เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 12 : ไฟไหม้
โดย : จันทร์จร
เหลี่ยมเล่ห์เรไร นวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาปี 4 โดย จันทร์จร…เมื่อความจริงถูกปกปิดไว้ด้วยอำนาจมืด และการหลบเลี่ยงความผิดของคนกลุ่มหนึ่ง เรไรจึงต้องออกมากระชากหน้ากากและเปิดโปงความฉ้อฉลนั้นด้วยตัวเอง เพื่อมอบความเป็นธรรมให้กับเหยื่อทุกคน ที่ยังรอให้ใครสักคนทำหน้าที่ลงโทษคนพวกนั้น นวนิยายสนุกๆ อีกหนึ่งเรื่องที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านที่ anowl.co
ภาพข่าวของบ้านที่ถูกไฟไหม้อย่างรุนแรงกลายเป็นเรื่องอยู่ในสื่อทุกสำนัก บ้านโอ่อ่าที่เรไรเคยอาศัยอยู่ มันเป็นบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำของเธอ ตอนนี้ถูกลดเหลือเพียงซากปรักหักพังที่คุกรุ่น และในบรรดาผู้ที่ได้ยินเกี่ยวกับเหตุการณ์ภัยพิบัตินี้คือพฤกษ์ ซึ่งพบว่าตัวเองกำลังต่อสู้กับความเป็นห่วงที่มีต่อหญิงสาวเจ้าของบ้าน
จิตใจของชายหนุ่มว้าวุ่นด้วยความเป็นห่วง พอรู้ตัวอีกทีเขาก็มาอยู่ที่หน้าโรงพยาบาลแล้ว เมื่อความเป็นห่วงเป็นใยนำพามา พฤกษ์ก็เลือกที่จะตามหาเธอท่ามกลางคนที่วนเวียนอยู่ภายในอาคารโรงพยาบาล จนที่สุดเขาก็พบเรไรที่ยืนท่ามกลางความวุ่นวาย
ไม่รู้อะไรที่ทำให้พฤกษ์รู้สึกตะลึงไปชั่วขณะ แม้จะเห็นว่าเธอมีบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยิ่งพอเรไรเห็นเขา สิ่งที่คาดหวังว่าจะได้เห็นไม่ว่าจะเป็นความตกใจ หวาดกลัวหาที่พึ่งพิง หรือแม้แต่น้ำตาของความเสียใจก็ไม่ปรากฏให้เห็น เธอยังคงสงบนิ่ง มีเพียงสีหน้าประหลาดใจเมื่อได้เห็นหน้าเขา ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มที่คุ้นเคย
ชายหนุ่มก้าวออกไปอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะคว้าข้อมือของเธอและพาออกไปจากโรงพยาบาล ปลายทางเดียวที่คิดถึงก็คือบ้านของตัวเอง แม้จะไม่ใหญ่เท่ากับของที่เธอเคยอยู่ แต่สภาพในตอนนี้ก็ดีกว่าเศษซากบ้านที่ถูกไฟไหม้อย่างสิ้นเชิง
เรไรเข้ามาในบ้านของพฤกษ์ที่เปรียบเสมือนหลุมหลบภัยอันแสนสบาย และมองการตกแต่งอย่างง่ายๆ กลิ่นของหนังสือเก่าบ่งบอกถึงนิสัยชอบค้นหาของเขาได้เป็นอย่างดี แล้วไม่นานมันก็แทนที่ด้วยกลิ่นหอมของกาแฟที่เพิ่งชงใหม่
“ที่นี่จะปลอดภัยสำหรับคุณ” พฤกษ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พร้อมกับยื่นถ้วยกาแฟให้กับหญิงสาว แม้จะยังทำตัวไม่ถูกที่จู่ๆ ก็ลากเธอออกมาดื้อๆ โดยที่เธอก็ไม่ได้ขัดขืนเขาเลยสักนิด
“ที่นี่เหรอคะ” เธอถามซ้ำ สายตายังสอดส่องไปรอบๆ บ้านของเขาที่มีการตกแต่งอันน่าแปลกตา ทว่ากลับรู้สึกอบอุ่นและสบายใจ
