เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 7 : โฉมหน้าฆาตกร

เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 7 : โฉมหน้าฆาตกร

โดย : จันทร์จร

Loading

เหลี่ยมเล่ห์เรไร นวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาปี 4 โดย จันทร์จร…เมื่อความจริงถูกปกปิดไว้ด้วยอำนาจมืด และการหลบเลี่ยงความผิดของคนกลุ่มหนึ่ง เรไรจึงต้องออกมากระชากหน้ากากและเปิดโปงความฉ้อฉลนั้นด้วยตัวเอง เพื่อมอบความเป็นธรรมให้กับเหยื่อทุกคน ที่ยังรอให้ใครสักคนทำหน้าที่ลงโทษคนพวกนั้น นวนิยายสนุกๆ อีกหนึ่งเรื่องที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านที่ anowl.co

‘โจรใจบาป! ทุบเจดีย์ขโมยโกศนางทับทิมเจ้าแม่แชร์ชื่อดัง เชื่อเป็นวัยรุ่นติดยาหวังได้ของมีค่า’

พาดหัวข่าวอันชวนตื่นตะลึงนี้สร้างความสนใจให้กับผู้คนอย่างเหลือเชื่อ มธุกรได้แต่นั่งอยู่ในห้องทำงานภายในมูลนิธิ สาละวนกับข่าวการขโมยโกศของนางทับทิมจากสื่อหลายเจ้า ภาพเศษซากของป้ายอัฐิหินอ่อนที่แตกกระจายเป็นเล็กชิ้นน้อย แม้ว่าข่าวส่วนใหญ่จะบอกในทางเดียวกันว่าหัวขโมยน่าจะเป็นพวกวัยรุ่นในพื้นที่ แต่เธอไม่เชื่อเช่นนั้น ใจเธอกลับคิดไปถึงรายชื่อของคนที่รู้ความจริงเกี่ยวกับความลับของโกศนั่น

ประตูห้องทำงานเปิดออก และดลพรคนสนิทของมธุกรก็เดินเข้ามา เธอมองดูสีหน้าของมธุกรครู่หนึ่งและรู้ได้ว่าต้องมีบางอย่างผิดปกติ

“มีเรื่องอะไรให้เป็นกังวลเหรอคะ”

“ที่เก็บโกศนั่น ถูกใครบางคนทุบทำลาย” มธุกรปรายตามองไปยังบทความที่ปรากฏบนหน้าจอแท็บเล็ต ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความหงุดหงิด ระคนความระแวงสงสัย

ดลพรหยิบแท็บเล็ตขึ้นมาและกวาดสายตาอ่านเนื้อหาข่าวอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเธอแสดงความหวั่นวิตกขึ้นมา

“คิดว่าเป็น…คนเสียหายที่ยังแค้นจากเรื่องเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วเหรอคะ”

อดีตไม่อาจลบเลือนได้เรื่องนี้มธุกรรู้ดี ถึงเธอจะเป็นคนใหม่แล้ว แต่ความลับที่เก็บซ่อนไว้ มันก็ยังเป็นสิ่งที่เธอไม่อยากให้ใครไปขุดคุ้ย ประธานมูลนิธิอย่างเธอจึงได้แต่กุมขมับ และไม่อยากจะคิดว่าเป็นฝีมือของคนที่ดลพรพูดถึง

“มันผ่านมาสิบห้าปีแล้วนะพร คนก็น่าจะลืมไปแล้วไม่ใช่เหรอ”

“ถ้าพวกเขายังไม่ลืมล่ะคะคุณ บางทีมันอาจไม่ใช่ว่าทุกคนจะลืม หรือจะให้อภัยกับเรื่องนี้ ถ้าพวกเขารู้ว่าโกศของคุณทับทิมอยู่ที่ไหน” คนสนิทถามกลับ ความกังวลฉายชัดบนใบหน้าของเธอ จากการทำงานร่วมกันมานาน ทำให้เธอเป็นอีกหนึ่งคนที่รู้ทุกเรื่องของมธุกร

มธุกรรู้ว่าดลพรพูดถูก แต่การยอมรับก็เท่ากับเป็นการกลับไปเผชิญหน้ากับอดีตที่เธออยากจะลบทิ้ง เพราะนั่นเท่ากับว่าเธอได้ย้อนกลับไปหาตัวตนเดิมอีกครั้ง

