อมฤตาลัย ตอนที่ 16

อมฤตาลัย ตอนที่ 16

โดย : จินตวีร์ วิวัธน์

อมฤตาลัย นวนิยายเรื่องยาวเรื่องแรกของ จินตวีร์ วิวัธน์ นักเขียนสตรีที่เขียนนวนิยายแนววิทยาปาฏิหาริย์และมีผลงานโดดเด่นมากมาย วันนี้อ่านเอาได้นำอมฤตาลัยมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์เป็นครั้งแรกในโครงการปากกาทอง เพื่อให้นักอ่านรุ่นเก่าได้คลายคิดถึงและเป็นโอกาสดีที่นักอ่านรุ่นใหม่จะได้มีโอกาสสัมผัสความสนุกของงานเขียนอมตะเรื่องนี้

ไวฑูรย์ค่อยๆ แก้ปมห่อผ้านั้นออกอย่างระมัดระวัง ครั้นมันหลุดออกหมดชายผ้าที่รวบเข้าหากันก็คลี่ออก เห็นวัตถุหนึ่งวางอยู่ตรงกลางขนาดโตเท่าลูกมะพร้าว สีขาวแกมสีเทาเก่าๆ ของมันตัดกับสีแดงก่ำของผ้าที่ห่อหุ้มอย่างน่ากลัว

เป็นศิลาจำหลักรูปหน้าอสูรตนหนึ่ง ซึ่งพอมองเห็นไวฑูรย์ก็เอ่ยปากออกมาได้ทันทีว่า

“อ๋อ เกียรติมุข”

“อะไรวะ หน้าตาน่ากลัว” ทัดเทพถามอย่างมืดแปดด้าน

“เป็นชื่อรูปสมมุติ ที่มักสลักไว้ตามสิ่งก่อสร้างโบราณไงล่ะ มีแต่หน้าไม่มีขากรรไกรล่าง กับมีแขนและมือเท่านั้น บางทีก็เรียกว่าหน้ากาฬ มักสลักไว้ตามหน้าบันหรือตามข้างเสาและผนัง อย่างหน้าบันปราสาทพนมรุ้งนั่นไง เอ็งก็เคยเห็นแล้วตอนเราไปเที่ยวด้วยกัน เป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ มีเกียรติมุขแบกอยู่ข้างล่าง นึกออกไหม”

“อืม น่ากลัวเหมือนกันนะ”

“ไม่น่ากลัวหรอกค่ะ ศิลปะขอมโบราณไม่มีอะไรที่แสดงความโหดร้ายน่าเกลียดน่ากลัวเลย แม้แต่เกี่ยวกับกามารมณ์ก็ไม่มีเหมือนกัน”

“แต่บางรูปที่ผมเคยเห็น…” ร.ต.ท.ทัดเทพเอ่ยอย่างตริตรอง

“เช่นคนครึ่งสิงห์ฉีกอกยักษ์ หรืออะไรทำนองนั้นก็น่ากลัวไม่น้อยนี่ครับ”

คำพูดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเขา ก่อให้เกิดปฏิกิริยาแก่ผู้ฟังทั้งสองทันที ไวฑูรย์สะดุ้ง มองหน้าเพื่อนแล้วขยิบตาเป็นเชิงห้าม ส่วนพินทุวดีนั้น โดยที่หล่อนนั่งอยู่ในเงามืดสลัว จึงมองไม่เห็นสีหน้าถนัด หากเสียงที่ถามมาทันทีนั้นแหลมสูงผิดปกติ

“เคยเห็นที่ไหนคะ”

ผู้หมวดหนุ่มทำหน้าเหลออย่างไม่รู้เรื่อง

“ในรูปน่ะซีครับ ผมเปิดๆ ดูตำราเจ้าฑูรย์ เห็นมีรูปที่ว่านี่ตั้งหลายรูป น่ากลัวทั้งนั้น”

อาการถอนหายใจน้อยๆ แทบไม่สังเกตเห็นของหญิงสาวบอกถึงความโล่งอก

“อ๋อ นั่นเป็นนารายณ์อวตารปางนรสิงหาวตารต่างหากคะ เป็นเรื่องตามวรรณคดีพราหมณ์ ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกค่ะ”

“ไม่เหมือนคนขอมโบราณนะครับ บางคนแสนจะน่ากลัว อย่างเช่น…ง่า…อย่าให้ยกตัวอย่างเลย คุณต้องการให้ผมดูว่ารูปนี้เป็นศิลปะสมัยไหนใช่ไหม”

“ค่ะ เพื่อนของฉันได้มาจากพรานป่าคนหนึ่ง พอรู้ว่าฉันชอบสะสมโบราณวัตถุก็เลยเอามาให้”