ชายหนุ่มเขินจนเกือบพูดอะไรไม่ออก แล้วเขาก็ตัดสินใจที่จะเอ่ยปากบอกสิ่งที่คิด
“คุณจะมาอยู่กับผมก็ได้นะ ถึงไม่สะดวกสบายแต่ก็พอจะอยู่ได้อย่างปลอดภัยสักพักแหละ”
“ไม่มีที่ปลอดภัยสำหรับฉันหรอกค่ะ” รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นที่ริมฝีปาก “อีกอย่าง…ฉันได้ที่อยู่ใหม่แล้ว เป็นคอนโดที่เคยซื้อเอาไว้ค่ะ”
ใบหน้าของเขาเจื่อนไปเล็กน้อย เส้นของความกังวลที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าเริ่มค่อยๆ คลายลง เหลือแต่ความเสียหน้าที่ไม่ถามเธอให้ดีก่อน
“แต่ยังไงฉันก็ขอบคุณนะคะ” น้ำเสียงของหญิงสาวนุ่มนวลขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
“ครับ…” พฤกษ์รับคำขอบคุณนั้นไว้แกนๆ แล้วก็นึกถึงอีกเรื่องขึ้นมาได้ “เรื่องที่เกิดขึ้นกับบ้านของคุณเรย์ แน่ใจเหรอว่าคุณไม่ได้เล่นเกมที่อันตรายอยู่น่ะ”
“นอกจากจะลักพาตัวฉันมาแล้ว ยังจะมาสอบสวนฉันอีกเหรอคะ”
“คุณเรย์ ผมรู้นะว่าคุณจะทำอะไร แต่มันอันตราย ต่อไปนี้คุณต้องเชื่อผม ถ้าอยากจะทำอะไรจริงๆ แค่บอกข้อมูลกับผมมาก็พอ”
เขาเท้าเอว ขณะที่ดวงตาของเธอเป็นประกายด้วยความซุกซน
“ว้าว…นี่มันอะไรกันคะคุณพฤกษ์ อย่าบอกนะว่า…”
“นี่ไม่ใช่เวลามาเล่นนะคุณเรย์” เขาตอบกลับทันทีด้วยน้ำเสียงจริงจัง แล้วมองเธอด้วยความเคร่งขรึม “คุณไม่จำเป็นต้องทำเรื่องพวกนี้ตามลำพัง คุณต้องไม่ต่อสู้ด้วยตัวคุณเอง เข้าใจไหมครับคุณเรย์”
เรไรรู้สึกถึงความวูบไหวที่แทรกเข้ามาในใจ ในความเงียบงันกลับมีสายสัมพันธ์อย่างหนึ่งปรากฏขึ้นมา และดูเหมือนจะดึงให้พวกเขาใกล้ชิดกันมากขึ้น
“ฉันดีใจนะคะที่คุณพูดออกมาแบบนั้น แต่นี่คือการต่อสู้ของฉัน มันเป็นแบบนั้นมาตลอด” หญิงสาวเอ่ยออกมาเบาๆ ดวงตาสั่นไหวสะท้อนถึงความแน่วแน่ที่เธอมี
“และมันก็เป็นของผมด้วย ผมอยากช่วยคุณจริงๆ นะ” พฤกษ์ยังคงยืนกราน การรับรู้เรื่องราวของเธอ ก็เหมือนเขาได้ก้าวเข้ามาอีกก้าวหนึ่ง ซึ่งเขาคงถอนตัวออกไปไม่ได้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น
คำพูดง่ายๆ ที่บอกออกมาด้วยความหนักแน่นจริงจัง สำหรับเธอแล้วมันเป็นมากกว่าคำยืนยัน ความห่วงใยในความปลอดภัยทำให้เขาพาเธอมาที่นี่ เสนอที่อยู่ ให้ความช่วยเหลือ ซึ่งทำให้เรไรมองพฤกษ์ในมุมที่ต่างออกไป และหวั่นไหวไปกับความรู้สึกของตัวเองที่กำลังหยั่งรากลงไปอย่างเงียบเชียบ
เรไรเดินเข้าไปใกล้กับชายหนุ่ม เธอโน้มตัวเข้าไปแล้วแตะริมฝีปากตัวเองเข้ากับเรียวปากของเขา นั่นคือจุมพิตที่ไม่ใช่ความยั่วยวน แต่เป็นการแสดงความขอบคุณอย่างนุ่มนวล ที่เขาทำให้เธอมีความหวังกับโลกที่เคยมองว่าโหดร้าย
