
อมฤตาลัย ตอนที่ 7
โดย : จินตวีร์ วิวัธน์
อมฤตาลัย นวนิยายเรื่องยาวเรื่องแรกของ จินตวีร์ วิวัธน์ นักเขียนสตรีที่เขียนนวนิยายแนววิทยปาฏิหาริย์และมีผลงานโดดเด่นมากมาย ในวันนี้อ่านเอาได้นำอมฤตาลัยมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์เป็นครั้งแรกในโครงการปากกาทอง เพื่อให้นักอ่านรุ่นเก่าได้คลายคิดถึงและเป็นโอกาสดีที่นักอ่านรุ่นใหม่จะได้มีโอกาสสัมผัสความสนุกของงานเขียนอมตะเรื่องนี้
ประตูเหล็กสูงใหญ่ที่ขวางหน้าอยู่นั้นดูราวเป็นทางเข้าสู่โลกอีกโลกหนึ่งต่างหาก ร.ต.ท.ทัดเทพ พิษณุเศรณี จอดรถลงและพิจารณาดูมันด้วยความพิศวง
“นี่หรือวะบ้านคุณพินทุวดี เห็นแค่ประตูก็แหยงแล้วว่ะ ยังกะประตูคุก”
เขาพึมพำขณะที่ก้าวลงจากรถ ไวฑูรย์ซึ่งเป็นผู้นำทางตามลงมาติดๆ
“ไม่เห็นมีออดที่ตรงไหนเลยเทพ อ้อ ห่วงเหล็กนั่นไง คงมีไว้สำหรับเคาะให้คนข้างในได้ยินละมั้ง”
ไวฑูรย์พูดเองเออเองแล้วตรงรี่ไปยังประตูบานใหญ่ บานประตูเหล็กทั้งแผ่นอันราบเรียบไม่มีลวดลายประดับนอกจากห่วงเหล็กขนาดใหญ่ติดอยู่ใต้ช่องเล็กๆ ซึ่งคงจะเป็นช่องให้คนที่อยู่ภายในเปิดมองแขกผู้มาเยือน เวลานี้ช่องนั้นปิดสนิท ไวฑูรย์ยกห่วงกระแทกกับแผ่นเหล็กบานประตูเสียงดังสนั่นหลายครั้ง
“ถ้าบริเวณบ้านกว้างจริงๆ คนในบ้านจะได้ยินเสียงเคาะได้ยังไงวะ”
นักโบราณคดีพูดอย่างฉงน ร.ต.ท.ทัดเทพมองดูห่วงเหล็กนั้นอย่างถี่ถ้วนแล้วก็ยิ้มออก
“ข้าคิดว่าห่วงนี่ติดไว้โก้ๆ เท่านั้นเองแหละ มีออดไฟฟ้าซ่อนอยู่ข้างใต้ เวลาเอ็งขยับห่วงมันก็ไปกดออดให้ได้ยินไปถึงในบ้าน เข้าใจ๋?”
ยังไม่ทันขาดคำของผู้หมวดหนุ่ม ช่องเล็กบนประตูก็เปิดผลุบออก มีดวงหน้าหนึ่งโผล่ให้เห็นอยู่ในช่องนั้น
“มาหาใครครับ”
เจ้าของดวงหน้าเข้มงวดในช่องนั้น เป็นชายวัยกลางคนซึ่งไวฑูรย์จำได้ว่าเป็นคนขับรถของพินทุวดี กระแสเสียงที่ถามเรียบเรื่อยไม่แสดงความยินดียินร้ายใดๆ ทั้งสิ้น
“คุณพินทุวดีอยู่ไหม”
ไวฑูรย์ถาม พยายามยิ้มให้อย่างผูกมิตร หากชายผู้นั้นยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกอยู่เช่นเดิม
“อยู่ครับ กรุณารอประเดี๋ยว”
แล้วดวงหน้านั้นก็ผลุบหายไปพร้อมกับช่องเล็กปิดเข้าหากันสนิท ทัดเทพถอยมายืนพิงรถรอคอยอย่างใจเย็น ในขณะที่ไวฑูรย์จุดบุหรี่สูบพลางเดินไปเดินมาอย่างหงุดหงิดประมาณ ๒๐ นาที บานประตูเหล็กใหญ่ทะมึนทั้งคู่ก็เผยออกจากกันอย่างแช่มช้าและเงียบกริบ คนขับรถของพินทุวดีในเครื่องแต่งกายเรียบร้อยยืนค้อมตัวอยู่ที่นั่นอย่างสุภาพอ่อนน้อม
“เชิญครับ คุณท่านให้พบได้แล้ว กรุณาขับรถเข้าไปได้เลย ตรงไปตามถนนนี่แหละครับ”
ทัดเทพกับไวฑูรย์ก้าวขึ้นรถโดยเร็ว นายตำรวจหนุ่มพารถออกแล่นไปตามถนนคอนกรีต อันทอดไปตามพุ่มไม้ และต้นไม้ใหญ่ในบริเวณอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้น ไวฑูรย์เหลียวมองพลางนึกในใจว่าคนสวนที่นี่จะต้องมีฝีมือเยี่ยมทีเดียว เพราะสนามหญ้าอันเรียบเขียวขจีแสดงว่าได้รับความเอาใจใส่ดูแลอย่างสม่ำเสมอ พุ่มไม้ใหญ่น้อยตัดแต่งเป็นรูปสัตว์ต่างๆ เช่น กินนร พญานาค หงส์ ช้าง และสัตว์สมมติแปลกๆ เป็นระยะๆ อย่างงดงาม ต้นไม้ไทยๆ นอกจากให้ร่มเงาแล้ว ยังออกดอกบานสะพรั่งทั่วบริเวณ มีทั้งประดู่ พิกุล จันทน์กะพ้อ เป็นต้น ส่วนที่เป็นไม้เล็กลงมาหน่อย เช่น มณฑา มหาหงส์ ชวนชม ช้องนาง ฯลฯ ก็ปลูกไว้เป็นระยะๆ สลับกับไม้ดอกอื่นๆ ที่เขาไม่รู้จักชื่อ ส่งกลิ่นหอมฟุ้งตลบไปทั่วบริเวณ