“พร เธอต้องจัดการแก้ไขก่อนที่คนอื่นจะอยากรู้อะไรไปมากกว่านี้”

คนสนิทผู้ซื่อสัตย์พยักหน้ารับคำ และเข้าใจถึงความร้อนใจในน้ำเสียงของเจ้านายตัวเอง ความกลัวที่ใหญ่ที่สุดของมธุกรคือการถูกเปิดเผยตัวตน และสิ่งที่สร้างมาพังทลายลงไป

“ค่ะ ฉันจะจัดการให้เรียบร้อย” ดลพรให้คำมั่นกับผู้เป็นนาย “ให้มันเงียบเหมือนกับทุกครั้ง”

 

เมื่อคนสนิทออกจากห้องทำงานไป มธุกรก็อยู่กับความคิดและความหวาดระแวงตามลำพัง อดีตที่เธอพยายามจะฝังกลบกำลังไล่ตามมา ราวกับว่ามีใครบางคนจงใจทำให้เกิดเรื่องนี้ และหากเศษเสี้ยวของความจริงหลุดออกไป ภาพลักษณ์และสิ่งที่สร้างมาทั้งหมดตลอดสิบห้าปี มันก็คงจะถูกทำลายไม่เหลือด้วย

เสียงเคาะประตูหน้าห้องทำงาน ใบหน้าแฉล้มของเรไรโผล่เข้ามา พร้อมกับมองดูมธุกรที่ยังขมวดคิ้วและแสดงความกังวลออกมาทางสีหน้า ก่อนจะทลายความเงียบในห้อง

“ช่วงนี้ลำบากหน่อยนะคะ” หญิงสาวพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและแฝงไว้ด้วยความเข้าใจ “ถ้ามีอะไรที่อยากให้ช่วยก็บอกได้เลยค่ะ”

“นั่นหมายความว่ายังไง” มธุกรเงยหน้ามองเรไร ความสงสัยปรากฏอยู่ในสีหน้า

“อืม…” เรไรทำท่าครุ่นคิด แววตาของเธอฉายประกายความซุกซนอยู่ในที “ข่าวเรื่องที่เก็บอัฐิของนางทับทิมดูจะกวนใจคุณอยู่ไม่ใช่เหรอคะ เรย์ลองมาคิดดูอาจมีใครบางคนที่แค้นเคืองเป็นการส่วนตัว หรือไม่ก็ผู้เสียหายจากแชร์ไปทำลายที่นั่นก็ได้ ไม่อย่างนั้นทำไมถึงได้มีแต่ของคุณทับทิมคนเดียวที่โดน คุณมธุกรเองควรระวังตัวไว้ก็ดีเหมือนกันนะคะ”

ดวงตาของหญิงสูงวัยหรี่ลง และริมฝีปากเริ่มเม้มเข้าหากันเป็นเส้นบางๆ เพราะที่กำลังกวนใจคือคำพูดในประโยคสุดท้ายของหญิงสาวต่างหาก

“เหมือนเธอจะรู้อะไรมาเยอะเลยนะ จนบางทีฉันก็อดคิดไม่ได้ ว่าเด็กที่ทวิชเก็บมาทำไมชอบทำอะไรผิดแผกไปจากคนเลี้ยงตลอด อย่างตอนนี้ฉันก็รู้สึกว่าเธอกำลังจะล้ำเส้นกันเกินไปหน่อย”

“ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะ ที่เรย์ไม่ประมาณตัวเอง และได้ล่วงเกินคุณมธุกรไป” เรไรค้อมศีรษะลงเล็กน้อย ทว่าน้ำเสียงอ่อนโยนนั้นยังปราศจากความสำนึกผิดใดๆ

“แค่ทำงานให้ดีเท่าที่ปากพูดก็พอ อีกไม่กี่วันจะมีงานระดมทุน ไปทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี” มธุกรโบกมือให้กับคนที่บังอาจกล่าวล่วงเกินเธออย่างไม่ไยดี และพยายามจะควบคุมความถือดีของเรไรให้จงได้

เรไรก้มศีรษะเพื่อเป็นการแสดงความเคารพอีกครั้ง ริมฝีปากอิ่มโค้งเป็นรอยยิ้มอย่างพึงพอใจ