“ฉันดีใจจริงๆ นะคะที่คุณอยากสู้เป็นเพื่อนฉัน แต่เส้นทางที่ฉันจะไปต่อมันอันตรายเกินกว่าที่จะลากใครเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นกับแม่อาจเป็นเครื่องยืนยันที่ดี หากฉันไม่สามารถทำเรื่องนี้ให้สำเร็จได้” หญิงสาวผู้รู้ดีว่าการเปิดโปงความจริงของเธอคงไม่อาจสำเร็จได้โดยง่าย และหากพลาดอีกเพียงนิดเดียวชะตากรรมที่ต้องเจอคงไม่ต่างอะไรจากคนอื่นๆ ที่ถูกบังคับให้หายตัว สำหรับเธอในตอนนี้จุดจบที่ดีที่สุดของมธุกรคือการมอดไหม้ไปกับเพลิงแค้นของเธอเท่านั้น
“แต่ผมอยากแสดงให้คุณเห็น ว่าถ้าเราร่วมมือกันทุกอย่างสามารถเป็นไปได้ คุณไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง และคุณก็ไม่ควรต้องจมอยู่กับความโกรธแค้นจนสูญเสียตัวตนด้านดีของตัวเองไปด้วย” นิ้วของพฤกษ์ไล้ไปตามแก้มของหญิงสาว สัมผัสนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยนของสัญญาที่อยู่ในใจ
“ขอบคุณนะคะ ที่ทำให้เชื่อว่าโลกนี้มีอะไรมากกว่าการต่อสู้กับคนพวกนั้น อย่างน้อยแค่ชั่วเวลาหนึ่งฉันก็รู้สึกดีมาก แต่มันคงจะสายเกินไปแล้วที่คุณจะเข้ามาร่วมด้วย” น้ำเสียงของเธออ่อนโยนปนความเศร้า และเธอไม่อยากให้พฤกษ์ต้องมาพัวพันกับอันตรายรอบตัวเธอ
“ถ้าอย่างนั้น ผมขอพิสูจน์ให้คุณเห็นได้ไหม ว่าผมสามารถเปิดโปงคนพวกนั้นได้โดยที่คุณไม่ต้องเปิดหน้าสู้ด้วยตัวเอง แล้วเราจะลากพวกเขาออกมาแสดงความจริงให้สังคมรับรู้” คำตอบของพฤกษ์มาอย่างเงียบๆ ทว่าหนักแน่นด้วยปณิธานอันแรงกล้า
เรไรไม่ตอบในทันที เธอมองท่าทางของเขาอย่างใคร่ครวญ เพราะรู้ว่าพฤกษ์เองก็ไม่ใช่คนโลกสวยที่เชื่อว่าความดีต้องถูกตอบแทนความเลวต้องถูกลงโทษอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู ที่ผ่านมาเขาได้เปิดโปงคนโกงและช่วยใครหลายคนได้รับความเป็นธรรมมามากแล้ว ครั้งนี้เขาก็น่าจะไตร่ตรองมาสักระยะหนึ่ง ถึงได้กล้าพูดเรื่องนี้กับเธอ
“ค่ะ ฉันจะรอดู แต่ขอฉันสู้ในแบบของตัวเองนะคะ” ในที่สุดเธอให้โอกาสเขาพิสูจน์ในสิ่งที่เชื่อมั่นมาตลอด และเช่นกันเธอเองก็ต้องพิสูจน์ในแนวทางของตัวเองด้วย
ข่าวเรื่องไฟไหม้บ้านของเรไรได้แพร่สะพัดไปทั่ว หญิงสาวหายหน้าไปจากมูลนิธิเพียงแค่ไม่กี่วันเท่านั้น แล้วเธอปรากฏตัวพร้อมกับบรรยากาศในมูลนิธิที่ตึงเครียด เมื่อเรไรเดินผ่านประตูเข้ามา และทุกสายตาก็จับจ้องมายังเธอที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากเปลวเพลิง
ท่าทางปกติของเธอยังเหมือนเดิม เธอเดินเข้ามาอย่างสง่างามและเรียบเฉย ใบหน้าเชิดสูง รวมถึงแววตาเย็นชา แม้จะมีผ้าพันแผลปิดอยู่ตามตำแหน่งที่ถูกความร้อน แต่เหมือนกับเหตุการณ์เมื่อหลายคืนก่อนนั้นไม่มีผลอะไรกับเธอเลย สิ่งนี้ยิ่งทำให้ทุกคนที่เห็นรู้สึกงงงวย
