อมฤตาลัย ตอนที่ 14

อมฤตาลัย ตอนที่ 14

โดย : จินตวีร์ วิวัธน์

อมฤตาลัย นวนิยายเรื่องยาวเรื่องแรกของ จินตวีร์ วิวัธน์ นักเขียนสตรีที่เขียนนวนิยายแนววิทยาปาฏิหาริย์และมีผลงานโดดเด่นมากมาย วันนี้อ่านเอาได้นำอมฤตาลัยมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์เป็นครั้งแรกในโครงการปากกาทอง เพื่อให้นักอ่านรุ่นเก่าได้คลายคิดถึงและเป็นโอกาสดีที่นักอ่านรุ่นใหม่จะได้มีโอกาสสัมผัสความสนุกของงานเขียนอมตะเรื่องนี้

สิ่งแรกที่ ร.ต.ท.ทัดเทพ พิษณุเศรณี กระทำในค่ำนั้นหลังจากกลับถึงบ้านและอาบน้ำแต่งตัวแล้วก็คือต่อโทรศัพท์ไปหาเพื่อนสนิทของเขา

“ฮัลโหล นั่นไอ้หมอเรอะ ไงวะ จำเสียงพ่อไม่ได้หรือลูก”

มีเสียงด่ามาตามสาย ทัดเทพทำคอย่น หัวเราะอย่างครื้นเครง

“เอ้า ด่าเข้า ไปจมอยู่กับไอ้ด๊อยตั้งหกปี นึกว่าจะลืมคำด่าซะแล้ว ไหงไฟแลบกว่าทุกคราวอีกล่ะโว้ย เอ็งจะเปิดคลินิกหรือยังวะ”

“ไอ้…ข้าเพิ่งกลับมาไม่ทันถึงเดือน จะเนรมิตคลินิกได้ทันยังไงวะ เอ็งมีอะไรมากวนใจข้าอีกเรอะ”

“จะหาคนไข้ให้น่ะซี”

“ขอบใจโว้ย แต่ไม่ต้องลำบากถึงยังงั้นหรอกวะ ข้ามีเยอะแยะ รักษาไม่หวาดไม่ไหว พอรู้ว่าหมอสโรชพันธุ์ สโรชา จิตแพทย์ลือชื่อของโลกกลับบ้านเกิดเมืองนอน แขกก็แห่กันมาเป็นแสนเลย”

“หมอ ว่างๆ เอ็งลองตรวจวิเคราะห์ตัวเองมั่งนะ ข้าว่านอตสมองเอ็งท่าจะหลวมๆ อยู่…เอ้า นี่ข้าพูดจริงๆ นะโว้ย ไอ้โรช จะหาคนไข้มาให้เอ็งซักคน”

“เป็นอะไรวะ”

“เอ็งเคยได้ยินโรคฝันเรื้อรังมั่งไหมวะ”

“ก็เคยเหมือนกัน เป็นความผิดปกติทางจิตอย่างหนึ่ง ผู้หญิงหรือผู้ชายล่ะ”

“ผู้หญิง สาวสวยยิ่งกว่าบาร์บารา ปาร์กินส์ กับซูซาน พรีเชตต์ รวมกันเสียอีกว่ะ”

“ข้านึกแล้ว ถ้าเป็นผู้ชายเอ็งคงไม่กระเสือกกระสนมาติดต่อยังงี้หรอก”

“เฮ้ย อย่าบ้านะ เจ้าหล่อนเป็นคนน่าสงสารจริงๆ นะ หน้าตาซีดๆ เศร้าๆ ท่าทางไม่สบายใจเลย ข้าเห็นแล้วสงสารว่ะ แถมเจ้านายที่อยู่ด้วยก็หัวเก่า ให้กินแต่ยาลูกกลอนทุกคืน ไม่รู้ว่าเป็นอันตรายหรือเปล่า”

“เออ ไม่ต้องชักแม่น้ำทั้งห้าหรอกวะ ไอ้เสือ เอ็งจะพามาวันไหนก็มาได้เลย ตอนเย็นๆ ข้าอยู่บ้านเรื่อยแหละ”

“แน่นะ ข้ากลัวเอ็งไปตอกเหล้าเคล้ารัมมี่อยู่ตามบ้านใครต่อใครเท่านั้นแหละ”

