โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 5 : เฉินเอิน (2)

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 5 : เฉินเอิน (2)

โดย : ปีกดอกไม้

Loading

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน นิยายโรแมนติกแฟนตาซีที่มีกลิ่นอายจีนโบราณ ผลงานรางวัลรองชนะเลิศโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 ของ ปีกดอกไม้ หรือ รสริน พระปริยัติ อ่านเอานำมาให้ทุกท่านได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของโรงน้ำชาและเรื่องราวของผู้คนที่นี่ รวมถึงปริศนาเบื้องหลังของน้ำชาความทรงจำนี้ อ่านได้แล้วที่เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

จากวันนั้นเวลาผ่านมายาวนาน พระอาทิตย์ยังคงขึ้นทางทิศตะวันออก มันส่องแสงแรกเรื่อเรืองจับขอบฟ้าเปลี่ยนให้ทิวทัศน์โดยรอบยิ่งดูงดงามตระการตา ในขณะที่ชายหนุ่มยังยืนอยู่อย่างนั้นข้างหน้าต่างในหอตำราด้วยความทอดถอนใจ

เขาเคยบอกเซี่ยเหมยซีให้ลืมเรื่องเลวร้ายทุกอย่างไป หากในใจแล้วรู้ดีว่าสิ่งที่อยากลืมใช่จะลืมกันไปได้ง่ายๆ ใบหน้าของผู้คนในอดีตล่องลอยเข้ามาราวหมอกควัน บางครั้งแน่นทึบ บางครั้งก็รางเลือน

ใบหน้าของผู้นำตระกูลหงนั้นชัดเจนราวกับตราประทับด้วยหมึกชนิดพิเศษ ในขณะใบหน้าของคนอื่นๆ ที่เคยรู้จักพบเจอกลับเป็นเสมือนหมึกราคาถูกที่จืดจางลงตามวันเวลา ถึงตอนนี้เขาก็ลืมไปหมดสิ้นแล้ว และยังมีใบหน้าของหญิงสาวอีกคนที่ตามติดวนเวียนอยู่ในฝันทิ้งความรู้สึกว่างโหวงในใจยากจางหาย

เวลาผ่านมายาวนาน นานเกินกว่าช่วงชีวิตของคนเหล่านั้น แต่ละคนที่ผ่านเข้ามา แต่ละคนที่จากไปล้วนสร้างรอยประทับฝังรากหยั่งลึกลงในความทรงจำอันยาวนานนี้ทั้งนั้น

ดวงตาแฝงรอยเฝ้าจ้องมองออกไปท่ามกลางความเงียบสงัดของยามเช้า สงัดเงียบจนเขาคิดว่าบางทีโลกอาจจะหยุดหมุนไปเสียแล้ว

ทว่าทันใดนั้นกลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้นขัดความเงียบ ชายหนุ่มขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ เสียงฝีเท้าดังกระทบพื้นเป็นจังหวะเรียกสายตาที่เหม่อมองออกไปไกลแสนไกลถึงอดีตให้กลับมาสู่ปัจจุบัน

ร่างเล็กๆ ที่ดูเหมือนจะอยู่ห่างออกไปขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ แสงทองสาดต้องยังเส้นผมพลิ้วไหวตามจังหวะที่เท้าแตะลงพื้น ใบหน้าที่ไม่คุ้นชินนี้ อีกหน่อยก็คงสร้างรอยประทับเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่ผ่านเข้ามาในช่วงชีวิต เธอมีสีหน้าสดชื่นอย่างคนที่นอนเต็มตื่น มีสีแดงเรื่อเจืออยู่ในแก้มและริมฝีปากขณะใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อผุดพราย

“ทำอะไรแต่เช้าหรือซิน”

“วิ่งไงคะ” คนที่อยู่ในชุดเสื้อวอร์มกางเกงวอร์มค่อนข้างจะงงเล็กน้อยเพราะมันชัดมากว่าเธอกำลังวิ่งออกกำลังกายอยู่ ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าห้องนอนเขาอยู่ชั้นบนของห้องหนังสือนี้เอง บางทีเสียงวิ่งของเธออาจจะปลุกเขาตื่นก็ได้ เธอเริ่มจะเรียนรู้จากการได้พบปะพูดคุยและเล่นหมากล้อมด้วยกันเมื่อคืนว่าเขาเป็นคนสุภาพ ก็เลยอาจจะเลือกถามทักทายมากกว่าการต่อว่า “รบกวนคุณเฉินหรือเปล่าคะ”

“ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้น” รอยยิ้มละมุนผุดขึ้นจากสีหน้าเหนื่อยอ่อน “ฉันอาจจะใช้คำไม่ถูกเลยทำเธอเข้าใจผิด ฉันหมายความว่าสวัสดีตอนเช้านะซิน” เมื่อไม่ใช่อย่างที่คิด และแววตานั้นก็ไม่ได้มีแววตำหนิ รอยยิ้มแหยอย่างเกรงใจเลยเปลี่ยนเป็นเปิดกว้างขึ้น

“สวัสดีตอนเช้าค่ะ” เสียงหวานกังวานใสให้ความรู้สึกสดชื่น เพียงครู่ก็เกิดรอยลังเล ก่อนที่ริมฝีปากบางจะขยับเอ่ยชวน “คุณเฉินสนใจมาวิ่งด้วยกันไหมคะ ชวนพ่อบ้านจางก็อยากอ่านหนังสือพิมพ์มากกว่าแถมบ่นว่าข้อเข่าไม่ค่อยสามัคคี ส่วนพี่เหมยซีก็ยุ่งทำอาหารอยู่ในครัวกับป้าจูแล้วไม่ยอมให้ซินช่วย”

“เหลือแต่ฉันซึ่งดูไม่น่าจะมีงานมีการทำ” เขาเอ่ยยิ้มอย่างรู้ทัน อดสังเกตไม่ได้ว่ามโนชาดูช่างสนิทสนมเข้ากับคนที่นี่ได้อย่างรวดเร็วเพียงชั่วข้ามคืน

“ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นค่ะ ซินแค่บอกให้ฟังเฉยๆ คุณเฉินน่าจะธุระเยอะกว่าใครเพราะเป็นเจ้าของที่นี่ แต่ว่าถ้ามีเวลาตอนเช้าออกมาสูดอากาศมาออกกำลังกายเรียกเหงื่อก็น่าจะดีอยู่นะคะ น่าจะช่วยให้กลางคืนหลับสนิทดีด้วย”

มโนชาเองก็สังเกตเห็น เขาคงดูเหมือนคนอดนอนทั้งที่ร่างกายนี้ไม่เคยแสดงความเสื่อมโทรมออกมา เธอรู้ได้อย่างไร หรือบางทีก็อาจจะเป็นแววตาที่แสดงความเหนื่อยล้าก็เป็นได้ ในตอนนี้ที่รอยระแวดระวังในดวงตากลมใสนั้นหายไปความสนิทสนมถึงเข้ามาแทนที่ เขานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบปฏิเสธ

“ไม่ดีกว่า เธอวิ่งเถอะ วันนี้จะได้เริ่มเรียนเกี่ยวกับชาเป็นวันแรก”

 

มโนชาออกวิ่งต่อเมื่อแผ่นหลังนั้นหายกลับเข้าไปในบ้าน นึกถึงเรื่องที่นอนคุยกับเซี่ยเหมยซีจนหลับไปเมื่อคืนนี้ ทั้งพี่เหมยซี ทั้งพ่อบ้านจางต่างดูสนิทสนมคุ้นเคยกับคนที่เป็นเจ้าของที่นี่เป็นอย่างดี

พี่เหมยซีบอกว่าทำงานกับคุณเฉินมานานกว่ายี่สิบปี หากเป็นอย่างนั้นคงจะได้เห็นเขาตั้งแต่อายุเพียงไม่กี่ขวบปี บางทีคงจะทำงานให้กับที่บ้านของเขาเสียมากกว่า แต่อะไรบางอย่างก็บอกเธอว่าเรื่องนี้มันดูแปลกๆ ชอบกล ความสัมพันธ์ของคนที่นี่ทั้งอายุและสถานะ ทั้งสรรพนามที่ขานเรียก ดูเหมือนจะสับสนปนเปไปหมด

อย่างไรก็ดี เช้าวันนี้เป็นวันที่เธอจะได้เรียนงานเป็นวันแรก ที่ร้านมีน้องนักเรียนอยู่อีกคนซึ่งมาบ้างไม่มาบ้างและทำอะไรไม่ค่อยจะเป็นมากนักเพราะเพิ่งเข้ามาก่อนหน้าเธอไม่นาน และดูท่าว่าโรงน้ำชานี้ก็ไม่ใช่แผนการถาวรของน้องเสียด้วยเพราะน้องคงต้องไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยในเร็ววัน

