โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 6 : เรื่องซุบซิบ (2)

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 6 : เรื่องซุบซิบ (2)

โดย : ปีกดอกไม้

Loading

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน นิยายโรแมนติกแฟนตาซีที่มีกลิ่นอายจีนโบราณ ผลงานรางวัลรองชนะเลิศโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 ของ ปีกดอกไม้ หรือ รสริน พระปริยัติ อ่านเอานำมาให้ทุกท่านได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของโรงน้ำชาและเรื่องราวของผู้คนที่นี่ รวมถึงปริศนาเบื้องหลังของน้ำชาความทรงจำนี้ อ่านได้แล้วที่เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

มโนชาไม่ได้รู้ตัวเลยว่าทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้ในหัวของเซี่ยเหมยซี คำถามกึ่งแซวนั้นถูกโยนออกไป พอปิดร้านเสร็จเจ้าตัวก็กลับห้องไปหอบเอานิยายจีนพร้อมกับขนมเดินตรงไปยังหอกลางน้ำซึ่งลมกำลังพัดโชยมาอย่างน่าสบาย

ต้นหลิวระกิ่งก้านย้อยลงน้ำ ยามต้องล้มก่อระลอกคลื่นออกไปเป็นวงกว้าง แสงแดดร้อนแรงราแสงลงแล้ว มโนชานั่งเหยียดลงกับยกพื้นทำจากไม้แล้วเริ่มพลิกหน้ากระดาษไปเรื่อยๆ

“ไม่ใช่ว่าเดี๋ยวนี้พกแท็บเล็ตไว้อ่านหนังสือกันหมดแล้วหรือ” เสียงนั้นดังขึ้นไม่ไกลก่อนเจ้าของโรงน้ำชาจะปรากฏตัวขึ้น “ฉันกวนเธอหรือเปล่าซิน” มโนชาเงยหน้าจากหนังสือขึ้นมามองเขา เธอเผยรอยยิ้มกว้างก่อนจะส่ายหน้าจนผมปลิวเป็นการตอบคำถาม

“เรื่องนี้คงแล้วแต่คนค่ะ ซินชอบอ่านแบบนี้มากกว่า มันรู้สึกว่าจับต้องได้”

“เป็นเหตุผลที่อ้างอิงกับความรู้สึกมากกว่าประโยชน์ใช้สอย” เขาทรุดตัวนั่งลงเว้นระยะห่างไว้พอประมาณ “ดูสมกับที่เป็นเธอดี ว่าแต่อ่านอะไรอยู่หรือ”

“นิยายจีนค่ะ ซินอยากจะลองเริ่มจับงานแปลนิยายดูบ้าง กำลังศึกษาสำนวนอยู่” มโนชาเอ่ยก่อนจะยื่นห่อขนมออกไปตรงหน้าเขาด้วยท่าทีสบายๆ มันดูเป็นธรรมชาติจนเฉินเอินอดจะนึกทึ่งไม่ได้ เธอทำเหมือนกับเขาเป็นเพื่อนคนหนึ่ง เป็นคนที่อยู่ในฐานะเท่าเทียมกัน

หากพอได้ทบทวนดูถึงได้พบว่านี่คงเป็นอุปนิสัยส่วนตัวอย่างหนึ่งคือเข้าถึงง่ายและมอบไมตรีใกล้ชิดให้กับทุกคนที่พบเจอ และอีกสิ่งที่สำคัญ คือสำหรับเธอเขาไม่ได้เป็นคุณเฉินผู้รังสรรค์ชาความทรงจำอันยิ่งใหญ่คนนั้น ยิ่งไม่ได้เป็นผู้มีบุญคุณเช่นเดียวกับคนอื่นที่มาอยู่ที่นี่ เขาเป็นเพียงนายจ้างซึ่งอายุไม่ต่างจากเธอมากนัก พอนำสองอย่างมารวมกันก็พอจะเข้าใจได้

เฉินเอินคลายวงแขนที่กอดอกไว้โดยไม่รู้ตัว เอื้อมมือออกไปและล้วงลงไปในถุงขนมพิมพ์ลายการ์ตูนสีสันสดใส ก่อนจะหยิบขนมที่ทำจากแป้งสอดไส้ช็อกโกแลตออกมาแล้วส่งมันเข้าปาก ไม่น่าเชื่อว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้กินขนมซึ่งเห็นผ่านจากโฆษณาในจอโทรทัศน์

“มีอะไรสงสัยก็ถามได้” เขาหมายถึงเรื่องภาษาจีนซึ่งไม่ใช่ภาษาแม่ของเธอ แต่กลายเป็นว่ามโนชากลับใช้โอกาสนี้ถามไปเรื่องอื่น