“ดูเพียงชั่วประเดี๋ยวประด๋าวไม่ได้หรอกครับว่าเป็นศิลปะสมัยใด นอกจากจะยกเมฆเอา บางทีพิจารณาตั้งเดือนยังลงความเห็นไม่ได้เลยว่า เป็นสมัยไหนกันแน่”

“ฉันก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรนี่คะ ไวฑูรย์จะเอาไปพิจารณานานเท่าไรก็ได้ ตอนนี้ฉันกำลังสั่งทำแท่นสำหรับเป็นที่วางรูปนี้อยู่ กว่าจะเสร็จคงอีกนาน”

“ครับ ผมจะเอาไปพิจารณาร่วมกับผู้รู้ท่านอื่นดู เวลานี้ศาสตราจารย์ชไนเดอร์ คนที่ค้นพบศิลาจารึกเมืองอมฤตาลัยก็กำลังวิ่งเต้นขอสำรวจซากเมืองนี้อยู่ ผมพบแกทุกวัน จะขอให้ช่วยอีกแรงหนึ่ง”

“หรือคะ”

นัยน์ตาของหญิงสาวเป็นประกายวูบวับขึ้นมาทันที แม้อยู่ในแสงสลัวไวฑูรย์ก็ยังสังเกตเห็นได้ รอยยิ้มพอใจจึงปรากฏขึ้นในขณะที่กล่าวต่อไป

“ศาสตราจารย์แกเชื่อเอาจริงจังว่าเมืองอมฤตาลัยมีอยู่จริงๆ แต่คนอื่นยังไม่เห็นด้วย เพราะไม่เคยได้เค้ามาก่อนเลย นอกจากเศษจารึกผุกร่อนชิ้นเดียวของโปรเฟสเซอร์เท่านั้น แต่แกดูมั่นใจเอาจริงๆ จังๆ ว่า เมืองนี้คงจะอยู่ในแถบภูเขาพนมดงรักในเขตไทยนี่แหละครับ”

“งั้นหรือคะ” เสียงพินทุวดีค่อนข้างแหลม ชะโงกหน้าเข้ามามองนักโบราณคดีอย่างสนใจ

“ถ้าเชื่ออย่างนั้นจริง ก็แสดงว่าท่านศาสตราจารย์ของคุณยังไม่รู้อะไรดีนักหรอกค่ะ เขาไม่ได้ศึกษาตำนานเมืองอมฤตาลัยดีพอ เพราะถ้าศึกษาให้ลึกเข้าไปแล้วในโลกนี้มันอาจเคยมีอยู่จริง ฉันไม่เถียง แต่ตำนานบอกว่ามันได้ถล่มจมดินไปนานนมแล้วละค่ะ”

ไวฑูรย์มองหน้าผู้พูดอย่างพินิจพิเคราะห์ เขาไม่เห็นอะไรนอกจากความเอาจริงเอาจังบนสีหน้านั้น

“คุณทราบได้ยังไงล่ะครับ”

“บอกแล้วไงคะว่าจากตำนาน ฉันศึกษาจากตำนานขอมโบราณอย่างมาก เมืองอมฤตาลัยแม้ตำนานไม่ระบุชื่อไว้ตรงๆ ด้วยเหตุผลใดก็ตาม ก็ยังพอสันนิษฐานได้”

“แต่เราก็เชื่อถือตำนานนักไม่ได้นี่ครับ ผมคิดว่า เรื่องเมืองอมฤตาลัย และพันธุมเทวีคงเป็นทำนองเดียวกับตำนานเมืองพิมายเรื่องท้าวปาจิตกับนางอรพิมอะไรทำนองนั้นแหละ สิ่งที่จะพิสูจน์ได้แน่ชัดอย่างเดียวก็คือ การไปสำรวจหาข้อเท็จจริงตามทฤษฎีของดอกเตอร์ชไนเดอร์นั่นแหละครับ”

“งั้นก็ลองดู ฉันสนใจมากค่ะ ถ้าเป็นไปได้ พอมีทางที่จะติดตามไปดูการสำรวจด้วยคนได้ไหมคะ”

ไวฑูรย์แทบสำลักกาแฟที่กำลังดื่มอยู่ ส่วนทัดเทพเลิกคิ้วมองหน้าหญิงสาวอย่างประหลาดใจ!