“เข้าใจแล้วค่ะ คุณมธุกร”

และขณะที่หญิงสาวกำลังก้าวออกจากห้อง เธอก็รู้สึกได้ถึงคลื่นลมแห่งความไม่พอใจที่พัดผ่านไป เรไรกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ตอนนี้แผนการของเธอกำลังดำเนินไปอีกขั้น และมุ่งสู่ความสำเร็จอีกก้าวหนึ่ง โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังวิ่งวนอยู่ในอุ้งมือของผู้หญิงอย่างเธอ

 

และก็ถึงวันที่มูลนิธิได้จัดงานระดมทุนเป็นการภายในขึ้นมา ถึงจะบอกว่าเป็นงานที่มาได้เฉพาะคนที่รับเชิญเท่านั้น แต่ก็ยังคงความยิ่งใหญ่หรูหรา ภายในห้องจัดเลี้ยงที่มีเพดานสูง รายล้อมด้วยแสงไฟที่สว่างไสวสร้างความนุ่มนวลละมุนตา โคมระย้าด้านบนกะพริบเหมือนดวงดาวตัดกับเพดานกระจก ฉายให้เห็นท้องฟ้ายามค่ำคืน โต๊ะหรูปูด้วยผ้าสีขาวถูกจัดวางอย่างมีชั้นเชิงด้วยการใช้สีทองมาตัด แต่ละโต๊ะประดับด้วยโคมไฟคริสตัลส่องประกายระยิบระยับ พนักงานเสิร์ฟในชุดพิธีการคอยเดินให้บริการไปรอบๆ งาน ถาดของพวกเขาเต็มไปด้วยออร์เดิร์ฟที่รังสรรค์มาอย่างพิถีพิถันและเครื่องดื่ม บรรยากาศอบอวลไปด้วยความรื่นเริง คั่นด้วยบทสนทนาเบาๆ และเสียงหัวเราะของคนในงานเป็นระยะ

ท่ามกลางฝูงชนที่ประโคมความหรูหรามาห่อหุ้มตัว ยังมีพฤกษ์ที่ยืนอยู่เพียงลำพังในชุดที่สบายๆ แต่ก็ยังดูดีมีระดับพอเข้าร่วมและกลมกลืนกับงานนี้ได้ ในมือของเขามีการ์ดเชิญที่เรไรเคยมอบให้ พลางขมวดคิ้วครุ่นคิดขณะมองไปรอบห้องจัดเลี้ยง และยิ่งไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเธอถึงเชิญเขามาร่วมงาน ซึ่งมีแต่คนที่เกี่ยวข้องกับมูลนิธิเท่านั้น

สายตาของชายหนุ่มจับจ้องไปที่ผู้คนมากหน้าหลายตา จนไปพบกับหญิงสาวในชุดเดรสยาวสีน้ำเงินเด่นสง่า เธอคือเรไรคนที่นำพาเขามาถึงงานนี้ เธอกำลังพูดคุยและหัวเราะกับแขกที่มาร่วมงานคนอื่นๆ ด้วยท่าทางสบายแต่ยังคงความงามสง่า ผสมผสานเข้ากับผู้คนในงานอย่างลงตัว ทว่าสำหรับเขาแล้วก็ยังคงไม่สามารถสลัดความรู้สึกที่ชวนสงสัยเกี่ยวกับตัวเธอไปได้

เรไรกำลังเล่นเกมอะไรอยู่กันแน่ นี่เป็นสิ่งที่เขาคิดไม่ตก แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ทำไมเขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเป็นหมากในกระดานของเธออยู่นะ อาจเป็นคำถามที่ไม่ได้รับคำตอบในเร็ววันนี้ และในความงุนงงกลางหมู่คน จะมีเขาคนเดียวหรือเปล่าที่ติดอยู่ในความลึกลับของเรไร

ตรงเวที มีเสียงของพิธีกรก้องกังวานไปทั่วงานจัดเลี้ยง เป็นเสียงที่มีเสน่ห์ชวนให้ทุกคนต่างสนใจอยู่บนเวทีเป็นที่เดียว