“ทำไมคุณเฉินไม่ให้ขายชาไข่มุกล่ะคะ เห็นพี่เหมยซีบอกมาว่าเคยเสนอกับคุณเฉินแล้ว แต่คุณเฉินไม่อนุญาต”

“ฉันไม่มีเหตุผล” เขาตอบหน้าตาย เอื้อมมือไปหยิบขนมในถุงออกมาอีกชิ้น

“แต่บนอักษรเอินมีคำว่าเหตุผลวางอยู่นะคะ” ใบหน้าเธอมันบ่งบอกว่าคนอย่างเขาจะบอกว่าไม่มีเหตุผลไม่ได้

คนฟังกะพริบตาคิดบางอย่างในใจ คำว่าเอินออกจากปากเธอง่ายดายเช่นเดียวกับกิริยาที่นำขนมเข้าปาก มโนชาเอ่ยชื่อเขาออกมาอย่างเป็นธรรมชาติจนน่าเหลือเชื่อ คนคนนี้มักมีอะไรให้เขาแปลกใจเสมอ อาจจะเพราะยุคสมัยเปลี่ยนไปและเธอก็เป็นตัวแทนของเจเนอเรชันซีคนแรกที่เขาได้พบและพูดคุยก็เป็นได้

เฉินเอินขยับตัว กระแอมเล็กน้อย แม้นามนี้จะไม่ใช่ความลับ แต่มันก็นานจนจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่มีคนเอ่ยชื่อเขาตรงๆ แบบนี้คือเมื่อไรกัน

“เธอเคยเห็นร้านชาจีนที่ขายชาไข่มุกไหมซิน” มโนชาอ้าปากจะตอบทันควัน ชายหนุ่มเดาได้ว่าคนตรงหน้าน่าจะตอบแบบส่งๆ เพราะดูไม่ได้หยุดคิดเลย เขาเลยชิงพูดขึ้นมาก่อน “ย่อมไม่เคย เพราะลูกค้าย่อมเป็นคนละกลุ่ม”

“คุณเฉินว่ายังไงก็อย่างนั้นค่ะ พี่เหมยซีบอกซินแล้วแต่ซินแค่อยากลองดู” มโนชาเอ่ยยิ้มไหวไหล่เบาๆ “แต่ซินว่ายังมีอย่างอื่นที่เราพอจะทำได้นะคะ และไม่ขัดกับค่านิยมสังคมคนรักชาแบบขายชาไข่มุกในร้านชาจีนของคุณเฉินด้วย” แล้วเรื่องราวก็เปลี่ยนจากเรื่องหนังสือ เรื่องชื่อของเขา มายังเรื่องชา

“ไหนๆ เราก็ต้องซื้อใบชามาใช้ที่ร้านอยู่แล้ว มีของดีอยู่ในมือไม่สู้แบ่งให้คนอื่นได้ลองชิมบ้าง ซินว่าเราแบ่งขายทางออนไลน์บ้างก็ดีนะคะ” แล้วความคิดของเธอก็ถูกร่ายเรียงออกมาโดยเขาเพียงแต่ฟังและพยักหน้าพลางยึดเอาขนมถุงนั้นมาเป็นของตน

กว่าจะรู้ตัวว่าบทสนทนาดำเนินมาเป็นเวลานานแล้ว ขนมก็หมดถุงแล้ว แสงสุดท้ายของยามสนธยาก็เริ่มจะลาลับพร้อมกับที่ไฟในสวนติดพรึบขึ้นพร้อมกัน เซี่ยเหมยซีปรากฏตัวขึ้นหลังจากนั้นไม่นานนัก

“อาหารเย็นเสร็จแล้วนะคะ ป้าจูให้มาเชิญคุณเฉินค่ะ” เอ่ยพร้อมกับมองถุงขนมว่างเปล่าในมือชายหนุ่มอย่างค่อนข้างแปลกใจ เซี่ยเหมยซีอดหัวเราะออกมาไม่ได้ที่เขาโดนเด็กหลอกให้กินขนมหลอกเด็กเสียแล้ว

