ฤทัยยักษ์ บทที่ 7.1 : บทตัวร้ายที่ข้าไม่อยากเป็น

ฤทัยยักษ์ บทที่ 7.1 : บทตัวร้ายที่ข้าไม่อยากเป็น

โดย : เวฬุวลี

Loading

ฤทัยยักษ์ โดย เวฬุวลี นวนิยายที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์ที่ anowl.co กับเรื่องราวของ ‘ฤทัยมาศ’ ตำรวจสาวที่้องเข้าไปสืบคดีที่เชื่อมโยงกับอดีตของเธอที่มีร่วมกับยักษ์หนุ่มจากวัดโพธิ์นามว่า ‘แสงอาทิตย์’ และยังไปเกี่ยวพันกับเบื้องลึกเบื้องหลังของศึกยักษ์วัดโพธิ์กับยักษ์วัดแจ้งที่เล่าขานกันมาเนิ่นนาน

มาร์โคโปโลกดดูตัวเลขที่อยู่ในเครื่องโทรศัพท์มือถือของเขาแล้วก็ยิ้มกริ่ม เดือนนี้เขารับงานรีวิวหลายงานจนทำให้ตัวเลขเงินในบัญชีที่ปรากฏอยู่ในเครื่องเพิ่มทวีคูณ เขากะจะใช้เบี้ยอัฐเหล่านี้ไปบำรุงบำเรอความสุขของตนเองในขณะที่เขาหลบออกมาจากหน้าที่ทวารบาลได้ในยามราตรี

หนุ่มตุ๊กตาหินกำลังเดินออกมาจากตึกที่เขามาใช้เป็นที่ถ่ายคลิปวิดีโอของเขาเองกับสินค้าที่เขารับรีวิว แต่ทันใดนั้น ก็มีเสียงที่คุ้นหูเรียกชื่อเขา

“มาร์โคโปโล!”

ตุ๊กตาหินหน้าฝรั่งชะงัก เขาไม่เคยบอกชื่อนี้กับใครเพราะมันแปลกเกินไป เวลาที่เขาแนะนำตนเองในฐานะอินฟลูเอนเซอร์ทางออนไลน์ เขาจึงพูดแค่ว่าเขาชื่อมาร์คเท่านั้น

พวกที่เรียกเขาด้วยชื่อแบบนี้ได้ ก็ต้องเป็นพวกที่อยู่ในวัดโพธิ์…

มาร์โคโปโลหันไปแล้วก็เป็นจริงตามคาดเดา มัยราพณ์ พญายักษ์ทวารบาลเป็นคนเรียกชื่อเขา แถมยังมีสัทธาสูรและขรที่ร้อยวันพันปีไม่เคยออกจากวัดโพธิ์ยืนอยู่ด้วย

พวกนั้นแต่งตัวด้วยชุดที่เหมือนชุดที่รูปปั้นยักษ์ใส่ พอออกมาอยู่ข้างนอก ก็กลายเป็นชุดแปลกประหลาดที่คนอื่นๆ ที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างหันเหลียวมอง

มาร์โคโปโลหันซ้ายหันขวา กลัวว่าใครจะมาเห็นเข้าว่าเขารู้จัก ‘พวกประหลาด’ เหล่านี้ หนุ่มตุ๊กตาหินดันพวกยักษ์ไปในมุมที่ลับตาคน ก่อนพูดขึ้น

“นี่เจ้ามาทำอะไรที่นี่ เกิดคนอื่นมาเห็นเข้าจะทำไง”

“ก็ทีเจ้ายังออกมาได้เลย ทำไมพวกข้าจะออกมานอกวัดไม่ได้” มัยราพณ์โต้ “แล้วเจ้าลืมแล้วเหรอว่าเจ้าโม้กับข้านักหนาว่าเจ้าได้ทำงานในตึกใหญ่โตแถวนี้ ข้าก็เลยตามมาจนเจอ”