“แขกผู้มีเกียรติทุกท่านครับ ยินดีต้อนรับสู่การระดมทุนประจำปีของมูลนิธิโลกในฝันของเราครับ” พิธีกรเริ่มด้วยน้ำเสียงสุภาพและชวนให้คนฟังสนใจ “ในวันนี้เราได้รวบรวมบุคคลสำคัญจากหลายสาขา แต่ทั้งหมดนี้คือผู้ที่มีจุดประสงค์และเป็นน้ำหนึ่งเดียวกัน ด้วยความมุ่งหมายที่จะนำพาสังคมให้ดีขึ้น นี่คือสิ่งที่มูลนิธิของเรายืนหยัดมาโดยตลอดใช่ไหมครับ”

เสียงปรบมือดังขึ้นภายในห้อง ในขณะที่สายตาชื่นชมของพิธีกรกวาดไปตามบรรดาแขกผู้มีเกียรติในงาน และเขาก็เริ่มบรรยายถึงโครงการใหญ่ชิ้นล่าสุดของมูลนิธิ

“ในปีที่ผ่านมา มูลนิธิของเราได้ดำเนินโครงการเพื่อสังคมมาอย่างมากมาย แต่ยังมีอีกโครงการหนึ่งครับ ที่แสดงให้เห็นศักยภาพและความสำเร็จของมูลนิธิ นั่นก็คือการก่อสร้างอาคารมูลนิธิหลังใหม่ของเรา และอาคารนี้จะเป็นที่ดำเนินงานของมูลนิธิเพื่อให้เข้าถึงทุกคนได้ง่ายขึ้น และรับประกันว่าภารกิจที่เกิดขึ้นภายใต้ตึกใหม่นี้ เราจะยังคงมุ่งมั่นในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนในสังคมให้ดีขึ้นอย่างแน่นอนครับ”

พฤกษ์ซึ่งยืนอยู่ท่ามกลางบรรดาคนผู้ใจบุญทั้งหลาย ได้แต่รู้สึกขบขันกับสิ่งที่พิธีกรพูดออกมา อย่างที่รู้ว่ามีข่าวลือเรื่องมูลนิธิไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหลอกลงทุนที่เจ้าของเพิ่งถูกจับ ผ่านการบริจาคเงินก้อนโต รวมถึงโมรีซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องแต่ยังคงลอยนวลอยู่ได้ และคงจะไม่น่าสงสัยเลยหากเธอไม่ใช่ภรรยาของภมร ที่เป็นหนึ่งในสมาชิกคนสำคัญของมูลนิธิ

และมีแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือซึ่งได้บอกเล่าเรื่องราวที่ต่างกันออกไป เพราะการก่อสร้างอาคารที่จะเป็นที่ทำการหลักของมูลนิธินั้น แท้จริงอาจเป็นการฟอกเงินครั้งใหญ่ อันอาจเกี่ยวข้องกับบุคคลเกือบทั้งหมดที่อยู่ในที่แห่งนี้

พอคิดถึงเรื่องนั้นเขาก็หันกลับไปสนใจเรไร ซึ่งปัจจุบันเธอคือผู้จัดการด้านการระดมทุนของมูลนิธิ ในบทบาทนี้เธออาจทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการฟอกเงินอยู่ก็เป็นได้ ความคิดนี้ทำให้พฤกษ์รู้สึกปั่นป่วนไปหมด แต่ก็เตือนตัวเองว่าทุกอย่างย่อมเป็นไปได้ และนี่เป็นเพียงแค่ข้อมูลที่ยังไม่มีหลักฐานมายืนยันเท่านั้น

ความคิดของชายหนุ่มถูกขัดจังหวะด้วยบทสนทนาเบาๆ ที่พอจะได้ยินจากกลุ่มคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก พวกเขาคือชายวัยกลางคนที่ใกล้จะเปลี่ยนเป็นผู้สูงอายุอยู่รอมร่อ ถึงอย่างนั้นการสนทนาก็ยังคงเป็นเรื่องของธุรกิจ การแบ่งสันปันส่วนผลกำไร ด้วยหัวข้อที่ดูเหมือนไม่มีพิษภัยอะไร และเป็นเรื่องน่าเบื่อนั้น พฤกษ์กลับรู้สึกว่ามันมีบางอย่างแอบแฝงอยู่