“คุณเฉินให้รับมาช่วยงานจิปาถะ รับลูกค้าบ้างอะไรบ้างในตอนที่พี่ยังไม่คุ้นชินกับที่นี่ ส่วนเรื่องชงชา…” เซี่ยเหมยซีกระแอมเบาๆ เมื่อได้ยินเสียง ‘เพล้ง’ ดังมาจากด้านหลัง

ทีมาสเตอร์มือหนึ่งของร้านอย่างเธอเคยบอกหรือจะเรียกว่าฟ้องกับเจ้าของโรงน้ำชานี้แล้วแต่คำตอบที่ได้ก็คือการหัวเราะ! และในตอนนี้เด็กสาวที่เพิ่งจะมาใหม่นี้ก็กำลังหัวเราะอยู่เช่นกัน

“ขอโทษค่ะ ท่าทางน้องตอนโผล่หน้าออกมาสารภาพผิดเมื่อกี้ตลกดี”

สำหรับมโนชานั้นเธอแตกต่างออกไปเพราะเติบโตมากับสิ่งนี้ บ้านอยู่ติดโรงเจ ทุกวันเป็นกิจวัตรก็มักจะมีป้านน้ำชาวางอยู่บนโต๊ะอาหารเพื่อต้อนรับเพื่อนบ้านและญาติที่แม้จะห่างทางสายเลือดแต่บ้านอยู่ละแวกเดียวกัน มันเคยเป็นสิ่งจำเจน่าเบื่อเสียเหลือเกินในสายตาเด็กหญิงมโนชา เธออยากได้เหยือกน้ำจากแก้วคริสตัลสวยๆ กับแก้วน้ำเข้าชุดกันมากกว่า

แต่ในตอนนี้ที่ทุกอย่างสลายไปกับควันไฟและกลายเป็นความทรงจำไปเสียแล้วเธอก็เพิ่งจะได้เห็นเสน่ห์ของมัน ยิ่งศึกษายิ่งสนใจ ฟองน้ำเดือดที่ผุดพรายแรกขึ้นมา กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสายน้ำที่ถูกรินออกมาเหมือนจะรินความทรงจำทุกอย่างออกมาด้วย

“เก่งนี่น้องซิน” เซี่ยเหมยซียิ้มกว้าง “หัดมาจากไหนคะ”

มโนชาถึงได้เล่าเรื่องที่บ้านอยู่ติดกับโรงเจให้ฟังตลอดจนถึงเรื่องที่พ่อและแม่เสียชีวิตแล้วด้วยน้ำเสียงราบเรียบธรรมดาโดยมีคนอีกผู้หนึ่งนั่งฟังด้วยอยู่ห่างๆ ในทีแรกใบหน้านั้นประดับด้วยรอยยิ้มอย่างขบขันในเรื่องที่คุยกันก่อนหน้าทว่าก็กลับนิ่งลงเมื่อได้ฟังเสียงใสนั้นเล่าชีวิตในอดีตด้วยท่าทีปกติธรรมดา

สำหรับใครหลายคนน้ำชาความทรงจำมีค่ามหาศาล แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินเอินนึกขึ้นมาได้ว่าบางทีมันอาจะไม่ได้มีค่าขนาดนั้น

สำหรับมโนชา น้ำชาความทรงจำนี้จะมีค่าอะไร คนที่มีความสุขอยู่กับปัจจุบันอย่างเธอแม้จะโหยหาอดีตแต่ก็ตระหนักได้ว่ามันได้ล่วงผ่านมาแล้ว และก็ไม่ได้มีความละโมบถึงอนาคต

เมื่อเปรยเข้ากับพ่อบ้านจาง ฝั่งนั้นถึงได้เอ่ยความคิดที่เก็บไว้กับตัวมาตั้งแต่แรกที่ได้ไปสัมภาษณ์

“ทุกคนที่อยู่รอบตัวคุณเฉินมักจะมีแผลใจด้วยกันทั้งนั้น มีเรื่องทุกข์ที่ต้องการความช่วยเหลือ แล้วคุณเฉินก็หยิบยื่นความช่วยเหลือให้ แต่มือที่ยื่นออกมานั้นก็กลับซึมซับเอาความทุกข์นั้นไว้ด้วยเช่นกัน พรจากสวรรค์มักมากับความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ เด็กสาวคนนั้นต่างจากเราทุกคน ดูเหมือนเธอจะไม่รับความทุกข์ใดมาแบกเอาไว้เลย และเธอไม่เคยมองตัวเองเป็นเหยื่อของชะตากรรม”