“คุณมีศรัทธาแก่กล้าถึงเพียงนั้นเชียวหรือครับ โอ้โฮ ใครจะคิดว่าดาวสังคมดวงเบ้อเริ่มกล้าลงทุนไปบุกป่า แหม มันเป็นเรื่องกลับตาลปัตรสิ้นดีเชียว”

รอยยิ้มอย่างประหลาดผุดขึ้นบนริมฝีปากรูปงามของพินทุวดี เอ่ยตอบเรื่อยๆ ขณะที่ปรายตามองหน้านายตำรวจหนุ่มด้วยความหมายเร้นลับบางอย่าง

“อย่าเห็นเป็นเรื่องขันหรือประหลาดใจกันเลยค่ะ ไวฑูรย์ คนเราเมื่อรักใคร่สนใจสิ่งใดก็อยากเข้าใกล้อยากทำแต่สิ่งนั้น คุณก็ทราบเชื้อสายของฉันดีอยู่แล้ว จึงไม่น่าสงสัยอะไรที่ฉันพอจะรู้ภูมิประเทศแถบนั้นอยู่บ้าง ตอนเด็กๆ เมื่อยังอยู่ในประเทศนั้น ฉันก็เคยมาเที่ยวเล่นแถวภูเขาพนมดงรักเสมอ”

ไวฑูรย์เลิกคิ้ว “มาเที่ยวป่าหรือครับ บนนั้นมีแต่ป่าทั้งนั้นนี่”

หญิงสาวชะงักนิดหนึ่งเหมือนรู้ตัวว่าได้พูดอะไรไม่สมควรออกไป เสหัวเราะกลบเกลื่อนด้วยเสียงแผ่วต่ำ

“ค่ะ เที่ยวป่า แล้วก็เที่ยวปราสาทเขาพระวิหารด้วย เชื่อไหมคะว่าฉันปีนขึ้นเขาพระวิหารจากทางด้านเขมร มันน่ากลัวอันตรายมากแต่ก็เสี่ยง สนุกดีค่ะ น่าเสียดายที่ปราสาทหักพังทรุดโทรมเหลือเกิน ไม่มีใครสนใจไยดีเลย ทั้งๆ ที่ตอนสร้างเสร็จใหม่ๆ ดูสวยงามศักดิ์สิทธิ์อย่างเหลือเกิน เอ้อ ฉันหมายความว่า เท่าที่กล่าวในตำนานน่ะค่ะ ปราสาทเขาพระวิหารสง่างามมาก”

“ตามประวัติศาสตร์กล่าวว่า” ไวฑูรย์พูดช้าๆ อย่างครุ่นคิด

“ปราสาทเขาพระวิหารสร้างในสมัยพระเจ้ายโสวรมันที่ ๑ ก็ต้องเป็นสมัยเดียวกับเมืองอมฤตาลัยน่ะซีครับ เพราะตามความเชื่อของดอกเตอร์ชไนเดอร์ พันธุมเทวีผู้สร้างเมืองนั้นเป็นธิดาของพระเจ้ายโสวรมัน”

“ค่ะ ประวัติศาสตร์ว่าไว้อย่างนั้น เราก็ต้องยอมรับ…ว่าแต่คุณเชื่อหรือยังคะว่า ฉันสนใจขอมโบราณอย่างแท้จริง และถ้าเป็นไปได้ก็อยากขอตามไปดูการสำรวจด้วยคน”

“ครับ ผมเชื่อว่าคุณพินทุวดีสนใจ เอาซีครับ ถ้าได้รับอนุมัติให้ออกสำรวจได้ ผมคิดว่าคงไม่ยากอะไรที่คุณจะไปด้วยในฐานะผู้เชี่ยวชาญโบราณคดีของเมืองอมฤตาลัย”

ประโยคสุดท้ายชายหนุ่มเน้นเล็กน้อยอย่างจงใจ หากสีหน้าของสตรีสาวผู้เลอโฉมเรียบเฉย ในขณะที่เอ่ยตอบเน้นหนักเช่นเดียวกัน

“ไม่ใช่เชี่ยวชาญอย่างเดียวหรอก ไวฑูรย์ ฉันมาจากที่นั่นต่างหาก ว่ากันโดยสายเลือดแล้ว ฉันรู้จักอมฤตาลัยทุกซอกทุกมุมเลยทีเดียว”