“ข้อตกลงยังอยู่ที่ยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์นะครับ” ชายในชุดสูทเต็มยศเอ่ยออกมา แม้เสียงของเขาจะเบาแต่ก็ยังคงได้ยินชัด

“ตามนั้นครับ ยังไงช่วยจัดการโอนไปบัญชีต่างประเทศตามที่ตกลงกันไว้ด้วย” อีกเสียงหนึ่งดังขึ้น เหมือนจะเป็นการตกลงในเรื่องอะไรบางอย่าง

สัญชาตญาณนักข่าวของพฤกษ์พลุ่งพล่าน การสนทนาอันน่าเบื่อนั้น ดูเหมือนจะมีความน่าสนใจบางอย่าง และมันยิ่งทำให้คืนนี้กลายเป็นคืนที่เขารู้สึกเข้าใกล้ความฉ้อฉลมากที่สุด ซึ่งมันอาจซับซ้อนกว่าที่เขาเคยได้รับข้อมูลมาเสียด้วยซ้ำ

 

เสียงดนตรีแจซเบาๆ คลอเคล้าไปกับบรรยากาศ และเสียงพูดคุยจอแจของแขกผู้มีเกียรติซึ่งดังก้องไปทั่วห้องจัดเลี้ยงอันหรูหรา สายตาของพฤกษ์มองตามเรไรขณะที่เธอเดินผ่านคนในงาน พร้อมกับเอ่ยทักทายผู้คนอย่างเป็นมิตร ก่อนจะไปกระซิบกระซาบกับกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง และเดินนำคนที่เธอได้เลือกสรรแล้วไปยังบันไดหรูหรา ซึ่งวนไปยังห้องจัดเลี้ยงอีกห้องที่ซ่อนตัวจากสายตาที่สอดรู้สอดเห็นจากห้องจัดเลี้ยงใหญ่

พฤกษ์รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล จึงตัดสินใจที่จะแอบติดตามพวกเขาไป

อย่างไรก็ตาม ขณะที่เขาก้าวตามไปในระยะประชิด พอกำลังจะขึ้นบันไดวน เขาก็ปะทะกับเรไรเสียก่อน เธอสบตากับเขาอย่างเงียบเชียบ มุมปากโค้งเป็นรอยยิ้มอย่างมีเลศนัย ขับให้ใบหน้าสวยนั้นมีกลิ่นอายของความเย้ายวนแบบลึกลับ

“ต้องขอโทษด้วยนะคะคุณพฤกษ์” เธอพูดออกมาอย่างนุ่มนวล ถึงเสียงจะเบาแต่ก็พอจะได้ยินอย่างชัดเจน “ด้านบนนั้น ไม่ใช่ที่ของคุณค่ะ”

พฤกษ์ผงะไปกับคำพูดของเธอ คิ้วของเขาขมวดด้วยความสับสนและสงสัย

“แต่คุณเป็นคนเชิญผมมา ทำแบบนั้นทำไม” เขาถาม ขณะที่พยายามปะติดปะต่อพฤติกรรมที่น่าสงสัยของเธอ เสียงของเขาเคร่งขรึมด้วยความอยากรู้ ระคนกับความหงุดหงิดและสับสนอยู่ในใจ

รอยยิ้มของเรไรขยับกว้างขึ้นจนเห็นฟันขาวด้านหน้า เป็นรอยยิ้มที่ทำให้รู้สึกเหมือนว่าเธอกำลังสนุกสนานกับการปั่นหัวเขาอยู่

“บางที ฉันก็คิดว่าคุณอาจอยากเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของมูลนิธิ” คำตอบของเธอไม่ได้สร้างความกระจ่างแต่อย่างใด และมันก็เป็นปริศนาพอๆ กับรอยยิ้มนั่น

“คุณอยากช่วยผมเปิดโปงเบื้องหลังของที่นี่งั้นเหรอ ทำไมกัน” ตอนนี้พฤกษ์เต็มไปด้วยความประหลาดใจ ที่โต้กลับไปก็ยังคงไว้ด้วยความคลางแคลงสงสัย เขารู้ว่าเธอเป็นใครในมูลนิธิแห่งนี้ และที่ทำอยู่ก็ไม่ใช่ว่าเธอกำลังกระทำการขัดต่อสิ่งที่เป็นอยู่งั้นหรือ

