โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 14 : การจากลา (2)

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 14 : การจากลา (2)

โดย : ปีกดอกไม้

Loading

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน นิยายโรแมนติกแฟนตาซีที่มีกลิ่นอายจีนโบราณ ผลงานรางวัลรองชนะเลิศโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 ของ ปีกดอกไม้ หรือ รสริน พระปริยัติ อ่านเอานำมาให้ทุกท่านได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของโรงน้ำชาและเรื่องราวของผู้คนที่นี่ รวมถึงปริศนาเบื้องหลังของน้ำชาความทรงจำนี้ อ่านได้แล้วที่เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

มือหนารินชาจากป้านชาใส่ถ้วยก่อนจะเลื่อนมันส่งให้พ่อบ้านจาง เฉินเอินทอดสายตามองคนตรงหน้าก่อนจะถอนใจยาวออกมาด้วยรู้ว่าชายชรากำลังเต็มไปด้วยความทุกข์

“เมื่อคืนเห็นคุณจางโทรศัพท์คุยเรื่องสำคัญอยู่เลยไม่อยากกวน เสียใจด้วยเรื่องของลูกสาว อย่าโทษตัวเองนักเลยเพราะไม่ใช่ความผิดของใครทั้งนั้น”

“คนเป็นพ่อไม่เคยคิดเลยว่าลูกสาวจะต้องมาเจ็บป่วยก่อนตัว เมื่อวานทางนั้นโทรมาร้องไห้เสียใจที่ไม่เคยดูแลพ่อที่แก่ชราคนนี้เลย เพราะวันๆ มัวแต่ยุ่งเรื่องลูกเรื่องสามี รู้ตัวอีกทีก็ป่วยหนัก ต่อไปอยากจะดูแลปรนนิบัติพ่อก็คงไม่มีโอกาสอย่างที่คิดวางแผนไว้ ลูกสาวของฉันคนนี้น่ะหรือ ฉันได้แต่คิดว่าคงไม่เห็นพ่อคนนี้ในสายตาเสียแล้ว ยังบ่นให้บรรดาลูกคนอื่นฟังอยู่ว่าวันๆ เอาแต่แต่งเนื้อแต่งตัวใช้เงินฟุ่มเฟือย ทั้งยังวุ่นวายพาลูกไปเรียนนั่นเรียนนี่ แต่ลูกสาวไม่ได้เรื่องคนนี้กลับวางแผนไว้ว่าเมื่อลูกของตัวเข้ามหาวิทยาลัยกันหมดก็จะได้มีเวลามาดูแลพ่อเสียที ไม่คิดเลยจริงๆ คุณเฉินว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้”

“ไม่เป็นไรคุณจาง ยังไม่สายไปไม่ใช่หรือ พ่อดูแลลูกจะแปลกอะไรในเมื่อเราก็เคยดูแลแกเมื่อยามเป็นเด็ก กลับไปเมืองจีนเสียไปอยู่ใกล้ชิดให้ลูกหลานได้ดูแล แกจะได้ไม่ต้องรู้สึกผิดว่าทำหน้าที่ลูกได้ไม่ดี”

“ยังมีเซี่ยเหมยซี คุณเฉินรู้เรื่องแล้วใช่ไหม” ชายหนุ่มพยักหน้าลงรับคำ

“ก็แล้วที่นี่จะทำยังไง” ชายชราเอ่ยด้วยความหนักใจ

“ไม่ทำยังไงเพราะยังมีสวีสุ่ยเหอ ป้าจูก็ยังอยู่ และต่อให้ขาดเพื่อนคุยอย่างคุณจางไปก็ยังมีโน่น คนโน้นน่ะพูดมากยิ่งกว่าคุณจางเสียอีกไม่ต้องกลัวว่าหูจะว่างจนเกินไป ส่วนเซี่ยเหมยซีก็อย่างที่เราคุยกันว่าถึงเวลาที่ต้องไปมีชีวิตเป็นของตัวเองเสียที”

“คุณเฉินคิดจะบอกเรื่องน้ำชากับมโนชาหรือไม่”

“คิดว่าถึงเวลาก็คงต้องบอก คนอย่างมโนชานิสัยช่างสังเกตอยากรู้อยากเห็น ช่างคิดช่างตั้งคำถาม นี่น่าจะเก็บข้อมูลมาตลอด เด็กคนนั้นน่ะไม่เคยเก็บความรู้สึกได้เลย น่าจะสงสัยจนจวนจะบ้าเต็มทีแล้ว”