เลี้ยวอ้อมพุ่มไม้ใหญ่รูปหมู่ช้างตรงเข้าไป ตัวตึกใหญ่ก็ปรากฏให้เห็นต่อหน้า เก่าแก่ สง่างาม โอ่โถง แต่ทึบและเงียบเหงาราวกับไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ ทัดเทพจอดรถลงตรงเชิงบันไดหินอ่อนขนาดใหญ่หน้าคฤหาสน์นั้น แล้วก้าวลงมาอย่างลังเล
“มีคนอยู่แน่หรือวะ ฑูรย์ ทำไมมันเงียบเชียบยังงี้ล่ะ”
ไวฑูรย์ขยับปากจะตอบ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเงยขึ้นมองไปบนบันไดนั้น ทัดเทพมองตามแล้วก็ถึงกับยืนนิ่งตะลึงไป
ร่างบางระหงกลึงเกลาเหมือนรูปปั้นปรากฏอยู่บนบันไดชั้นบนสุดอย่างเงียบเชียบ ดวงหน้าที่ก้มลงมองสองสหายนั้นงามอ่อนหวานผุดผ่องเหมือนดอกไม้แรกแย้ม ริมฝีปากบอบบางนุ่มนวลราวกลีบกุหลาบเผยอออกจากกันเล็กน้อยราวจะแย้มยิ้ม แล้วร่างนั้นก็ค่อยๆ ก้าวลงมาตามขั้นบันไดตรงมาหาสองหนุ่ม
“เชิญข้างบนซีคะ”
เสียงเล็กๆ ไพเราะอ่อนโยนเหมือนรูปกาย ทัดเทพมองเพลินจนไม่ขยับเขยื้อนตัว ไวฑูรย์จึงปราดออกไปรับหน้า
“ครับ ขอบคุณ คุณพินทุวดีทำอะไรอยู่หรือครับ”
“กำลังทำงานส่วนตัวอยู่ค่ะ เธอขอให้รอสักครู่ เชิญในห้องรับแขกซิคะ”
ร่างบอบบางงามระหงหมุนตัวกลับ เดินนำหน้าพาชายหนุ่มทั้งสองขึ้นบันไดตรงไปยังเฉลียงกว้าง ซึ่งถัดเข้าไปมีประตูโค้งบานใหญ่เปิดแง้มอยู่
“เชิญนั่งรอข้างในนะคะ”
แล้วโดยไม่รอคำตอบ ร่างงามนั้นผละออกไปอย่างรวดเร็วและเลี้ยวมุมเฉลียงไปในพริบตา
“อ้าว ไอ้เทพ มัวตะลึงแลดูนางไม่วางตาอยู่นั่นแหละ เขาบอกให้เข้าไปรอในห้องรับแขกก็เข้าไปเถอะ”
ไวฑูรย์รุนสหายเข้าไปในประตูที่เปิดแง้มอยู่ เมื่อพ้นธรณีประตูเข้าไปสภาพอันกว้างใหญ่ของห้องก็ดูราวจะข่มร่างสองหนุ่มให้เล็กลงไปถนัด
“แม่โวย นี่มันท้องพระโรงนี่เทพ ไม่ใช่ห้องธรรมดาเสียแล้ว”
ไวฑูรย์ร้องอย่างตื่นเต้นในขณะที่เหลียวมองไปรอบกาย ทัดเทพก็เช่นกันเขามองไปรอบๆ อย่างสนใจ เสากลมใหญ่ที่ค้ำยันอยู่รอบห้องสลักลวดลายเครือเถาไม้ดอกอย่างงดงาม โคมแก้วระย้าขนาดมหึมาบนเพดานลวดลายจิตรกรรมฝาผนังสดใส ตลอดจนม่านปักด้วยมือผืนใหญ่มุมห้อง และรูปศิลาสลักขนาดต่างๆ กันที่ประดับอย่างเหมาะสมกลมกลืนกับห้อง ทำให้มีลักษณะโอ่โถงสง่างามเหมือนท้องพระโรงจริงๆ และภาพสลักหินเหล่านั้นเอง ที่ดึงดูดไวฑูรย์ให้ปราดเข้าไปพิจารณาดูอย่างตื่นเต้นระคนพึงใจเหมือนแม่เหล็กดึงดูดผงเหล็กฉะนั้น
“เฮ้ย เทพ ดูนี่ซีวะ โบราณวัตถุสมัยขอมทั้งนั้นนี่หว่า แม่โวย คุณพินทุวดีคงเป็นนักสะสมของเก่าชั้นเยี่ยมนะนี่ อู้ฮู ดูชิ้นนี้ซิ เก่ามากจริงๆ เอ๊ะ นั่นอะไร ชิ้นนี้ยังไม่เคยเห็นมาก่อนเลยนี่หว่า มาดูซีเทพ”
“จุ๊ จุ๊ เบาๆ หน่อยเว้ย ทำเป็นเจ๊กตื่นไฟไปได้ คุณพินทุวดีมาเห็นเข้าเป็นได้ขายหน้าตายเลย”