“นั่นมันเมื่อก่อนโว้ย เดี๋ยวนี้ข้าถอดเขี้ยวเล็บหมดแล้ว เป็นคนดีบริสุทธิ์ผุดผ่องสองร้อยเปอร์เซ็นต์…อ้อ เพิ่งนึกขึ้นได้ เมื่อวานเจอไอ้ยงมันเป็นกรรมการขายบัตรแฟนซีลีลาศว่ะ มันหักคอขายบัตรมาโต๊ะนึงว่าจะชวนเพื่อนเก่าๆ ไปเจอกันด้วย เอ็งไปด้วยนะโว้ยเทพ ข้าอยากพบเพื่อนเก่าให้ทั่วกันทุกคน”

“เอ็งก็รู้ว่าข้าไม่ค่อยชอบงานพรรค์ยังงี้นัก”

“อย่าทำเป็นกบจำศีลนักเลยวะ ไอ้เสือ จุดประสงค์ของข้าก็คืออยากรวบรวมเพื่อนเก่าสมัยก่อนให้มาเจอกันให้มากที่สุดนั่นแหละ เอ็งชวนไอ้ฑูรย์กับไอ้สิทธิ์มาด้วยให้ได้นะ”

“ต้องแต่งชุดแฟนซีด้วยเรอะ”

“เออ เอ็งหาชุดอะไรก็ได้แต่งๆ เข้าไปเหอะ หุ่นอย่างเอ็งแต่งเป็นอีแร้งก็ยังดูมีสง่าราศี”

“ว่าเข้านั่น แล้วเอ็งล่ะ”

“ข้ายังไม่รู้ว่าจะแต่งเป็นหมอฮูโต๋ หรือหมอชีวกโกมารภัจจ์ดี มีเครื่องทรงอยู่แล้วทั้งสองชุดแหละ เอ็งว่าข้าเป็นหมอเจ๊กหรือหมอแขกดีวะ ไอ้เทพ”

“เป็นหมอลามกดีกว่าวะ เหมาะกับเอ็งเปี๊ยบเลย”

“ไอ้…”

“เออ เออ พอแล้ว ไม่ต้องสวด แค่นี้น่ะโว้ย แม่เรียกไปกินข้าวแล้ว เออ สวัสดีลูกพ่อ”

 

คืนนั้นเดือนหงายแจ่มกระจ่าง แต่ไวฑูรย์ อมรรัช ไม่มีจิตใจจะชื่นชมกับธรรมชาติใดๆ เขาเดินกลับไปกลับมาในห้องนอนอย่างใช้ความคิด วันนี้น่าจะเป็นวันที่เขาปลอดโปร่งโล่งใจ เพราะงานยากแสนเข็ญที่รับหน้าที่มานั้นสำเร็จลงได้ง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ หลังจากที่ถ่ายรูปศิลาทับหลังจำหลักรูปพิธีราชาภิเษกนางกษัตริย์ขอมกับศิลาจารึกเมืองอมฤตาลัย ในห้องท้องพระโรงรับแขกของพินทุวดีอย่างละเอียดลออทุกซอกทุกมุมแล้ว ไวฑูรย์ก็ตรงดิ่งไปหาเพื่อนเกลอซึ่งเป็นบุตรชายร้านถ่ายรูป ขอให้ล้างและอัดรูปที่ถ่ายมานั้นโดยให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือเป็นอันดี…หากแต่เรื่องที่ทัดเทพเล่าให้ฟังในขณะที่นั่งรถมาด้วยกันนั้นเองที่รบกวนจิตใจและสมองของนักโบราณคดีหนุ่มให้ใช้ความคิดหนักอยู่ในขณะนี้

คำพูดของสโรชินีที่ทัดเทพถ่ายทอดให้ฟังกระตุ้นความสงสัยของเขาให้ตื่นตัวยิ่งขึ้นไปอีก

‘…ว่านบางอย่างถึงขนาดชุบคนตายให้ฟื้นก็ยังได้’

‘…ฝันเห็นผีดิบมั่ง สัตว์ประหลาดมั่ง คนแก่มั่ง แต่มันไม่เคยทำร้ายบัว…’

คำบอกเล่านี้เข้ากันได้ดีกับถ้อยคำเพ้อคลั่งของเจ้าช่วงที่ว่ามันเห็นสตรีสาวสวยในบ้านใหญ่ปลุกคนตายให้ฟื้นขึ้น และเห็นผีดิบกับมนุษย์ค้างคาวในบ้านนั้นด้วย…ฟังๆ ดูมันเหมือนเรื่องไร้สาระเต็มที ทว่าสังหรณ์หรืออะไรบางอย่างในจิตใจใต้สำนึกก็บอกให้ไวฑูรย์เชื่อว่า ต้นเหตุแห่งความลึกลับสยดสยองทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั้น ล้วนแต่มาจากสตรีสาวแสนสวย ผู้มีอำนาจประหลาดในตัวผู้มีชื่อว่าพินทุวดี วงศ์ยโสธร คนนั้นนั่นเอง…