ท่ามกลางความตกใจและเป็นกังวลของคนในมูลนิธิ ยังมีอีกคนหนึ่งที่แสดงออกถึงความประหลาดใจไม่แพ้กัน นั่นคือมธุกรที่เดินเข้ามาหาหญิงสาวด้วยสีหน้าที่แสดงความเห็นอกเห็นใจ
“เรไร ฉันได้ยินข่าวเรื่องบ้านของเธอแล้ว ใจหายเหลือเกิน ยิ่งเป็นบ้านที่ทวิชเขารักมากด้วย เสียใจด้วยนะ มันช่างเป็นเรื่องที่น่ากลัวเสียจริง ถ้าเธออยากจะพักยาวกว่านี้ฉันก็ไม่ว่าอะไรนะ” มธุกรเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วคล้ายจะเป็นห่วง แต่ยังเจือด้วยการกระทุ้งเบาๆ เป็นการเตือนว่าบ้านนี้ไม่ใช่ของเรไรแต่แรก
“ขอบคุณสำหรับความห่วงใยนะคะ แต่อย่างที่คุณว่าแหละค่ะ ฉันไม่ได้เสียอะไรไปเลย” น้ำเสียงของเธอยังคงความถือดีเหมือนเดิม เรไรสบตากับมธุกร ด้วยแววตาที่แข็งกร้าวและเคืองขุ่น แม้เธอจะไม่เป็นอะไรมาก ซึ่งต่างจากทิพย์ที่ได้สำลักควันไปมากพอที่จะทำให้เกิดอันตรายกับตัวเอง จึงอาจต้องพักอยู่ในโรงพยาบาลอีกนาน และนั่นทำให้เรไรต้องรีบออกมาเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ด้วยตัวคนเดียว เพราะเธอจะไม่มีวันให้พวกมันเห็นความอ่อนแอของเธอเป็นอันขาด
“อย่างนั้นเหรอ ถ้ามีอะไรที่ฉันช่วยได้ก็บอกนะ” คำเสนอมาพร้อมกับความกรุณาจอมปลอม ก่อนที่จะพูดต่อ “ถ้าต้องการที่พัก ก็มาอยู่ที่มูลนิธิก็ได้นะ ยังไงเราก็ช่วยเหลือพวกยากไร้ ที่ไม่มีใครเหลียวแลอยู่แล้ว”
เรไรยิ้มจางๆ นัยน์ตาของเธอแทบไม่ละไปจากประธานมูลนิธิเลย
“ไม่ต้องกังวลนะคะ ฉันมีที่ไปแล้ว” เธอเอ่ยออกมาอย่างมั่นใจ เป็นเหมือนสัญญาณที่แสดงถึงเกมต่อไปซึ่งกำลังจะมาถึงในอีกไม่นาน
“อุบัติเหตุครั้งนี้ช่างร้ายแรงจริงๆ หวังว่าเธอจะระมัดระวังตัวมากขึ้นในอนาคตนะ” มธุกรยังคงเป็นนักแสดงมือหนึ่ง ภายใต้สีหน้าที่แสดงความเป็นห่วง ไม่มีใครรู้เลยว่าเธอแทบอยากจะกำจัดหญิงสาวตรงหน้าให้หายไปเสียเดี๋ยวนั้น
เรไรจ้องมองผู้ที่เสแสร้งเป็นห่วงเธอด้วยรู้ทัน ริมฝีปากอิ่มม้วนเป็นรอยยิ้มน้อยๆ อันมั่นใจและฉายแววด้วยความเย็นชา
“รู้อะไรไหมคะ ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปแค่ไหน สิ่งหนึ่งที่ยังคงไม่เปลี่ยนก็คือคนนี่แหละค่ะ คนบางคนมักตัดสินใจแบบเดิมๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า โดยไม่เรียนรู้เลยว่า บางที…ผลลัพธ์มันอาจไม่เหมือนเดิมก็ได้”
ในความตึงเครียดระหว่างคนทั้งสองที่มีต่อกัน มันเหมือนกับพวกเธอเป็นผู้เล่นในหมากกระดานที่อันตรายถึงชีวิต ต่างฝ่ายต่างระวังและรอให้อีกคนเคลื่อนไหว บรรยากาศเต็มไปด้วยคำพูดภายในใจที่ไม่ได้เอ่ยออกมา และความไม่กลัวเกรงซึ่งกันและกัน