ทัดเทพว่า แต่ก็เดินเข้าไปหาสหาย รูปที่ไวฑูรย์พิจารณาดูด้วยความสนใจเต็มที่นั้น เป็นภาพสลักหินสี่เหลี่ยมผืนผ้าค่อนข้างใหญ่สลักนูนเป็นรูปพิธีอะไรสักอย่าง มีสตรีนั่งอยู่บนบัลลังก์สูงแวดล้อมด้วยข้าราชบริพารห้อมล้อมหนาแน่น ฝีมือสลักอ่อนไหวเยี่ยมยอด จนดูเหมือนลวดลายทั้งหมดลอยอยู่บนแผ่นหินได้อย่างน่าอัศจรรย์
“รูปอะไรวะ”
ร.ต.ท.ทัดเทพถามเบาๆ รู้สึกทึ่งในฝีมือประณีตนั้นไม่น้อย
ไวฑูรย์ชะโงกเข้าไปดูอย่างใกล้ชิด หัวคิ้วขมวดเข้าติดกันอย่างฉงน
“คงเป็นพิธีราชาภิเษกหรืออะไรสักอย่างนี่แหละ ไม่เคยเห็นรูปสลักลักษณะนี้มาก่อนเลย นี่คงเป็นทับหลังปราสาทหินที่ใดที่หนึ่งเป็นแน่ เอ…แต่มันเป็นปราสาทที่ไหนกันหนอ สวยแปลกตาพิลึกจริงๆ ว่ะ”
“แปลกใจอะไรหรือคะ ไวฑูรย์”
เสียงหวานไพเราะแจ่มใสราวระฆังเงินดังขึ้นเบื้องหลัง ทั้งสองหนุ่มสะดุ้งขึ้นพร้อมกัน หันขวับไปทันที
เจ้าของบ้านผู้โสภิตยืนยิ้มระรื่นอยู่ข้างประตู ผมดกดำสนิทเป็นเงางามปล่อยสลวยลงมาครึ่งหลังดูแปลกตากว่าปกติ กระโปรงชุดแม็กซี่อยู่กับบ้านสีเหลืองดอกบวบสว่างจ้าขับผิวให้นวลละไมราวกลีบดอกมณฑา และรอยยิ้มนั้นก็ทำให้ห้องทั้งห้องสว่างไสวขึ้นในฉับพลัน ทัดเทพรู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นเจาะจงให้กับเขาคนเดียว…
“สวัสดีครับ แหม เข้ามาเงียบเหลือเกิน”
ไวฑูรย์ทักเก้อๆ พร้อมกับยิ้มแหย ส่วนทัดเทพก้มศีรษะให้หญิงสาวอย่างสุภาพ
“ลมอะไรหอบมาถึงนี่คะ ฉันไม่แปลกใจเลยที่เห็นคุณทัดเทพแต่แปลกใจมากที่ไวฑูรย์มาด้วย”
“เอ๊ะ ทำไมล่ะครับ บ้านนี้คงไม่ห้ามนักโบราณคดีเข้าไม่ใช่หรือฮะ”
ไวฑูรย์ร้องลั่น เจ้าของบ้านสาวก็หัวเราะเบาๆ เยื้องกรายไปยังรูปศิลาสลัก ซึ่งนักโบราณคดีหนุ่มกำลังพิจารณาอยู่อย่างสนใจเต็มที่นั้น
“บ้านนี้ไม่ห้ามผู้ที่มาอย่างมิตรทุกคนแหละค่ะ แต่สำหรับผู้ที่เข้ามาอย่างจะจับผิด เราเห็นจะต้องระวังกันหน่อย”
ประโยคนั้น ผู้พูดพูดพร้อมกับชายตาไปยังนายตำรวจหนุ่มเหมือนจงใจพูดกับเขา
“มีผิดอะไรจะให้จับหรือครับ”
ทัดเทพถามยิ้มๆ อาการตวัดหางตาเหมือนค้อนของเจ้าของบ้านสาวดูเย้ายวนมีเสน่ห์ยิ่งนัก
“ผิดทางกฎหมายน่ะคิดว่าคงไม่มีค่ะ จะมีก็แต่ ‘ผิดธรรมดา’ เท่านั้นซึ่งไม่อยู่ในข่ายความสนใจของคุณตำรวจใหญ่อย่างคุณทัดเทพไม่ใช่หรือคะ”
“ต้องแล้วแต่ความผิดธรรมดานั้นอีกแหละครับ ตำรวจที่ดีสนใจ ‘ความผิด’ ทุกกรณีนั่นแหละ แต่วันนี้ผมไม่ได้มาอย่างตำรวจนะครับ เราคงคุยกันได้ฉันมิตรเป็นแน่”
“ค่ะ ถ้ามันจะเป็นประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย เราคงคุยกันได้…นั่นไวฑูรย์ดูอะไรใหญ่คะ ไม่พูดไม่จาเลย”
หญิงสาวหันไปทางนักโบราณคดีหนุ่มผู้กำลังก้มหน้าก้มตาจ้องดูภาพแกะสลักชิ้นเดิม ซึ่งวางอยู่บนแป้นสูงเพียงเอวอย่างไม่วางตา
“ครับ ผมสนใจรูปนี้จัง คุณคงเป็นสะสมโบราณวัตถุขอมตัวยงเลยเชียว รูปสลักแบบนี้ผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”
หญิงสาวหัวเราะเบาๆ ในลำคอ ปากพูดกับไวฑูรย์ก็จริง แต่นัยน์ตาชำเลืองมองนายตำรวจหนุ่ม แววชื่นชมระคนขมขื่นปรากฏลึกๆ อยู่ในนั้น