เรไรตอบสนองต่อคำถามเขาด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ แต่กลับก้องกังวานอยู่ในหัวของคนที่ได้ยิน และมันยิ่งทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกเยาะเย้ย

“คุณนี่ใสซื่อจังเลยนะคะ” เธอกล่าวเป็นเชิงหยอกล้อ “ฉันเคยบอกเมื่อไรว่าจะช่วยเหลือคุณ”

ดวงตาของเธอเป็นประกายซุกซน คำพูดช่างกำกวมชวนให้พฤกษ์ยิ่งสงสัยมากขึ้นกว่าเดิม และคำถามที่ทิ้งไว้ก็ไม่ได้รับคำตอบ

หญิงสาวหันหลังและขึ้นบันไดไปโดยไม่พูดอะไรอีก ทิ้งให้พฤกษ์อยู่กับความสับสนในใจ ท่าทางลึกลับของเธอยังคงเป็นปริศนาที่ไม่ได้รับการแก้ไข ขณะที่เขาได้แต่มองดูร่างระหงซึ่งห่างออกไป แล้วก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่าไม่ใช่เพียงแค่มูลนิธิแห่งนี้เท่านั้นที่มีเงื่อนงำ เรไรเองก็เช่นกัน

ในความเงียบที่ตามมา สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนสำหรับพฤกษ์ก็คือ เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าแท้จริงแล้วเรไรเป็นใครกันแน่ ทำไมเธอถึงชอบสร้างความพร่ามัวในใจของเขาทุกครั้งที่พูด และตอนนี้การเริ่มต้นที่ดีก็คือการหาความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง ของโฉมหน้าอันน่าพิศวงนั่น

 

เรไรกลับมายังห้องที่เธอได้เชิญสมาชิกคนพิเศษของมูลนิธิเข้ามา ห้องที่ตกแต่งไว้อย่างหรูหรานั้นมีโต๊ะไม้ยาวรูปวงรีขนาดใหญ่ที่รายล้อมด้วยเก้าอี้บุหนัง บรรยากาศอันเป็นส่วนตัวปราศจากความสงสัยใคร่รู้ของคนที่ไม่เกี่ยวข้อง การประชุมลับที่มีเพียงบุคคลที่อยู่เบื้องหลังของมูลนิธิเท่านั้น ซึ่งห่างไกลจากภาพลักษณ์การกุศลที่นำเสนอต่อหน้าสาธารณชน

คนแรกที่เรไรเห็นก็คือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้อยู่มาหลายสมัย คนส่วนใหญ่รู้จักเขาในนามของ สส.อิทธิพล ชายผู้มีใบหน้าของนักการเมืองอย่างแท้จริง และดวงตากลมโตนั้นไม่สามารถซ่อนความโลภ และความทะเยอทะยานของเขาได้ ทว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ระหว่างความเสี่ยง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้ในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง และตอนนี้เขาต้องพึ่งพาทรัพยากรของมูลนิธิเพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำคัญ

ต่อจากเขาคือสมาชิกซึ่งเป็นหญิงสูงวัยที่สวมเสื้อคลุมเฟอร์ เธอมีท่าทางเคร่งขรึมและชอบวิวาทะกับ สส.อิทธิพลอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งหลายคนมักเรียกเธอว่ามาดามลอร่า ด้วยเธอเป็นนักธุรกิจที่มาจากแผ่นดินใหญ่ และมักจะพูดจาด้วยสำเนียงแปร่งๆ

“ไม่นึกว่าท่านสอสอจะกล้ามานะคะ ได้ข่าวว่ากำลังถูกสื่อขุดคุ้ย เพราะผอออสุธีร์ที่เป็นหัวคะแนนของคุณกำลังถูกตรวจสอบอยู่ไม่ใช่เหรอคะ ทำแบบนี้ยิ่งทำให้มูลนิธิเสียชื่อเสียงไปกันใหญ่” มาดามลอร่าเอ่ยถึงผลงานอันน่าหดหู่ของอิทธิพล ที่อาจมีผลต่อเงินที่พวกเขาจะได้รับ