หล่อนหยุดหัวเราะเบาๆ อย่างสะใจ เมื่อเห็นสีหน้าตื่นตะลึงของชายหนุ่มทั้งสอง

“ฉันหมายความว่า ราชวงศ์ยโสวรมันเคยครองมาแล้วทั้งเมืองหริหราลัยและยโสธรปุระ ก็หากพระเจ้ายโสวรมันเป็นผู้สร้างเมืองเหล่านั้น อมฤตาลัยซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเมืองในสมัยของพระองค์ก็น่าจะเป็นที่คุ้นเคยของราชวงศ์ยโสวรมันเป็นอย่างดีด้วย ฉันก็เป็นหนึ่งในราชวงศ์นั้นนี่คะ ทำไมจะไม่คุ้นเคย เพียงแต่คนละสมัยเท่านั้นแหละ…น่าเสียดายที่ความรอบรู้ไม่อาจสืบทอดมาตามสายเลือดได้ ม่ายงั้นฉันคงมีเรื่องอมฤตาลัยเล่าให้คุณฟังอย่างเหลือเฟือทีเดียว”

ร.ต.ท.ทัดเทพถอนใจเฮือกใหญ่

“เฮ้อ คุณพูดเสียผมตกใจเลยครับ ถ้าไม่อธิบายเพิ่มเติม ผมคงโง่พอที่คิดว่า คุณมาจากเมืองประหลาดนั้นจริงๆ”

หญิงสาวยิ้มพรายอย่างมีเลศนัย ดวงตาก็วาวระยับเหมือนดาวรุ่ง

“คนเราย่อมรู้กำพืดของตัวดีค่ะ คุณทัดเทพ เรารู้ว่าตัวเรามาจากไหน และฉันก็รู้ว่าฉันมาจากไหนเหมือนกัน เว้นแต่คนบางคน ชาติและภพที่ผ่านมา ทำให้เขาลืมอดีตจนหมดสิ้นอย่างน่าเสียดาย หากเขาผู้นั้นมีญาณวิเศษล่วงรู้ได้ว่าในอดีตรุ่งโรจน์เพียงใดละก็ ฉันอยากรู้นักว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร”

“ถ้าเป็นคนที่ ‘ไม่ยึดมั่นถือมั่น’ ตามหลักพุทธศาสนาก็คงไม่รู้สึกอะไรเลยแหละครับ คุณพินทุวดี” ไวฑูรย์ตอบเรียบๆ

“งั้นหรือคะ เผอิญฉันอยู่ห่างไกลศาสนาของคุณ ก็เลยไม่รู้ในข้อนี้ สำหรับตัวฉันเองนั้น อดีตอันรุ่งเรืองอาจเป็นความขื่นขมได้เท่าๆ กับความภาคภูมิใจ แสนเศร้าเท่าๆ กับสุขสดใส แต่อะไรก็ไม่ปวดร้าวเท่าการที่ได้รับรู้ว่าคนที่เรารักในอดีต และเขาไม่ไยดีเราเลยนั้น แม้กาลเวลาจะล่วงผ่านไปนานเท่าใด เขาก็ยังไม่รักเราอยู่นั่นเอง…เอ้อ อย่าพูดเรื่องนี้เลยนะคะ คุณทัดเทพทำหน้าเมื่อยแล้วเราไปกันเสียทีดีไหมคะ นี่บ่ายโมงแล้ว ประเดี๋ยวคุณสองคนจะไม่ได้เงินเดือนขึ้นสองขั้น”

หล่อนลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง ไวฑูรย์จึงรวบชายผ้าที่ห่อเศียรเกียรติมุขเข้าหากันขมวดเป็นปมแล้ว หิ้วเดินตามหญิงสาวออกมา

“เราแยกกันตรงนี้นะคะ ฉันไม่ได้เอารถมา จะรอขึ้นรถรับจ้างตรงนี้ค่ะ”

ทัดเทพลังเลนิดหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นอย่างตัดสินใจ “ผมไปส่งก็ได้ครับ คุณจะไปไหน”

“อยากไปหาดูรถใหม่สักคันหนึ่งค่ะ คันเก่าท่าจะแย่แล้ว เกอยู่เรื่อย”

“งั้นเหมาะเลยครับ” ไวฑูรย์บอก

“เจ้าเทพมันเป็นเซียนรถด้วย ให้มันพาไปดูตามอู่เถอะครับ ผมเห็นจะต้องแยกกลับก่อน มีงานรออยู่บานตะไท เรื่องเกียรติมุขผมจะรีบบอกเมื่อทราบแน่นอนแล้วนะครับ”

“ค่ะ ขอบคุณ”

พินทุวดียิ้มหวานให้เขา แต่นัยน์ตาแวววับอย่างมีชัย ไวฑูรย์สังเกตเห็น เขายิ้มตอบอย่างเหี้ยมเกรียม เดินหิ้วห่อผ้าไหล่เอียงตรงไปขึ้นรถไม่ยอมเหลียวหลัง สตาร์ตเครื่องแล้วแล่นออกไปจากที่นั้นโดยเร็ว

 