“การเป็นนักโบราณคดีน่ะ ไม่ได้หมายความว่าจะต้องรู้จักโบราณวัตถุทุกชิ้นไม่ใช่หรือคะ ฉันสะสมของพวกนี้ไว้มาก แต่ไม่ค่อยมีใครรู้เพราะตามปกติฉันไม่เปิดห้องนี้ให้ใครเข้ามาหรอกค่ะ นอกจากแขกพิเศษอย่างคุณทั้งสอง ไหนคะ อ๋อ ฉันคุ้นเคยกับมันจนบอกประวัติที่มาได้ทุกชิ้นเลยทีเดียว…หมายความว่าฉันก็ศึกษามาในทางนี้บ้างพอสมควรน่ะค่ะ”
“เป็นความรู้ใหม่เอี่ยมเชียวครับ ผมไม่เคยได้ยินว่าคุณเป็นนักโบราณคดีมาก่อนเลย”
ไวฑูรย์ว่า เจ้าของบ้านผู้เลอเสน่ห์ก็หัวเราะเบาๆ
“ที่จริงไม่ควรเรียกว่านักโบราณคดีหรอกค่ะ ดูเป็นทางการมากเกินไป ของโบราณก็ต้องคนโบราณเท่านั้นที่รู้จัก และโดยความหมายนี้ใครเล่าจะรู้จักโบราณวัตถุขอมดีเท่าฉัน?”
ทัดเทพเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวอย่างฉงน “พูดยังกับว่าคุณพินทุวดีเป็นคนโบราณงั้นแหละครับ”
“ค่ะ” สตรีสาวผู้เลอโฉมประสานตากับเขาอย่างท้าทาย
“ฉันเป็นคนโบราณ…โบราณมากทีเดียว เอ้อ…ในด้านความคิดน่ะค่ะ”
“เอาเถอะครับ ถ้าโบราณจริงก็ช่วยบอกผมเอาบุญหน่อยเถอะว่ารูปสลักหินอันนี้น่ะมาจากไหน”
ไวฑูรย์ว่าอย่างไม่สนใจเรื่องอื่นใดทั้งสิ้น
ดวงตาของหญิงสาวฉายแววประหลาดแวบหนึ่ง แล้วก็จางหายไปแต่ไม่เร็วกว่าสายตาคมฉับไวของ ร.ต.ท.ทัดเทพ ซึ่งคอยสังเกตอยู่ทุกระยะ
“ของชิ้นนี้รับรองว่าไม่มีใครเคยเห็นมาก่อนค่ะ เพราะมันมาจากซากเมืองเก่าที่ไม่เคยมีใครรู้จักมาก่อน เว้นแต่บางคนเท่านั้น”
“ท่าจะเป็นเมืองอมฤตาลัยเสียละมังครับ”
ไวฑูรย์พูดทีเล่นทีจริง แต่ผลของมันทำให้เขาเองก็จังงังไปอย่างคาดไม่ถึง เพราะพินทุวดีหันขวับมาอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาจ้องเขม็งเต็มไปด้วยแววตกใจและประหลาดใจ
“อมฤตาลัย”
หล่อนอุทานเต็มเสียงด้วยแววตระหนกจนเห็นได้ชัด หน้างามเผือดสีลงทันที แต่แล้วด้วยการบังคับตัวเองอันน่าชม สีหน้านั้นกลับเป็นปกติในพริบตา
“คุณรู้จักชื่ออมฤตาลัยด้วยหรือคะ”
กระแสเสียงถามมีแววคาดคั้น ขณะที่ดวงตามองกราดสำรวจดูท่าทีของชายหนุ่มอย่างเอาจริง
ไวฑูรย์เองก็ตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นอากัปกิริยาของเจ้าของบ้านสาว
“ครับ นักโบราณคดีบางครั้งก็รู้อะไรที่คนอื่นไม่รู้ด้วยเหมือนกันนะ…อมฤตาลัยนั้นก็คือ นครของพันธุมเทวี ราชินีผู้อมตะแห่งอาณาจักรกัมพุชโบราณนั่นไงครับ”
ผลของคำพูดประโยคนั้นมีมากเกินคาดคิด…พินทุวดีผงะไปทันที นัยน์ตาดำงามเบิกกว้างขึ้นอย่างพิศวงระคนตื่นตระหนก สีหน้าเผือดลงอีกจนเห็นได้ชัด มีริ้วรอยไม่พอใจและหวาดระแวงขุ่นเคืองผสมอยู่ด้วย แต่อาการเหล่านั้นเป็นไปเพียงชั่วขณะเดียว แล้วก็กลับคืนสู่สภาพปกติในฉับพลันทันที หากแต่ทัดเทพผู้คอยสังเกตอยู่ทุกอิริยาบถไม่ยอมให้อาการนั้นคลาดสายตาไปได้แม้แต่น้อย และก็ได้แต่สงสัยอยู่เงียบๆ
“นี่คงเป็นโบราณวัตถุจากเมืองอมฤตาลัยน่ะซีครับ”
ไวฑูรย์ตีขลุมเมื่อเห็นหญิงสาวนิ่งงันอยู่
“แต่จะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อเมืองนี้ไม่เคยมีใครพบเห็นมาก่อนเลย”