มธุกรยังพยายามอยู่ในจุดที่แสดงถึงอำนาจที่เหนือกว่า เธอมองเรไรไม่ต่างจากศัตรูคู่อาฆาต ก่อนจะเดินจากไป แต่หญิงสาวเป็นฝ่ายเรียกเธอเอาไว้
“ไม่เสียดายเหรอคะ” เรไรรอให้มธุกรหันมาแล้วพูดต่อ “ถึงจะคิดว่าตัวเองวางแผนอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ผลลัพธ์ที่คิดไว้ ก็ไม่ได้เป็นไปตามที่ต้องการเสมอไป”
คำที่กล่าวออกมานั้นแฝงไว้ด้วยความหมายอันซ่อนเร้น ที่สร้างความเจ็บแสบให้กับคนฟังไม่น้อย เพราะนั่นคือการกล่าวถึงมธุกรถึงจะไม่ได้บอกตรงๆ ก็ตามที เป็นการเยาะหยันท้าทาย และส่งคำเตือนถึงมธุกรว่าเธอรู้มากกว่าที่คิด และพร้อมเสมอสำหรับทุกสิ่งที่จะมาถึง
และในระหว่างนั้น มธุกรก็ไม่ได้ปล่อยให้เสี้ยนหนามของเธอได้ลอยหน้าลอยตาอยู่นานนัก เมื่อมีการปล่อยข่าวเป็นระลอกภายในมูลนิธิ ว่าตอนนี้ได้พบการทุจริตของเจ้าหน้าที่ระดับสูง มีเสียงลือกันอย่างหนาหูว่าคนที่ว่าก็คือเรไร ทำให้มีการวิจารณ์ไปทั่วมูลนิธิ แต่ละความเห็นเต็มไปด้วยความสงสัยและบางส่วนก็ไม่เชื่อ ส่วนหนึ่งอาจเพราะเรไรได้กลายเป็นคนที่พวกเขาเชื่อถือ และไม่คิดว่าเธอจะกลายเป็นเรื่องอื้อฉาวของมูลนิธิได้
แต่ในทางกลับกัน ประธานมูลนิธิอย่างมธุกรยังคงอยู่ในอาการสงบ ขณะที่ต้องขึ้นมาแถลงข่าวเกี่ยวกับเรื่องอื้อฉาวภายใน เธอยังคงยืนตัวตรงอย่างมั่นคง เด่นสง่าท่ามกลางความสับสนของทุกคนที่อยากทราบความจริง
“วันนี้ฉันมีบางเรื่องที่ต้องประกาศให้ทราบค่ะ อย่างที่รู้ว่าเราพบการทุจริตภายในมูลนิธิของเรา และจากการสอบสวนเบื้องต้น เราพบว่าคุณเรไรรองประธานมูลนิธิ และผู้จัดการฝ่ายระดมทุนของเรา มีส่วนในการทุจริตและปลอมแปลงเอกสารการบริจาคเงินเข้ามูลนิธิจำนวนมาก”
เสียงอื้ออึงไปทั่วห้องเมื่อทุกคนได้ยินข่าว ในขณะที่หญิงสาวผู้ถูกกล่าวหาก็ได้มาฟังการแถลงในครั้งนี้ด้วย เรไรกับมธุกรยังคงจ้องตากันอย่างสงบ ด้วยสีหน้าที่ไม่มีใครอ่านความคิดของพวกเธอออก
“เราจะไม่ยอมให้เรื่องดังกล่าวมาทำลายความมุ่งมั่นในการบริการสังคม ต่อจากนี้จะมีการสอบสวนอย่างละเอียด และขอให้ทุกคนได้ทราบว่าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณเรไรจะถูกปลดออกจากทุกตำแหน่งในมูลนิธิ จากนี้มูลนิธิจะดำเนินตามขั้นตอนทางกฎหมายเพื่อแก้ไขสถานการณ์อันน่าละอายนี้ให้ได้ค่ะ”
ด้วยคำกล่าวที่หนักแน่นของมธุกร ทำให้เรไรกลายเป็นแพะรับบาปจากข้อกล่าวหาที่ต่างรู้กันดี ว่าที่ผ่านมามูลนิธิก็ทำเช่นนี้มาโดยตลอด แน่ทีเดียวว่านั่นคือสิ่งที่มธุกรต้องการให้เป็น เพื่อกำจัดเสี้ยนหนามให้ออกไปจากตัวเธอก่อน