“ถ้าเจ้าจะออกมา ก็ออกมาดีๆหน่อยสิ นี่อะไร แต่งตัวเหมือนพวกหลงยุค คนอื่นจะยิ่งสงสัย ข้าก็จะพลอยเดือดร้อนไปด้วย”

“ข้าไม่มีเวลาคิดเรื่องนั้นหรอก ตอนนี้ข้ากังวลเพียงว่าจะหาแสงอาทิตย์ลูกข้าได้ที่ไหน” ขรพูดขึ้นมาบ้าง

“แสงอาทิตย์หายตัวไปงั้นเหรอ” มาร์โคโปโลถามขึ้นอย่างสงสัย มัยราพณ์เล่าที่มาที่ไปให้เขาฟังคร่าวๆ และสรุปว่า “เหตุเป็นเช่นนี้ พวกข้าถึงต้องมาให้เจ้าช่วย…เจ้าเป็นคนเดียวที่รู้จักโลกมนุษย์ภายนอกวัดมากที่สุด”

“แล้วจะให้ข้าช่วยเจ้ายังไง”

“ก่อนอื่น…” มัยราพณ์หันมามองชุดแฟชั่นสมัยใหม่ที่ตุ๊กตาหินหน้าฝรั่งใส่อยู่ “ช่วยหาเสื้อผ้าให้พวกข้าเปลี่ยนก่อน”

 

มาร์โคโปโลไม่อยากเชื่อว่าเบี้ยอัฐที่เขาหามาจากงานรีวิวจะมาละลายหายไปด้วยฝีมือของคนสามคน หรือเรียกให้ถูกก็คือ ยักษ์สามตน

หนุ่มตุ๊กตาหินพาเพื่อนยักษ์ทั้งสามมาที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง แต่แทนที่ยักษ์ทั้งสามจะหยุดแค่การซื้อเสื้อผ้าง่ายๆ ที่จะช่วยอำพรางตนในโลกภายนอก มัยราพณ์กลับเพลินกับการเลือกซื้อชุดมากมายที่พอมาใส่เข้าคู่กับหุ่นที่สะโอดสะองของเขาแล้ว เขาก็กลายเป็นหนุ่มหล่อที่ทำให้สาวๆ ที่เดินในห้างมองเหลียวหลัง ส่วนสัทธาสูรหันไปสนใจอุปกรณ์เทคโนโลยีอย่างโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ ขณะที่ขรเลือกหยิบเอาแว่นตากันแดดหลายคู่มาทดลองใส่

มาร์โคโปโลพยายามห้ามปรามแต่ก็สู้กำลังยักษ์ไม่ได้ ไม่ช้าบัตรเครดิตในมือเขาก็ไปอยู่ในมือของมัยราพณ์ ตัวเลขในธนาคารที่ค่อยๆ ลดลงไปเรื่อยๆ พร้อมๆ กับถุงใส่ของที่บรรดายักษ์บอกว่าจำเป็นก็เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน

ยิ่งพอไปถึงร้านบุฟเฟต์ที่กินเนื้อได้อย่างไม่จำกัด พญายักษ์ทั้งสามก็รีบเข้าไปในทันที เนื้อจานแล้วจานเล่าถูกลำเลียงเข้าถึงปากของทั้งสาม โดยที่มีพนักงานเสิร์ฟยืนอึ้งตะลึงมอง

“เจ้าตายอดตายยากมาจากที่ไหนนี่ ทำไมตอนที่อยู่ในวัด ข้าไม่เห็นพวกเจ้ากินจุกันขนาดนี้เลย”

“ตอนที่อยู่ในวัด พวกข้าได้บุญบารมีจากการเป็นทวารบาล ทำให้อิ่มทิพย์และไม่ต้องกินสิ่งใด” มัยราพณ์อธิบายกับหนุ่มตุ๊กตาหิน “แต่พอออกมาโลกมนุษย์ ท้องของข้าก็เริ่มหิวแล้ว”