ออกจากอู่รถนั้นแล้ว ร.ต.ท.ทัดเทพรับอาสาไปส่งหญิงสาวที่บ้านของหล่อน พินทุวดียิ้มเยื้อนอย่างมีความสุขขณะที่นั่งเคียงคู่ไปกับชายหนุ่ม ท่าทางของหล่อนแจ่มใสและร่าเริงผิดกับเมื่อตอนเจรจาธุระกับไวฑูรย์ลิบลับ

“ทำไมเปลี่ยนใจคิดจะใช้รถเล็กล่ะครับ คันที่จะซื้อนี่ตรงข้ามกับรถคันก่อนของคุณยังกับอะไร”

“ประหยัดไงล่ะคะ ราคาน้ำมันขึ้นพรวดพราดอย่างนี้จะให้ใช้รถใหญ่ยังไงไหว และอีกอย่างรถเล็กก็คล่องแคล่วดี ฉันจะได้ขับเองมั่ง”

“คนรถของคุณท่าจะเป็นคนเก่าแก่?”

“ค่ะ อยู่ด้วยกันมานานทั้งครอบครัวเลย แม่ปทุมเมียของเขาเป็นแม่บ้าน ส่วนสโรชินีลูกสาวก็เป็นเลขาของฉัน”

“อ้อ” ร้อยตำรวจโทหนุ่มยิ้มนิดหนึ่ง เมื่อระลึกถึงหญิงสาวหน้าหวานระคนเศร้าคนนั้น แต่แล้วพินทุวดีก็เอ่ยขึ้นเหมือนรู้ใจ

“บัวเป็นคนสวยมากนะคะ คุณทัดเทพ สวยเศร้า น่าสงสาร ผู้ชายส่วนมากชอบผู้หญิงแบบนี้ไม่ใช่หรือคะ”

“นานาจิตตังครับ เข้าทำนองลางเนื้อชอบลางยานั่นแหละ ตัดสินให้แน่ลงไปไม่ได้หรอกว่า ผู้ชายต้องชอบผู้หญิงแบบนั้นแบบนี้ งั้นคนที่ไม่อยู่ในแบบที่ผู้ชายชอบก็เป็นสาวทึนทึกหมดน่ะซีครับ”

“ฉันเคยรู้จักผู้ชายคนหนึ่ง นานมาแล้ว…นานมาก”

เสียงพินทุวดีเริ่มเคลิ้มฝัน นัยน์ตาที่ทอดมองออกไปเบื้องหน้ามีแววเศร้าสะเทือนใจลึกซึ้ง ในช่วงเวลานั้นดูหล่อนอ่อนโยนลงกว่าที่เคยเป็นอยู่

“เขาเหมือนคุณนี่แหละค่ะ คุณทัดเทพ เหมือนทุกกระเบียดนิ้ว ทั้งหน้าตาและกิริยาท่าที เพียงแต่นิสัยบางอย่างเท่านั้นที่ผิดแผกไป…เขาชอบผู้หญิงแบบเรียบๆ ค่ะ สาวเด็กๆ ซื่อจนเกือบเป็นโง่นั่นแหละที่เขารักและเลือกแต่งงานด้วย ในขณะที่ผู้หญิงอีกคนหนึ่งเก่งกล้ากว่าสารพัดเขาไม่สนใจเลย…ฉันก็เลยคิดว่าคุณคงเหมือนผู้ชายคนนั้น ชอบคนเรียบๆ ซื่อๆ อย่างเดียวกัน”

“ผมหรือครับ” ทัดเทพหัวเราะเบาๆ กลบเกลื่อนความไม่สบายใจ

“คงชอบหมดทุกแบบนั่นแหละครับ คนนั้นก็สวยคนนี้ก็สวยลานตาไปหมด เลยตัดสินใจไม่ตกสักที”

“แหม” พินทุวดีลากเสียงยาวพร้อมกับปรายตาค้อนอย่างชดช้อย

“ไม่อยากพูดด้วยแล้ว พระยาเทเมือง คุยกันเรื่องอื่นดีกว่า เรื่องรถเล็กนั่นฉันขอตัดสินใจดูก่อนนะคะ วันหลังถ้าคุณทัดเทพว่าง จะขอรบกวนให้พาไปดูยี่ห้ออื่นบ้าง”

“ยินดีรับใช้ครับ”

“ดูพูดเข้า…งานแฟนซีลีลาศสิ้นเดือนนี้ล่ะคะ คุณทัดเทพจะไปด้วยไหม”

“คงไปครับ เพื่อนผมมันบีบคอให้ซื้อบัตรไว้แล้ว”

“เหมาะเชียวค่ะ ฉันก็จะไปเหมือนกัน”