อย่างไรก็ตาม เรไรก็ดูไม่ได้สะทกสะท้านกับเรื่องนี้ เหมือนเธอได้เห็นสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นมาก่อนหน้า และเตรียมใจมาแต่แรกแล้ว เธอเพียงแค่ยืนนิ่งๆ สายตาจับจ้องไปที่ประธานมูลนิธิคนปัจจุบัน
ผิดกับคนในมูลนิธิที่อยู่ในความสับสน และประเด็นนี้ก็กลายเป็นหัวข้อสนทนากันอย่างรวดเร็ว บางคนไม่เชื่อ บางคนสงสัย เกิดการคาดเดาไปต่างๆ นานา ขณะที่เรไรยังคงได้แต่ซึมซับคำพูดมากมายรอบตัวเธออย่างเงียบๆ แม้จะมีความแคลงใจ แต่เธอก็ยังคงนิ่งสงบอยู่ท่ามกลางพายุ นี่คือก้าวต่อไปของเธอ และมันยังห่างไกลกับคำว่าพ่ายแพ้
เมื่อออกจากมูลนิธิไปแล้ว เรไรก็ได้มีการนัดพบอย่างลับๆ กับใครคนหนึ่ง ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในเงามืดของมูลนิธิมานาน เธอคนนี้สามารถหลบเร้นอยู่ภายใต้อิทธิพลมืด และอาศัยการฟอกเงินจากมูลนิธิ ซึ่งไม่มีใครสามารถตามตัวเธอเจอได้ หากว่าเธอไม่ต้องการให้พบ
มาดามลอร่า นักลงทุนหญิงจากแผ่นดินใหญ่ ผู้ได้รับสัญชาติใหม่ตามสามีคนไทย ในสังคมทั่วไปอาจไม่มีใครรู้จักเธอ แต่สำหรับโลกสีเทาแล้ว เธอคือผู้ทรงอิทธิพลด้านการนำคนจากแผ่นดินใหญ่เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศ และทำธุรกิจสีเทาอย่างลับๆ โดยใช้เส้นสายของคนใหญ่คนโตที่เธอมี
ในความรู้สึกของเรไร นี่คือคนที่อยู่ในรายชื่อของเธอแต่ต้น ผู้ต้องสงสัยในการสร้างตัวตนใหม่ของมธุกร อย่างที่รู้ว่ามาดามลอร่าเชี่ยวชาญการสร้างเอกสาร และทำบัตรต่างด้าวให้คนมามาก ซึ่งเส้นทางการกลับมาเป็นคนในประเทศอีกครั้งของมธุกรนั้น ก็คือการสร้างตัวตนเป็นคนจากประเทศเพื่อนบ้าน และอาศัยการทำบัตรต่างด้าว เพื่อมาแต่งงานกับข้าราชการในพื้นที่ จากนั้นก็ขอใช้สัญชาติ ทำให้ตนเองกลายเป็นคนในประเทศอย่างถูกกฎหมาย
และนับเป็นโชคดีของเรไร ที่มาดามลอร่าก็เป็นอีกคนที่กำลังจะอยู่คนละฝั่งกับมธุกร
“ช่วงนี้รู้สึกว่าประธานมูลนิธิหุ่นเชิดนั่นจะทำอะไรไม่สนใจใครแล้วนะ คงถึงเวลาที่ใครสักคนต้องสอนบทเรียนให้สักที”
เสียงของมาดามลอร่าก้องไปทั่วห้องที่มืดสลัว ว่ากันตามจริงเธอนั้นมีอายุมากกว่ามธุกรไม่กี่ปี และเพิ่งจะมีการพูดถึงงานแซยิดเมื่อไม่นานมานี้เอง
“มาดามเรียกฉันมา มีอะไรอยากให้ฉันรับใช้เหรอคะ” เรไรกล่าวอย่างนอบน้อม และนี่เป็นสิ่งที่ทำให้คนหลายคน เชื่อว่าจะสามารถควบคุมเธอได้
“ดูเหมือนว่าเราจะมีศัตรูคนเดียวกันรึเปล่านะ อย่างที่เขาว่ากันนั่นแหละศัตรูของศัตรูก็คือมิตร” แววตาของคนพูดเต็มไปด้วยความสนใจใคร่รู้เมื่อเธอชำเลืองมองหญิงสาว