“ดีไม่ดีคิดว่าเราเป็นกลุ่มทุนจีนสีเทาไปเสียอีก” พ่อบ้านจางหัวเราะออกมา “เพียงแต่ว่าหากรู้เรื่องการมีอยู่ของน้ำชาความทรงจำนี่แล้วมโนชาจะไม่อยากใช้ประโยชน์จากการมีอยู่ของน้ำชานี่หรือ เรื่องอดีตที่เลวร้ายจนต้องเสียคนในครอบครัวไปนั่น ก็ไม่แน่เหมือนกันว่าคนที่ถูกชะตาเหวี่ยงเข้ามาที่นี่อาจไม่พ้นเป็นคนที่อยู่ในเงื่อนไข มโนชาเองก็อาจเป็นคนที่มีสิทธิ์รับน้ำชานี้ก็ได้”

“หากเป็นอย่างนั้นก็จะเป็นอะไรไป ช่วยให้คนลืมเรื่องร้ายคุณจางก็เคยว่าเป็นสิ่งที่ควรทำไม่ใช่หรือ แต่บางทีนะคุณจาง คนอย่างมโนชา…” เขานึกถึงคำพูดของเธอเมื่อคืนนี้ “อาจไม่เคยต้องการมันเลยก็ได้”

“คนเราจะมากจะน้อยต่างมีเรื่องราวที่อยากรู้อยากลบจนนับไม่ถ้วนกันทั้งนั้น”

“อย่างนั้นฉันจะเรียกค่าซื้อขายความทรงจำนั้นให้แพงเสียจนหายอยากเลยดีไหม”

“ไม่คิดว่าคนอย่างคุณเฉินจะขูดเลือดใครกับเขาเป็นด้วย เอาเถอะอย่างไรเสียก็แค่ถามดู ว่าแต่วางแผนจะบอกเมื่อไหร่อย่างนั้นหรือ…”

เขาไม่ได้ตอบออกไปเพราะแม้กระทั่งตัวเองก็ยังไม่รู้ คิดว่าเมื่อถึงเวลาอันสมควรก็คงจะได้บอก

 

คืนนี้ภายในโรงน้ำชามีงานเลี้ยงอำลาผู้อาวุโส สมาชิกผู้ได้รับความนับถือจากทุกคนที่นี่อย่างพ่อบ้านจาง และถือโอกาสเป็นการเลี้ยงฉลองข่าวดีที่เกิดขึ้นท่ามกลางข่าวร้ายคือเรื่องที่เซี่ยเหมยซีและเสิ่นต้าชานตกลงจะแต่งงานกัน และยังมีข่าวดีอีกเรื่องเหมือนกันที่แม้จะเป็นข่าวดีแต่ก็พาให้คนหายไปจากโรงน้ำชาอีกคนหนึ่งซึ่งก็คือน้องนักเรียนที่มาทำพาร์ตไทม์อยู่หลายเดือนตั้งแต่เริ่มเปิดโรงน้ำชา

“จี๊ดสอบติดแล้วค่ะ ก็คงจะต้องไปด้วยอีกคนอย่างไม่เต็มใจ”

แม้บทบาทของเด็กสาวชื่อจี๊ดคนนี้ในโรงน้ำชาจะมีน้อยมาก กระนั้นก็ยังเป็นการจากลาที่ทำเอาคนใจหายอยู่เหมือนกัน คนที่สนิทที่สุดคงเป็นป้าจูที่ชอบพากันซ้อนมอเตอร์ไซค์ออกไปข้างนอก

สำหรับเฉินเอินแม้จะไม่สนิทกับน้องจี๊ดนัก แต่การที่จะมีคนเดินจากไปอีกคนทั้งที่เคยเห็นหน้ากันอยู่ทุกวันเขาจะรู้สึกยังไง

“ฉันไม่รู้เรื่องมาก่อนเลยไม่ได้เตรียมอะไรไว้ให้เป็นของขวัญที่เธอสอบติด ยินดีด้วยที่ความพยายามให้ผลตอบแทนอันงดงาม” เฉินเอินกล่าวได้อย่างสวยงามก่อนจะเอ่ยต่อ

“ถึงอย่างนั้นก็ใช่จะไม่มีเสียทีเดียว นี่ของเธอ…” เจ้าของโรงน้ำชายื่นซองแดงให้เด็กจี๊ด “ส่วนนี่ก็ของคุณจาง ขอให้เส้นทางต่อไปข้างหน้ามีแต่ความสะดวกราบรื่น มีสุขและไร้ทุกข์”