พินทุวดีเลิกคิ้ว ดวงตางามฉายแววโหดเหี้ยมและอาฆาตมาดร้ายขึ้นไปชั่วครู่ หล่อนจ้องประสานตากับหนุ่มนักโบราณคดีเขม็งอย่างท้าทายและลองดีในขณะที่เอ่ยช้าๆ เน้นหนักทุกถ้อยคำ
“ใช่แล้วค่ะ ภาพสลักที่คุณเห็นอยู่นี่เป็นส่วนหนึ่งของทับหลังปราสาทหินเมืองอมฤตาลัยแห่งอาณาจักรขอมเมื่อพันปีมาแล้ว อมฤตาลัยเคยเป็นเมืองเชิดหน้าชูตาของขอมโบราณสมัยโน้น เป็นดอกไม้ที่เบิกบานและสวยที่สุดในแผ่นดินทองของกัมพูชา ว่าแต่ว่า ไวฑูรย์รู้จักชื่อนี้ได้อย่างไรคะ ไม่เคยมีนักประวัติศาสตร์หรือนักโบราณคดีสมัยใหม่คนไหนเคยรู้ร่องรอยเมืองนี้มาก่อนเลยนี่”
ไวฑูรย์ถอยไปยืนพิงเสาต้นหนึ่ง นัยน์ตาจับอยู่ที่ภาพสลักนั้นอย่างครุ่นคิด
“เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ศาสตราจารย์ดอกเตอร์อดอล์ฟ ชไนเดอร์ ผู้สนใจค้นคว้าประวัติศิลปะขอมมาพบพวกผมที่กอง ตอนหนึ่งเขางัดแผ่นศิลาจารึกที่ค้นพบในเขตตำบลร่อลวยออกมาให้ดู จารึกนั่นกล่าวถึงเมืองอมฤตาลัยและพันธุเทวีได้ด้วย…นั่นเป็นครั้งแรกที่พวกเราได้ยินชื่อเมืองประหลาดนี้ แล้วก็ได้พบโบราณวัตถุของเมืองนี้ที่บ้านคุณเป็นครั้งที่สองนี่แหละครับ”
ดวงตาของพินทุวดีแววไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง
“จารึกนั้น ศาสตราจารย์ได้มาครบทั้งแผ่นหรือเปล่าคะ”
“ไม่ครบหรอกครับ ได้มาเพียงเสี้ยวเดียวแค่คืบเศษๆ เป็นจารึกอักษรขอมโบราณที่แปลแล้วได้ความอย่างที่ว่านั่นแหละครับ พอเห็นศิลาทับหลังอันนี้เข้า ผมก็เลยลงความเห็นได้ทันทีว่าคงเป็นรูปพิธีราชาภิเษกพันธุมเทวี ราชินีแห่งอมฤตาลัยแน่ๆ ใช่ไหมครับ”
“ก็คงเป็นอย่างนั้นแหละ”
เสียงหญิงสาวกร้าวกระด้างขึ้นจนไวฑูรย์มองหน้า พินทุวดีดูเหมือนจะรู้สึกตัว จึงเสหัวเราะกลบเกลื่อนด้วยเสียงแปร่งๆ
“ฉันเองไม่ค่อยรู้เรื่องนี้มากหรอกค่ะ ดูเหมือนประวัติศาสตร์จะไม่จารึกเหตุการณ์ตอนนี้ไว้เลย”
“นั่นซิครับ ผมถึงได้ประหลาดใจ เรารู้จักเมืองเก่าขนาดอินทรปุระ มเหนทรบรรพต และหริหราลัย ตลอดจนยโสธรปุระได้ แต่ทำไมพอถึงอมฤตาลัย เราจึงไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลยนับว่าแปลกมาก…จากโบราณวัตถุที่เห็นอยู่นี้ แสดงว่าเมืองนี้ต้องมีอยู่แน่ใช่ไหมครับ ผมคิดว่าคุณพินทุวดีคงพอให้ความกระจ่างแก่พวกเราในเรื่องนี้ได้บ้าง”
“พวกเรา หมายความว่าไงคะ”
“ผมอยากขอศึกษาชิ้นส่วนโบราณวัตถุเมืองอมฤตาลัยที่คุณมีอยู่นี้ ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากให้ดอกเตอร์ชไนเดอร์ได้พบคุณบ้างน่ะครับ โบราณวัตถุของคุณกับความรู้ความสามารถของดอกเตอร์ชไนเดอร์ รวมกันเข้าคงพอจะเปิดเผยเรื่องราวลี้ลับของเมืองอมฤตาลัยเป็นวิทยาทานแก่โลกและนักศึกษาโบราณคดียิ่งขึ้นนะครับ”
สีหน้าของพินทุวดีกระด้างขึ้นพอๆ กับน้ำเสียง
“คุณฑูรย์คงลืมไปแล้วว่า ปกติฉันไม่ค่อยรับแขกในบ้าน ที่เปิดให้คุณเข้ามาในวันนี้ก็เพราะคุณทัดเทพคงสงสัยอะไรฉันบางอย่างจึงเปิดโอกาสให้ซักฟอก เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของตนเองเท่านั้น ม่ายงั้น…”
หล่อนหยุดไป ไวฑูรย์จึงพูดต่อเบาๆ