“เป็นคำที่เหมาะสมที่สุดค่ะมาดาม เพราะอาจถึงเวลาแล้วที่เราจะใช้ ‘มิตรภาพ’ ให้เป็นประโยชน์” ริมฝีปากของเรไรโค้งเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย
“เรื่องสอสออิทธิพลถึงจะไม่ชอบเขา แต่ฉันก็ไม่ได้เห็นด้วยที่แม่นั่นสั่งเก็บแค่เพราะเขาขู่จะแฉ ตอนนี้มธุกรคิดว่าไม่มีใครทำอะไรตัวเองได้ ก็เลยตัดสินใจตามอำเภอใจรวมถึงเรื่องเธอด้วย ฉันถึงอยากเจอเธอ เพราะอย่างน้อยก็น่าจะมีใครสักคนที่กล้าลุกขึ้นสู้กับมธุกร…ใช่ไหม” ดวงตาของมาดามลอร่าเป็นประกายด้วยความคาดหวัง
“ถ้าได้รับความช่วยเหลือจากมาดาม ฉันคิดว่าทุกอย่างย่อมเป็นไปได้ค่ะ” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น ทว่ายังคงแสดงความเคารพต่อผู้สูงวัยกว่า
มาดามลอร่าหัวเราะดังขึ้นมาอย่างถูกอกถูกใจ
“ที่รัก…ฉันคิดอยู่แล้วว่าเราสองคนต้องตกลงกันได้ มาสอนบทเรียนที่มธุกรจะไม่มีวันลืมกันเถอะ”
ด้วยเหตุนี้เองที่พันธมิตรใหม่ได้ก่อตัวขึ้น การจับมือกันที่คาดไม่ถึงนี้มาจากความชิงชังต่อตัวบุคคลที่ทั้งสองต่างมีร่วมกัน เพื่อเตรียมสนองคืนวันอันน่าหวั่นเกรงให้กับประธานมูลนิธิคนนั้น ซึ่งไม่มีทางคาดเดาได้เลยว่าพันธมิตรในครั้งนี้จะคงอยู่ยืนยงได้นานแค่ไหน
“คุณแน่ใจแล้วเหรอเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้ คุณเรย์”
พฤกษ์ที่เพิ่งเงยหน้ามาจากไฟล์เอกสารต่างๆ รวมถึงกองเอกสารที่เป็นกระดาษกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะทำงานภายในบ้านของตัวเอง ได้ถามเรไรถึงความมั่นใจในสิ่งที่เธอมี และแสดงความเป็นห่วงต่อสิ่งที่เธอกำลังจะทำ
เรไรเอนหลังพิงเก้าอี้แล้วยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย
“ฉันไม่เคยแน่ใจอะไรไปมากกว่านี้แล้วค่ะ”
“มธุกรถือเป็นคนสาธารณะ และเป็นที่เคารพรักของใครหลายคน การโค่นเขาลงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะ” พฤกษ์ถามขณะมองดูรูปของมธุกรที่ทำการกุศลต่างๆ นั่นคือภาพของหญิงสูงวัยผู้ใจบุญที่ได้รับการยกย่องจากสังคมอย่างกว้างขวางในช่วงเวลาห้าถึงหกปีให้หลัง
“ฉันก็ไม่ได้บอกว่ามันจะง่ายนี่คะ” รอยยิ้มของเธอกว้างขึ้น ขณะที่กอดอกแล้วโน้มตัวไปข้างหน้าให้ใกล้กับเขา และมองชายหนุ่มด้วยสายตาหยอกล้ออย่างทุกครั้ง
“คุณเรย์…ไม่ล้อผมเล่นสักครั้งได้ไหม ผมอยากรู้ว่าคุณมีหลักฐานมากพอที่จะเอาคนคนนี้ลงได้ เพราะแค่ความแค้นที่คุณมีให้กับเขาน่ะ มันไม่เพียงพอหรอกนะ คุณก็น่าจะรู้”
“เหตุผลน่ะมีแน่ค่ะ แต่สิ่งที่คุณต้องทำความเข้าใจก่อนก็คือมธุกรไม่ใช่นักบุญ และฉันก็มีเรื่องสกปรกของเธอมากพอที่จะทำให้เธอเสร็จเราได้”