“ก็ต้องถามกลับไปที่ผู้จัดการฝ่ายระดมทุนคนใหม่นั่นแหละครับ เพราะเขาเป็นคนส่งหลักฐานให้ไอ้พวกนักร้องเรียนทั้งหลายไปแฉเอง ไม่รู้จะทำแบบนั้นไปทำไม” สส.อิทธิพลโยนความผิดไปให้กับหญิงสาวที่ทวิชเลี้ยงไว้ แต่กลับทำทุกอย่างแหกคอก

“อาจต้องโทษที่ความโลภของผอออด้วยค่ะ อย่างที่รู้ว่าความไม่รู้จักพอทำให้เขากำลังจะถูกตรวจสอบอยู่แล้ว ถ้าเรย์ไม่จัดการตัดไฟแต่ต้นลม ทำให้มูลนิธิของเรากลายเป็นผู้เสียหาย ป่านนี้เราอาจกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดไปแล้วก็ได้ ที่สำคัญผอออสุธีร์ไม่เคยยอมทำตามกระบวนการที่มูลนิธิวางไว้ เขายังคงคิดและทำแบบเดิมมาตลอด มันยิ่งทำให้การตรวจสอบง่ายขึ้น ถ้าไม่ทำอะไรต่อไปพวกเราจะลำบากกว่านี้นะคะ”

เมื่อเรไรชี้ให้เห็นถึงความจำเป็น ถึงกระบวนการทำให้เงินอันไม่มีที่มาที่ไปนั้นสะอาด มูลนิธิต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการตลอดเวลาเพื่อไม่ให้ถูกจับได้ แต่ผู้อำนวยการคนนั้นก็ยังคงทำแต่วิธีเดิมๆ ซึ่งทำให้มีเหตุมากพอที่เธอต้องจัดการเขาก่อน เท่านั้นก็พอจะทำให้ทุกคนในห้องต่างพากันเงียบกริบ

“เธอพูดถูก” มาดามลอร่าพูดแทรก “เราต้องรักษาชื่อเสียงของเราไว้ ไม่ทำให้เสื่อมเสีย ไม่อย่างนั้นสิ่งที่ทำกันมาก็จะเสียหายทั้งหมด”

“แต่ยังไงเราก็ยังมีข่าวดีอยู่นะคะ เพราะตอนนี้ฉันได้ติดต่อกับผู้สนับสนุนรายใหม่ ที่จะทำให้มูลนิธิเราดูมีความน่าเชื่อถือมากขึ้นค่ะ” เธอเปลี่ยนเส้นทางการสนทนา และมันทำให้ทุกคนในห้องรวมถึงมธุกรยิ่งให้ความสนใจมากขึ้น

จนมาถึงการพูดคุยเรื่องเส้นทางการนำเงินเข้ามาในมูลนิธิ…

“ฉันได้ข่าวว่า บริษัทที่คุณโมรีไปร่วมลงทุน เจ้าของเพิ่งถูกจับเพราะเป็นแชร์ลูกโซ่อยู่ไม่ใช่เหรอคะ แถมเงินของคุณก็มีเส้นทางที่เข้ามาในมูลนิธิ เพราะการบริจาคที่เอิกเกริกนั่น ยิ่งทำให้คนมองมูลนิธิของเราในทางที่ไม่ดีไปด้วย เราจะไม่ทำอะไรเลยเหรอ บางทีอาจมีใครสักคนที่แฝงตัวเข้ามาเอาข้อมูล แล้วย้อนกลับมาเปิดโปงทีหลังก็ได้” หญิงสูงวัยยังพูดถึงบริษัทหลอกเงินลงทุนสุดฉาว ที่โมรีไปร่วมลงทุน และเคยสร้างภาพให้เจ้าของบริษัทนั่นเอาเงินก้อนใหญ่มาบริจาคที่มูลนิธิจนเป็นข่าวดัง

ซึ่งตอนนี้โมรีกำลังใช้อำนาจของพ่ออย่าง สส.อิทธิพล และเงินของภมรผู้เป็นสามี ปิดปากคนที่จะเอาผิดเธอ และสวมรอยเป็นผู้เสียหายคนหนึ่งอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ได้มีการฟอกเงินผ่านมูลนิธิไปแล้วเป็นจำนวนไม่น้อย