“เข้าใจแล้ว” เขาเอ่ยก่อนจะลุกขึ้นนั่งแล้วจากมาพร้อมกับถุงเปล่าในมือ

มโนชาเองก็ลุกขึ้นบ้าง เพราะหากยังนั่งเป็นเป้านิ่งอยู่อย่างนี้อีกไม่นานยุงก็คงจะยกโขยงกันมา มือบางคว้าหนังสือไว้ข้างหนึ่งส่วนอีกข้างก็หันมาคล้องแขนเซี่ยเหมยซีเดินออกจากหอกลางน้ำพลางเล่าเรื่องว่าคุยอะไรกับเฉินเอินไปบ้างเรียกเสียงหัวเราะปนระอาของเซี่ยเหมยซีออกมาด้วยว่ามโนชาคนนี้ยังอุตส่าห์ไม่ล้มเลิกความคิดเรื่องขายชานมไข่มุก ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วยเรื่องการแบ่งขายใบชาทางออนไลน์ รู้ตัวอีกทีสองคนก็เดินมาถึงครัวแล้ว

โรงน้ำชาแห่งนี้มีแม่ครัวประจำอยู่ แน่นอนว่านำเข้ามาเหมือนกับคนอื่นๆ เป็นหญิงร่างท้วมพูดจาโขมงโฉงเฉงชัดถ้อยชัดคำ อาหารที่ป้าจูทำส่วนใหญ่เป็นอาหารจีนกวางตุ้งแบบตามใจฉันซึ่งไม่มีใครบ่นอะไรทั้งสิ้น ไม่รู้ว่าเพราะไม่กล้าขัดใจแม่ครัวใหญ่หรือพอใจในรสชาติอาหารกันแน่ แต่สำหรับมโนชาเธอว่าอาหารที่ป้าจูทำนั้นอร่อยใช้ได้และคุ้นปากคุ้นลิ้นคนไทยเป็นอย่างดี และในเมื่อเป็นสวัสดิการพนักงาน ต่อให้อร่อยน้อยกว่านี้เธอก็กินได้

ตามปกติทุกคนจะกินข้าวร่วมกันในเวลาหนึ่งทุ่มตรง เว้นแต่พ่อบ้านจางซึ่งจะรับประทานพร้อมกับเจ้าของโรงน้ำชาที่บ้านพัก กินข้าว จิบชา เดินหมาก ทำตัวอย่างกับว่าจะแก่ชราไปพร้อมกันอย่างนั้น

“คุณเฉินไม่มีแฟนหรือคะ” เซี่ยเหมยซีสำลักหมูสับนึ่งไข่เค็มฝีมือป้าจูทันทีที่ได้ยินคำถามแหวกฟ้าผ่าอากาศของมโนชาก่อนจะปรามให้อีกฝั่งเบาเสียงลงหน่อย ดวงตาของคนถูกถามเหลือบมองไปยังทิศทางบ้านพักส่วนตัวของเฉินเอินก่อนจะส่ายหน้าแทนคำตอบ ป้าจูหัวเราะคนไม่รู้เรื่องราวกล้าหยิบยกเรื่องเจ้านายมาพูด ส่วนสวีสุ่ยเหอก็ชะงักตะเกียบเพียงครู่ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินต่อ

“ก็ไม่แปลก ซินก็ว่าอยู่ เล่นขลุกตัวอยู่กับโรงน้ำชาไม่ยอมไปไหนเลย”

“ทำไมน้องซินสนใจหรือ” ป้าจูอดแซวไม่ได้ แต่คนถูกแซวจะรู้สึกอะไรหรือก็ไม่เพราะยังคงคีบอาหารเข้าปากหน้าตาเฉย

“ซินก็สนใจทุกคนแหละค่ะเพราะเรื่องของชาวบ้านคืองานของเรา อย่างที่สนใจว่าป้าจูออกจะเสน่ห์แรงเพราะมีคนชมว่าป้าจูสวยให้ซินฟัง บอกว่าเสียดายที่มาได้แค่เดือนละครั้งแถมยังพูดจีนซักคำก็ยังไม่ได้ เลยไม่รู้จะจีบป้าจูได้ยังไง”

“คุณลุงตัวเล็กๆ ที่เป็นคนสวนคนนั้นน่ะหรือ พี่เห็นเหมือนกันว่าชอบมาตัดต้นไม้แถวครัวเป็นพิเศษ” สวีสุ่ยเหอเอ่ยมองหน้าแม่ครัวยิ้มๆ แต่อีกฝ่ายกลับทำหน้าบึ้งตึงใส่ “เนี่ย…แล้วป้าจูก็ทำหน้าแบบนี้เลย แถมมือยังถือมีดอีโต้สับหมูโชว์เสียด้วย สับทีลุงแกก็สะดุ้งที”

“หล่อไม่พอใช่ไหมคะป้าจู” เซี่ยเหมยซีร่วมวงหัวเราะด้วย กว่าจะรู้ตัวว่าพลาดไปเสียแล้วก็ต่อเมื่อแม่ครัวเอ่ยขึ้นมาบ้าง