พฤกษ์ได้แต่กลืนน้ำลายกับสายตาเคร่งเครียดแต่แฝงไว้ด้วยความเป็นห่วง ยิ่งนึกไปถึงสิ่งที่กำลังจะตามมา เขารู้จักเรไรมากพอที่จะรู้ว่าเธอคงไม่ทำเช่นนี้โดยไม่มีหลักฐานที่มากพอ และรู้ว่าเมื่อเธอตั้งใจกับบางสิ่งแล้ว สิ่งนั้นจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอย่างเด็ดขาด
“ตกลงว่าจะช่วยฉันไหมคะ หรือฉันควรหาคนอื่นมาร่วมเกมนี้แทน” เรไรถามย้ำ ถึงน้ำเสียงของเธอจะแสดงความขี้เล่น แต่สายตานั้นยังคงความแน่วแน่ไม่เปลี่ยนแปลง
ความเงียบเกิดขึ้นมาชั่วขณะ พฤกษ์อยากจะใช้ความคิดสักพัก แต่ก็รู้ดีว่าจะอย่างไรเขาก็คงหนีเธอไม่พ้นอยู่ดี ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจก่อนจะตัดสินใจออกมา
“ตกลงคุณเรย์ ที่ตกลงเพราะผมรับปากคุณไปแล้วและผมก็เชื่อใจคุณมากด้วย”
“คิดอยู่แล้วว่าคุณต้องพูดแบบนั้น”
เรไรยิ้มกว้างขึ้น ห้องที่เงียบอยู่เมื่อครู่ก็ดูจะสว่างขึ้นมาทันใด ส่วนหนึ่งของหลักฐานที่กระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะ กำลังจะกลายเป็นชิ้นส่วนที่พร้อมจะกะเทาะเปลือกนอกของฆาตกรที่พรากชีวิตแม่เธอไปทีละขั้น และมันจะนำพาไปสู่การเปิดโปงความจริงเกี่ยวกับมธุกรได้ในที่สุด
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 16 : นางทับทิม
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 15 : หายไปอีกหนึ่ง
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 14 : ก่อนไวน์จะหมดขวด
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 13 : มูลนิธิโลกในฝัน
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 12 : ไฟไหม้
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 11 : ความจริงของศพในรถ
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 10 : ของเก่าที่ถูกทำลาย
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 9 : งานในมูลนิธิ
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 8 : หนึ่งหญิงสองชาย
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 7 : โฉมหน้าฆาตกร
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 6 : เป้าหมายแรก
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 5 : ความจริงของหญิงสาว
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 4 : ผู้ปลดปล่อยความโกรธ
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 3 : การเผชิญหน้าครั้งแรก
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 2 : ตามหาความจริง
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 1 : ที่งานศพ
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร : บทนำ