พญายักษ์หยุดอธิบาย เมื่อเห็นว่ามีอาหารทะเลชุดใหญ่ที่มาวางตรงหน้า รสชาติของอาหารเหล่านี้ยิ่งทำให้มัยราพณ์นึกถึงตอนที่เขาเสวยสุขอยู่ที่วังบาดาล

เจ้าของร้านบุฟเฟต์แทบจะกราบกรานให้ทั้งสามออกจากจากร้านเมื่อหมดเวลากิน และร้านก็แทบไม่เหลือสิ่งใดให้กินได้อีก แต่การชิมอาหารของพญายักษ์ยังไม่จบแค่นั้น เมื่อทั้งสามยังชี้ชวนกันไปหาของหวานล้างปาก

“ไอ้ยักษ์จอมล้างผลาญ!” ตุ๊กตาหน้าฝรั่งบ่นด่ากับตัวเองขณะที่พวกยักษ์ก็ยังแวะเวียนเข้าออกร้านโน้นร้านนี้อย่างไม่หยุดหย่อน

 

ฤทัยมาศพยายามซักถามแสงอาทิตย์อยู่เกือบทั้งวันเกี่ยวกับเรื่องคดี แต่หลังจากที่เขาก็ไม่สามารถตอบคำถามอะไรได้มากไปกว่าเดิม และก็ดูไม่ได้มีท่าทีน่าสงสัยใดๆ เธอจึงตัดสินใจบอกกับเขาว่า “เอาละ ฉันเชื่อแล้วว่าคุณคงไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้จริงๆ…คุณกลับไปได้แล้วค่ะ”

เห็นแสงอาทิตย์นิ่งเงียบไป เธอก็กลัวว่าเขาจะไม่มีที่ไป ตำรวจสาวจจึงถามขึ้น

“แล้วคุณจะไปอยู่ที่ไหน นึกออกหรือยังคะ…”

ยักษ์หนุ่มยิ้มเพราะสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงที่ฤทัยมาศมีให้ เขาพยักหน้ากับเธอ “จริงๆ ผมมีเพื่อนกับพ่อที่รออยู่ที่…”

แสงอาทิตย์ชะงัก จะพูดว่ารออยู่ที่วัดโพธิ์ก็คงยิ่งทำให้หญิงสาวสงสัย เขาเลยเลือกที่จะพูดว่า “รออยู่ที่บ้าน”

“อ้าว ทำไมคุณไม่บอกฉันล่ะ เขาจะตกใจมั้ยที่เห็นคุณหายมาแบบนี้”

“ไม่เป็นไร ยังไงผมก็ต้องกลับไปหาพวกเขาอยู่แล้ว…ผมแค่…” แสงอาทิตย์สบสายตาไปที่ฤทัยมาศ “อยากอยู่ที่นี่ให้นานกว่านี้สักหน่อย”

“อยากเที่ยวนี่เอง ไอ้เราก็เป็นห่วง กลัวว่าคุณจะไม่มีที่ให้กลับ…” หญิงสาวบ่นขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง จนนัยน์ตาของยักษ์หนุ่มระยิบระยับอีกหน

ลินินเพิ่งตื่นหลังจากที่นอนพักจากการบินไฟลต์กลางคืน หล่อนเดินเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย สองสาวสั่งอาหารมาทานกันในห้อง ฤทัยมาศเองก็ตั้งใจจะเลี้ยงข้าวแสงอาทิตย์สักมื้อก่อนจะปล่อยให้ชายหนุ่มกลับบ้านของเขา

ลินินยังคงมองใบหน้าคมเข้มของแสงอาทิตย์อย่างเคลิ้มๆ

“นี่…ถามจริงๆเถอะ คุณแสงอาทิตย์ คุณเคยเจอแมวมองไหม”

แสงอาทิตย์ชะงัก พยายามครุ่นคิด “แมว? ผมเจอบ่อยนะ แถวที่ผมอยู่ก็มีพวกแมวจรเหมือนกัน”

ลินินหัวเราะออกมากับคำพูดเขา และหันไปพยักพเยิดกับฤทัยมาศ “เออว่ะ ฤทัย เขาแปลกจริงๆเหมือนที่แกว่า พูดจายังกับคนโบราณ”

แสงอาทิตย์ท่าทางเก้อๆ ไป ฤทัยมาศเห็นใจ เลยช่วยแปลความหมายให้เขา “เพื่อนฉันเขาหมายถึงเคยมีคนชวนคุณไปเป็นดาราไหม…”

“ดารา?”