“ที่จริงผมไม่ค่อยชอบงานแบบนี้เท่าไรหรอกครับ มันฟุ่มเฟือยเกินไป ไม่เหมาะกับฐานะเศรษฐกิจของบ้านเมือง แต่เพื่อนที่ชวนมันไปอยู่เมืองนอกเสียนาน พอกลับมาก็อยากไปงานสังคมแบบไทยๆ ดูบ้าง ผมไม่อยากขัดใจก็ตกลงไปด้วยเท่านั้น”

“แปลกจัง ผิดไปมากเหลือเกิน เมื่อก่อนเคยชอบงานนักขัตฤกษ์รื่นเริงมากทีเดียว”

หญิงสาวพูดแผ่วเบาเหมือนรำพึง ทัดเทพหันมามองอย่างฉงน

“ว่าอะไรนะครับ”

“เปล่าค่ะ ฉันเพียงแต่คิดว่า คุณคิดแปลกกว่าผู้ชายทั่วไปที่น่าจะชอบงานสนุกๆ”

“ไม่แปลกหรอกครับ ไอ้ฑูรย์มันก็คิดเหมือนผมนี่แหละ ขานั้นร้ายกว่าผมอีก มันขลุกอยู่กับกองอิฐกองหินโบราณจนหน้าจะเป็นรูปปั้นสมัยทวารวดีไปเสียแล้ว เจ้าสิทธิ์ซีครับชอบงานพวกนี้เป็นชีวิตจิตใจ”

ดวงตาของหญิงสาวเป็นประกายขึ้นแวบหนึ่ง

“ศุภสิทธิ์เป็นไงบ้างคะ ฉันหมายถึงในแง่กฎหมายน่ะค่ะ”

“ไม่มีอะไรแล้วครับ มันเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่ใช่ขับรถประมาทหรือเมาสุรา แล้วเจ้าช่วงก็บาดเจ็บไม่มาก ที่มันเสียสติไปนั่น หมอลงความเห็นว่าไม่ได้เกิดเพราะถูกรถชนจนหัวน็อกพื้นอย่างที่เข้าใจกันหรอกครับ แต่คงตกใจอะไรสักอย่างจนควบคุมสติไม่อยู่แล้ว จึงวิ่งเตลิดออกมาตัดหน้ารถเจ้าสิทธิ์มัน”

“หรือคะ แล้วคุณเชื่อไหมคะว่า เจ้าช่วงมันแอบขึ้นบ้านฉัน”

“ผมเพียงแต่สันนิษฐานดูน่ะครับ”

“ตอนนี้อาการของเจ้าช่วงเป็นยังไงบ้างคะ”

“ดีขึ้นครับ หมอคาดว่าอาจหายเป็นปกติในไม่ช้านี้ จะได้สอบปากคำกันเสียทีว่า มันไปเห็นอะไรมาถึงได้ตกอกตกใจขนาดนั้น”

พินทุวดีนิ่งไป สีหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยครุ่นคิดและดวงตาหรี่ลงซ่อนแววตาภายใต้แผงขนตายาวงอนช้อยนั้นอย่างมิดเม้น จนนายตำรวจหนุ่มผู้พยายามลอบสังเกตอยู่ไม่อาจจับพิรุธได้เลย

รถของทัดเทพพุ่งไปข้างหน้าเรื่อยๆ โดยที่คนทั้งสองเพลิดเพลินต่อการสนทนา จนไม่ได้สังเกตเห็นสตรีผู้หนึ่งซึ่งขับรถคันเล็กไล่ตามมาตั้งแต่หน้าอู่นั้นแล้ว

อลิศราขบฟันแน่น เร่งความเร็วรถเล็กของหล่อนกวดตามอัลฟาโรเมโอสีฟ้าใสโดยกะระยะห่างพอไม่ให้คันหน้ารู้ตัว ความตั้งใจแรกของนางแบบสาวเมื่อเห็นรถของชายที่หล่อนหมายมั่นจอดอยู่ก็คือ ขอติดตามไปกับเขาด้วย แต่ครั้นเห็นสตรีสาวแสนสวยก้าวเดินเคียงข้างเขาออกมาจากอู่ อารมณ์ของอลิศราก็ร้อนวาบขึ้นเหมือนลนไฟ หล่อนเปลี่ยนความตั้งใจเป็นสะกดรอยตามดูทันที

‘เป็นไรก็เป็นกันซีน่า ต้องตามดูให้เห็นดีกันวันนี้ละ’