“ก็ใช่น่ะสิ ก็ถ้าหล่ออย่างเสิ่นต้าชานป้าจะไม่ว่าเลยสักคำ” ป้าจูยักคิ้วหลิ่วตา

“ป้าจูก็เคยเห็นแฟนพี่เหมยซีหรือคะ พี่สุ่ยเหอก็ด้วยหรือ” สองคนพยักหน้าพร้อมกัน

เซี่ยเหมยซีรอยยิ้มจืดลงเล็กน้อย ดวงตาคู่สวยที่เริ่มมีริ้วรอยบางๆ อดจะเหลือบมองไปยังบ้านที่อยู่ถัดไปด้านหลังไม่ได้ ไม่รู้ว่าเขากำลังฟังอยู่หรือเปล่า เพราะรู้ความสามารถนี้ทำให้ส่วนมากเธอเลือกจะคุยกับคนที่เมืองจีนผ่านทางข้อความมากกว่า มีเพียงก่อนนอนเท่านั้นที่ได้กระซิบบอกราตรีสวัสดิ์กัน ด้วยความที่อายุได้ผ่านเลยความหวานแบบหนุ่มสาวมาแล้วทั้งคู่ เรื่องนี้จึงไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด เธอเพียงแต่ไม่อยากให้เฉินเอินได้ยินบทสนทนาเหล่านั้น แม้จะมั่นใจว่าเขาไม่เคยคิดจะสนใจเลยก็ตาม

 

เฉินเอินเองก็มองกลับไปที่อาคารอีกหลังโดยไม่รู้ตัว ดังพ่อบ้านจางจะเข้าใจในกิริยานั้นถึงได้ถามขึ้นมาว่าบ้านด้านหน้านั่นคุยอะไรกันอยู่ ชายชราสังเกตได้ว่าตั้งแต่มโนชาย้ายเข้ามาบรรยากาศทั้งโรงน้ำชาก็ดูจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเพราะเสียงใสช่างคุยช่างอยากรู้อยากเห็นนั่น

“คุณจางคิดว่าเสิ่นต้าชานเป็นอย่างไรบ้าง” แววตาที่เปี่ยมด้วยความขบขันยามนึกถึงมโนชาของชายชราค่อยๆ จางไปก่อนจะหรี่ตามองไปยังคนถาม เมื่อพบเพียงความเรียบเฉยไร้ความรู้สึกปะปนอยู่จึงได้เอ่ยพูดต่อ

“เป็นคนดีทีเดียว คุณเฉินเองคิดเห็นเป็นอย่างไร”

“ฉันก็ว่าเสิ่นต้าชานเป็นคนดี มีหน้าที่การงานที่ดี และเหนืออื่นใดคือความจริงใจที่มอบให้กับคนของเรา ยังไม่เคยเห็นว่าจะมีใจแปรไปเป็นอื่นแม้จะอยู่กันคนละประเทศก็ตาม” ชายชราพยักหน้าเห็นด้วย

“หากคนของเราจำเป็นต้องจากเราไปในสักวันเล่า คุณเฉินจะว่าอย่างไร”

“เซี่ยเหมยซีเป็นคนฉลาดย่อมรู้ดีว่าควรต้องเลือกอะไร เวลาก็ผ่านมานานตั้งแต่แรกที่เราได้พบกัน เราผูกใจผูกสัมพันธ์ด้วยเผชิญสิ่งเลวร้ายและมีประสบการณ์ร่วมกันมาจนอาจลืมไปว่าทุกคนต่างมีเส้นทางเป็นของตัวเอง สำหรับคุณจางฉันไม่ได้ว่าอะไรเพราะคุณจางเห็นโลกมาเยอะ ผ่านการไตร่ตรองด้วยประสบการณ์และดวงตาอันเปิดกว้าง แต่เซี่ยเหมยซีแทบไม่เคยเอาใจออกห่างไปไหนเลยด้วยอาจจะถือเป็นหน้าที่ หรือบางทีก็อาจเป็นฉันนี่แหละที่เห็นแก่ตัวรั้งเธอเอาไว้จนป่านนี้ ด้วยข้ออ้างที่ว่าโลกมันน่ากลัวเหลือเกิน แล้วเซี่ยเหมยซีอาจจะยังไม่พร้อม”

“ไม่ใช่คุณเฉินหรอกที่รั้งไว้แต่เป็นเหมยซีต่างหากที่ไม่ยอมไป เพราะเหตุใดคุณเฉินย่อมต้องรู้ดี”