ว่านที่ชุบคนตายให้ฟื้น…คำนี้สะดุดหูสะดุดใจไวฑูรย์อย่างแรง เขาหยุดเดิน ล้วงกระเป๋าหยิบว่านครุฑพลของตนเองขึ้นพิจารณาดู…อำนาจลี้ลับของมันเขาได้ประจักษ์มาแล้วอย่างไม่มีข้อสงสัยในคืนที่ถูกมนุษย์กึ่งค้างคาวบุกเข้าเล่นงาน…ความเป็นคนสมัยใหม่ทำให้ชายหนุ่มว้าวุ่นใจ ไม่อาจปลงใจเชื่อถึงอำนาจลึกลับนี้ได้อย่างถนัดนัก และเขาพยายามปัดมันออกไปจากความคิดคำนึงอยู่ตลอดเวลา…หากแต่วันนี้คำบอกเล่าของสโรชินีก้องขึ้นมาในหูอีก…ในเมื่อว่านของเขายังสามารถป้องกันอันตรายได้อย่างประหลาดมหัศจรรย์แล้ว ทำไมเล่าว่านที่มีอำนาจชุบชีวิตคนจะมีอยู่ไม่ได้บ้างในโลกที่ยังเรียนไม่รู้จบนี้…

เหวยสังกรณีตรีชวา พระจักราให้มาเชิญไป

คำกลอนจากเรื่องรามเกียรติ์แว่วเข้ามาในความทรงจำ ทำให้ไวฑูรย์รู้สึกขนลุกซู่…พืชชื่อสังกรณีตรีชวาในวรรณคดีเรื่องนั้น มีอานุภาพรักษาพระลักษมณ์ผู้ถูกหอกโมกขศักดิ์ให้ฟื้นขึ้นได้…ก็ถ้าหากพืชนี้มีอยู่จริงในชื่ออื่นบ้างเล่า จะเป็นเรื่องที่น่าคิดและน่าค้นคว้าในความมหัศจรรย์พันลึกของมันขนาดไหน

‘ว่านบางอย่างถึงขนาดชุบคนตายให้ฟื้นได้…’

ตามคำบอกเล่าของสโรชินีนั้น จะเป็นพืชประเภทเดียวกันนี้ละกระมัง…

ความขัดแย้งในใจทำให้นักโบราณคดีหนุ่มสับสนไปหมด ใจหนึ่งเอนเอียงไปกับอำนาจอิทธิพลสิ่งลึกลับที่มองไม่เห็นแต่ประสบมาแล้วกับตัว…อีกใจหนึ่งเหลือวิสัยที่จะปลงใจเชื่อได้ เพราะไม่มีเหตุผลและข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายได้ทั้งสิ้น ไวฑูรย์พยายามสลัดมันออกไปจากความคิด เหลือบมองดูนาฬิกาปลุกเรือนเล็ก มันบอกเวลา ๒๔.๐๐ น.

“นอนเสียทีก็ดีเรา ขืนคิดมากๆ เดี๋ยวเป็นบ้า”

ชายหนุ่มดับไฟแล้วก้าวขึ้นเตียง ลาม่าออโตเมติกซึ่งเคยซุกไว้ใต้หมอน เปลี่ยนมาอยู่ใกล้ตัวตรงจุดที่จะหยิบฉวยได้รวดเร็วและคล่องตัวที่สุด สายสวิตช์ไฟหัวเตียงต่อยาวลงมาใกล้มือคว้าช่วยให้อุ่นใจได้บ้าง ไวฑูรย์จึงพยายามข่มตาบังคับใจจะให้หลับลงอย่างยากเย็น

…แต่ดวงความคิดอันสับสนอลหม่านก็ไม่ยอมหยุดพักตามความต้องการของเจ้าตัว ไวฑูรย์นึกถึงสตรีสาวโฉมงามผู้มีอำนาจลึกลับในตัวอีกครั้ง ด้วยความยอกแสยงในอารมณ์…เขานึกออกแล้วว่า ความรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ไม่เป็นสุขที่เกิดขึ้นทุกครั้งเวลาพบหน้าเจ้าหล่อนผู้นั้นเกิดจากอะไร มันสืบเนื่องมาจากสาเหตุประการเดียวเท่านั้น คือ เขากลัวหล่อน…กลัวจนจับใจ