“ม่ายงั้นผมคงไม่มีโอกาสได้เหยียบเท้าเข้ามาในบ้านนี้เลยใช่ไหมครับ นับว่าคราวนี้ผมอาศัยบารมีเจ้าเทพปกกระหม่อมอย่างเหลือล้นถึงได้มีโอกาสได้พบเห็นของดีๆ ที่คุณสะสมไว้ เอ๊ะ นั่นอะไรนะครับ”
ไวฑูรย์ชะงักคำพูดลง และโดยไม่ใส่ใจต่อสีหน้าของเจ้าของบ้าน เขาปราดเข้าไปยังมุมห้องด้านในสุด ซึ่งค่อนข้างมืดสลัวเพราะแสงไฟส่องไปไม่ถึง วัตถุที่เขาสนใจตั้งบนแท่นไม้เตี้ยลักษณะเป็นเสาหินสูงราว ๓ ฟุต รอบๆ เสานั้นจารึกตัวอักษรลักษณะประหลาดเต็มพรืดไปหมด บางแห่งก็ลบเลือนผุกร่อนไปตามกาลเวลา และบางแห่งก็มีรอยแตกกระเทาะออกเป็นแว่นใหญ่
“จารึกเมืองอมฤตาลัยใช่ไหมครับ คุณพินทุวดี ใช่แน่ๆ เลยผมจำรอยแตกตรงนี้ได้ จารึกที่ดอกเตอร์ชไนเดอร์ได้ไปมีขนาดเท่านี้แหละ แสดงว่าแตกออกไปจากแผ่นใหญ่คือแผ่นนี้ คุณได้มายังไงน่ะครับ”
ไวฑูรย์พูดรัวเร็วอย่างตื่นเต้น ลืมสังเกตสีหน้าอันแสดงความไม่พอใจอย่างใหญ่หลวงของเจ้าของบ้านเสียสิ้น ทัดเทพจึงเอ่ยเตือนขึ้น
“ฑูรย์ เจ้าของบ้านรำคาญเอ็งเต็มทีแล้วนะโว้ย เอ็งจะมาคุยกับคุณพินทุวดีหรือจะมาคุยกับของเก่ากันแน่วะ”
นักโบราณคดีผู้รักงานเงยหน้าขึ้นหัวเราะเก้อๆ
“ขอโทษทีครับ คุณพินทุวดี ผมมันบ้าอย่างนี้แหละ ไปไหนเห็นของเก่าหน่อยมันอดไม่ได้สักที เหมือนคนชอบมวยนั่นแหละครับ ได้ยินเสียงปี่ทีไรเป็นต้องคึกคักโดดเข้าไปทุกที ขอโทษอีกทีที่ทำให้คุณรำคาญแย่แล้ว”
“น้ำส้มคั้นค่ะ”
เสียงอ่อนๆ ใสพลิ้วดังขึ้นเบาๆ ทางเบื้องหลัง ทุกคนหันไปมองก็เห็นหญิงสาวคนเดียวกับที่พาเขาเข้ามาในห้องกำลังประคองถาดเงินอยู่ในมือ บนนั้นมีแก้วทรงสูง ๓ ใบบรรจุน้ำสีเหลืองเข้มข้น มีละอองไอความเย็นจับเป็นฝ้าอยู่รอบแก้ว
หล่อนวางถาดใบย่อมลงบนโต๊ะฝังมุกตัวเล็กที่อยู่ใกล้ผู้มาเยือน ทัดเทพรีบก้าวเข้าไปช่วยทันที หญิงสาวเงยหน้าขึ้นยิ้มให้ ดวงหน้าอันสวยเศร้าซึ้งหวานแฉล้มและรอยยิ้มราวดอกบัวแย้มนั้น ทำให้นายตำรวจหนุ่มเผลอจ้องมองอย่างลืมตัว
“ทำไมถึงช้านักล่ะบัว แขกจวนจะกลับอยู่แล้วละ”
เสียงเรียบๆ ของพินทุวดีดังขัดจังหวะขึ้น ไวฑูรย์ชำเลืองเห็นสีหน้าหล่อนค่อนข้างตึงอย่างไม่พอใจ
“เอ้อ ส้มหมดค่ะ บัวต้องรอพ่อถีบรถออกไปซื้อหน้าซอย เลยช้าไปหน่อย”
เสียงอ่อนๆ ตอบอย่างนุ่มนวลอ่อนโยน ไวฑูรย์มองร่างบอบบางในชุดซิ่นผ้าฝ้ายสีดำมีเชิงหลากสีและเสื้อเข้ารูปแขนกระบอกสีเหลืองสดซึ่งขับผิวนวลละไมให้ดูผุดผ่องจับตานั้นแล้วเหลือบขึ้นมองหน้าเจ้าของบ้านสาว พลางลงความเห็นในใจว่า ความงามของสตรีทั้งสองที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นคนละแบบเหมือนดอกกุหลาบพันธุ์เรดชีฟอันเย้ายวนใจ กับดอกเอื้องผึ้งที่นุ่มนวลละมุนตา ยากที่จะตัดสินใจว่าใครงามกว่าใคร ทว่าสง่าราศีกิริยาท่าทางอันไว้ตัวอย่างทรงอำนาจและ ‘อะไร’ บางอย่างในตัวของพินทุวดีก็ทำให้หล่อน ‘ข่ม’ สตรีอื่นลงได้อยู่แล้วโดยปริยาย
“นี่สโรชินีค่ะ เป็นเลขานุการของฉันเอง แต่วันนี้คนรับใช้ไม่อยู่จึงต้องช่วยงานบ้านนิดหน่อย…สโรชินีชื่อยาวไป ฉันเลยเรียกสั้นๆ ว่าบัว เอ้า รู้จักคุณทัดเทพกับคุณไวฑูรย์เสียซี บัว เผื่อว่าอีกหน่อยจะเป็นแขกประจำบ้านเรา”