“เพราะรู้ดีอย่างไรฉันถึงได้อดตำหนิตัวเองไม่ได้ที่ปล่อยเวลาล่วงเลยมาจนถึงตอนนี้ ฉันควรจะเด็ดขาดลงไปตั้งแต่ตอนก่อนจะย้ายมาที่นี่ด้วยซ้ำ เพราะความผูกพันราวกับคนในครอบครัวทำให้ไม่ได้เด็ดขาดลงไป แต่สิ่งที่เซี่ยเหมยซีต้องการในชีวิต ฉันไม่อาจจะให้ได้ ความชื่นฉ่ำด่ำดื่มและรสหวานล้ำของความรัก มธุรสรางวัลของการได้รักตอบ หากยังอยู่กับฉันมันก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ และในใจของเซี่ยเหมยซีก็จะมีแต่ความขมขื่นฝืดเฝื่อน นานไปจนแก่ตัวชีวิตก็จะเหลือพียงความแห้งแล้งห่อเหี่ยวไร้ความหวัง ในตอนนี้ที่มีคนดีๆ เข้ามา ฉันเองไม่อยากให้เธอปล่อยโอกาสนี้ไป”

พ่อบ้านจางรับฟังอย่างนิ่งเงียบ นึกถึงเด็กสาวที่ห้องส่วนตัวในภัตตาคารวันนั้นเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ดอกไม้ดอกหนึ่งเคยออกดอกแรกแย้มอยู่บนต้น ถูกปลิดออกมาอย่างโหดร้ายด้วยโชคชะตา ก่อนจะนำพามันมาปักอยู่ในแจกันด้วยฝีมือของคนผู้นี้ ผู้ที่อยู่เหนือชะตาของตนและคนหลายคน

ชายชรามองสำรวจคนตรงหน้าอีกครั้ง ‘แม้ไม่มีชื่อเสียงไม่มีคนรู้จักก็ไม่หวั่นไหว’ ขงจื่อเรียกว่า วิถีแห่งวิญญูชน เป็นวิถีแห่งความสง่างามเช่นเดียวกับวิถีแห่งชา ยังเรียกวิญญูชนด้วยคำว่า ‘จวินจื่อ’ ตรงกันข้ามกับคำว่า ‘เสี่ยวเหริน’ ซึ่งแปลว่าคนเล็ก คือคนที่คิดเล็กคิดน้อยเห็นประโยชน์ตน วิญญูชนผูกพันกับความถูกต้องเที่ยงธรรม เสี่ยวเหรินผูกพันธ์กับผลประโยชน์ พ่อบ้านจางยังไม่เคยเห็นครั้งใดเลยที่บุคคลคนนี้จะเห็นประโยชน์ตนมากกว่าคนรอบข้าง

“เสิ่นต้าชานเป็นคนดี ฉันได้เห็นมาแล้วตั้งแต่ตอนเราอยู่ที่เมืองจีน คนคนนั้นจะรักเซี่ยเหมยซี ทั้งคู่จะเป็นความรักของกันและกันไปจวบจนกระทั่งเวลาสุดท้ายของชีวิต สิ่งนั้นเป็นสิ่งซึ่งฉันจะไม่มีวันมี”

“ก็แล้วคุณเฉินไม่มีความรู้สึกใดเลยหรือ จะไม่เสียใจหรือ” เฉินเอินส่ายหน้า

“เสียใจหรือ คนอย่างฉันมีเรื่องเสียใจมามากมายนับครั้งไม่ถ้วน”

หากเรื่องนี้เขาจะเสียใจก็คงเสียใจที่ไม่แสดงออกให้ชัดเจน เสมือนเป็นการต่อความหวังและความฝันอันไม่อาจเป็นจริงให้กับเด็กสาวคนนั้น แววตาตั้งแต่แรกพบจนวันนี้มีแต่ความเทิดทูนบูชา ความไว้เนื้อเชื่อใจราวกับจะฝากชีวิตทั้งหมดเอาไว้ในมือของเขา แต่มันแปรเปลี่ยนเป็นแววตาลึกซึ้งแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไรแม้แต่ตัวเขาก็ยังจำไม่ได้ ได้แต่คิดว่าวันหนึ่งเธอคงจะหมดใจไปเอง จนปล่อยทุกอย่างล่วงเลยมาถึงตอนนี้

แต่ยังไม่สายไม่ใช่หรือที่จะละวางความเห็นแก่ตัวที่จะดึงรั้งทุกคนเอาไว้

เซี่ยเหมยซี ถึงเวลาที่เขาต้องปล่อยเธอไปเสียที เพียงแต่ตัวเธอก็ต้องปล่อยใจของตัวเองด้วยเช่นกัน

 



Don`t copy text!