น่าขันที่เขาเกิดความรู้สึกอย่างนี้ ในขณะที่เพื่อนเกลออย่างสถาพรและศุภสิทธิ์ และชายหนุ่มอื่นอีกมากหน้าพากันคลั่งไคล้ใหลหลงสตรีสาวโฉมงามผู้นั้นอย่างไม่ลืมหูลืมตา ไวฑูรย์บอกตัวเองไม่ได้อีกเหมือนกันว่าทำไมเขาจึงรู้สึกอย่างนั้น…และบัดนี้ เมื่อเหตุร้ายต่างๆ ตีวงใกล้เข้ามา ความรู้สึกอย่างนั้นก็เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณจนชายหนุ่มคิดว่าเขาคงจะมองหน้าพินทุวดีได้ยากเย็นเสียแล้ว

นึกถึงเหตุการณ์บ่ายตอนที่เขาลอบเข้าไปถ่ายภาพศิลาจำหลักในห้องรับแขกของหล่อน แล้วเกิดความพิศวงสงสัยคลางแคลงในสภาพความเป็นอยู่ของสตรีสาวโฉมงามผู้นั้นยิ่งนัก บ้านของหล่อนดูช่างเต็มไปด้วยความลี้ลับ ไม่ต่างอะไรกับตัวของหล่อนเอง…นักโบราณคดีหนุ่มรู้สึกใจเต้นแรงเมื่อนึกมาถึงตรงนี้…หากเจ้าหญิงเชื้อสายเขมรผู้นั้นได้ล่วงรู้ว่าเขาแอบเข้าไปพบอะไรในห้องที่หวงแหนของหล่อนเข้าบ้าง ความเกรี้ยวโกรธของหล่อนจะเป็นเช่นใด และพิบัติภัยอะไรบ้างหนอที่หล่อนจะส่งมาเล่นงานเขาอีก เพื่อเป็นการแก้แค้น…?

ทุกอย่างในห้องท้องพระโรงของพินทุวดีดูเป็นปกติเมื่อเขาย่างเข้าไป ไวฑูรย์เลือกมุมกล้องที่จะให้ได้ภาพชัดเจนที่สุดอยู่ในความสลัวเพราะไฟช่อกลางเพดานยังไม่เปิด ไวฑูรย์เป็นมือกล้องสมัครเล่นผู้มีฝีมืออยู่ในเกณฑ์ดีคนหนึ่ง ดังนั้น หลังจากเลือกตำแหน่งที่ดีแล้ว เขาก็กดชัตเตอร์แฟลชไลต์ที่แวบขึ้นทันทีทันใดนั้น ก่อให้เกิดปฏิกิริยาบางอย่างทางเบื้องหลังของเขาขึ้นในทันทีนั้นเหมือนกัน…

เสียงหนึ่งแผดสนั่นขึ้นในความสลัวอย่างตกใจระคนเดือดดาล กล้องแทบหลุดจากมือไวฑูรย์ในขณะที่หันขวับไป

บนเก้าอี้ไม้ดำมุกแพรวพราว รองด้วยเบาะผ้าไหมสีส้มสดนั้น ร่างของอะไรอย่างหนึ่งซึ่งดำยิ่งกว่าความมืด ยืนโก่งตัวอยู่ที่นั่นพร้อมด้วยประกายอะไรบางอย่างวูบวาบออกมาจากบริเวณลำคอและเสียงขู่คำรามเบาๆ อย่างประสงค์ร้าย!

ไวฑูรย์ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อมองเห็นมันถนัด…แมวดำตัวหนึ่งเท่านั้นเอง… แต่ให้ตายเถอะ! เขาไม่เคยเห็นแมวที่ไหนตัวโตอย่างนั้นมาก่อนเลย ตัวของมันขนาดสุนัขพันธุ์ไทยตัวย่อมๆ พ่วงพีกำยำและปราดเปรียว ขนอันดำสนิทไม่มีสีอื่นแซมแม้แต่เส้นเดียวนั้นเป็นมันขลับราวชุบน้ำมัน ดวงตาสีเหลืองกลมโตอยู่ในกระบอกตารูปเรียวปลายชี้ขึ้นอย่างประหลาด ทำให้หน้าตาของมันดูแปลกกว่าแมวทั่วไป แสงแวววับที่คอของมันนั้นต่อเมื่อพิจารณาดูแล้ว ไวฑูรย์แทบอุทานออกมาด้วยความฉงน เจ้าแมวตัวนี้สวมสร้อยคอประดับอัญมณีที่มองดูเหมือนเพชรไม่มีผิด