ทุกคนชูแก้วขึ้นมาด้วยความอิ่มเอมชื่นมื่น ล้วนปฏิเสธอนาคตไม่รับรู้การลาจาก ถือว่าวันนี้ยังอยู่พร้อมหน้าก็ควรอยู่กับเวลาในขณะนี้ ต่างซาบซึ้งไปกับบรรยากาศดีอาหารเลิศรสและมิตรสหายพร้อมหน้า

มโนชาชะโงกดูน้องจี๊ดที่ทนความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองไม่ไหวค่อยๆ แอบเผยอซองเงิน ก่อนจะตกใจเพราะนั่นคือเงินสกุลไทยใหม่เอี่ยมปึกใหญ่ หญิงสาวหันไปคะยั้นคะยอพ่อบ้านจางให้เปิดกล่องของขวัญบ้าง

ชายชราหันไปมองเจ้าของกล่องของขวัญเป็นเชิงขออนุญาต เขาพยักหน้าลงพร้อมกับที่มือเหี่ยวย่นค่อยๆ เปิดมันออกช้าๆ แล้วตราหยกสีขาวสลักลวดลายก็ปรากฏขึ้นในสายตา เธอเห็นพ่อบ้านจางมือสั่นเลยเดาเอาว่าหากมันไม่มีมูลค่าเป็นเม็ดเงินมาก ก็คงมีค่าทางใจเป็นอย่างมาก

หยกชิ้นนี้เดิมทีเป็นของภรรยา เป็นของที่ตกทอดมาหลายชั่วอายุคน กระทั่งกิจการเกิดมีปัญหาภรรยาถึงได้แอบนำมันไปขายเพื่อนำเงินมาจุนเจือครอบครัวในยามมืดมน จนลมหายใจสุดท้ายของภรรยาพ่อบ้านจางก็รู้ดีว่าเธอยังคงคิดถึงหยกชิ้นนี้อยู่

เขาพยายามจะตามหา แต่หยกชิ้นเดียวทั้งยังไม่ใช่ชิ้นที่วิเศษที่สุดใช่จะตามหาได้โดยง่าย จนสุดท้ายก็ถอดใจไป เคยเปรยให้คุณเฉินคนนี้ฟังเมื่อคราวภรรยาจากไปไม่คิดว่าสุดท้ายเขาไปตามหามาให้จนได้

“โหลวกังคงจะได้โล่งอกเสียทีที่ใช้หนี้น้ำชาได้”

พ่อบ้านจางหัวเราะออกมานึกถึงชายวัยใกล้เคียงกันที่รับน้ำชามาก่อนเขาเสียด้วยซ้ำ โหลวกังผู้มั่นอกมั่นใจและไม่ชอบเป็นหนี้บุญคุณใครเหมือนจะโดนแกล้งเมื่อราคาของน้ำชายังจ่ายไม่ได้เพราะคนที่รังสรรค์ชานี้ยังนึกไม่ออกว่าจะหาประโยชน์ใดจากเขาได้

“แล้วของพี่เหมยซีล่ะคะไม่เห็นจะมีเลย” เสียงใสเอ่ยแซวขึ้นมาลอยลม

เฉินเอินเหลือบตาขึ้นมองคนพูดครู่หนึ่งก่อนจะหันไปสบตาพ่อบ้านจางซึ่งอ่านได้ว่า ‘ต้องติดอยู่กับแม่คนนี้แน่ใจหรือว่าอยู่กันได้ ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวหนึ่งอย่าง ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านอีกหนึ่งอย่าง’

“ของเหมยซีล่ะคะ” เซี่ยเหมยซีเห็นมโนชาแซวก็อดพูดขึ้นมาบ้างไม่ได้

“ของเหมยซีย่อมต้องมี เด็กนี่นะถึงขั้นกล้าทวง” เฉินเอินโคลงศีรษะอ่อนใจ

“คำก็เด็กสองคำก็เด็ก ได้ข่าวว่าห่างกันแค่ปีเดียว แถมซินไม่ได้ทวงให้ตัวเองสักหน่อยทวงให้พี่เหมยซีต่างหาก ซินทำดีไหมคะพี่เหมยซี” เซี่ยเหมยซีมองมโนชายิ้มๆ ขาดเธอและพ่อบ้านจางอย่างน้อยคนขาดๆ เกินๆ คนนี้คงสร้างรอยยิ้มให้กับคนที่นี่ได้บ้าง