“ใช่ ไปแสดงละคร แสดงหนัง อะไรแบบนี้”

แสงอาทิตย์ส่ายหน้า “ไม่มี แล้วผมก็ไม่ชอบด้วย เพราะเวลาเล่นละคร ผมต้องเป็นตัวร้าย…”

ลินินค้านขึ้นมา “ตัวร้าย? คุณนี่นะคะ ฉันพนันเลยว่าถ้าคุณไปเล่นละคร บทที่ได้จะต้องเป็นบทพระเอกชัวร์ๆ”

แสงอาทิตย์แค่อมยิ้ม ไม่ตอบอะไร ส่วนลินินก็คุยอยู่ได้แป๊บเดียว พอเริ่มตกบ่าย หล่อนก็รีบลุกไปแต่งตัวเพื่อเตรียมออกไปทำงานอีกหน

“ไปก่อนนะคะ พอฉันกลับมาก็คงไม่เจอคุณแล้วใช่มั้ยคะคุณแสงอาทิตย์ แต่ถ้าคุณจะเข้าวงการเมื่อไหร่ อย่าลืมบอกฉันนะคะ รับรองว่าฉันจะรอเข้าด้อมของคุณแน่ๆ”

ก่อนลินินจะออกไป หล่อนก็กระซิบกระซาบบอกกับฤทัยมาศ “แกช่วยถามทีว่าเขามีแฟนหรือยัง”

“แล้วทำไมแกไม่ถามเอง”

“ก็ฉันเขินนี่หนา แกช่วยถามแล้วบอกฉันทีนะ อย่าลืมขอเบอร์หรือขอไลน์เขาไว้ให้ฉันด้วยนะ”

ลินินมอบหมายหน้าที่ให้กับเพื่อนสนิท ก่อนที่หล่อนจะแยกตัวออกไปทำงาน ฤทัยมาศถอนหายใจ แต่ก็อดที่จะทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายไม่ได้ เมื่อหล่อนถามชายหนุ่มว่าเขามีแฟนหรือยัง ชายหนุ่มกลับมีสีหน้าไม่เข้าใจ

“แฟน?”

“ก็แบบคนรัก…คนที่คุณอยากอยู่ด้วย”

แสงอาทิตย์พยักหน้า ฤทัยมาศเห็นแบบนั้นแล้วก็คิดว่าหากลินินมาอยู่ในตอนนี้ เพื่อนหล่อนคงถอนหายใจออกมาด้วยความผิดหวังแน่ๆ

ใบหน้าที่คมคายนั้นกลับดูมีแววเศร้าอย่างประหลาด “แต่จริงๆ ผมไม่ควรรักเขา…”

ฤทัยมาศชะงัก ไม่รู้เช่นกันว่าจะตอบสนองต่อคำพูดของแสงอาทิตย์อย่างไร “กลายเป็นเรื่องเศร้าเฉยเลย…โทษทีนะคะ ฉันไม่รู้”

ยักษ์หนุ่มส่ายหน้าว่าเขาไม่ถือสา แต่ฤทัยมาศก็ยังอดสงสัยไม่ได้ รูปร่างหน้าตาแบบเขาไม่น่าจะต้องมาผิดหวังในความรักเลยนะ สุดท้ายหญิงสาวก็เลยอดรนทนไม่ได้ต่อความอยากรู้

“มันเกิดอะไรขึ้น…คุณพอจะเล่าให้ฉันฟังได้มั้ยคะ”

 



Don`t copy text!