‘ไป ชู้ว์ ออกไป ไอ้ดำ’

ชายหนุ่มส่งเสียงไล่ แต่เจ้าแมวใหญ่ตัวนั้นแยกเขี้ยวคำรามเห็นปากและลิ้นสีแดงแจ๋ตัดกับสีขนอย่างน่ากลัวกางอุ้งเล็บอันใหญ่โตขึ้นและทำท่าจะเผ่นเข้ามาหา

‘เฮ้ย อย่านะเว้ย มึงไม่ใช่หมา เข้ามาซี เดี๋ยวพ่อซัดแหลก’

ว่าพลาง ไวฑูรย์ก็เงื้อง่าขาตั้งกล้องขึ้นข่มขวัญ ซึ่งก็ได้ผล เจ้าแมวดำขู่คำรามอีกครั้งแล้วกระโจนแผล็วลงจากเก้าอี้วิ่งลับหายไปหลังม่านมุมห้อง

ไวฑูรย์วางกล้องในมือลง มองดูม่านปักด้วยมือผืนใหญ่นั้นอย่างชั่งใจ เขาใคร่รู้มาตั้งแต่ครั้งแรกที่ย่างเข้ามาในห้องนี้แล้วว่า หลังม่านจะมีอะไรซ่อนอยู่บ้าง…เท้าไวเท่าความคิด เขาปราดเข้าไปที่นั่นทันที แหวกมันออกมากวาดตาไปทั่วบริเวณ เมื่อไม่เห็นสิ่งมีชีวิตใดๆ ก็ก้าวผลุบเข้าไป

หลังม่านนั้นเป็นห้องเล็กๆ มีฝาผนังสีเทาเรียบ ที่น่าสนใจที่สุดก็คือตรงฝาผนังห้องนั้น ขณะนี้มันเผยอเปิดอยู่ครึ่งหนึ่งลักษณะเหมือนประตูลับมองเข้าไปเห็นช่องทางเดินลักษณะเหมือนระเบียงคดทอดยาวเข้าไปในความมืดสลัว ไวฑูรย์หยุดนิ่งคิดนิดหนึ่ง…คงมีใครเผอเรอกดถูกปุ่มลับให้ประตูเปิดโดยบังเอิญ เพราะบานประตูเลื่อนที่แนบเนียนไปกับฝาผนังนั้น ยากที่ใครจะสังเกตรู้ได้ว่ามันเป็นประตูลับ นักโบราณคดีหนุ่มตัดสินใจก้าวเข้าไปทันที

สองข้างระเบียงคดนั้นเป็นผนังทึบ มีโคมไฟสลัวติดเป็นระยะๆ รูปศิลาสลักขนาดเท่าตัวคนเรียงรายเป็นแถวอยู่ชิดฝาทางขวามือ ไวฑูรย์เดินย่องเข้าไปอย่างระมัดระวังระคนตื่นเต้นประหลาดใจ ปลายสุดทางเดินซึ่งเป็นทางตันนั้นผนังทึบ ส่วนล่างเป็นศิลาสลักภาพนูนต่ำเป็นเรื่องนรสิงหาวตารอันดุร้ายน่ากลัว แสดงถึงตอนที่พระนารายณ์ซึ่งอวตาร
เป็นมนุษย์ครึ่งสิงห์กำลังเข่นฆ่าอสูรอยู่อย่างกระเหี้ยนกระหือรือ ส่วนเหนือขึ้นไปเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังอันงดงาม

“ง้าว!”