ประโยคท้าย พินทุวดีตวัดเสียงเล็กน้อย นัยน์ตาเหลือบปราดผ่านใบหน้าทัดเทพอย่างรวดเร็ว เหมือนจงใจให้รู้ว่าหล่อนกระทบเขาคนเดียว
ร้อยตำรวจหนุ่มหัวเราะเก้อๆ รีบรับไหว้หญิงสาวเจ้าของนามไพเราะนั้น พลางนึกลงความเห็นในใจว่าไม่เคยเห็นใครแสดงความเคารพได้นุ่มนวลน่ารักปานนั้นมาก่อนเลย
หญิงสาวถือถาดเปล่าเดินออกไปแล้ว โดยมีสายตาของสองหนุ่มมองตามจนลับตา พินทุวดีจึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบๆ
“พูดธุระของคุณเถอะค่ะ คุณทัดเทพ ต้องการทราบเรื่องสถาพรใช่ไหม”
ผู้หมวดหนุ่มชะงักมือที่กำลังหยิบซองบุหรี่ทันที หากสายตาที่ทอดมองมาอย่างเยาะๆ ทำให้เขาวางหน้าเป็นปกติในฉับพลัน ย้อนถามเรียบๆ ว่า
“ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะครับ”
“ก็ทำไมจะไม่คิดล่ะคะ หนังสือพิมพ์ลงข่าวโครมๆ ว่า คุณพ่อของสถาพรวิ่งไปหาบอกอหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับแจ้งเรื่องลูกชายหาย สโรชินียังหัวเราะขำแทบแย่ ถ้าเรื่องนี้ไม่ทำให้นายตำรวจมือปราบเพื่อนเกลอของสถาพรออกมาสืบหาร่องรอยถึงนี่แล้ว ก็จะให้ทายว่ายังไงดีคะ”
ทัดเทพยิ้มเล็กน้อย หยิบบุหรี่ออกมามวนหนึ่งมองหน้าเจ้าของบ้านอย่างขออนุญาต ครั้นเห็นหล่อนผงกศีรษะน้อยๆ ก็จุดให้ตัวเองหนึ่งและยื่นทั้งซองให้ไวฑูรย์
“ผมไม่ได้คิดอะไร และก็ไม่ได้สงสัยอะไรหรอกครับ เพียงแต่อยากขอทราบเท่านั้นว่าเมื่อเจ้าพรมาส่งคุณแล้ว มันบอกว่าจะไปไหนต่ออีกหรือเปล่าครับ”
“ไม่เห็นพูดอะไรนี่คะ ส่งฉันหน้าบันไดแล้วเขาก็กลับ อ้อ ก่อนกลับเขานัดฉันไปงานแฟนซีลีลาศเดือนหน้าด้วย แต่ฉันไม่รับปากเขาก็กลับไป ท่าทางน้อยใจหน่อยๆ ด้วยค่ะ”
“แล้วคุณพินทุวดีมีความเห็นยังไงในเรื่องนี้บ้างไหมครับ”
หญิงสาวหัวเราะเสียงแจ่มใสเหมือนขบขัน
“ฉันอยากจะเชื่อว่าเขาคงหลบหน้าคุณพ่อขี้บ่นไปนอนเล่นกับสาวๆ ที่ไหนสักคนละมังคะ ถึงได้หายไปทั้งรถทั้งคน สถาพรขี้เล่นจะตาย เขาอาจอยากให้ทุกคนแปลกใจเล่นก็ได้”
ร.ต.ท.ทัดเทพนิ่งอย่างครุ่นคิด ไวฑูรย์ยังติดใจเรื่องศิลาจารึกไม่หายเพียรมองดูไม่หยุดหย่อน แต่เกรงใจเจ้าของบ้านจึงพอที่จะไม่ออกปากอีก หลังจากคุยเรื่องสถาพรต่ออีกเล็กน้อยแล้ว ทัดเทพก็เอ่ยปากลา
เจ้าของบ้านผู้เลอเสน่ห์เดินออกมาส่งที่เชิงบันได ไวฑูรย์หันมาร่ำลาอย่างอาวรณ์ ซึ่งใจจริงนั้นอาลัยอาวรณ์โบราณวัตถุหวงห้ามของหล่อนมากกว่า ส่วนทัดเทพกวาดตาไปรอบบริเวณ หวังที่จะเห็นร่างงามกลมกลึงในชุดผ้าซิ่นและเสื้อแขนกระบอกนั้นอีก แต่ร่างชราหลังคุ่มงอที่โผล่ออกมาจากมุมหนึ่งของตัวบ้านทำให้เขาสะดุดใจไม่น้อย เพราะมีอะไรบางอย่างอยู่ในลักษณะอาการงกเงิ่นนั้นบอกให้ชายหนุ่มลอบสังเกตดูอย่างตรวจตรา
อาจเป็นสีหน้าท่าทางร้อนรนของหญิงชราผู้นั้นก็ได้ที่ร้อยตำรวจโทหนุ่มสนใจ แกเดินงกเงิ่นมาทางผู้มาเยือนทั้งสอง เอามือป้องหน้ามองดูอย่างจะให้เห็นถนัด ดวงหน้าอันเหี่ยวย่นนั้นแสดงความสมเพชเวทนาอย่างลึกซึ้งขณะที่โบกไม้โบกมือวุ่นวาย
“มากันอีกแล้วหรือ โถ ยังหนุ่มยังแน่นทั้งสองคน ไม่น่ามารนหาที่เลย ไป ไปเสียเถอะ พ่อหนุ่มรีบไปเสียก่อนที่เขาจะ…”
“อะไรกันจ๊ะ แม่”
