป็นปี…ร่วมปีแล้ว พูดอ่านได้ ก็คงสอนภาษาให้นายห้างได้”

วิลเลียมคล้ายลมหายใจขาดห้วง อึดอัดไปหมดเมื่อเห็นดวงหน้าเอาจริงของหนานทิพย์ สายตาของสล่าเฒ่าเมืองเหนือที่มองมาดุจทะลวงเข้าไปอ่านถึงก้นบึ้งดวงใจเขาได้ ฝ่ายนั้นจึงตัดไฟแต่ต้นลมว่า

“ถึงเวลาที่เจ้ามุ่ยจะเลิกสอนภาษาให้นายห้างเสียที

 

เชิงอรรถ :

(1) งบ เป็นวิธีการปรุงอาหารโดยเคล้าเนื้อสัตว์กับเครื่องแกง ห่อด้วยใบตองแล้วนำไปเผาหรือย่างไฟคล้ายการหมก หากใช้ปลา เรียก งบปลา ใช้กุ้งฝอย เรียก งบกุ้ง ภาษาเหนือเรียกอาหารประเภทนี้ว่า ‘แอ็บ’

(2) เซลกี (Selkie) เป็นตำนานเงือกของสกอตแลนด์ อังกฤษ และไอร์แลนด์ เซลกีแปลว่า ผู้หญิงแมวน้ำ มักพบตามแหล่งน้ำโดยจะล่อลวงผู้ชายไปสังหาร

 



Don`t copy text!