เสียงแหลมก้องดังขึ้นในความเงียบ ไวฑูรย์สะดุ้งสุดตัว หันไปตามเสียงก็พบแมวดำเจ้ากรรมตัวนั้นขดตัวอยู่บนรูปนารายณ์บรรทมสินธุ์ริมผนัง นัยน์ตาโตสีเหลืองจ้าของมันจ้องดูเขาอย่างไม่พอใจ เสียงของมันทำให้หนุ่มนักโบราณคดีหันมาสนใจรูปสลักเหล่านั้น ซึ่งเขาลงความเห็นว่าเป็นศิลปะสมัยขอมอย่างแน่นอน ดวงเนตรของเทวรูปซึ่งมีทั้งพระพรหม พระอิศวร และพระนารายณ์นั้นเป็นประกายสุกเรืองอย่างประหลาดเหมือนฝังด้วยพลอย…หากสำนึกในหน้าที่การงานที่เสี่ยงเข้ามาเตือนชายหนุ่มให้ละจากศิลปะโบราณเหล่านั้นอย่างสุดแสนเสียดาย แล้วกลับเข้าไปสู่ห้องท้องพระโรงอันเป็นที่รับแขกของพินทุวดีเพื่อถ่ายรูปหวงห้ามนั้นต่อไป…

…ความคิดคำนึงของไวฑูรย์เลือนรางจางลงสู่ความง่วงงุน ชายหนุ่มยกมือซ้ายลูบคลำกระเป๋าเสื้อนอน ซึ่งว่านครุฑพลสงบนิ่งอยู่ในนั้นแล้วปิดเปลือกตาลง มือขวาวางทับอยู่บนกระบอกปืน และด้วยการเตรียมพร้อมเช่นนี้ นักโบราณคดีหนุ่มก็หลับไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยในอารมณ์…

 

“บัดซบ บัดซบทั้งสองคนนั่นแหละ”

เสียงเกรี้ยวกราดของพินทุวดีดังลั่นอย่างโกรธจัด เบื้องหน้าของหล่อนสโรชินีและนางปทุมยืนหน้าซีดอยู่ด้วยความเกรงกลัว

“ปล่อยให้มันเข้ามาทำไม เจ้าไวฑูรย์คนนั้นน่ะ รู้ไหมว่ามันจะทำความยุ่งยากให้ฉัน ลำพังคุณทัดเทพยังไม่เท่าไหร่ แต่เจ้านักโบราณคดีนั่นแหละตัวร้าย ใครบอกให้แกเปิดประตูรับมันเข้ามา หา”

“เอ้อ…เขาบอกว่ามีธุระด่วนเรื่องคนหายค่ะ” นางปทุมพูดเสียงสั่นๆ ด้วยความกลัว

“อิฉันพยายามไม่ให้เข้ามา แต่เขาบอกว่าคุณผู้หญิงเคยอนุญาตไว้แล้ว อิฉันคิดว่าคุณจะกลับมาทัน ก็เลย…”

“โง่…ทั้งสองคนนั่นแหละ ทีหลังใครมาหลอกว่าฉันอนุญาตให้เอาสมบัติออกไปได้ก็เชื่อเขาหมดซินะ ไอ้นายไวฑูรย์ว่าไงมั่ง”

“ไม่ว่ายังไงค่ะ เขาเป็นลมเลยเข้าไปนั่งพักในห้องรับแขกใหญ่ ส่วนคุณทัดเทพคุยกับบัวอยู่ข้างนอกค่ะ”

“ในห้องรับแขกใหญ่น่ะหรือ ทำไมแกไม่เปิดห้องเล็กให้เขาใช้ฮึ”

“ก็…เอ้อ…บัวคิดว่า ง่า…คุณอนุญาตให้ใช้ห้องนั้น สำหรับแขกพิเศษทั้งสองคนนี่ได้น่ะค่ะ”

สโรชินีตอบตะกุกตะกัก ใบหน้าซีดเผือด

“บัดซบ!” ดวงตาของพินทุวดีเบิกโตขึ้นด้วยความตกใจระคนเกรี้ยวกราด

“แกปล่อยให้เขาเข้าไปเชียวหรือ บัว กล้าดียังไง ทำไมถึงได้โง่ยังงี้ แล้วเขาทำอะไรบ้างฮึ”

“บัวก็…เอ้อ ไม่ทราบค่ะ เข้าใจว่าคงนั่งพักเพราะไม่ค่อยสบาย”

พินทุวดีขบกราม นัยน์ตาที่มองดูสตรีสาวผู้ยืนอยู่ตรงหน้าราวกับจะเผาให้มอดไหม้เป็นจุณไป

“แก…แหม ทำไมถึงได้บัดซบอย่างนี้นะ ลูกไม้ตื้นๆ ก็หลงลมมัน นี่ฉันจะทำยังไงกับพวกแกดี มันคงหลอกเข้ามาแอบค้นหลักฐานละซี คุณทัดเทพก็พลอยเป็นไปด้วย”

“คุณทัดเทพไม่มีส่วนด้วยหรอกค่ะ เขาคุยกับบัวอยู่ข้างนอก”