เสียงพินทุวดีเกือบเป็นแหว หญิงชราสะดุ้งเฮือก เหลียวมาตะแคงหน้ามองแล้วรีบหันหลังกลับเดินลนลานออกไปทางเก่าทันที
“แม่ฉันเองแหละค่ะ” หญิงสาวหันมาบอกเสียงต่ำๆ
“ท่านแก่จนหลงแล้ว ก็อายุร่วม ๙๐ แล้วนี่คะ ชอบพูดอะไรเลอะๆ อย่างนี้เสมอ…เอ้อ วันหลังถ้ามีอะไรสงสัยละก็เชิญได้อีกนะคะคุณทัดเทพ บ้านนี้ยินดีต้อนรับเสมอค่ะ”
“ถ้าไม่สงสัยจะมาได้ไหมครับ”
ทัดเทพถามยิ้มๆ หญิงสาวก็หัวเราะเสียงแผ่วลึกอย่างมีความหมาย
“นั่นต้องแล้วแต่กรณีค่ะ…คิดว่าถึงอย่างไร สโรชินีและฉันยินดีต้อนรับเสมอแหละ”
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 36
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 35
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 34
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 33
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 32
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 31
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 30
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 29
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 28
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 27
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 26
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 25
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 24
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 23
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 22
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 21
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 20
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 19
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 18
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 17
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 16
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 15
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 14
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 13
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 12
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 11
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 10
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 9
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 8
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 7
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 6
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 5
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 4
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 3
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 2
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 1