ส่วนคนโดนทวงของก็รู้สึกกึ่งขบขันกึ่งระอา มโนชาเป็นคนพูดตรงกล้าพูดกล้าแซว พอมานึกดูเขาไม่ได้เป็นเจ้าหนี้ของเธอ มโนชาไม่ได้เป็นหนี้ชีวิตเขาเช่นคนอื่นที่นี่ แม้จะเป็นเจ้านายแต่ภาพลักษณ์ที่แสดงวัยก็แทบไม่ต่าง อาการลามปามเล่นหัวนั้นเลยเกิดขึ้นโดยง่าย ช่องว่างบางอย่างที่เคยสร้างโพรงโหวงเหวงเอาไว้ในอกก็เหมือนจะรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย เขานึกถึงคำพ่อบ้านจางขึ้นมาทันที

“จำได้ไหมคุณจางที่พูดว่าสักวันมโนชาถึงขั้นจะเล่นหัว วันนั้นคงเป็นวันนี้นี่เอง” พ่อบ้านจางหัวเราะออกมาจนน้ำตาไหล ต่อเมื่อเอามือปาดน้ำตาทิ้งไปถึงได้พินิจพิจารณาดูชายหนุ่มตรงหน้าอย่างสังเกตสังกาอีกครั้งด้วยความรู้สึกที่เรียกได้ว่าโล่งใจ

แววตายาวรีคู่สวยของเจ้าของโรงน้ำชาที่เคยเต็มไปด้วยพยับเมฆหม่นหมองอึมครึมเวลานี้แทบไม่มีให้เห็น เดิมทีคิดว่าเฉินเอินคงจะยืนทอดถอนใจเหม่อมองดวงจันทร์ส่งคนใกล้ตัวให้ห่างหาย แม้ตัวพ่อบ้านจางเองก็เถอะใครจะไปคิดว่าเวลานี้จะมีอารมณ์รื่นเริงขึ้นมาได้

ชายชราได้เห็นแล้วว่ามโนชาได้ทำการบ้านมาเป็นอย่างดีโดยการหยอกคนนั้นแซวคนนี้และพยายามสร้างบรรยากาศ ใครจะว่ามโนชาดูสนุกสนานเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวก็จริงแต่หญิงสาวเป็นนักสังเกตชั้นเยี่ยม เธอสังเกตเห็นและรับรู้ได้ว่าเฉินเอินตัวคนเดียว รู้ว่าคนที่ดูร่ำรวยและยิ่งใหญ่คนนี้ คนที่มีแต่คนรักอยู่รายล้อมแท้จริงแล้วเปล่าเปลี่ยวแค่ไหน

เขาก็เป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น เป็นเด็กหนุ่มในวัยยี่สิบห้าปี

แม้จะอยู่มายาวนานแต่ก็ยังเป็นมนุษย์ปุถุชนอยู่ดี

เซี่ยเหมยซีมองเขาในแบบหนึ่ง ตัวพ่อบ้านจางเอง ป้าจู สวีสุ่ยเหอ ทุกคนต่างผ่านการรับน้ำชามาแล้วทั้งนั้น ล้วนมีแผลใจและถูกเขาช่วยเอาไว้ แต่เขาล่ะ เฉินเอินคนนี้…ใครจะช่วยเขาได้

“ฝากด้วยนะซินทั้งคนทั้งโรงน้ำชา” พ่อบ้านจางเอ่ยพลางใช้ตะเกียบคีบเนื้อชิ้นที่ดีที่สุดให้มโนชา

“ให้เนื้อชิ้นนี้เป็นพยานเลยค่ะ” หญิงสาวยิ้มตาหยีคีบเนื้อเข้าปากแล้วชูนิ้วโป้งให้พ่อบ้านจาง เธอมองชายชราอยู่ครู่ใหญ่ก็เกิดความรู้สึกตื้นตันขึ้นมา เวลาสั้นๆ แต่เหมือนไม่ใช่คนอื่นไกล กลับเหมือนญาติผู้ใหญ่อีกคน “ซินรินน้ำชาให้นะคะ” พ่อบ้านจางยิ้มกว้างรับคำ

มโนชานึกถึงวันแรก ชายชราในตอนยกกระดาษประวัติสมัครงานของเธอส่องกับแสงไฟที่ร้านอาหาร แม้จะไม่ใช่คนแรกที่เธอได้รู้จักท่ามกลางคนที่นี่ แต่เขาเป็นคนที่รับเธอเข้ามาในสถานที่ซึ่งนับจากนี้เธอคงเรียกมันว่าบ้าน



Don`t copy text!