อลิศราคิดด้วยหัวใจอันร้อนระอุเหมือนสุมเพลิงความริษยาและแค้นเคืองอัดแน่นในอกจนแทบระเบิด ดูหรือ ผู้ชายคนนั้นที่หล่อนเคยเทิดทูนศรัทธาว่าไม่เหมือนชายใด…ผู้ซึ่งเวลาที่ผ่านมาพิสูจน์ให้เห็นว่าความหนักแน่นมั่นคงและการวางตัวของเขาเป็นเยี่ยม จนแม้หล่อนเองบางครั้งก็เกิดความไม่แน่ใจตนเองว่าจะกำเขาไว้ในอุ้งมือได้ บัดนี้ เขาก็เป็นได้แค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่วายตกเป็นทาสเสน่ห์ของสาวสวยแต่ลึกลับผู้นั้นไปอีกคน

‘เขาสวยสมกันยังกะแอนโธนีคลีโอพัตรา สง่าเหมือนเจ้าชายกับเจ้าหญิง’

คำพูดของจุลจิราเพื่อนรักแว่วมาเข้าหู กระพืออารมณ์ร้อนให้ระอุมากขึ้น มือทั้งคู่ที่ถือพวงมาลัยกำแน่นจนเกร็ง นัยน์ตาที่เขม็งมองไปยังรถคันหน้าเต็มไปด้วยแววดุเดือด ดูซิ ฝ่ายหญิงเอียงหน้าเข้าไปพูดอะไรด้วย ฝ่ายชายก็ตะแคงหูฟังอย่างสนใจ แล้วหัวเราะหัวใคร่กันอย่างชื่นบานออกปานนั้น วิสัยสุภาพเอาใจอย่างนี้มิใช่หรือที่เขาเคยปฏิบัติต่ออลิศรา บัดนี้ หญิงอื่นที่รู้จักเขาเพียงชั่วไม่กี่วันได้รับความสนิทสนมจากเขาถึงเพียงนี้ทีเดียว…กรามของนางแบบสาวบดเข้าหากันแน่น…อย่าหมายเลยว่าจะเอาชนะกันได้ง่ายๆ อลิศราจะต้องต่อสู้จนถึงที่สุด จะตามดูให้เห็นดำเห็นแดงไปเลยว่า ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองลึกซึ้งเพียงใด

หรือฝ่ายสตรีสาวแสนโสภาผู้นั้นจะไม่รู้ว่า ชายหนุ่มผู้เคียงข้างอยู่นั้นเป็นที่หมายของอลิศรามาก่อน…หากรู้ เจ้าหล่อนอาจจะละวางมือก็ได้…อะฮ้า ถ้าอย่างนั้นก็จะเป็นไรมี ออกไปแสดงตัวเสียเลยซิว่า อลิศราผู้นี้เป็นใคร และผู้หมวดหนุ่มหล่อผู้นั้นมิใช่ว่าหัวใจเปล่าเล่าเปลือยอย่างที่คิด มีคนมุ่งหมายจับจองอยู่แล้วหลายคน และก็เป็นคนที่มีชื่อเสียงรู้จักแพร่หลายในสังคมอย่างอลิศราเสียด้วย

เก๋งสีฟ้าของ ร.ต.ท.ทัดเทพวิ่งปราดไปตามถนนอันว่างโล่ง มียวดยานน้อยเต็มทีเพราะเป็นชานเมือง เลี้ยวเข้าซอยเปลี่ยวทางซ้ายมือจนเกือบสุดซอย และจอดนิ่งสนิทอยู่หน้าประตูเหล็กใหญ่สีเทาสูงลิบลิ่ว อลิศรารีบถอยรถออกนอกถนนใหญ่ไปให้เลยซอยแล้วจอดซุ่มดูอยู่ รอจนอัลฟาโรเมโอแล่นออกนอกถนนใหญ่กลับไปแล้วสักครู่หล่อนจึงขับรถกลับเข้าไปในซอย และจอดลงหน้าประตูเหล็กใหญ่นั้น

นางแบบสาวก้าวลงมายืนหมุนอยู่หน้าประตูอย่างงงๆ พิจารณาจนทั่วแล้วจึงตัดสินใจจับห่วงเหล็กที่ติดอยู่ใต้ช่องสี่เหลี่ยมกระแทกกับประตูอย่างแรง

รอจนแทบหมดความอดทน ช่องสี่เหลี่ยมเล็กที่บานประตูจึงเปิดออก ดวงหน้าสตรีวัยกลางคนคนหนึ่งโผล่ออกมามอง

“ขอพบคุณพินทุวดี” อลิศราพูดห้วนๆ ตามแรงอารมณ์

“เชิญค่ะ คุณผู้หญิงกำลังรออยู่”