ชายหนุ่มรับฟังเรื่องเล่าจากคนที่ไปสัมภาษณ์งานและรับเธอเข้ามา ดวงตายาวรีทอดมองออกไปยังที่ตั้งร้าน ประสาทสัมผัสดีกว่าคนปกติเมื่อฝึกปราณ

“เทให้สูง รินให้ต่ำ หมายความว่าเวลาเทน้ำร้อนใส่ชาให้ยกขึ้นสูงเพราะน้ำที่ไหลลงมาจะกระแทกใบชาจะได้ความร้อนทั่วถึง ส่วนรินให้ต่ำเพราะว่ากลิ่นของชาจะได้ไม่กระจายออกนอกถ้วยชา” เสียงพี่เลี้ยงอย่างเซี่ยเหมยซียังดังแว่วล่องลอยมาตามลม

“เวลารินชาใส่ถ้วยก็รินพร้อมกันทีเดียวทุกถ้วยวนไปจนครบ ความเข้มข้นจะได้เท่ากันหมด และต้องเทน้ำชาออกจนหมดป้านเหลือน้ำที่ค้างไว้ให้น้อยที่สุด ชงน้ำต่อไปจะได้ไม่ขม” ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา มีเพียงเสียงอุปกรณ์กระทบกันและเสียงน้ำที่ไหลจากป้านชา หากเพียงเขาจะมองเห็นทะลุกำแพงได้ก็คงจะได้เห็นมโนชากับกำลังจดจ่อตั้งใจทำตามคำแนะนำอยู่

“ดีมากเลยซิน ทีนี้ลองจิบดู” เซี่ยเหมยซีเอ่ยชมอย่างจริงใจ แม้กระทั่งท่าทีในการจิบชาก็เป็นไปอย่างสุขุม ริมฝีปากบางเผยอออกเล็กน้อยค่อยๆ ละเลียดชิมน้ำสีอ่อนใสซึ่งมีควันลอยขึ้นจางๆ

“หอมมากเลยค่ะ” นานจนชาหมดถ้วยถึงได้ยินเสียงเธอเอ่ยขึ้นผิดกับตอนก่อนหน้านี้ที่พูดแทบไม่หยุด “ก่อนชงชาซินพูดเยอะจนคอแห้งจะเป็นผง ทีนี้หายคอแห้งเลยค่ะ”

เฉินเอินเผลอหัวเราะออกมาทำเอาคนที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์จีนข้างๆ ชะงักเงยหน้าขึ้นมองลอดแว่น

“ไปแอบฟังอะไรเขาอีกล่ะคุณเฉิน มีอะไรขำนักหรือไงไม่รู้จักแบ่งปันกันบ้าง”

“คนที่คุณจางรับมาด้วยก็ตลกดีใช้ได้ สมัยนี้เขาใช้คำว่าอะไรนะ ‘โบ๊ะบ๊ะ’ อีกคำก็ ‘โก๊ะกัง’ สิใช่ไหม”

“ฮื้อ อย่าไปเรียนภาษาเด็กเลยไม่เข้าท่า เดี๋ยวอีกหน่อยก็ได้เล่นเป็นเพื่อนหรอกเพราะดูอายุอานามใกล้กันเสียด้วย ทางนั้นไม่รู้นี่ว่าคุณเฉินอายุเท่าไหร่เกิดอยากจะเล่นหัวขึ้นมา” ชายหนุ่มกระแอมพลางขยับตัว พร้อมกับหุบยิ้มลงตีหน้าขรึมนิ่งราวกับปูนปั้น คนกำลังอารมณ์ดีดันเอาเรือเข้ามาขวางเสียได้

“ก็แล้วคนแถวนี้ล่ะไม่เล่นหัวหรือไง ชอบคิดว่าตัวเองแก่จริงๆ เช่นเดียวกับรูปลักษณ์ถึงมาสั่งสอนได้ อย่ารู้เลยว่าฉันอายุเท่าไหร่ คุณจางรู้แล้วจะหนาว”

แล้วแผ่นหลังตรงนั้นก็เดินข้ามสะพานตรงไปยังร้าน สองมือล้วงกระเป๋าทั้งยังผิวปากเบาๆ อย่างกับวัยรุ่น ทิ้งให้คนโดนแขวะนั่งค้อนหนังสือพิมพ์ด้วยความขบขันปนระอาพร้อมกับตั้งคำถามตัวเองในใจ หรือจะเป็นเขาคนเดียวที่แก่จริงอย่างที่ว่า

 



Don`t copy text!