สโรชินีรีบออกรับแทนนายตำรวจหนุ่ม ครั้นรู้ตัวก็หน้าแดงก่ำขึ้นด้วยความขวยเขิน นายจ้างสาวผู้เลอเสน่ห์หันขวับมาจ้องหน้า นัยน์ตาจุดแววระแวงสงสัยขึ้นทันที

“เขาคุยอะไรกับแกบ้าง ฮึ บัว”

สโรชินีหลบตาลงต่ำ ทำท่าอึกอักอย่างไม่รู้จะตอบอย่างไรดี นางปทุมมองดูลูกสาวอย่างร้อนใจแล้วรีบพูดขึ้น

“คุยเรื่องตะโกดัดค่ะ คุณทัดเทพบอกว่าคุณพ่อเธอสนใจก็เลยขอดูทุกต้น อิฉันอยู่กับบัวตลอดเวลาค่ะ”

“แน่นะ ถ้าฉันรู้ว่าโกหกเมื่อไหร่ละก็…เอาละ ไปให้พ้นหูพ้นตาเสียที แล้วก็จำใส่ใจไว้ให้ดีด้วยว่าฉันไม่ต้องการเห็นหน้านายไวฑูรย์อีก แต่ถ้ามันมากับคุณทัดเทพก็ช่วยไม่ได้…ประเดี๋ยวฉันจะไปข้างล่างอย่าให้ใครรบกวนเป็นอันขาด เข้าใจไหม”

สองแม่ลูกรับคำแล้วรีบออกจากห้องไปอย่างลนลาน พินทุวดีเดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องเหมือนเสือติดจั่นด้วยอาการหมกมุ่นครุ่นคิด ดวงตาทั้งคู่เป็นประกายวับด้วยความอาฆาตแค้นเคือง

“ดีละ ไวฑูรย์ ช่างสอดรู้นัก เราจะได้เห็นกัน”

เสียงพึมพำของหญิงสาวดังลอดออกมาจากไรฟัน

“เห็นจะต้องพึ่งเกียรติมุขแน่นอนแล้ว…ไม่รู้ว่ามีของดีอะไรคุ้มกัน เวตาลเข้าถึงตัวไม่ได้สักที…ถ้ารู้ว่ามันมีเครื่องรางอะไรดีๆ คุ้มหัวอยู่ละก็คราวนี้ละ น่าดูชมนัก…”

หล่อนผลุนผลันแหวกม่านออกไปทางด้านหลัง กดปุ่มลับให้ฝาผนังเลื่อนออกจากกันเผยให้เห็นช่องระเบียงคดอยู่ข้างใน พินทุวดีปราดเข้าไปภายในยังรูปสลักนรสิงหาวตารด้านในสุดของระเบียง กดลงที่ดวงตาโปนถลนของอสูรร้ายในรูปด้วยเรี่ยวแรงที่เกินสตรีธรรมดาสามัญ มีเสียงดังครืดลั่นขึ้นและผนังที่เห็นทึบตันส่วนนั้นก็ค่อยๆ เขยื้อนออกจากที่หมุนกลับอย่างแช่มช้าเผยให้เห็นช่องทางลับลงไปสู่ห้องใต้ดินดำมืดอยู่ข้างหลัง…เจ้าของคฤหาสน์โฉมงามรีบผลุบลงไปทันทีแล้วผนังด้านนั้นก็หมุนปิดสนิทเข้าหากันดังเดิม

คบไฟที่ปักไว้เป็นระยะๆ ในคูหาใต้ดินทำให้ห้องลักษณะเหมือนเทวาลัยโบราณนั้นสว่างไสว เทวรูปพระหริหระยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าด้วยพักตร์อันเคร่งขรึม แวดล้อมด้วยเทวรูปน้อยใหญ่ลดหลั่นกันไปเหมือนเป็นบริวาร ต่ำลงใกล้แท่นบูชาเหนือพื้น ร่างมนุษย์ผู้ชายคนหนึ่งนั่งนิ่งอยู่อย่างไม่ไหวติงเหมือนรูปปั้น เรือนกายท่อนบนเปลือยเห็นผิวพรรณอันซีดเซียวเขียวคล้ำผิดมนุษย์มนา

พินทุวดีก้าวตรงเข้าไป ตบมือเบาๆ ๓ ครั้ง และเรียกขึ้นด้วยเสียงอันดัง

“สถาพร!”