“รอฉันน่ะรึ” นางแบบสาวถามเสียงสูงอย่างประหลาดใจจนปิดไม่มิด

“คุณผู้หญิงสั่งไว้ว่า ถ้าคุณมาก็ให้รับเข้าไปข้างใน เดี๋ยวอิฉันจะเปิดประตูให้ขับรถเข้าไปได้เลยค่ะ”

บานประตูใหญ่หนาหนักเปิดออกช้าๆ โดยปราศจากเสียง อลิศราขับรถปรื๋อเข้าไปโดยเร็วจนนางปทุมสะดุ้ง รีบกระโดดหลบเข้าข้างบานประตู แต่อลิศราไม่สนใจพารถของหล่อนแล่นปราดๆ ไปตามถนนคอนกรีตอันยาวเหยียดจนกระทั่งมาจอดสนิทอยู่หน้าบันไดหินอ่อนใหญ่ของคฤหาสน์มโหฬารนั้น แล้วเปิดประตูรถกระโดดลงมาอย่างรวดเร็ว

หล่อนหมุนไปหมุนมามองความตระหง่านน่าเกรงขามของตัวตึกที่ดูราวกับวังเจ้านายนั้นอย่างทึ่งนิดๆ ระคนริษยา…พินทุวดีรูปสวยรวยทรัพย์อย่างนี้นี่เล่า บรรดาฉลามหนุ่มถึงได้จ้องน้ำลายยืดกันนัก แต่อย่าหมายเลยว่าอลิศราจะกลัวเกรงในความเหนือกว่าอันนี้ โดยเฉพาะทัดเทพ ตระกูลอันสืบเชื้อสายมาจากขุนนางเก่าแก่จะไม่ทำให้เขาตาโตกับทรัพย์สมบัติของผู้หญิงคนนี้เป็นอันขาด…คิดแล้วความมั่นใจก็เกิดแก่อลิศราอีกมากพอแรง หล่อนเชิดหน้าเดินก้าวฉับๆ ขึ้นบันไดไปทันที ก้มมองตัวเองนิดหนึ่ง แล้วก็ให้ภูมิใจแฟชั่นล่าสุดที่สวมอยู่นี้เป็นกำลัง กระโปรงบานยาวรุ่มร่ามถึงกึ่งกลางหน้าแข้งตามสมัยนิยม แต่เมื่อมันอยู่บนร่างของนางแบบชื่อดังอย่างหล่อนก็คงงดงามเหมาะเจาะและเก๋ไม่เบา ผ้าเนื้อแพรฝรั่งเศสอันบางเบา คอแหลมลึกเห็นใจน้องทำให้เน้นส่วนสัดอันผ่ายผอมช่วงบนได้ถนัดถนี่ แต่มันก็เป็นแฟชั่นใหม่สุด…โก้หร่านกว่าชุดผ้าไหมแบบเรียบที่พินทุวดีสวมใส่เมื่อครู่เป็นไหนๆ…กำลังคิดเพลินๆ หญิงสาวเกือบสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเบาหวานนุ่มนวลดังขึ้นใกล้ๆ

“เชิญในห้องรับแขกทางนี้ค่ะ”

อลิศราเงยหน้าขึ้น แล้วก็ต้องกะพริบตามองดวงหน้าอันยิ้มเยื้อนราวดอกบัวแย้มอยู่ตรงหน้าอย่างฉงน สตรีสาวที่ยืนอยู่บนบันไดขั้นเหนือหล่อนขึ้นไปในชุดผ้าซิ่นฝ้ายพื้นเมืองธรรมดา ดูท่าจะเป็นสาวใช้…แต่ก็ช่างเป็นสาวใช้ที่งามจับตาจับใจอะไรเช่นนั้น ผิวผ่องละมุนเหมือนกลีบดอกมณฑา และดวงหน้าหวานระคนเศร้าซึ้งแฉล้มนั้น แม้แต่สตรีด้วยกันก็อดมองอย่างทึ่งไม่ได้

“ขอบใจ”

ฝ่ายนางแบบตอบอย่างหยิ่งๆ ดวงหน้างามละมุนนั้นไม่แสดงความรู้สึกอันใด แต่ดวงตาเศร้าซึ้งจุดประกายขึ้นแวบหนึ่งแล้วจางหายไปโดยเร็ว

หล่อนหันกลับ เดินนำฝ่ายผู้มาเยือนไปยังห้องรับแขกมหึมาริมเฉลียง เชิญให้นั่ง แล้วตัวเองเดินออกจากห้องพร้อมกับปิดประตูอย่างเงียบกริบ!

 

 



Don`t copy text!