“ฉันก็โดนหลอกเหมือนกันนะคะ ฉันลงเงินทุนไปกับเขาจริงๆ ใครก็รู้ คุณพ่อช่วยพูดหน่อยสิคะ” โมรีลุกขึ้นโต้แย้งและหันไปหา สส.อิทธิพลผู้เป็นพ่อ ซึ่งได้แต่มีท่าทีอ้ำอึ้ง

“โมแค่ลงทุนพลาดไปครับ ตอนนี้เธอก็กำลังแก้ไขปัญหานี้อยู่ แล้วมันก็เป็นปัญหาส่วนตัวของพวกเราด้วย” เป็นภมรที่ลุกขึ้นมาโต้กลับแทนภรรยาของตัวเอง

ความตึงเครียดปะทุขึ้นภายในห้อง ตอนนี้ข้อกล่าวหาต่างๆ แพร่สะพัด และอารมณ์ของสมาชิกกิตติมศักดิ์ก็กำลังคุกรุ่นด้วยความโลภของแต่ละคน ที่จะไม่ยอมเสียผลประโยชน์ให้ใครทั้งนั้น การประชุมเลยกลายเป็นสนามอารมณ์ย่อมๆ ที่มีแต่ความขัดแย้งสาดใส่กันไม่จบสิ้น และแต่ละคนก็ไม่รู้เลยว่าอาจทำให้สมดุลอำนาจของมูลนิธิถูกพัดไปในทิศทางที่คาดเดาไม่ได้

มธุกรผู้นั่งอยู่ในตำแหน่งหัวโต๊ะนั้นรู้ดีทุกอย่าง และมองภมรกับภรรยาอย่างตรงไปตรงมา

“ตอนนี้มีคนกำลังรวบรวมคนที่บอกว่าเสียหายจากการลงทุนอยู่ รวมถึงกำลังหาหลักฐานเส้นทางการเงินเพื่อเอาผิดเธอด้วย” สายตาของเธอยังจับจ้องไปที่โมรีแล้วพูดต่อ “ระวังตัวเอาไว้ เรายังไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ถ้าหากมีอะไรผิดพลาดพวกมันกัดไม่ปล่อยแน่”

“น้าวิชเคยบอกว่ารู้แล้วว่าใครทำ แต่น่าเสียดายที่ดันมาป่วยเสียก่อน”

ภมรตอบกลับด้วยสีหน้าครุ่นคิด เสียดายที่วันนั้นเขาไม่ถามให้รู้เรื่องและปล่อยให้ล่วงเลยมาจนถึงตอนนี้ ทว่ามีบางคนที่เขาพอจะนึกออก เมื่อชำเลืองมองไปยังเรไร

“เรย์ คุณรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง”

“เรื่องเปื้อนเลือดแบบนี้ อาวิชไม่ค่อยเล่าอะไรให้ฉันฟังหรอกค่ะ” เรไรตอบพลางยิ้มเล็กน้อย และคำพูดของเธอก็ทำให้ทุกคนถึงกับเงียบไปในทันที

จนมธุกรต้องทำลายความเงียบขึ้น ด้วยการประกาศก้อง

“ถ้ารู้ว่าเป็นใครที่ระดมคนพวกนั้น เราจะจัดการอย่างที่เคย”

คำพูดของมธุกรทำเอาเรไรได้แต่ลอบมองด้วยสายตาแข็งกร้าว และคิดอยู่ในใจ

‘เหมือนที่แกทำกับแม่ฉันงั้นเหรอ’

เธอเก็บคำถามเอาไว้กับตัวเอง แต่ละคำที่คนเหล่านี้พูดออกมา มันคือการเปิดเผยโฉมหน้าของฆาตกรที่มองเห็นชีวิตคนมีค่าน้อยกว่าผลประโยชน์ส่วนตน และมันได้เตือนเรไรว่าทำไมเธอถึงต้องมาอยู่ที่นี่

ในเวลานี้ แม้เธอจะพอรู้เส้นทางการฟอกเงินผ่านมูลนิธิโดยพรรคพวกของมธุกรมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังขาดเอกสารหลายอย่างที่จะยืนยันความจริงได้ สิ่งที่ทวิชมีก็ไม่เพียงพอ ที่สำคัญเธอต้องได้เห็นบัญชีการเงินของมูลนิธิ ซึ่งภมรเป็นคนจัดการเรื่องนี้อยู่   

 



Don`t copy text!