ร่างแน่นิ่งเหมือนรูปปั้นปราศจากการเคลื่อนไหว แต่ดวงตาที่ปิดสนิทเปิดขึ้นทันที ประสานกับดวงตาอันเต็มไปด้วยอำนาจเร้นลับของหญิงสาว…

“ตื่น!”

ดวงตาทั้งคู่ของชายหนุ่มผู้นั้นแข็งกร้าว เบิกโพลงไม่กะพริบและปราศจากแววอย่างสิ้นเชิง ในหน้าซีดเผือดจนคล้ำ อากัปกิริยาที่ขยับลุกขึ้นและเดินออกมาหาหญิงสาวแข็งทื่อเหมือนหุ่นยนต์

“หยุดอยู่ตรงนี้ ข้ามีเรื่องจะใช้เจ้า”

เสียงสั่งเหมือนประกาศิต ร่างแข็งทื่อหยุดชะงักนิ่งสนิทอยู่กับที่ทันที พินทุวดีหยิบเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งลักษณะคล้ายซอสามสายออกมาจากแท่นข้างๆ ยื่นให้ร่างนั้น พร้อมกับเพ่งตาจ้องหน้าเขม็งเหมือนสะกดจิต

“ฟัง! เจ้าจงลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ณ บัดนี้ รำลึกแต่เพียงว่าเจ้าเป็นนักดนตรีคนหนึ่งและพร้อมจะเล่นซอนี้ทันทีที่เริ่มร่ายรำบูชาเทพ เข้าใจไหม”

เสียงเฉียบขาดนั้นเน้นหนักทุกคำ นัยน์ตาจับจ้องดวงตาที่ไร้แววของอีกฝ่ายหนึ่งเขม็ง สถาพรในร่างอันแข็งทื่อเหมือนหุ่นก้มศีรษะรับอย่างเก้งก้างแต่นบนอบในที

หญิงสาวผู้ทรงอำนาจเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าแทนบูชาขนาดใหญ่ สิ่งที่ประดับอยู่บนนั้นล้วนทำด้วยสำริดทอประกายวาบวับ พินทุวดีจุดไฟในกระถางเพลิงแล้วจึงเผากำยานในภาชนะสำริด เปลวไฟลุกโรจน์โชติช่วงและกลิ่นกำยานกระจายตลบไปทั่วคูหาเทวาลัย

สตรีสาวโฉมงามก้าวเข้าไปยังช่องลับทางซ้ายมือซึ่งมืดสนิทเพราะพ้นระยะแสงไฟ เมื่อกลับออกมาอีกครั้งหนึ่ง ห้องทั้งห้องก็ดูเหมือนจะสว่างไสวและแจ่มวิจิตรมลังเมลืองขึ้นด้วยเสน่หานุภาพอันน่ามหัศจรรย์ของร่างนั้น…

…และถ้าหากใครมีความสามารถพอที่จะแอบฟังได้ ก็จะได้ยินเสียงหวานก้องกังวานเปล่งสะท้อนกึกก้องทั่วคูหานั้น…

“โอม ข้าแต่หริหระเทพผู้ประเสริฐ ข้าแต่เทพยบดีทั้งมวลผู้รักษาอมฤตาลัยอันล่มจมไปแล้ว หากแต่อำนาจของพระองค์ยังทรงไว้อย่างสมบูรณ์ ณ ที่นี่ขอได้โปรดทอดทัศนาเถิด ข้าจักได้ถวายสักการะด้วยนาฏการ ณ เบื้องพระพักตร์แห่งพระองค์ ณ บัดนี้แล้ว…

อา…ข้าแต่พระแม่ย่าทวดกำปงพิราผู้ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ทรงอยู่ชั่วนิรันดรในเรือนกายอันนิ่งสงบ ผู้ซึ่งข้าเทิดทูนไว้เหนือดวงใจ ขอได้โปรดประสิทธิ์ประสาทพรชัยแก่ข้าอีกครั้งเถิด ขอให้ข้าเรืองอำนาจวิเศษสมดังหวัง ณ บัดนี้

ฟื้นขึ้นซิ! เกียรติมุขของข้า คืนชีวิตขึ้นจากก้อนศิลาเถิด เกียรติมุขผู้มีแต่พักตร์และกร ข้าให้ชีวิตแก่เจ้าชั่วขณะหนึ่งเพื่อช่วยข้าปฏิบัติภารกิจทำลายล้างศัตรูของข้าให้พินาศสิ้นไป…”

 



Don`t copy text!